tag:blogger.com,1999:blog-39758845139711326532024-03-05T18:56:01.375-08:00ภาคกลางไม้ไผ่http://www.blogger.com/profile/13079736154779537493noreply@blogger.comBlogger23125tag:blogger.com,1999:blog-3975884513971132653.post-91860948929817898952010-08-17T00:03:00.001-07:002010-08-17T00:03:43.037-07:00ภาคกลาง<p>ประวัติศาสตร์-ความเป็นมา <br />           จากการค้นพบโบราณวัตถุหลายชิ้น เป็นต้นว่า ลูกปัด เครื่องประดับทำด้วยทองหรือดีบุก ที่ประทับตราหรือตราขนาดใหญ่และขนาดเล็ก เหรียญเงินศรีวัตสะ เศษเครื่องปั้นดินเผา ฯลฯ ที่เมืองอู่ทองซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับวัตถุที่ค้นพบที่เมืองออกแก้วซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเมืองท่าของอาณาจักรฟูนัน ในแหลมโคชินไชนา ในประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียตนามภาคใต้มาก  วัตถุเหล่านี้ไม่เคยพบในที่อื่นในแหลมอินโดจีน และเชื่อกันว่าเป็นวัตถุของอาณาจักรฟูนัน  (พุทธศตวรรษที่ 6- พุทธศตวรรษที่ 10) โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังได้ค้นพบประติมากรรม ศิลปอินเดียสมัยอมราวดี <br />        จากหลักฐานโบราณสถาน โบราณวัตถุในดินแดนประเทศไทย ทำให้เราได้ทราบว่าอารยธรรมอินเดีย ได้หลั่งไหลแผ่เข้ามายังดินแดนประเทศไทย ตั้งแต่ครั้งพุทธศตวรรษที่ 6-7 ชาวอินเดียเรียกประเทศไทยว่า "ดินแดนสุวรรณภูมิ" และได้เข้ามาตั้งหลักแหล่งในแหลมอินโดจีนพร้อมทั้งได้นำวัฒนธรรมและศาสนา คือ ศาสนาพราหมณ์และพระพุทธศาสนา เข้ามาเผยแพร่ด้วย ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 7  ถึง 11  ตามหลักฐานจากจดหมายเหตุของจีนว่ามีอาณาจักร "ฟูนัน" ตั้งอยู่แถบลุ่มแม่น้ำโขงตอนใต้ และได้แผ่อาณาเขตไปทางทิศตะวันตกถึงแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย เมื่ออาณาจักร "ฟูนัน" สลายตัวในต้นพุทธศตวรรษที่ 12 แล้ว ในดินแดนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาได้เกิดอาณาจักรที่สำคัญทางพุทธศาสนาขึ้น ชื่อว่า อาณาจักรทวาราวดี <br />         คำว่า   "ทวาราวดี"  เดิมเป็นเพียงข้อสันนิษฐานจากชื่ออาณาจักรที่จดหมายเหตุจีนเรียกว่า "โถโลโปติ" (To-lo-po-ti) ว่า ตรงกับคำสันสกฤตว่า "ทวาราวดี" และคำนี้ได้ติดอยู่เป็นสร้อยชื่อของนครหลวงของประเทศไทย มาตั้งแต่สมัยอยุธยา ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2512 ได้มีผู้พบเหรียญเงินมีอักษรจารึกที่นครปฐมคำจารึกเป็นอักษรสันสกฤต รุ่นพุทธศตวรรษที่ 13 มีข้อความว่า "ศรีทวาราวดี ศวรปุณยะ" แปลว่า "บุญกุศลของพระราชาแห่งศรีทวาราวดี" อันแสดงว่าอาณาจักรทวาราวดีนั้นมีจริงในประเทศไทย <br />          อาณาจักรทวารวดีเป็นอาณาจักรประวัติศาสตร์สมัยแรกในประเทศไทย อาณาจักรนี้มีเมืองอู่ทองอาจเป็นราชธานีอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง มีการค้นพบแผ่นทองแดง ของพระเจ้าหรรษาวรมันที่เมืองอู่ทอง ซึ่งมีจารึกใช้ตัวอักษรอยู่ประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 12 ก็อาจหมายความว่า พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้เป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์แรก ที่ทราบพระนามสำหรับอาณาจักรทวารวดี เมืองอู่ทองจึงเป็นเมืองสำคัญในอาณาจักรทวารวดีในพุทธศตวรรษที่ 11-12 <br />         ประวัติของไทยนั้นเก่าแก่มาก จดหมายเหตุจีนเมื่อประมาณ 300 ปีก่อนพุทธกาลกล่าวถึงภูมิลำเนาเดิมของไทยว่าอยู่ในลุ่มน้ำตอนกลางของแม่น้ำเหลือง ซึ่งอยู่ในท้องที่มณฑลฮูเป และโฮนานในบัดนี้ ในสมัยเดียวกันนั้น จีนก็ได้มาตั้งภูมิลำเนาอยู่ตามที่ราบสูง ในลุ่มน้ำเหลืองตอนบน คือ มณฑลกังซูในบัดนี้ ซึ่งเห็นจะเป็นเพราะถูกพวกต้นตระกูลตาดรุกราน จึงได้ร่นลงมาและปะทะกับไทยเข้า ไทยมีจำนวนน้อยจำต้องร่นลงมาทางใต้หลายทิศหลายทาง <br />         พวกไทยส่วนมากร่นลงมาตามแม่น้ำแยงซีเข้าไปในยูนนาน ต่อสู้ชนะพวกพื้นเมืองเดิมและได้ตั้งอาณาจักรน่านเจ้า โดยมีตาลีฟูเป็นเมืองหลวง ต่อมาเมืองหลวงก็ได้ย้ายไปตั้งอยู่ ปูเออฟู อาณาจักรน่านเจ้าครอบครองท้องที่มณฑลยูนนานปัจจุบัน พม่าเหนือและภาคเหนือของสิบสองปันนาประวัติของไทยในสมัยที่กล่าวนี้ รุ่งเรืองที่สุดและอำนาจอยู่อย่างนี้ 4 ศตวรรษ <br />         เมื่อจีนรุกรานหนักเข้า ไทยก็จำต้องอพยพร่นลงมาอีก และกว่าจะต่อสู้เอา ชัยชนะขอมเจ้าของถิ่นเดิมได้ ก็เป็นเวลาตั้งหลายศตวรรษ แล้วจึงได้ตั้งอาณาจักรใหม่ ณ เชียงแสน บนฝั่งแม่น้ำโขง อาณาจักรใหม่นี้มีประวัติรุ่งเรืองเหมือนอาณาจักรเดิมต่อมานั้นได้ย้ายจากเชียงแสนไปทางตะวันตกเฉียงใต้ และตั้งอาณาจักรขึ้นใหม่ที่ลุ่มแม่น้ำสาลวิน มีภุกามเป็นเมืองหลวง แต่อาณาจักรนี้ไม่ยั่งยืนเพราะอยู่ใกล้ขอมมาก จึงถูกขอมขับกลับไปเลยไปสร้างเมืองเชียงใหม่เป็นเมืองหลวงใหม่ขึ้นที่  แม่น้ำปิง <br />          การอพยพลงมาทางใต้ยังคงดำเนินไปอยู่เรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเรียกกันว่าดินแดนแหลมทองหรือสุวรรณภูมิ อันเป็นที่ตั้งประเทศไทยปัจจุบันนี้ ได้มีชนชาติอื่นอาศัยอยู่ก่อนแล้ว ได้แก่พวกละว้า ซึ่งได้ตั้งภูมิลำเนาอยู่ 3 แคว้นด้วยกัน คือ <br />         1. แคว้นโยนก อยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย คือ ดินแดนที่เป็นมณฑลพายัพ และลานนาไทยปัจจุบัน มีอาณาเขตตั้งแต่เมืองเชลียง (สวรรคโลก) ขึ้นไปจนตลอดหัวเมืองลานนา และลานช้าง ได้ตั้งราชธานี อยู่ที่เมืองเงินยาง (เชียงแสน) <br />          2. แคว้นทวารวาดี อยู่ตรงตอนกลางของประเทศไทย คือ ดินแดนบริเวณจังหวัดนครปฐม อยุธยา พิษณุโลก นครสวรรค์ ปราจีนบุรี รวมทั้งแหลมมลายู ตั้งราชธานีอยู่ที่นครปฐม <br />          3. แคว้นโคตรบูร อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยปัจจุบัน มีราชธานีอยู่ที่สกลนคร <br />          สำหรับแคว้นทวารวดีนั้น ต่อมาได้ถูกพวกมอญขยายอาณาเขตเข้ามาทางแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าครอบครองกลายเป็นอาณาจักรหนึ่งของชนชาติมอญ สันนิษฐานว่า พวกมอญคงจะได้ตั้งอาณาจักรนี้ขึ้น เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 10 และสิ้นสุดลงตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 16 เนื่องจากอำนาจของขอมได้แผ่เข้ามายังภาคกลางของประเทศไทย อาณาจักรทวารวดี ก็เปลี่ยนมาเป็นอาณาจักรของขอม ซึ่งเรียกเป็นเฉพาะว่าอาณาจักรลพบุรี <br />สมัยทวารวดีนั้น มีศูนย์กลางอาณาจักรอยู่ที่นครปฐม ได้มีการขุดค้นพบหลักฐานต่าง ๆ แสดงให้เห็นถึงลักษณะของสถาปัตยกรรมแบบทวารวดีอย่างชัดเจน และได้มีการขุดค้นพบโบราณสถาน และหลักฐานต่าง ๆ สมัยทวารวดี ที่ภาคกลางของประเทศไทย เช่นที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี และบ้านโคกไม้เดน อำเภอพยุหคีรี จังหวัดนครสวรรค์ และที่บ้านคูเมือง อ.อินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี โดยเฉพาะที่อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ได้ค้นพบเหรียญเงินมีตัวอักษร ในพุทธศตวรรษที่ 13 จารึก มีข้อความว่า “ศรีทวารวดีศวรปุณยะ” ซึ่งแปลว่า “บุญกุศลของพระราชาแห่งศรีทวารวดี” อันเป็นหลักฐานอย่างหนึ่งที่สนับสนุนคำว่า “ทวารวดี” มีจริงมิใช่เป็นการอ้างเลื่อนลอยโดยพบเหรียญที่มีข้อความดังกล่าวอีกหลายเหรียญ ณ ที่อื่น ๆ ก่อนหน้านี้แล้วจากการขุดค้นพบเมืองโบราณที่บ้านคูเมือง อ.อินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ทำให้ทราบว่าเมืองดังกล่าวได้สร้างขึ้นมา มีความเก่าแก่สมัยทวารวดีตอนต้นและตอนปลาย เรื่อยมาถึงอาณาจักรละโว้ ลักษณะรูปเมืองก็แสดงให้เห็นถึงลักษณะของเมืองสมัยทวารวดี <br />        ในราว พ.ศ. 1436 ขอมได้ครอบครองดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งหมดนั้น อำนาจของพวกละว้าที่อาศัยอยู่ตามเมืองโบราณต่างๆ นั้น ไม่ได้กระทบกระเทือนอะไร เพราะขอมได้ส่งคนไปปกครองเฉพาะเมืองสุโขทัย เมืองละโว้ และเมืองศรีเทพ ถึงกระนั้นก็มีหลักฐานจากศิลาจารึกปราสาทพระขรรค์ว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 กษัตริย์ของขอมก็ยังได้ส่งพระพุทธรูปชื่อ "พระชัยพุทธมหานาค" ออกมาประดิษฐานตามเมืองต่างๆ ที่อยู่ในดินแดนภาคกลางของประเทศไทยถึง 23 แห่ง ได้แก่ ลโวทยปุระ (เมืองละโว้)   สุวรรณปุระ (เมืองสุพรรณเก่า) คัมพูปัฏฎนะ (เข้าใจว่าเมืองแถบสระโกสิ-นารายณ์ หรือเมืองนครปฐม) ชัยราชบุรี (เมืองราชบุรี) ศรีชัยสิงห์บุรี (เข้าใจว่าเมืองสิงห์ ที่จังหวัดกาญจนบุรี) ศรีชัยวัชรบุรี (เข้าใจว่าเป็นเมืองเพชรบุรี) <br />        ในขณะที่พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ทรงตั้งอาณาจักรสุโขทัยนั้น มีชนชาวไทยหลายพวกด้วยกันอพยพมาอยู่ในดินแดนตอนใต้ของคาบสมุทรอินโดจีน พวกที่มีกำลังเข้มแข็งก็ตั้งเป็นบ้านเมืองขึ้น พวกที่อ่อนแอไม่สามารถรวบรวมกันเป็นปึกแผ่นได้ก็เข้ามาอยู่ในความปกครองของชนเหล่าอื่น ระหว่างระยะเวลานี้ มีเจ้านายไทยองค์หนึ่ง ปรากฎพระนามตามที่เรียกกันเป็นสามัญว่า พระเจ้าอู่ทอง ซึ่งเป็นเชื้อสายของราชวงศ์ไชยปราการ สามารถตั้งตนเป็นใหญ่ในบริเวณภาคกลาง แถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา โดยตั้งราชธานีขึ้นที่กรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. 1893 ที่หนองโสน หรือบึงพระราม เพราะเห็นว่าอยู่ในทำเลที่เหมาะสมเป็นราชธานี ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ยุทธศาสตร์และการเมือง มีลำน้ำล้อมอยู่เป็นคูเมือง ได้แก่ลำน้ำป่าสัก ลำน้ำลพบุรี ลำน้ำเจ้าพระยา ลักษณะชัยภูมิดังกล่าวนี้มีความสำคัญยิ่งทางยุทธวิธีทำให้ปลอดภัยจากศัตรูผู้รุกราน สะดวกในการป้องกันเมืองและเหมาะสำหรับเป็นที่ตั้งมั่นรับข้าศึก เมื่อถึงฤดูน้ำหลากบริเวณนอกพระนครจะเจิ่งไปด้วยน้ำ ข้าศึกไม่สามารถจะตั้งทัพได้สะดวกต้องล่าถอยกลับไป <br />         สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) เมื่อขึ้นครองราชย์แล้วทรงตั้งพระราชโอรส (คือพระราเมศวร) ไปครองเมืองลพบุรีในฐานะเป็นเมืองลูกหลวง และเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญทางหนือ ในการที่จะคอยสดับตรับฟังข่าวคราวของอาณาจักรสุโขทัย และทรงตั้งขุนหลวงพะงั่ว (พี่มเหสี) เป็นพระบรมราชาให้ไปครองเมืองสุพรรณบุรี เมืองหน้าด่านทิศตะวันตก พระบรมราชาได้ยกกองทัพไปตีเมืองชัยนาท เป็นการขู่ขวัญฝ่ายสุโขทัยไว้ก่อน เหตุการณ์ช่วงนี้ แสดงให้เห็นว่าเมืองอินทร์ เมืองสิงห์บุรี เมืองพรหม ในสมัยนั้นอยู่ในความปกครองของกรุงศรีอยุธยาแล้ว <br />         ในปี พ.ศ. 1895 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ได้เสด็จยกทัพไปล้อมเมืองพระนครหลวง (นครธม) และได้ยึดเมืองพระนครหลวงได้ใน พ.ศ. 1896 ทำให้พระเดชานุภาพแพร่หลายทั่วไปเป็นผลให้เมืองต่าง ๆ เข้ามาสวามิภักดิ์เป็นเมืองขึ้นอีกเป็นส่วนมาก มีเมืองประเทศราช 20 เมือง เมือง      พระยามหานครถือน้ำพิพัฒสัตยา 8 เมือง เมืองลูกหลวง 5 เมือง เมืองหลานหลวง 2 เมือง <br />         สมเด็จพระรามาธิบดี 1 ทรงจัดการปกครองส่วนภูมิภาคตามแนวของกรุงสุโขทัย คือจัดเสมือนการจัดกองทัพเพื่อป้องกันข้าศึกศัตรู มีกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีอยู่กลาง เวลามีสงครามก็ระดมพลเมืองเข้าเป็นทัพหลวง มีกษัตริย์ผู้เป็นประมุขเป็นแม่ทัพใหญ่ <br />          สำหรับการปกครองภายในราชธานีนั้น สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ได้เริ่มนำการ  ปกครองแบบจตุสดมภ์มาใช้ กล่าวคือ การดำเนินการปกครองภายในราชธานี ได้ดำเนินตามแบบสุโขทัยและเขมรผสมกันมาเป็นแบบที่เรียกว่า “จตุสดมภ์” คือ จัดหน่วยงานแบ่งออกเป็น 4 หน่วยแต่ละหน่วยมีเสนาบดีเป็นผู้ควบคุมดูแลบริหารราชการ ลักษณะการจัดระเบียบเป็น 4 แผนกนั้นสันนิษฐานว่าจะเป็นแบบที่นำมาจากอินเดีย เพราะประเทศอื่น ๆ เช่น พม่า เขมร ชวา มลายู ต่างมีระเบียบ การแบ่งหน่วยราชการเป็น 4 แผนกเช่นกัน ส่วนของไทยได้รับสืบทอดมาจากเขมรอีกต่อหนึ่ง หน่วยงานทั้ง 4 แผนกคือ <br />            1. กรมเมือง มีขุนเมืองเป็นผู้บังคับบัญชา มีหน้าที่เกี่ยวกับการปกครองรักษาสันติสุขบังคับบัญชาบรรดาไพร่บ้านพลเมือง ซึ่งมีถิ่นฐานภูมิลำเนาอยู่ในเขตเมืองหลวง รวมทั้งมีหน้าที่ลงโทษ ผู้กระทำผิดทางอาญาในเขตเมืองหลวงด้วย <br />            2. กรมวัง มีขุนวังเป็นผู้บังคับบัญชา มีหน้าที่ที่เกี่ยวกับราชสำนัก และพิพากษาคดีด้วยและสำหรับหัวเมืองต่าง ๆ ขุนวังมีอำนาจตั้งยกกระบัตรไปประจำตามเมือง ๆ ละคน ทำหน้าที่พิพากษาคดีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองนั้น ๆ ด้วย <br />            3. กรมคลัง มีขุนคลังเป็นผู้บังคับบัญชา มีหน้าที่จ่าย และเก็บรักษาพระราชทรัพย์ตลอดจนการเงินของประเทศ <br />            4. กรมนา มีขุนนางเป็นผู้บังคับบัญชา มีหน้าที่ควบคุมดูแลเกี่ยวกับเรือกสวนไร่นาและออกสิทธิที่นาซึ่งถือว่าเป็นงานสำคัญอย่างยิ่ง หน้าที่อีกอย่างหนึ่งคือ การเก็บ “หางข้าว” ขึ้นฉางหลวง (เพราะในสมัยโบราณยังไม่มีการเก็บเงินค่านา ใครทำนาได้ข้าวต้องแบ่งเอามาส่งขึ้นฉางหลวงไว้สำหรับใช้ในราชการเรียกว่า “หางข้าว”) <br />            จากหลักฐานการจัดการปกครองของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ที่ทรงจัดให้ เมืองพรหม เมืองอินทร์ เมืองสิงห์ เมืองสรรค์ เป็นหัวเมืองขึ้นในหน้าด่าน รายทางสำหรับทางทิศเหนือ โดยมีเมืองลพบุรีเป็นเมืองหน้าด่านหลักนั้น แสดงให้เห็นว่า เมืองพรหม เมืองอินทร์ เมืองสิงห์ ได้มีอยู่แล้วในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยถูกจัดให้เป็นหัวเมืองชั้นใน ก่อนหน้านั้นเมืองดังกล่าวทั้งสามนี้ อาจอยู่ในความ ปกครองของอาณาจักรสุโขทัยก็ได้ เพราะในช่วงที่อาณาจักรสุโขทัยรุ่งเรืองนั้น ได้มีอำนาจอิทธิพลแผ่ขยายครอบงำในบริเวณภาคกลางและลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยานี้ด้วย แต่ก็ไม่ปรากฏแน่ชัดว่า เมืองทั้งสามนี้ได้สร้างขึ้นในสมัยใน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่หลงเหลืออยู่ ก็ไม่มีพอที่จะให้ค้นคว้าได้ ชาวไทยมักจะรู้จักประวัติศาสตร์ของคนดีก็ในยุคของอาณาจักรสุโขทัยสมัยราชวงศ์พระร่วงเป็นต้นมา <br /> การปกครองกรุงศรีอยุธยามาแก้ไขมาก เมื่อรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเหตุด้วยเมื่อรัชกาลก่อน ได้อาณาเขตกรุงสุโขทัย ซึ่งได้ลดศักดิ์ลงเป็นประเทศราชอยู่นั้น มาเป็นเมืองขึ้น กรุงศรีอยุธยา และตีได้เมืองนครธม (พระนครหลวง) ซึ่งเป็นราชธานีของประเทศขอม เมื่อปีฉลู พ.ศ. 1976 ในสมัยนั้นได้ข้าราชการเมืองสุโขทัยและชาวกรุงกัมพูชา ทั้งพวกพราหมณ์ พวกเจ้านายท้าวพระยา ซึ่งชำนาญการปกครองมาไว้ในกรุงศรีอยุธยาเป็นอันมาก ได้ความรู้ขนบธรรมเนียมราชการงานเมืองทั้งทางกรุงสุโขทัยและกรุงกัมพูชาถ้วนถี่ดีกว่าที่เคยรู้มาแต่ก่อน จึงเป็นเหตุให้แก้ไขประเพณีการปกครอง เลือกทั้งแบบแผนในกรุงสุโขทัยและแบบแผนขอมในกรุงกัมพูชา มาปรับปรุงเป็นวิธีการปกครองกรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่ในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถและต่อมาในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีพระองค์ที่ 2 ซึ่งเป็นราชโอรสสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ วิธีปกครองที่ปรับปรุงขึ้นเมื่อระหว่าง พ.ศ. 1991 จนถึง พ.ศ. 2072 ใน 2 รัชกาลที่กล่าวมาจึงได้เป็นหลัก ของวิธีปกครองประเทศสยามสืบมา ถึงแก้ไขบ้างในบางสมัยก็เป็นแต่แก้พลความตัวหลัก วิธียังคงอยู่จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์นี้ <br />            การปกครองตามแบบพระบรมไตรโลกนาถนั้น ทรงจัดการปกครองในลักษณะแบบการรวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง หลักใหญ่คือ แบ่งการปกครองออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนกลาง ส่วน   ภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น กล่าวคือ การปกครองส่วนกลางได้แยกฝ่ายทหารกับพลเรือนออกจากกัน ฝ่ายทหารก็ให้มีหัวหน้าคนหนึ่ง คอยควบคุมดูแล มีบรรดาศักดิ์ เป็นสมุหกลาโหมดูแลราชการเกี่ยวกับการทหารทั้งหมด ฝ่ายพลเรือนก็มีสมุหนายกเป็นหัวหน้า และมีตำแหน่งรองลงไปคือจตุสดมภ์ และได้เปลี่ยนชื่อกรมเมือง เป็นนครบาล กรมวัง เป็นธรรมาธิการ กรมคลัง เป็นโกษาธิบดีและกรมนา เป็นเกษตราธิราช สำหรับการปกครองส่วนภูมิภาคให้เป็นแบบเดียวกันกับราชธานี โดยให้แต่ละเมืองใช้วิธีการปกครอง ฝ่ายพลเรือน คือ มีจตุสดมภ์ มีเวียง วัง คลัง นา ตามหัวเมืองนั้น ๆ ด้วย ได้กำหนดให้หัวเมืองชั้นในคือ บรรดาเมืองที่อยู่ใกล้ในวงราชธานีเป็นเมืองจัตวา หัวเมืองชั้นนอก ได้แก่หัวเมืองซึ่งอยู่นอกเขตวงราชธานีออกไป กำหนดฐานะเป็นหัวเมืองชั้นเอก โท ตรี โดยลำดับกันตามขนาดและความสำคัญของเมือง   ส่วนการปกครองส่วนท้องถิ่น มีการแบ่งอาณาเขตการปกครองท้องที่ออกเป็นหน่วย ๆ เริ่มต้น “หมู่บ้าน” มีผู้ใหญ่บ้านซึ่งผู้ว่าราชการเมืองเป็นผู้แต่งตั้งขึ้นเป็นหัวหน้าปกครองหลายหมู่บ้านรวมตัวกันเป็น “ตำบล” กำนัน ซึ่งได้รับบรรดาศักดิ์ “พัน” เป็นหัวหน้าปกครองหลาย ๆ ตำบลรวมกันเป็น “แขวง” มีหมื่นแขวงเป็นผู้ปกครองหลาย ๆ แขวงรวมกันเป็นเมือง มีผู้รั้งเมืองหรือเจ้าเมืองเป็นผู้ ปกครอง <br />           ครั้ง แรก เมื่อปี พ.ศ. 2127 เป็นระยะที่ไทยประกาศอิสรภาพใหม่ ๆ พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง ได้ยกกองทัพมาตีไทยหวังให้ยอมอยู่ภายใต้อำนาจพม่าต่อไปอีก เพราะเห็นว่าไทยเสียบ้านเมืองมาก่อนกำลังที่จะต่อสู้ย่อมมีน้อยกว่าแต่ก่อน จึงไม่จำเป็นต้องยกทัพหลวงเข้ามาเหมือนอย่างครั้งพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ก็คงจะตีกรุงศรีอยุธยาได้ พอถึงฤดูแล้วปลายปีนั้น จึงให้จัดทัพยกมาเป็น 2 ทางพร้อมกันประสงค์จะให้ไทยละล้าละลังในการที่จะต่อสู้ในครั้งนั้น ให้เจ้าเมืองพสิมซึ่งเป็นพระเจ้าอาคุมกองทัพจำนวนพล 30,000 คนยกเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ทัพ 1 ให้พระเจ้าเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพระอนุชายกกองทัพบกทัพเรือจากเชียงใหม่ จำนวนพล 100,000 คน ลงมาทางเมืองเหนืออีก   ทาง ๆ ให้มาสมทบกันตีกรุงศรีอยุธยา <br />           ฝ่ายข้างกรุงศรีอยุธยานั้น สมเด็จพระนเรศวรทรงเตรียมการคอยท่าศึกอยู่แล้ว ให้กองสอดแนมออกไปคอยสืบสวนอยู่ทุกทางที่ข้าศึกจะยกมา ครั้งทรงทราบว่าข้าศึกจะยกมาเป็น 2 ทางจึงให้ตระเตรียมการต่อสู้ ให้จัดพลอาสาชาวหัวเมืองเหนือเป็นทัพบกทัพ ๆ มีจำนวนพล 10,000 คนให้เจ้าพระยาสุโขทัยเป็นนายทัพ แล้วจัดพลอาสาชาวกรุงฯ เป็นกองทัพเรืออีกทัพ 1 ให้พระยาจักรีเป็น นายทัพพระยาพระคลังเป็นยกกระบัตร และสั่งให้ขนย้ายเสบียงอาหารและพาหนะ ในหนทางที่ข้าศึกจะยกมาเสียให้พ้นมือข้าศึกทั้ง 2 ทาง แล้วให้ต้อนคนเข้าอยู่ในพระนคร เตรียมรักษาป้อมปราการเป็นสามารถ <br />            กอง ทัพหงสาวดียกเข้ามาครั้งนี้จะเป็นด้วยคิดโดยเลินเล่อหรือเป็นด้วยเจ้าเมือง พสิมกับพระเจ้าเชียงใหม่เข้าใจผิดกันอย่างใดอย่างหนึ่ง ยกเข้ามาหาพร้อมกันไม่ พอถึงเดือนอ้าย กองทัพเจ้าเมืองพสิมก็ยกเข้ามาในแดนไทยทางเมืองกาญจนบุรีแต่ทัพเดียว สมเด็จพระนเรศวรทรงทราบก็เห็นได้ที แต่เวลานั้น น้ำลดยังไม่ถึงที่ น้ำในแม่น้ำลำคลองมีมาก แต่ทางบกแผ่นดินยังเปียก จะเดินกองทัพไม่สะดวก จึงมีรับสั่งให้พระยาจักรียกกองทัพเรือออกไปรักษาเมืองสุพรรณบุรี ต้านทานข้าศึกไว้พลางก่อน กองทัพเจ้าเมืองพสิมยกเข้ามาหมายจะเอาเมืองสุพรรณเป็นที่มั่น ถูกกองทัพเรือพระยาจักรีเอาปืนใหญ่ยิงทนอยู่ไม่ไหวก็ถอยกลับไปตั้งอยู่บนดอน ที่เขาพระยาแมน คอยฟังข่าวกองทัพพระเจ้าเชียงใหม่อยู่ที่นั่น ครั้งถึงเดือนยี่ ขึ้น 2 ค่ำ สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถก็เสด็จด้วยกระบวนเรือจากกรุงศรีอยุธยา ไปทำพิธีเหยียบชิงชัยภูมิ ฟันไม้ข่มนามที่ตำบลลุมพลี แล้วเสด็จไปประทับที่ (ตำบล    ป่าโมก) แขวงเมืองวิเศษชัยชาญ อันเป็นที่ประชุมพล โปรดให้เจ้าพระยาสุโขทัยคุมกองทัพบกเมืองเหนือยกเป็นกองหน้าไปตีกองทัพเจ้า เมืองพสิม ซึ่งตั้งอยู่ที่เขาพระยาแมนแล้วเสด็จยกกองทัพหลวงตามไปตั้งอยู่ที่ตำบลสาม ขนอนแขวงเมืองสุพรรณบุรี เจ้าพระยาสุโขทัยยกไปถึงเขาพระยาแมนได้รบพุ่งกับกองทัพหน้าของเจ้าเมืองพสิ มตีกองทัพพม่าแตกพ่ายไปฝ่ายเจ้าเมืองพสิมเวลานั้นเข้ามายึดเมืองไม่ได้หมาย ต้องออกไปตั้งอยู่กลางดอนขัดสนเสบียงอาหาร ฟังข่าวกองทัพพระเจ้าเชียงใหม่ก็ไม่ได้ความ ทำนองออกจะรวนเรอยู่แล้ว พอรู้ว่ากองทัพหน้าแตกก็ไม่ได้คิดจะต่อสู้   รีบถอยหนีกลับไป เจ้าพระยาสุโขทัยได้ทีก็รีบติดตามตีพม่าไปจนปลายแดนเมืองกาญจนบุรีจับได้ (นายกองชื่อ) ฉางชวีและช้างม้ามาถวายเป็นอันมาก <br />กองทัพเจ้าเมืองพสิมหนีไปได้สัก 15 วัน กองทัพพระเจ้าเชียงใหม่ก็ยกลงมาถึงปากน้ำโพ ในเดือนยี่นั้น ด้วยหัวเมืองเหนือเวลานั้นร้างอยู่ทุกเมืองดังกล่าวมาแล้ว ไม่มีผู้ใดต่อสู้ก็ยกลงมาได้ โดยสะดวกทั้งทัพบกทัพเรือ พระเจ้าเชียงใหม่มาตั้งอยู่ที่เมืองชัยนาท ไม่รู้ว่ากองทัพเจ้าเมืองพสิมถอนหนีไปเสียแล้ว จึงให้ไชยะกยอสูและนันทกยอทางยกกองทัพหน้า จำนวนพล 15,000 คน ลงมาตั้งที่ปากน้ำบางพุทราแขวงเมืองพรหม ให้มาสืบสวนนัดกำหนดกับเจ้าเมืองพสิมที่จะยกเข้ากรุงศรีอยุธยาให้พร้อมกัน <br />            สมเด็จพระนเรศวรทรงทราบว่า กองทัพพระเจ้าเชียงใหม่ยกลงมาทางข้างเหนือ ก็เสด็จยกกองทัพหลวงไปกับสมเด็จพระเอกาทศรถตั้งทัพหลวงที่บ้านชะไวแขวงเมืองวิเศษชัยชาญ แล้วให้พระราชมนูเป็นนายทัพ ขุนรามเดชะเป็นยกกระบัตรคุมกองทัพหน้ามีจำนวนทหารม้า 200 พลราบ 3,000 คน ยกขึ้นไปตีกองทัพหน้าของข้าศึกที่ปากน้ำบางพุทรา พระราชมนูกับขุนรามเดชะยกขึ้นไปถึงเห็นว่าจำนวนพลในกองทัพของตนมีน้อยกว่าข้าศึกมากนัก จึงคิดเป็นกลอุบายซุ่มกองทัพไว้ในป่า แล้วแต่งกองโจรให้แยกย้ายกันดักฆ่าฟันข้าศึกที่เที่ยวลาดตระเวนหาเสบียงอาหาร และคอยแย่งช้างม้าพาหนะมิให้เอาไปเลี้ยงห่างค่ายใหญ่ได้ ถ้าข้าศึกตามจับเห็นมากก็หลบเลี่ยงไปเสีย ด้วยชำนาญท้องที่กว่าข้าศึก แต่พอเห็นข้าศึกเผลอก็เข้าปล้นทัพมิให้ข้าศึกอยู่เป็นปกติได้ ทัพหน้าข้าศึกตั้งอยู่ไม่ได้ ก็ต้องถอยกลับไปเมืองชัยนาท พระเจ้าเมืองเชียงใหม่ได้ข่าวว่า กองทัพเจ้าเมืองพสิม ซึ่งยกมาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ เสียทีไทยถอนหนีกลับไปเสียแล้ว เห็นจะตีพระนครศรีอยุธยาไม่สำเร็จก็เลิกทัพกลับไป <br />         ในปี พ.ศ. 2308 พระเจ้ามังระได้ให้มังมหานรธายกทัพเจ้ามาทางเมืองมะริดส่วนทางเหนือให้เน เมียวสีหบดีเคลื่อนกองทัพออกจากเชียงใหม่ตีหัวเมืองต่าง ๆ เรื่อยมา ในระยะแรกที่ฝ่ายไทยได้ทราบข่าวศึกและเห็นว่าพม่าจะต้องยกมาตีไทยแน่นอน จึงได้เตรียมการต่อสู้พม่า <br />            การที่กรุงศรีอยุธยาได้จัดเตรียมการป้องกันพระนครและเตรียมสู้รบพม่า โดยจัดแบ่งออกเป็นกองย่อย ๆ มากมายและแยกไปตั้งอยู่ตามจุดต่าง ๆ โดยพม่ายกทัพมาจริง ๆ ยกมาเพียง 2 ทางเท่านั้น ดังนั้น กองทัพไทยที่ไปอยู่อีกหลายจุด จึงไม่ได้สู้รบกับพม่าเลย ทำให้เสียกำลังทัพ ไม่ได้ใช้ประโยชน์เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ไทยต้องเสียกรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งที่สอง <br />            ในขณะที่พม่าตั้งค่ายขยายวงล้อมกรุงศรีอยุธยา โดยมีทัพของเนเมียวสีหบดี ตั้งค่ายทางเหนือของอยุธยาแถบบ้านประสบ (พระประสบ) เนเมียวสีหบดีได้ให้ทหารพม่าจำนวนหนึ่ง ไปเที่ยวค้นทรัพย์จับผู้คนทางเมืองวิเศษไชยชาญและได้ตั้งค่ายอยู่ที่เมืองวิเศษไชยชาญ ได้เกลี้ยกล่อมให้พวกราษฎรให้ยอมอยู่ในอำนาจเป็นพวกของพม่า ขณะนั้นราษฎรในเขตเมืองวิเศษไชยชาญ เมืองสิงห์บุรี เมืองสรรค์บุรี และเมืองสุพรรณบุรี ได้อพยพไปพึ่งอาจารย์ธรรมโชติ ที่บ้านบางระจัน ซึ่งอยู่ในท้องที่เมืองสิงห์บุรี พม่าได้ส่งคนไปเกลี้ยกล่อมให้เข้าเป็นพวกของพม่า แต่ชาวไทยกลุ่มนี้มีความรักชาติ ไม่ยอมเข้ากับพม่า ได้รวมกำลังกันต่อสู้กับพม่าและสามารถเอาชนะกองทหารพม่าถึง 7 ครั้ง ในการรบครั้งที่ 8 ชาวบ้านบางระจันจึงพ่ายแพ้พม่า เพราะไม่ได้รับกำลังช่วยเหลือจากทางกรุงศรีอยุธยา แม้ทางชาวบ้านบางระจันจะส่งคนมาขอปืนใหญ่จากรุงศรีอยุธยา 2 กระบอกแต่ทางกรุงไม่ให้ เสนาบดีกราบทูลสมเด็จพระยาเอกทัศน์ว่า “…ถ้าค่ายบ้านบางระจันเสียแก่พม่า พม่าก็จะเอาปืนเข้ามารบกรุงจะให้ไปนั้นมิบังควร…” พระเจ้าแผ่นดินทรงเชื่อตามคำกราบทูล จึงไม่ทรงให้ปืนใหญ่แก่ชาวบ้านบางระจัน แต่ให้ได้พระยารัตนาธิเบศร์ออกไปหล่อปืนที่บ้านบางระจัน การหล่อปืนใหญ่จะต้องใช้เวลานานพอสมควร ชาวบางระจัน จึงถูกพม่าซึ่งนำโดยพระนายกองตีแตกชาวบ้านบางระจันได้ยืนหยัดต่อสู้พม่าเป็นเวลานานถึง 5 เดือนจึงเศษจึงเสียทีแก่พม่า ชาวบ้านที่มีชีวิตอยู่รวมทั้งเด็กและสตรีถูกพม่าจับไปเป็นเชลยเป็นส่วนใหญ่ ที่หนีรอดไปได้นั้นมีน้อย ชาวบ้านบางระจัน เป็นตัวอย่างอันดีในการแสดงออก ซึ่งความรักชาติบ้านเมืองยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ <br />          หลังจากกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าข้าศึก เมื่อ พ.ศ. 2310 กล่าวได้ว่ากรุงศรีอยุธยาอยู่ในสภาพยับเยินเสียหายมาก ทั้งปราสาทราชวัง วัดวาอาราม และบ้านเรือนของประชาชนถูกเพลิงไหม้เสียหายเป็นส่วนใหญ่ บรรดาประชาชนถูกพม่ากวาดต้อนไปเป็นเชลยประมาณ 1 แสนครอบครัวส่วนที่เหลืออยู่ ก็มีความทุกข์ยากลำบากล้มตายและฆ่าฟันกันเองทุกหนทุกแห่งเป็นสภาพที่นับว่าเสียหายมาก ซึ่งไม่เคยปรากฏผลความเสียหายเช่นนี้มาเลยในอดีต กรุงศรีอยุธยาซึ่งได้ดำรงปกครองตนเองมาเป็นเวลานานถึง 417 ปี มีกษัตริย์ปกครองติดต่อกันมาถึง 34 องค์ ก็ต้องถึงแก่กาลอวสานเสียบ้านเมืองให้แก่พม่า เพราะเหตุที่พระเจ้าแผ่นดินอ่อนแอและคนไทยแตกความสามัคคี แต่เมืองไทยก็ยังโชคดีที่มีคนดีมีความสามารถมากอบกู้ชนชาติไทย ให้รวมกันเป็นปึกแผ่นได้อีกสมกับที่ว่ากรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี บุคคลผู้นั้นคือ “พระยาวชิระปราการ” หรือที่รู้จักกันในนามของ “พระยาตาก” ได้ทำสงครามขับไล่พม่าออกจากค่ายโพธิ์สามต้นแล้ว จึงเลือกเอากรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวงสืบต่อมา กรุงศรีอยุธยาจึงได้กลายเป็นอดีต “กรุงเก่า” <br />            การปกครองในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นมีลักษณะคล้าย ๆ กับการปกครอง ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้างในส่วนที่เกี่ยวกับการ ปกครองในส่วนภูมิภาคที่สำคัญคือ ได้มีการจัดแบ่ง หัวเมืองขึ้นกลาโหม มหาดไทย และกรมท่าใหม่ กล่าวคือ รัชกาลที่ 1 ทรงพระราชดำริว่า เมื่อครั้งกรุงเก่าเมืองปักษ์ใต้ยกมาขึ้นแก่กรมท่านั้น เพราะกลาโหมมีความผิด บัดนี้ เจ้าพระยามหาเสนา ที่สมุหกลาโหมมีความชอบมาก จึงให้แบ่งหัวเมืองปักษ์ใต้ ฝ่ายตะวันตกซึ่งขึ้นกรมท่า 19 เมืองขึ้นมหาดไทย 1 เมือง รวม 20 เมือง ซึ่งต่อสมุหกลาโหมทำให้การบังคับบัญชาหัวเมืองในส่วนภูมิภาคอยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายต่างๆ</p> ไม้ไผ่http://www.blogger.com/profile/13079736154779537493noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3975884513971132653.post-6435330286759596372010-08-16T04:28:00.001-07:002010-08-16T04:31:52.469-07:00กรุงเทพมหานคร<p>กรุงเทพมหานคร (อังกฤษ: Bangkok) เป็นเมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรไทย และเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศไทย รวมทั้งเป็นศูนย์กลางการปกครอง การศึกษา การคมนาคมขนส่ง การเงินการธนาคาร การพาณิชย์ การสื่อสาร และความเจริญก้าวหน้าด้านอื่น ๆ ของประเทศไทย นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่มีชื่อยาวที่สุดในโลกอีกด้วย มีแม่น้ำสำคัญคือ แม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่าน ทำให้แบ่งเมืองออกเป็น 2 ฝั่ง คือฝั่งพระนครและฝั่งธนบุรี (เดิมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเป็นที่ตั้งของกรุงธนบุรีซึ่งต่อมาภายหลังได้รวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกรุงเทพมหานคร) โดยกรุงเทพมหานครมีพื้นที่ทั้งหมด 1,568.737 ตารางกิโลเมตร พิกัดทางภูมิศาสตร์คือ ละติจูด 13° 45’ เหนือ ลองจิจูด 100° 31’ ตะวันออก</p> <p>กรุงเทพมหานครเป็นเขตปกครองพิเศษของประเทศไทย โดยมิได้มีสถานะเป็นจังหวัด ซึ่งคำว่า กรุงเทพมหานคร นั้น ยังใช้เป็นคำเรียกสำนักงานปกครองส่วนท้องถิ่นของกรุงเทพมหานครอีกด้วย ปัจจุบันกรุงเทพมหานครใช้วิธีการเลือกตั้งผู้บริหารแบบการเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นโดยตรง</p> <p>คำว่า กรุงเทพมหานคร แปลว่า "พระนครอันกว้างใหญ่ ดุจเทพนคร" มาจากชื่อเต็มว่า กรุงเทพ มหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์ มีความหมายว่า "พระนครอันกว้างใหญ่ ดุจเทพนคร เป็นที่สถิตของพระแก้วมรกต เป็นมหานครที่ไม่มีใครรบชนะได้ มีความงามอันมั่นคง และเจริญยิ่ง เป็นเมืองหลวงที่บริบูรณ์ด้วยแก้วเก้าประการ น่ารื่นรมย์ยิ่ง มีพระราชนิเวศใหญ่โตมากมาย เป็นวิมานเทพที่ประทับของพระราชาผู้อวตารลงมา ซึ่งท้าวสักกเทวราชพระราชทานให้ พระวิษณุกรรมลงมาเนรมิตไว้"</p> <p>โดยนามเดิมที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ พระราชทานในตอนแรกนั้น ใช้ชื่อว่า “กรุงรัตนโกสินทร์อินท์อโยธยา” ต่อมาในในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแก้นามพระนครเป็น “กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินท์ มหินทอยุธยา” จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง เปลี่ยนคำว่า บวร เป็น อมร เปลี่ยนคำว่า มหินทอยุธยา โดยวิธีการสนธิศัพท์เป็น มหินทรายุธยา และเติมสร้อยนามต่อ ทั้งเปลี่ยนการสะกดคำ สินท์ เป็น สินทร์ จนเป็นที่มาของชื่อเต็มของกรุงรัตนโกสินทร์ (กรุงเทพฯ) ข้างต้น</p> <p>ชื่อทางการของกรุงเทพมหานครเมื่อถอดเป็นอักษรโรมัน คือ Krung Thep Maha Nakhon แต่คนทั่วไปนิยมทับศัพท์ตามชื่อที่ผู้พูดภาษาอังกฤษเรียกเมืองนี้ว่า Bangkok ซึ่งมาจากชื่อเดิมของกรุงเทพมหานคร คือ บางกอก</p> <p>ชื่อเต็มของกรุงเทพมหานครเมื่อถอดเป็นอักษรโรมัน คือ Krungthepmahanakhon Amonrattanakosin Mahintharayutthaya Mahadilokphop Noppharatratchathaniburirom Udomratchaniwetmahasathan Amonphimanawatansathit Sakkathattiyawitsanukamprasit[5] ซึ่งเป็นชื่อสถานที่ที่ยาวที่สุดในโลกและได้จดบันทึกไว้ในกินเนสบุ๊ค[7] (169 ตัวอักษร) ยาวกว่าชื่อภูเขา Taumatawhakatangihangakoauauotamateaturipukakapikimaungahoronukupokaiwhenuaki</p> <p>tanatahu (85 ตัวอักษร) ในนิวซีแลนด์ และชื่อทะเลสาบ Chargoggagogg¬manchauggagogg¬chaubunagungamaugg (45 ตัวอักษร) ในรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา</p> <p>พื้นที่บริเวณกรุงเทพมหานครในปัจจุบัน เดิมเป็นที่ตั้งของเมืองธนบุรีศรีสมุทร ชาวต่างชาติเรียกกันว่า "บางกอก" มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา มีความสำคัญเนื่องจากเป็นเส้นทางออกสู่ทะเลและติดต่อค้าขายกับอาณาจักรต่าง ๆ เป็นเมืองหน้าด่านขนอน คอยดูแลเก็บภาษีกับเรือสินค้าทุกลำที่ผ่านเข้าออก ส่วนบริเวณปากน้ำตรงอ่าวไทย เรียกกันว่า "นิวอัมสเตอร์ดัม" มีชุมชนใหญ่และโกดังของชาวต่างประเทศไว้สำหรับพักสินค้า ปัจจุบันคือพื้นที่บริเวณอำเภอพระประแดง</p> <p>ที่มาของคำว่า "บางกอก" นั้น มีข้อสันนิษฐานว่าอาจมาจากการที่แม่น้ำเจ้าพระยาคดเคี้ยวไปมา บางแห่งมีสภาพเป็นเกาะเป็นโคก จึงเรียกกันว่า "บางเกาะ" หรือ "บางโคก" หรือไม่ก็เป็นเพราะบริเวณนี้มีต้นมะกอกอยู่มาก จึงเรียกว่า "บางมะกอก" โดยคำว่า "บางมะกอก" มาจากวัดอรุณ ซึ่งเป็นชื่อเดิมของวัดดังกล่าว และต่อมาต่อมากร่อนคำลงจึงเหลือแต่คำว่าบางกอก</p> <p>ต่อมาเมื่อถึงคราวเสียกรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. 2310 หลังการกอบกู้อิสรภาพจากพม่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงสถาปนาเมืองธนบุรีศรีมหาสมุทรให้เป็นราชธานีแห่งใหม่ คือ กรุงธนบุรี เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2313 แต่กรุงธนบุรีมีสภาพเป็นเมืองอกแตก ตรงกลางมีแม่น้ำเจ้าพระยาไหล ผ่าน เป็นเหตุให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ทองด้วง) มีความคิดจะย้ายเมืองไปทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อให้การป้องกันรักษาเมืองเป็นไปได้โดยง่าย</p> <p>เมื่อสิ้นรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ขึ้นเสวยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงพระนามว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี มีพระราชดำริว่า ฟากตะวันออกของกรุงธนบุรีมีชัยภูมิดีกว่าตะวันตก เพราะมีลำน้ำเป็นขอบเขตอยู่กว่าครึ่ง หากข้าศึกยกมาติดถึงชานพระนคร ก็จะต่อสู้ป้องกันได้ง่ายกว่าอยู่ข้างตะวันตก จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาให้เป็น ราชธานีแห่งใหม่ โดยสืบทอดศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมจากพระราชวังหลวงของกรุงศรีอยุธยา</p> <p>พระองค์มีพระบรมราชโองการให้พระยาธรรมาธิกรณ์กับพระยาวิจิตรนาวี เป็นแม่กองคุมช่างและไพร่ไปวัดกะที่ดินเพื่อสร้างพระนครใหม่ในวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2325 ทรงประกอบพิธียกเสาหลักเมือง เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 6 ขึ้น 10 ค่ำ ย่ำรุ่งแล้ว 9 บาท (54 นาที) ปีขาล จ.ศ. 1144 จัตวาศก ตรงกับวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325 เวลา 6.54 น.[8] และทรงประกอบพระราชพิธีปราบดาภิเษกในวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2325</p> <p>ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปลี่ยนชื่อพระนครจาก บวรรัตนโกสินทร์ เป็น อมรรัตนโกสินทร์ และมีฐานะในการปกครองส่วนท้องถิ่นเป็น "จังหวัดพระนคร"</p> <p>ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตัดถนนใหม่ขึ้น และเปลี่ยนรูปแบบผังเมืองกรุงเทพมหานครเฉกเช่นอารยประเทศ เนื่องจากในสมัยนั้นสยามประเทศถูกคุกคามจากมหาอำนาจยุโรป และตรงจุดนี้เป็นหนึ่งในข้ออ้างที่มหาอำนาจนำมาใช้เพื่อแทรกแซงและคุกคาม สยามประเทศ ภายหลัง ต่างชาติยุโรปเองได้ยอมรับกรุงเทพมหานครว่า เป็นหนึ่งในเมืองที่มีผังเมืองงดงามที่สุดในโลกในสมัยนั้น</p> <p>ต่อมาเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2514 รัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจรได้รวม จังหวัดพระนคร และ จังหวัดธนบุรี เข้าด้วยกันเป็น นครหลวงกรุงเทพธนบุรี และภายหลังการปรับปรุงการปกครองใหม่เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2515 จึงได้เปลี่ยนเป็นชื่อเป็น กรุงเทพมหานคร แต่นิยมเรียกกันว่า กรุงเทพฯ</p> <p>ประวัติความเป็นมา</p> <p>ปี พ.ศ. 2307 พม่ายกกองทัพมาตีหัวเมืองปักษ์ใต้ของไทย โดยมีมังมหานรธาเป็นแม่ทัพ ปรากฎว่าพม่าตีเมืองทางใต้ได้อย่างง่ายดาย จึงตีเรื่อยตลอดหัวเมืองทางใต้จนถึงเมืองเพชรบุรี ทางกรุงศรีอยุธยาได้ส่งกองทัพไทยซึ่งมีพระยาโกษาธิบดีกับพระยาตาก ไปรักษาเมืองเพชรบุรีไว้ จนตีพม่าแตกถอยไปทางด่านสิงขร </p> <p>ต่อมาปี พ.ศ. 2308 พม่ายกกองทัพมาตีไทยอีก พระยาตากได้มาช่วยรักษาพระนครไว้ได้ จึงได้บำเน็จความดีความชอบในสงคราม จึงโปรดให้เลื่อนเป็น พระยาวชิรปราการ เจ้าเมืองกำแพงเพชร แต่ยังไม่ทันได้ปกครองเมืองกำแพงเพชร ก็เกิดศึกกับพม่าครั้งสำคัญขึ้น จึงถูกเรียกตัวให้เข้ารับราชการในกรุง เพื่อป้องกันพระนคร จนถึงปี พ.ศ. 2309 ขณะที่ไทยกับพม่ากำลังรบกันอย่างดุเดือด พระยาวชิรปราการ เกิดท้อแท้ใจหลายประการคือ </p> <p>1. พระยาวชิรปราการ คุมทหารออกไปรบนอกเมืองจนได้ชัยชนะยึดค่ายพม่าได้ แต่ทางผู้รักษาพระนครไม่ส่งกำลังไปหนุน ทำให้พม่าสามารถยึดค่ายกลับคืนได้ </p> <p>2. ขณะที่ยกทัพเรือออกรบร่วมกับพระยาเพชรบุรีนั้น พระยาวชิรปราการ เห็นว่าพม่ามีกำลังมากกว่าจึงห้ามมิให้พระยาเพชรบุรีออกรบ แต่พระยาเพชรบุรีไม่เชื่อฟัง ขืนออกรบ และพ่ายแพ้แกพม่าจนตัวตายในที่รบ พระยาวชิรปราการ ถูกกล่าวหาว่าทอดทิ้งให้พระยาเพชรบุรีเป็นอันตราย </p> <p>3. ก่อนเสียกรุง 3 เดือน พม่ายกทัพเข้าปล้นพระนคร ทางด้านที่พระยาวชิรปราการรักษาอยู่ เมื่อเห็นจวนตัว พระยาวชิรปราการจึงยิงปืนใหญ่ขัดขวาง โดยมิได้ขออนุญาตจากศาลาลูกขุน จึงถูกฟ้องชำระโทษให้ภาคทัณฑ์ </p> <p>ด้วยสาเหตุดังกล่าว พระยาวชิรปราการเห็นว่าขืนอยู่ช่วยป้องกันพระนครต่อไป ก็ไม่มีประโยชน์อันใด และเชื่อว่ากรุงศรีอยุธยาต้องเสียแก่พม่าในครั้งนี้เป็นแน่ </p> <p>ด้วยผู้นำอ่อนแอ และไม่นำพาต่อราชการบ้านเมือง จึงรวบรวมสมัครพรรคพวกได้ประมาณ 500 คน ตีฝ่าวงล้อม ออกจากค่ายพิชัย มุ่งออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อรวบรวมกำลังกลับมากู้กรุงศรีอยุธยาต่อไป ครั้นถึงพ.ศ. 2310 พม่าก็ยกทัพตีพระนครและยกเข้าพระนครได้ นับเป็นเวลาที่พม่าล้อมค่ายอยู่ถึง 1 ปี 2 เดือน กรุงศรีอยุธยาจึงเสียแก่พม่า ในสมัยพระเจ้าเอกทัศน์ จึงนับว่าเป็นพระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายของกรุงศรีอยุธยา หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาแล้ว บ้านเมืองเกิดแตกแยก หัวเมืองต่างๆตั้งตัวเป็นใหญ่ ต่างคนต่างรวมสมัครพรรคพวก ตั้งเป็นก๊กต่างๆ ได้แก่ ก๊กสุกี้พระนายกอง ก๊กพระยาพิษณุโลก ก๊กเจ้าพระฝาง ก๊กเจ้าพระยานครศรีธรรมราช และก๊กเจ้าพิมาย </p> <p>พระยาวชิรปราการได้จัดเตรียมกองทัพ สะสมเสบียงอาหาร ศาสตราวุธ และกองทัพเรืออยู่เป็นเวลา 3 เดือน ก็ยกกองทัพเรือเข้ามาทางปากน้ำเจ้าพระยา ตีเมืองธนบุรีแตก จับนายทองอินประหารแล้วเลยไปตีค่ายโพธิ์สามต้นจนแตกยับเยิน สุกี้พระนายกองตายในที่รบ ขับไล่พม่าออกไปพ้นแผ่นดินไทยสำเร็จ ในปี พ.ศ. 2310 ซึ่งใช้เวลากู้อิสรภาพกลับคืนจากพม่า ภายในเวลา 7 เดือนเท่านั้น </p> <p>จากนั้น พระยาวชิรปราการจึงยกทัพกลับมากรุงธนบุรี และปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงพระนามว่า “สมเด็จพระบรมราชาที่ 4” แต่ประชาชนนิยมเรียกพระนามว่า “พระเจ้าตากสิน” เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2311 และสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีด้วย และต่อจากนั้นพระเจ้าตากสินก็ยกกองทัพไปปราบปรามก๊กต่างๆ จนราบคาบ ทรงใช้เวลารวบรวมอณาเขตอยู่ 3 ปี คือตั้งแต่ พ.ศ. 2311 - พ.ศ. 2313 จึงได้อณาเขตกลับคืนมา รวมเป็นพระราชอณาจักรเดียวกันดังเดิม </p> <p>สมเด็จพระเจ้าตากสิน ทรงสวรรคตเมื่อ พ.ศ. 2325 สิริพระชนมายุได้ 48 พรรษา ทรงครองราชย์เป็นเวลา 15 ปี พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถ กอบกู้ประเทศชาติให้เป็นเอกราชอิสรภาพตราบเท่าทุกวันนี้ ประชาราษฎร์ผู้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ จึงยกย่องถวายพระเกียรติพระองค์ท่านว่า “มหาราช” คณะรัฐบาล ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนทุกหมู่เหล่า ได้พร้อมใจกันสร้างอนุเสาวรีย์ เพื่อน้อมรำลึกในพระเกียรติประวัติ เกียรติยศ เกียรติคุณ ให้ปรากฎกับอนุชนตราบเท่าทุกวันนี้ </p> <p>กรุงเทพมหานครตั้งอยู่บนฝั่งที่ราบลุ่มของแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำสายสำคัญซึ่งถือเป็นเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงคนไทยทั้งชาติ เนื่องจากมีที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้เส้นศูนย์สูตร ทำให้ประเทศไทยค่อนข้างมีสภาพอากาศร้อนชื้น </p> <p>พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี ได้สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี โดยมีกรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวง ตั้งอยู่ใกล้บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และด้วยลักษณะที่ตั้งเช่นนี้ ทำให้เป็นเมืองที่มีชัยภูมิเหมาะแก่การป้องกันการรุกราน และยังเป็นเมืองที่มีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเกษตรกรรม และได้ขยายขนาดพื้นที่เรื่อยมา</p> <p>มูลเหตุที่ราชธานีใหม่จะได้นามว่ากรุงรัตนโกสินทร์นั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในเรื่องพระราชกรัณยานุสรณ์ว่า “การถือน้ำในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกนั้น ทรงพระราชศรัทธาเลื่อมใสมาก จึงได้ทรงสถาปนาพระอารามในพระบรมมหาราชวัง แล้วพระราชทานนามว่า วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เชิญพระพุทธปฏิมากรมาประดิษฐานไว้บนบุษบกทองคำในพระอุโบสถ แล้วจึงพระราชทานนาม พระนครใหม่ ให้ต้องกับการซึ่งมีพระพุทธมณีรัตนปฏิมากรแก้วมรกต พระองค์นี้เป็นศิริสำหรับพระนครนามซึ่งว่า รัตนโกสินทร์ นั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวท่านรับสั่งว่า เพราะท่านประสงค์ความว่า เป็นที่เก็บรักษาไว้ขององค์พระมหามณีรัตนปฏิมากรพระองค์นี้มาก จึงยกไว้เป็นหลักพระนคร พระราชทานนามพระนคร ก็ให้ต้องกับพระนามพระมหามณีรัตนปฏิมากร พระองค์นี้ด้วย เพราะฉะนั้น เมื่อถึงการพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัจจาอันใหญ่นี้ จึงได้โปรดให้ข้าราชการมากระทำสัตย์สาบาน แล้วรับน้ำพระพิพัฒน์สัตยาเฉพาะพระพักตร์พระมหามณีรัตนปฏิมากร</p> <p>กรุงเทพมหานคร เดิมเรียกกันว่า" เมืองบางกอก" เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรง ปราบดาภิเษก เป็นปฐมกษัตริย์ แห่งราชวงศ์จักรี ทรงโปรดเกล้าฯให้สร้างเมืองบางกอกขึ้นเป็นเมืองหลวงใหม่แทน กรุงธนบุรี โดยสืบทอดศิลปวัฒนธรรม จากกรุงศรีอยุธยา ทรงทำพิธียกเสาหลักเมืองเมื่อวันที่เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325 แล้วทรงเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2325 ทรงพระราชทานนามพระนครนี้ว่า</p> <p>กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยามหาดิลกภพ นพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์ มหาสถานอมรพิมาน อวตารสถิต สักกะทัตติยะวิษณุกรรมประสิทธิ์</p> <p>เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงเปลี่ยนนามพระนครจาก บวรรัตนโกสินทร์ เป็น อมรรัตนโกสินทร์ ต่อมาเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2514 รัฐบาลได้รวมจังหวัดพระนครและธนบุรีเป็น นครหลวงกรุงเทพธนบุรีและภายหลังการปรับปรุงการปกครองใหม่เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2515 จึงได้เปลี่ยนเป็นกรุงเทพมหานคร แต่นิยมเรียกกันว่ากรุงเทพฯ กรุงเทพมหานครในปัจจุบันเป็นศูนย์กลางการปกครอง การสื่อสาร การพาณิชย์ การเงิน การธนาคาร การคมนาคมขนส่ง การศึกษา ฯลฯ แบ่งการปกครองเป็น 50 เขต</p> <p>อาณาเขตของกรุงเทพฯ ในขั้นแรกถือเอาแนวคูเมืองเดิมฝั่งตะวันออกของกรุงธนบุรี คือ แนวคลองหลอด ตั้งแต่ปากคลองตลาดจนออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณสะพานพระปิ่นเกล้า เป็นบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์ บริเวณที่สร้างพระราชวังนั้นเดิมเป็นที่อยู่อาศัยของพระยาราชเศรษฐีและชาวจีน ซึ่งได้โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายไปอยู่ที่สำเพ็ง ในการก่อสร้างพระราชวังโปรดเกล้าฯ ให้พระยาธรรมาธิบดี กับพระยาวิจิตรนาวีเป็นแม่กองคุมการก่อสร้าง ได้ตั้งพิธียกเสาหลักเมือง พระราชวังแล้วเสร็จ เมื่อ พ.ศ. 2328 จึงได้จัดให้มีพิธีบรมราชาภิเษกตามแบบแผน รวมทั้งงานฉลองพระนคร</p> <p>แต่โดยทั่วไปแล้วเรียกขานกันในนามว่า “ กรุงรัตนโกสินทร์” ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กรุงรัตนโกสินทร์</p> <p>ถูกยกฐานะขึ้นเป็นมณฑล (พ.ศ. 2449) เรียกว่า “ มณฑลกรุงเทพมหานคร” พ.ศ. 2458 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการปรับปรุง มณฑลและหัวเมืองได้ยกเลิกมณฑลกรุงเทพพระมหานคร แบ่งออกเป็น 2 จังหวัด คือ จังหวัดพระนคร และจังหวัดธนบุรี ตามลักษณะสถานที่ตั้ง บนฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกและตะวันตกตามลำดับ ในปีพุทธศักราช 2514 สมัยรัชกาลปัจจุบัน ได้ทำการรวม 2 จังหวัดนนี้เข้าเป็น “นครหลวงกรุงเทพธนบุรีและในปีถัดมาจึงเปลี่ยนเป็น “กรุงเทพมหานคร” สืบเนื่องมาทุกวันนี้</p> <p>ในช่วงก่อร่างสร้างกรุงเทพฯ นี้สยามยังต้องผจญกับศึกสงครามรอบบ้านอยู่เสมอ รวมทั้งสงครามครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การรบระหว่างสยามกับพม่าด้วย นั่นคือศึกที่เรียกว่า"สงครามเก้าทัพ" ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าประดุง แห่งหงสาวดี กองทัพสยามสามารถขับไล่ทัพพม่าออกไปได้ในที่สุด หลังสงครามเก้าทัพพม่าต้องเผชิญหน้ากับประเทศนักล่าอาณานิคมอย่างอังกฤษ ทำให้สยามว่างเว้นศึกสงครามใหญ่ไปนาน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 ทรงมีพระราชดำริให้ฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมครั้งใหญ่ รวมทั้งการรวบรวทตำรับตำราจากหัวเมืองต่างๆ ที่รอดพ้นจากการถูกพม่าเผาเมื่อ ปี พ.ศ.2310 มาเก็บไว้ที่กรุงเทพฯ และในสมัยของพระองค์ได้มีการนำธรรมเนียมปฏิบัติของราชสำนักอยุธยามาใช้อย่างหนึ่งคือ มีการแต่งตั้งตำแหน่งอุปราชเสมืองเป็นกษัตริย์องค์ที่2 อุปราชองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์คือ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ซึ่งประทับอยู่ที่วังหน้า คนสยามจึงมักเรียกตำแหน่งอุปราชว่า "วังหน้า"</p> <p>พระราชวังหน้านั้นปัจจุบันคือบริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โรงละครแห่งชาติ และวิทยาลัยนาฏศิลป์นั่นเอง รวมทั้งพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของท้องสนามหลวงก็เคยเป็นอาณาบริเวณของ วังหน้ามาก่อน เวลามีการก่อสร้างต่างๆบริเวณนี้เมื่อขุดลงไปในดินจึงมักพบ โบราณวัตถุหลายอย่าง โดยเฉพาะปืนใหญ่แบบโบราณ มีการขุดได้บริเวณนี้ หลายกระบอก</p> <p>ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ถือเป็นยุคทองของศิลปรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. 2352-2367) พระองค์ทรงใฝ่พระทัยในศิลปวัฒนธรรมมาก ทั้งทางด้านวิจิตรศิลป์ และวรรณคดี พระองค์ได้รับการยกย่องว่าเป็นกษัตริย์ผู้เป็นอัครศิลปิน ทรงสร้างและบูรณะวัดวาอารามจำนานมาก ที่สำคัญที่สุดคือโปรดเกล้าฯให้บูรณะ วัดสลักใกล้พระราชวังเดิมฝั่งธนบุรี จนยิ่งใหญ่สวยสง่ากลายเป็นวักประจำรัชกาลของพระองค์และพระราชทานนามว่า "วัดอรุณราชวรารามมหาวิหาร"</p> <p>ความเป็นศิลปินเอกของพระองค์เห็นได้จากการที่พระองค์ทรงแกะสลักบานประตู หน้าวัดสุทัศน์ฯด้วยพระองค์เอง ผลงานอันวิจิตรชิ้นนี้ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติกรุงเทพฯ นอกจากฝีพระหัตถ์เชิงช่างแล้ว ยังทรงพรัอัจฉริยภาพในทางกวีด้วย พระราชนิพนธ์ชิ้นสำคัญของพระองค์ บทละครเรื่อง อิเหนา และ รามเกียรติ์</p> <p>นอกจากทรงพระราชนิพนธ์ด้วยพระองค์เองแล้ว ยังได้ชื่อว่าเป็นองค์อุปถัมภ์ บรรดาศิลปินและกวีด้วย ยุคนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นยุคสมัยที่กวีรุ่งเรืองที่สุด กวีเอกที่ปรากฏในรัชกาลของพระองค์คือ พระศรีสุนทรโวหาร(ภู่) ที่คนไทย ทั่วๆไปเรียกว่า "สุนทรภู่"</p> <p>ในด้านการต่างประเทศ พระองค์ทรงได้เริ่มฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตก ใหม่หลังจากหยุดชะงักไปตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยมีพระบรมราชานุญาตให้โปรตุเกตุเข้ามาตั้งสถานฑูตได้เป็นชาติแรก</p> <p>เมื่อกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ได้ครอง ครองราชสมบัติต่อจากพระบิดา ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระ นั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2367-2394) ทรงมีความเชี่ยวชาญในการค้า ขายกับต่างประเทศมาก โดยเฉพาะกับประเทศจีน ในรัฐสมัยของพระ องค์ ราชสำนักสยามและจีนมีสัมพันธภาพที่แน่นแฟ้น สยามแต่ง สำเภาเดินทางไปค้าขายกับจีนปีละมากลำ ยุคสมัยของพระองค์นับ เป็นยุคทองของการค้าขาย ทรงทำให้เศรษฐกิจของประเทศมั่งคั่งขึ้น เงินทองเต็มท้องพระคลัง และทรงเก็บพระราชทรัพย์บางส่วนไว้ใน ถุง้า แดง ซุกซ่อนไว้ตามบัลลังก์ ซึ่งในเวลาต่อมาทรัพย์ในถุงแดงนี้มีส่วน ในการกู้ชาติสยาม ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ทรงเคร่งครัดในศาสนาพุทธ ชาว ตะวันตกมักมองว่าพระองค์ ตึงและต่อต้าน ศาสนาอื่น แม้กระนั้นก็ ทรงอนุญาตให้มิชชั่นนารีจากอเมริกานำการแพทย์แผนตะวันตกเข้า มาเผยแพร่ได้</p> <p>ในสมัยรัชกาลที่ 3 ประเทศสยามต้องรับบรรดาทูตต่างๆจากชาติตะวันตกที่เข้ามาทำ สัญญาทางการค้าบ้างแล้ว โดยเฉพาะการมาถึงของ เซอร์จอห์น เบาริ่ ง จากอังกฤษที่เข้ามาทำ สัญญาเบาริ่ง อันส่งผลอย่างใหญ่หลวงต่อง้า ประเทศสยามในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตามผลจากการเปิดประเทศมา ปรากฏอย่างเด่นชัดในสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ซึ่งทรงสนพระทัยในศิลปวิทยาการของตะวันตกมาก พระ องค์ทรงศึกษาวิชาการต่างๆ อย่างแตกฉาน ทรงเข้าใจภาษาบาลีเป็น อย่างดีตั้งแต่ครั้งที่ออกผนวชเป็นเวลาถึง 27 พรรษาก่อนทรงขึ้นครอง ราชย์ ส่วนภาษาอังกฤษนั้นทรงได้เรียนกับมิชชันนารีจนสามารถตรัส ได้เป็นอย่างดี นกจากนี้ยังมีความรู้ในวิทยาศาสตร์แขนงต่างๆโดย เฉพาะดาราศาสตร์ ในยุคสมัยของพระองค์ขนบธรรมเนียมต่างๆ ในราชสำนักได้ เปลี่ยนไปมาก เช่น การแต่งกายเข้าเฝ้าของขุนนาง ทรงให้สวมเสื้อผ้า แบบตะวันตกแทนที่จะเปลือยท่อนบนเช่นสมัยก่อน หรือยกเลิก ประเพณีหมอบคลาน เป็นต้น</p> <p>ส่วนในด้านการศาสนานั้นทรงตั้งนิกาย นิกายธรรมยุติ ขึ้นมา ซึ่งเป็นการเริ่มต้นการรวมอำนาจของคณธสงฆ์ซึ่งเคยกระจัดกระจาย ทั่วประเทศให้เขามาอยู่ที่ส่วนกลาง พระองค์นับว่าทรงเป็นกษัตริย์ผู้มี วิสัยทัศน์ยาวไกล และทรงตระหนักถึงภัยจากลัทธิล่าอาณานิคมของ ประเทศตะวันตกซึ่งในเวลานั้นเข้ายึดครองประเทศเพื่อนบ้านของ สยามจนหมดสิ้นแล้ว พระองค์ทรงมีพระราชดำริว่า ความเข้มแข็งแบบ ตะวันออกของสยามไม่สามารถช่วยให้ประเทศรอดพ้นจากการตกเป็น อาณานิคมได้ จึงทรงเน้นให้ประเทศสยามพัฒนาให้ทันสมัยเพื่อลด ความขัดแย้งกับชาติตวันตก</p> <p>ยุคสมัยนี้กล่าวได้ว่าประเทศสยามเริ่มหันทิศทางไปสู่ตะวัน ตกแทนที่จะแข็งขืนอย่างประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งถึงที่สุดแล้วก็ไม่อาจสู้ ความได้เปรยบทางเทคโนโลยีของชาติตะวันตกได้ ในราชสำนักทรง จ้างครูฝรั่งมาสอนภาษาให้แก่พระราชโอรสและพระราชะดา ส่วนภาย นอกมีชาวต่างประเทศจำนวนมากที่มาประกอบกิจการในมืองสยาม สมัยนี้มีหนังสือพิมพ์ภาษาไทยออกมาเป็นครั้งแรก นั่นคือ บางกอกรี คอดเดอร์ ของหมอบัดเลย</p> <p>การทำสนธิสัญญาทางการค้ากับประเทศตะวันตกทำให้ สยามต้องสูญเสีย สิทธิสภาพนอกอาณาเขต อังกฤษเป็นชาติแรกๆที่ ได้ประโยชน์สยามสามารถเก็บภาษีจากสินค้าของพ่อค้าอังกฤษได้ เพียงร้อยละ 3 และอังกฤษสามารถนำเข้าฝิ่นจากอินเดียได้โดยเสรี รวมทั้งสัญญาระบุให้สยามยกเบิกการผูกขาดการค้าข้าวโดยราช สำนัก ทำให้ข้าวกลายเป็นสินค้าออกที่สำคัญของสยามมานับศตวรรษ ต่อมาสยามก็ต้องทำสัญญาเช่นนี้กับชาติตะวันตกอื่นๆอีก ความสนใจในวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะด้านดาราศาสตร์เป็น เหตุให้พระองค์ต้องสวรรคต ในปี พ.ศ. 2411 ทรงคำนวณได้ว่าจะเกิด สุริยุปราคาเต็มดวงที่หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จึงเสด็จฯไปดู พร้อมกับเชิญคณะทูตานุทูตตามเสด็จไปชมด้วย แม้จะเป็นเรื่องที่ทำ ให้พระองค์ได้รับการยกย่องจากชาวตะวันตกมาก เพราะในเวลานั้น แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ชาติตะวันตกก็มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถคำนวณ การกิดสุรุยุปราคาได้อย่างแม่นยำ แต่กการเสด็จฯไปหว้ากอครั้งนั้น เป็นเหตุให้พระองค์ประชวรด้วยไข้มาลาเรีย และเสด็จสวรรคตในอีก สองสัปดาห์ต่อมา</p> <p>เมื่อเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ พระราชโอรส ขึ้นครองราชย์ เป็นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า อยู่หัว ด้วยพระชนมายุเพียง 15 ชันษา พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ใน ยุคสมัยที่บ้านเมืองจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง และทรงต้องเผชิญกับการ กดดันจากหลายด้าน ทั้งฐานอำนาจของกลุ่มวังหน้าและฝ่ายขุนนางที่ นำโดยสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระ องค์ ในขณะที่แรงกดดันจากประเทศนักล่าอาณานิคมก็มิได้ลดละ แต่ โชคดีที่พระองค์รวมทั้งพระประยูรญาติได้รับการปูพื้นฐานมาเป็น อย่างดี ในสมัยของพระองค์บรรดาขุนนางต่างพระเนตรพระกรรณที่ พระองค์มีพระบรมราชโองการอยู่เสมอก็คือพระอนุชาของพระองค์ เป็นส่วนใหญ่ ขุนนางซึ่งมีบทบาทอย่างมากในสมัยนี้ก็คือ กรมพระยา ดำรงราชานุภาพ กรมพระยาเทววงศ์วโรปกรณ์ กรมหลวงประจักษ์ ศิลปคม เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นพระอนุชาของพระองค์ทั้งสิ้น ในยุคสมัยนี้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประเทศสยาม พระองค์ถือเป็นกษัตริย์ที่ทรงปฏิรูปสังคมครั้งใหญ่ ทรงยกเลิกระบบ ทาสและการเกณฑ์แรงงานไพร่ หันมาใช้ระบบเก็บส่วนภาษีแทน ทรง ปฏิรูประบบการปกครองส่วนภูมิภาคด้วยการยกเลิกระบบประเทศราช และเจ้าครองนครเปลี่ยนผู้บริหารเป็นสมุหเทศาภิบาลซึ่งเป็นข้าราช การที่ส่งไปจากส่วนกลาง การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้ประเทศสยาม เป็นปึกแผ่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนนับแต่สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ การเตรียมพร้อมของพระองค์ต่อการคุกคามโดยประเทศ ตะวันตกนั้น ทรงส่งพระราชโอรสไปศึกษา ณ ดินแดนยุโรป โดยเฉพาะ ในประเทศรัสเซียและปรัสเซีย ทั้งเพื่อเตรียมคนไว้เพื่ออนาคต และเป็น การผูกสัมพันธ์กับราชสำนักยุโรปเพื่อถ่วงดุลอำนาจของอังกฤษและ ฝรั่งเศสที่ในเวลานั้นกำลังล่าอาณานิคมในภูมิภาคเอเซียอยู่</p> <p>ในปี พ.ศ. 2435 ทรงตั้งกระทรวงเพิ่มขึ้นจาก 4 เป็น 12 กระทรวง บางกระทรวงก็ทรงแต่งตั้งพระอนุชาเป็นเสนาบดี บาง กระทรวงที่ต้องติดต่อสัมพันธ์กับต่างประเทศก็ทรงจ้างผู้เชี่ยวชาญชาว ตะวันตกเป็นเสนาบดี รัชสมัยของพระองค์มีชาวตะวันตกเข้ามารับใช้ ประเทศสยามจำนวนมาก หลายท่านยังคงมีลูกหลานสืบสกุลในเมือง ไทยจนปัจจุบัน ครั้นพระราชโอรสของพระองค์สำเร็จการศึกษาจากยุโรป แล้วก็ได้เข้ามาเป็นกำลังในการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารครั้งใหญ่ โดยเฉพาะเป็นกำลังในการสร้างกองทัพบกและกองทัพเรือให้มี ความทันสมัยอย่างตะวันตก ในสมัยนี้ประเทศสยามต้องเผชิญกับการบีบคั้นโดยชาติ มหาอำนาจอย่างอังกฤษและฝรั่งเศส ทำให้สยามจำต้องเสียดินแดน ให้แก่มหาอำนาจทั้งสองไปเป็นจำนวนมากเพื่อแลกกกับเอกราชของประเทศ</p> <p>เมื่อฝรั่งเศสเข้าครอบครองเวียดนามในปี พ.ศ. 2426 และ อังกฤษยึดครองมลายูและพม่าส่วนบนได้ในปี พ.ศ. 2429 ทำให้สยาม ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ต่อมาฝรั่งเศสส่งเรือรบมาปิดล้อมอ่าว ไทย ทำให้ต้องยอมเสียลาวและกัมพูชาให้ฝรั่งเศสไป ขณะเดียวกันก็ ต้องยำดินแดนทางภาคใต้ได้แก่ ปะลิส กลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี ดิน แดน ติดพม่าได้แก่ มะริด ทวาย ตะนาวศรี และดินแดนหัวเมืองเงี้ยว ในภาคเหนือให้แก่ประเทศอังกฤษ รวมแล้วสยามต้องเสียดินแดนให้ มหาอำนาจทั้งสองถึง 120,000 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศไทยในปัจจุบัน</p> <p>นอกจากต้องเสียดินแดนแล้วยังต้องจ่ายค่าปรับให้กับ ประเทศเหล่านั้นด้วย จึงต้องใช้เงินใน ถุงแดง ซึ่งรัชกาลที่ 3 เก็บซุก ซ่อนไว้นำมาจ่ายให้มหาอำนาจเหล่านั้น รัชกาลที่ 5 เคยเสด็จประพาสยุโรปถึงสองครั้งในปี พ.ศ. 2440 และ พ.ศ. 2450 เพื่อเป็นการผูกสัมพันธไมตรีกับราชสำนักต่างๆในยุ โรปให้แน่นแฟ้นขึ้น</p> <p>ในรัชสมัยของพระองค์กล่าวได้ว่าสยามประเทศมีการพัฒนา อย่างก้าวกระโดด แม้จะต้องเสียเงินทองมากมายให้แก่มหาอำนาจ แต่เศรษฐกิจของสยามก็เฟื่องฟูโดยเฉพาะหากเทียบกับประเทศเอเซีย อื่นๆ หลังจากพระองค์เสด็จสวรรคต ปวงชนชาวไทยจึงพร้อมใจกัน ถวายพระสมัญนามแด่พระองค์ว่า พระปิยมหาราช ซึ่งหมายถึง กษัตริย์ทรงเป็นที่รักยิ่ง</p> <p>สมัยเมื่อเจ้ามหาวชิราวุธ ขึ้นครองราชสมบัติต่อมา ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2453-2468) พระองค์ ทรงจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ดในประเทศอังกฤษ นโยบายปฏิรูปแบบตะวันตกส่งผลต่อสังคมไทยอย่างมหาศาล การเปลี่ยนแปลงอย่างแรกในปี พ.ศ. 2456 คือคนไทยต้องมี นามสกุลใช้ ในอดีตคนไทยใช้เพียงชื่อตัวไม่มีนามสกุล ซึ่งพระองค์มี พระราชดำริว่าไม่ทันสมัยอย่างชาวตะวันตก พระองค์จึงทรงพระราช ทานนามสกุลให้แก่ขุนนาและคหบดีกว่าร้อยสกุล รวมถึงการถวาย พระนามต้นแห่งกษัตริย์ในราชวงศ์จักรีว่า รามา ก็เกิดขึ้นในสมัยนี้ พระองค์ยังทรงยกเลิกธรรมเนียมให้ผู้หญิงไทยไว้ผมสั้นทรง ดอกกระมอย่างโบราณ และหันมาไว้ผมยาวแบบฝรั่ง และให้นุ่งผ้าถุง แทนโจงกระเบน ทรงจัดให้มีการศึกษาภาคบังคับทั่วประเทศ มีการตั้ง จุฬาลงกรณ์ขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ ในช่วง ท้ายของสงครามพระองค์ได้ส่งทหารไทยไปร่วมรบ ณ สมรภูมิยุโรป ด้วย นั่นทำให้ประเทศสยามได้รับการต้อนรับให้เข้าร่วมสันนิบาติชาติ ภายหลังสงคราม และภายหลังจากทหารอาสาชาวไทยกลับจาก สงคราม พระองค์ทรงเปลี่ยนธงชาติจากธงช้างเผือกบนพื้นแดงมาเป็น ธงไตรรงค์แบบปัจจุบันแทน</p> <p>ในรัชสมัยนี้มีการแต่งตั้งเจ้านายในราชวงศ์และขุนนางใกล้ชิด ให้เป็นคณะรัฐมนตรีร่วมปรึกษาใกล้ชิดกับพระองค์ในการบริหาร ประเทศ และมีการตั้ง กองเสือป่า ขึ้นมาโดยมีพระองค์เองเป็นผู้ บัญชาการ กองเสือป่าที่ตั้งขึ้นมีลักษณะซ้ำซ้อนกับกองทัพ และหลาย ครั้งเสือป่าของพระองค์มีเรื่องมีราวกับทหารในกองทัพ ปมขัดแย้งเริ่ม เกิดขึ้นในหมู่ทหารจำนวนหนึ่ง กระทั่งประทุเป็นการก่อกบฎใน ร.ศ. 130 ที่เรียกว่า กบฏนายสิบ</p> <p>รัชกาลที่ 6 ทรงโปรดการละครมาก ในราชสำนักสมัยนั้นมีการ เล่นละครกันอยู่เป็นประจำ และไม่ว่าจะเสด็จแปรพระราชฐานไปที่ใด ก็มักจะนำคณะละครของพระองค์โดยเสด็จไปด้วยเสมอ อย่างไรก็ตามพระองค์ทรงได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่โปรดการ สร้างถาวรวัตถุ ได้ทรงสร้างพระตำหนักและพระราชวังไว้ตามจังหวัด ต่างๆเป็นจำนวนมาก อาทิ พระตำหนักดุสินธานี ที่กรุงเทพฯ พระราช วังสนามจันทร์ ที่นครปฐม พระราชวังบ้านปืน และพระราชนิเวศน์ มฤคทายวัน ที่เพชรบุรี เป็นต้น ผลจากการสร้างสิ่งเหล่านี้ทำให้เงินใน ท้องพระคลังที่สะสมมาสมัยรัชกาลที่ 5 ร่อยหรอลง จนเกิดปัญหาการ ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในช่วงปลายรัชกาล</p> <p>รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 แม้ว่าจะทรง สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนอีตันของอังกฤษ แต่ดูเหมือนรัชกาลที่ 7 จะโปรดการทหารมากกว่า พระองค์ทรงเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจและ การบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ รัชกาลที่ 7 ทรงมีความห่วงใยพสก นิกรอย่างมาก ในรัชสมัยของพระองค์ สยามได้นำระบบไปรษณีย์และ โรเลขมาใช้ เริ่มมีการสร้างสนามบินขึ้นที่ทุ่งดอนเมือง น่าเสียดายที่ช่วงเวลานั้นไม่เปิดโอกาสให้พระองค์ได้ทรงทำ ตามแนวคิดในการบริหารประเทศของพระองค์ เพราะทรงครองราชย์ ในสมัยที่เศรษฐกิจทั่วโลกกำลังตกต่ำภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ข้าวซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศราคาตกต่ำอย่างมาก ภาวะเงิน เฟ้อที่ระบาทดไปทั่วโลกส่งผลกระทบต่อรัฐบาลของพระองค์อย่างหลีก เลี่ยงไม่ได้ประกอบกับการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเนื่องจากการใช้จ่าย อย่างฟุ่มเฟือยในรัชกาลก่อนหน้า แม้จะมีการปรับลดคาเงินบาทลง และนำเงินบาทในผูกอัตราแลกเปลี่ยนกับเงินปอนด์ของอังกฤษ แต่ก็ ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ วิกฤติการณ์เหล่านี้ส่งผลให้พระองค์ทรง เลือกที่จะตัดงบประมาณของราชสำนักลง ลดเงินเดือนข้าราชการ และมีการดุลข้าราชการจำนวนหนึ่ง เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ข้าราชการ จำนวนหนึ่งเกิดความไม่พอใจ โดยเฉพาะคนหนุ่มที่เพิ่งสำเร็จการ ศึกษามาจากประเทศตะวันตกโดยเฉพาะในยุโรป</p> <p>ในเวลานั้นกระแสการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบอำนาจใหม่ซึ่ง เรียกว่า ประชาธิปไตย ได้เริ่มขึ้น โดยเริ่มจากปัญญาชนรุ่นใหม่ซึ่ง เป็นสามัญชนที่ได้รับการศึกษามาจากยุโรป โดยเฉพาะจากอังกฤษ และฝรั่งเศส ในขณะที่พวกราชวงศ์มักนิยมไปศึกษาที่รัสเซียซึ่งยังปก ครองในระบบสมบูรณษญาสิทธิราช คนหนุ่มเหล่านั้นได้เห็นระบอบการปกครองแบบใหม่ และชื่น ชมในสิทธิความเท่าเทียมกันของประชาชน ขณะที่รัชกาลที่ 7 ทรง ตระหนักดีว่าประชาธิปไตยควรเริ่มใช้เมื่อประชาชนมีความพร้อมก่อน และพระองค์ทรงเห็นว่าในเวลานั้นคนไทยยังไม่พร้อมสำหรับระบบ ใหม่ พระองค์เคยมีพระราชปรารภว่า คนไทยควรมีจิตสำนึกทางการ เมืองเสียก่อน จึงค่อยนำระบบประชาธิปไตยมาใช้</p> <p>ข่าวลือเรื่องการรัฐประหารแพร่สะพัดไปทั่ว ในวันฉลองครบรอบ 150 ปีแห่งราชวงศ์จักรีในปี พ.ศ. 2475 อีกสอง เดือนต่อมาในวันที่ 24 มิถุนายน ก็มีการรัฐประหารเกิดขึ้น และเป็น การสิ้นสุการปกครองในระบบสมบูรณาญาสิทธิราช การรัฐประหารเกิดขึ้นโดยกลุ่มบุคคลซึ่งใช้ชื่อว่า คณะ ราษฎร์ อันประกอบด้วยทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน แกนนำของกลุ่ม คณะราษฎร์ล้วนเป็นคนหนุ่มที่สำเร็จการศึกษามาจากยุโรป โดย เฉพาะกลุ่มที่เคยไปศึกษาอยู่ในประเทศฝรั่งเศส แกนนำฝ่ายพลเรือน คือ นายปรีดี พนมยงค์ นักกฎหมายหนุ่มจากฝรั่งเศส ส่วนฝ่ายทหารมี พันเอกหลวงพิบูลสงคราม (แปลก ขีตสังคะ) นายทหารปืนใหญ่จาก ฝรั่งเศสเช่นกันเป็นผู้นำ คณะผู้ก่อการได้เชิญ พลเอกพระยา พหลพล พยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) นายทหารปืนใหญ่ผู้สำเร็จการศึกษามา จากปรัสเซียมาเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร เนื่องจากเป็นนายทหาร ชั้นผู้ใหญ่ในกองทัพขณะนั้น</p> <p>เช้าวันที่ 24 มิถุนายน ทหารในฝ่ายคณะราษฎร์ได้นำรถถัง และกำลังทหารจำนวนหนึ่งบุกยึดสถานที่สำคัญๆ ในกรุงเทพฯ ไว้ได้ หมด รวมทั้งทำการควบคุมตัวเจ้านายราชวงศ์ชั้นสูงเอาไว้เป็นตัว ประกันด้วย ขณะนั้นพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 กำลังเสด็จแปรพระราช ฐานอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล</p> <p>แม้ฝ่ายคณะราษฎร์จะมีกำลังน้อยกว่าฝ่ายรัฐบาลมาก แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการนองเลือด รัชกาลที่ 7 ทรงยินดีสละพระราชอำนาจ ของพระองค์ ยอมรับการเป็นกษัตริย์ซึ่งอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญใน ระบอบประชาธิปไตย</p> <p>ต่อมาเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2515 ได้จัดรูปการปกครองจากนครหลวงกรุงเทพธนบุรี และเทศบาลนครหลวง มาเป็น กรุงเทพมหานครโดยรวมกิจการ ของนครหลวงกรุงเทพธนบุรี องค์การบริหารนครหลวง กรุงเทพ ธนบุรี เทศบาลนครหลวง และสุขาภิบาลในเขตนครหลวงมาเป็น “กรุงเทพ มหานคร“ และได้จัดระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานครใหม่ เป็นลักษณะผสมระหว่างราชการบริหารส่วนกลางส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น แต่ให้มีฐานะ เป็นจังหวัด มีผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร เป็นข้าราชการการเมืองแต่งตั้งโดยคณะรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบ</p> <p>ต่อมาได้เกิดความไม่สงบในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ทำให้มีการ เปลี่ยนแปลงฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ร่างรัฐธรรมนูญ แห่ง ราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2517 ประกาศขึ้นใช้ โดยมีมาตรา 16 บัญญัติว่าการปกครอง ท้องถิ่นทุกระดับรวมทั้งนครหลวง ให้มีสภาท้องถิ่นและผู้บริหารหรือคณะผู้บริหาร ปกครองท้องถิ่น มาจากการเลือกตั้งของประชาชนในท้องถิ่น นั้น</p> <p>ในปีพ.ศ.2518 ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ กรุงเทพมหานคร พ.ศ.2518 ขึ้นใน วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2518 ซึ่ง พระราชบัญญัติ ฉบับดังกล่าวได้ยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 335 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 และ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ กรุงเทพมหานคร พ.ศ.2518 มาตรา 6 ได้บัญญัติให้กรุงเทพมหานคร แบ่งพื้นที่การปกครองออกเป็นเขต และแขวงสำหรับพื้นที่เขต คือ อำเภอเดิม ส่วนพื้นที่แขวงคือ ตำบลเดิม และพระราชบัญญัติ ฉบับดังกล่าวกำหนดให้กรุงเทพมหานครเป็นทบวงการเมืองมีฐานะเป็นราชการบริหาร ส่วนท้องถิ่นนครหลวงมีผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และรองผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร มาจาก การเลือกตั้ง และเป็นผู้รับผิดชอบในการบริหารงานอยู่ในตำแหน่ง ตามวาระ คราวละ 4 ปี นับแต่วันเลือกตั้งซึ่งกรุงเทพมหานครได้จัดให้มีการเลือกตั้ง ผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร และสมาชิกสภากรุงเทพมหานครขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2518</p> <p>แต่การเลือกตั้งครั้งนั้น ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและคณะมิได้ อยู่ในตำแหน่งจนครบ วาระ 4 ปีทั้งนี้เพราะได้เกิดการขัดแย้งกันอย่างรุนแรงทั้งใน ฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติจนไม่สามารถที่จะประสานกัน ได้จึงทำให้ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และสภากรุงเทพมหานครต้องพ้นจากตำแหน่งโดยคำสั่ง ของ นายกรัฐมนตรีนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ตามมาตรา 21 ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2519 เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2520</p> <p>ด้วยเหตุ ตามมาตรา 21 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทำให้กรุงเทพมหานครเข้ายุคแห่งการมีผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และสมาชิกสภากรุงเทพมหานครมาจาก การแต่งตั้งอีกครั้งหนึ่ง และ เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2528 สภาผู้แทนราษฎร ก็ได้ลงมติรับหลักการเป็นเอกฉันท์ให้ความเห็นชอบกับพระราชบัญญัติระเบียบ บริหารราชการ กรุงเทพมหานคร พ.ศ.2528 โดยพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนด ให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และสมาชิกสภา กรุงเทพมหานคร สมาชิกสภาเขต ภายใน 30 วัน ซึ่งวันเลือกตั้งผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร กำหนดในวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ.2528 สำหรับสมาชิกสภาเขต ให้มี การ เลือกตั้งในวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ.2528 ซึ่งนับเป็น ครั้งแรกที่กฎหมายกำหนดให้มีสมาชิกสภาเขต</p> ไม้ไผ่http://www.blogger.com/profile/13079736154779537493noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3975884513971132653.post-6700352240913586172010-08-16T04:13:00.001-07:002010-08-16T04:13:26.044-07:00สมุทรสงคราม<p><b>ประวัติศาสตร์จังหวัดสมุทรสงคราม</b><b></b></p> <p><b>สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา</b><b></b></p> <p>ผลจากการสำรวจของบุคคลหลายคนเชื่อว่า ผืนแผ่นดินในลุ่มน้ำเจ้าพระยาเคยเป็นทะเลมาก่อน ต่อมาเพื่อกระแสน้ำลำธารได้พัดพาเอาดินและทรายบนผืนแผ่นดินใหญ่ลงมาทับถมในอ่าว นับเป็นเวลาหลายพันปีเข้า อ่าวก็ตื้นเขินเป็นแผ่นดินงอกรุกทะเลออกไปเรื่อยๆ เมื่อประมาณ ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว ฝั่งทะเลอยู่ล้ำเข้ามาในผืนแผ่นดินใหญ่มาก คาดว่าพื้นที่ที่ตั้งอยู่บนฝั่งซ้ายของแม่น้ำแม่กลอง ทั้งหมดในขณะนี้ยังไม่มี โดยเหตุนี้จึงถือได้ว่า ในสมัย ๒,๐๐๐ ปีมาแล้วนั้น เมืองสมุทรสงครามยังไม่เกิด</p> <p><b>สมัยกรุงศรีอยุธยา</b><b></b></p> <p>เท่านี้นักโบราณคดีคณะต่างๆ ได้สำรวจมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจโดยทางราชการหรือส่วนตัว ยังไม่ปรากฏว่าได้พบโบราณสถานที่มีอายุก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยาสักแห่งเดียว ฉะนั้น จึงพอจะกล่าวได้ว่าจังหวัดสมุทรสงครามได้สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา ไม่เก่าไปกว่านั้น แต่ก็ยืนยันไม่ได้ว่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ตอนกลาง หรือตอนปลายแต่จากจดหมายเหตุที่มองซิเออร์เซ-เบเรต์ ซึ่งอยู่ในคณะทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งฝรั่งเศสที่มี มองซิเออร์ เดอลาลูแบร์ เป็นหัวหน้าคณะเดินทางเข้ามาเจริญทางพระราชไมตรีกับกรุงศรีอยุธยา รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๐ -๒๒๓๑ แต่ในตอนขากลับมองซิเออร์เซเบเรต์ ได้แยกคณะเดินทางกลับก่อน โดยเดินทางไปลงเรือกำปั่นฝรั่งเศสที่เมืองตะนาวศรี ซึ่งขณะนั้นเป็นเมืองท่าค้าขายทางทะเลที่สำคัญของไทย ระหว่างการเดินทาง เมื่อผ่านเมืองแม่กลอง มองซิเออร์เซเบเรต์ ได้บันทึกรายงานไว้ว่า</p> <p>“ ณ วันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๒๓๐ ข้าพเจ้าได้ออกจาก (เมือง) ท่าจีน เพื่อไป (เมือง) แม่กลอง ตามทางระหว่างท่าจีนกับแม่กลองนี้ มีบางแห่งน้ำตื้น ต้องใช้กระบือลากเรือเหมือนวันก่อน แต่ตอนที่ตื้นวันนี้ยาวกว่าวานนี้และลำบากกว่าวานนี้มาก เวลาเย็นข้าพเจ้าได้ไปถึงเมืองแม่กลอง ซึ่งไกลจาก (เมือง) ท่าจีน ระยะทางประมาณ ๑๐ ไมล์ครึ่ง เมืองแม่กลองนี้เป็นเมืองที่ใหญ่กว่าเมืองท่าจีนและตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ซึ่งเรียกกันว่าแม่น้ำแม่กลอง และอยู่ห่างทะเลประมาณ ๑ ไมล์ น้ำรับประทานในเมืองนี้ เป็นน้ำที่ดี เมืองแม่กลองนี้หามีกำแพงเมืองไม่ แต่มีป้อมเล็กๆ สี่เหลี่ยมอยู่ ๑ ป้อม มุมป้อมนั้นนี้มีหอรบอยู่ ๔ แห่ง แต่เป็นหอรบเล็กมาก ก่อด้วยอิฐ คูก็หามีไม่ แต่น้ำท่วมอยู่รอบป้อม กำแพงหรือรั้วในระหว่างหอรบนั้นทำด้วยเสาใหญ่ ๆ ปักลงในดิน และมีเคร่าขวางถึงกันเป็นระยะๆ”</p> <p>จากข้อความในบันทึกฉบับนี้ บอกให้ทราบว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๐ ในรัชกาลสมเด็จพระ-นารายณ์มหาราช นั้น ตรงปากแม่น้ำแม่กลอง มีเมืองแม่กลองตั้งอยู่แล้ว ทั้งยังเป็นเมืองขนาดใหญ่พอสมควร เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองท่าจีนที่ตั้งอยู่ปากแม่น้ำท่าจีน คือใหญ่กว่าเมืองท่าจีน (จังหวัดสมุทรสาครในปัจจุบัน) นอกจากนั้น ยังบอกให้ทราบว่า ขณะนั้นเมืองแม่กลองไม่มีกำแพงเมือง มีแต่ป้อมเล็กๆ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำหน้าเมืองเพียงป้อมเดียว และการเดินทางในสมัยกรุงศรีอยุธยา การเดินทางระหว่างกรุงศรีอยุธยากับเมืองตะนาวศรีที่จะสะดวกสบายนั้นต้องลงเรือจากกรุงศรีอยุธยามายังบางกอก ผ่านคลองและแม่น้ำต่างๆ ในคืนแรกจะพักแรมที่เมืองท่าจีน รุ่งขึ้นนั่งเรือผ่านเมืองแม่กลอง ไปพักที่เมืองเพชรบุรี แล้วเดินทางบกผ่านเมืองปราณ เมืองกุย เมืองแคลง แล้วถึงเมืองตะนาวศรี และลงเรือกำปั่นที่นั้น</p> <p>ชื่อ “เมืองแม่กลอง” คงใช้ต่อมาอีกเป็นเวลานาน แล้วได้เปลี่ยนชื่อ เป็น “สมุทรสงคราม” แต่ยังหาหลักฐานยืนยันไม่ได้ว่าได้เปลี่ยนเมื่อใด เพราะจู่ๆ ก็พบเมืองสมุทรสงคราม สมุทรปราการ และสาครบุรี อยู่ในบัญชีรายชื่อหัวเมืองฝ่ายตะวันออก (ในรัชกาลที่ ๑ แห่ง ราชวงศ์จักรี) ในหนังสือ “คำให้การชาวกรุงเก่า” ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ประทานข้อสันนิษฐานไว้ว่า เป็นคำให้การที่เจ้าหน้าที่พม่าซักถาม ได้จากสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรและข้าราชการใหญ่น้อย ที่พม่าเก็บเอาตัวเป็นเชลยไปประเทศพม่า เมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. ๒๓๑๐ ซึ่งหมายความว่า เรื่องราวต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มนั้น ได้เกิดขึ้นหรือเป็นอยู่ในเมืองไทยก่อน พ.ศ. ๒๓๑๐ แสดงว่า เมืองแม่กลอง ได้เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองสมุทรสงครามก่อน พ.ศ. ๒๓๑๐ นั่นเอง เว้นแต่ไม่ทราบว่าเป็นปีใด และจากหลักฐานในหนังสือกฎหมายตราสามดวงว่าด้วยพระราชกำหนดเก่าระบุไว้เรื่องการเรียกสินไหมพินัยคดีความ ได้ออกชื่อเมืองแม่กลอง เมืองสาครบุรี และเมืองสมุทรปราการ หมายความว่าในปี พ.ศ. ๒๒๖๕ เมืองนี้ยังคงเรียกว่า “เมืองแม่กลอง” อยู่ แต่ข้อความในพระราชกำหนดเก่าซึ่งตราขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เมื่อ พ.ศ. ๒๒๙๙ ระบุว่าโปรดเกล้าฯ ให้พระยารัตนาธิเบศท์สมุหมนเทียรบาล เอาตัวขุนวิเศษวานิช (จีนอะปั่นเต็ก) ขุนทิพและหมื่นรุทอักษรที่บังอาจกราบบังคับทูล ขอตั้งบ่อนเบี้ยในแขวงเมืองสมุทรสงคราม เมืองราชบุรีและเมืองสมุทรปราการ ทั้งๆ ที่ได้มีกฎหมายรับสั่งห้ามไว้ก่อนแล้วมาลงโทษ</p> <p>ฉะนั้น จึงเชื่อได้ว่า เมืองแม่กลองได้เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองสมุทรสงคราม ในระหว่าง พ.ศ. ๒๒๖๕ (รัชกาลสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ) กับ พ.ศ. ๒๒๙๙ (รัชกาลสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ) หลังจากนั้นมาในทางราชการจึงเรียกชื่อเมืองนี้ว่า เมืองสมุทรสงคราม</p> <p>อย่างไรก็ตาม น่าสังเกตว่า ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ขณะที่เมืองแม่กลอง เมืองปากน้ำและเมืองท่าจีน ยังมีชื่อเป็นภาษาไทยๆ ไม่ได้เปลี่ยนเป็นภาษาสันสกฤต มีคำ “สมุทร” อยู่ข้างหน้านั้น ปรากฏในกฎหมายตราสามดวงพระอัยการนาทหารหัวเมือง กล่าวถึงตำแหน่งเจ้าเมืองแม่กลอง เมืองปากน้ำและเมืองท่าจีนว่า พระสมุทรสงคราม พระสมุทรปราการ และพระสมุทรสาคร จึงอาจเป็นได้ว่า ต่อมาภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเมืองทั้งสามตามราชทินนามของผู้ปกครองเมือง เช่น เมืองสมุทรสงคราม เมืองสมุทรปราการ และเมืองสมุทรสาคร</p> <p><b>ประวัติด้านการทหาร</b><b></b></p> <p>จากบันทึกที่ มองซิเออร์เซเบเรต์ ชาวฝรั่งเศสเขียนไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๐ ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตอนหนึ่งได้ยืนยันว่าเมืองแม่กลองไม่มีกำแพงเมือง มีแต่ป้อมเล็กๆ ตั้งอยู่หน้าเมืองป้อมเดียวเท่านั้น ป้อมดังกล่าวก่อด้วยอิฐ มุมทั้งสี่ของป้อมสร้างเป็นหอรบ ระหว่างหอรบมีรั้วสร้างด้วยเสาใหญ่ๆ ปักกั้น และว่ารอบๆ ป้อมไม่มีคูน้ำ แต่มีน้ำท่วมรอบป้อม ไม่แน่ใจว่าน้ำรอบป้อมนั้นท่วมอยู่เสมอหรือไม่ มองซิเออร์เซเบเรต์ อาจไปเห็นตอนน้ำขึ้นก็ได้ เพราะเมืองแม่กลองอยู่ใกล้ทะเล ระดับน้ำในแม่น้ำแม่กลองย่อมขึ้นๆ ลงๆ ตามการขึ้นลงของระดับน้ำทะเล อย่างไรก็ตามข้อความนี้แสดง ให้เห็นว่า ในสมัยอยุธยานั้นรัฐบาลได้มองเห็นความสำคัญของเมืองแม่กลองในด้านการทหารแล้ว จึงได้สร้างป้อมขึ้นไว้ป้องกันเรือรบข้าศึกที่จะเข้ามาทางปากน้ำแม่กลอง แต่ป้อมนี้สร้างเมื่อใด จะมีกำลังทหารไทยหน่วยใด หรือทหารต่างชาติมาประจำอยู่สักเท่าไร และจะเรียกป้อมนี้ว่า “ค่ายสมุทรสงคราม” อย่างที่บางท่านกล่าวไว้หรือไม่ยังไม่พบหลักฐาน สำหรับตัวป้อมบางท่านสันนิษฐานว่า น่าจะสร้างใน รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งก็ไม่แน่นักอาจจะสร้างไว้ก่อนหน้านั้นก็ได้</p> <p>เนื่องจากเมืองสมุทรสงครามหรือเมืองแม่กลองตามที่ชาวบ้านเรียก ตั้งอยู่ห่างจากเส้นทางเดินทัพของพม่าที่จะผ่านเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา ดังนั้นในสมัยโบราณเมืองสมุทรสงคราม จึงได้รับการกระทบกระเทือนจากสงครามโดยตรงน้อยมาก ไม่เหมือนกับเมืองกาญจนบุรี เพชรบุรี และเมืองราชบุรีที่อยู่บนลำน้ำแม่กลองสายเดียวกันหรือประชิดกัน แต่การเกณฑ์คนไปรบร่วมกับกองทัพในกรุงนั้น ชาวแม่กลองต้องร่วมอยู่ด้วยทุกสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสงครามที่เกิดจากพม่ารุกผ่านเข้ามาด่านเจดีย์สามองค์ ด่านสิงขร และจากทางปักษ์ใต้ ผ่านเมืองปราณและเมืองกุย เพราะสมัยนั้นเมืองแม่กลองมีฐานะเป็นเมืองจัตวา หรือหัวเมืองชั้นใน อยู่ในเขตราชธานี เมื่อเกิดสงครามขึ้นชายฉกรรจ์ในเมืองแม่กลองจึงถูกเกณฑ์ไปเข้ากองทัพกรุงศรีอยุธยาตามพระราชกำหนด โดยมีเจ้าเมืองเป็นผู้บังคับบัญชาโดยใกล้ชิดไปด้วยทุกคราว</p> <p><b>สมัยกรุงธนบุรี</b><b></b></p> <p>ในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศน์) พระองค์ได้โปรดให้ยกกองทัพเรือมาตั้งค่ายที่ตำบลบางกุ้ง เรียกว่า “ค่ายบางกุ้ง” โดยสร้างกำแพงล้อมวัดบางกุ้งให้อยู่กลางค่ายเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและเป็นที่เคารพบูชาของทหาร</p> <p>พ.ศ. ๒๓๑๐ หลังจากที่พม่าตีกรุงศรีอยุธยาแตกแล้ว ค่ายบางกุ้งก็ไม่มีทหารรักษาต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช โปรดให้จีนรวบรวมพลพรรคมาตั้งเป็นกองทหารรักษาค่าย จึงเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า “ค่ายจีนบางกุ้ง”</p> <p>พ.ศ. ๒๓๑๑ พระเจ้ากรุงอังวะ ให้เจ้าเมืองทวายยกทัพมาสืบข่าวสภาพบ้านเมืองในสมัยกรุงธนบุรีว่าสงบราบคาบหรือเกิดจลาจล เพราะช่วงนั้นเป็นระยะเวลาที่ไทยเรากำลังผลัดแผ่นดินใหม่ เจ้าเมืองทวายได้ยกพลเดินทัพทางบกเข้ามาทางไทรโยค และให้ยกทัพบกทัพเรือเข้ามาที่ค่ายตอ-กะออม แล้วเดินทัพล้อมค่ายจีนบางกุ้งไว้ นายทัพพม่าครั้งนั้นชื่อ แมงกี้มารหญ่ามีทหารยกมาด้วย ๒ หมื่นคนเศษ คณะกรรมการเมืองมีใบบอกเข้าไปยังกรุงธนบุรี ขอกำลังมาช่วยรบพม่า</p> <p>เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงทราบข่าวศึก โปรดให้พระมหามนตรี (บุญมา) จัดกองทัพเรือ ๒๐ ลำ แล้วพระองค์ทรงเรือพระที่นั่งสุวรรณพิชัยนาวา เรือยาว ๑๘ วา ปากเรือกว้าง ๓ ศอกเศษ พลกรรเชียง ๒๘ คน พร้อมศาสตราวุธ ยกทัพมาถึงค่ายบางกุ้งในเวลากลางคืน และตีกองทัพพม่าจนแตกพ่ายไปสิ้น</p> <p>พ.ศ. ๒๓๑๗ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ยกทัพไปรบพม่าที่ค่ายบางแก้ว เมืองราชบุรี เสด็จโดยเรือพระที่นั่ง กาบยาว ๑๓ ว่า ปากเรือกว้าง ๓ ศอกเศษ พลพาย ๔๐ คน ไพร่พลในกองทัพ ๘,๘๖๓ คน ปืนใหญ่น้อย ๒๗๗ กระบอก ได้หยุดกองทัพพักพล เสวยพระกระยาหารที่วัดกลางค่ายบางกุ้ง เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๓๑๗</p> <p><b>สมัยกรุงรัตนโกสินทร์</b><b></b></p> <p>ครั้นต่อมาถึงแผ่นดินสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ประเทศไทยเกิดพิพาทกับประเทศญวนถึงกับทำสงครามกันด้วยเรื่องเจ้าอนุวงศ์ เมืองเวียงจันทร์การสงครามระหว่างญวนกับไทยในครั้งนั้น ใช้กองทัพบกและกองทัพเรือ และมีข่าวว่าญวนได้ขุดคลองลัดจากทะเลสาบออกมาอ่าวไทย มีท่าทีว่าญวนจะยกกำลังทางเรือมารุกรานไทย พระบาทสมเด็จพระนั่ง-เกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้สร้างป้อมขึ้นตามปากน้ำสำคัญๆ เป็นลำดับมา เริ่มแต่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาก่อน แล้วก็ปากแม่ท่าน้ำจีน ปากแม่น้ำแม่กลอง ปากแม่น้ำบางประกง และปากแม่น้ำจันทบุรี</p> <p>สำหรับป้อมที่ปากแม่น้ำแม่กลองนั้น หนังสือ ”ตำนานเรื่องวัตถุต่างๆ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้าง” กล่าวว่า โปรดฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ (พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) เป็นแม่กองอำนวยการสร้างป้อมขึ้นที่ปากแม่น้ำหน้าเมืองสมุทรสงครามป้อมหนึ่ง เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๔ เสร็จแล้วพระราชทานนามว่า “ป้อมพิฆาตข้าศึก” เจ้ากรมป้อมมีนามว่าหลวงละม้าย แม้นมือฝรั่ง ปลัดป้อมมีนามว่าขุนฉมังแม่นปืน ส่วนป้อมเก่าที่สร้างไว้ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยานั้น ไม่ทราบเรื่องราว อาจถูกรื้อลงก่อนสร้างป้อมใหม่ก็ได้</p> <p>ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงราชการเห็นว่าป้อมให้ประโยชน์ในการป้องกันน้อยมาก เนื่องจากความก้าวหน้าทางอาวุธยุทโธปกรณ์ จึงได้รื้อป้อมพิฆาตข้าศึกและกำแพงลง จัดตั้งกองโรงเรียนพลทหารเรือที่ ๑ ขึ้นแทน เมื่อ พ.ศ ๒๔๔๙ โดยโปรดให้นายพลเรือเอก พระมหาโยธา (ฉ่าง แสงชูโต) มาอำนวยการสร้างกองโรงเรียนพลทหารเรือดังกล่าวนี้ ใช้เป็นที่ฝึกอบรมทหารใหม่ที่เกณฑ์จากชายฉกรรจ์ในเมืองสมุทรสงคราม จำนวน ๑ ปี แล้วส่งเข้าไปผลัดเปลี่ยนทหารเก่าในกรุงเทพฯ พอถึง พ.ศ. ๒๔๖๕ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่-หัว ได้ยุบกองโรงเรียนพลทหารเรือ กระทรวงทหารเรือได้ยกอาคารและที่ดินให้กระทรวงมหาดไทย สำหรับใช้เป็นศาลากลางจังหวัดสมุทรสงคราม ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. ๒๔๖๘ เป็นต้นมา จนถึง พ.ศ. ๒๔๙๙ จึงได้ทำการปลูกสร้างศาลากลางจังหวัดใหม่ และโอนศาลากลางจังหวัดหลังเดิมให้กระทรวง สาธารณสุขใช้ในกิจการของโรงพยาบาลจังหวัดสมุทรสงคราม มาจนถึงปัจจุบันนี้</p> <p>ศาลากลางจังหวัดสมุทรสงคราม สมัยเมื่อยังอยู่ที่บริเวณวัดใหญ่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้เสด็จเยี่ยมเมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๗ และได้ลงพระปรมาภิไธยว่า “๒๓ ก.ค. เช้า ๔ โมง มาเที่ยว เห็นเรียบร้อยดี จุฬาลงกรณ์ ปร.” สมุดเยี่ยมนี้จังหวัดยังเก็บรักษาไว้ และนอกจากนี้ จังหวัดสมุทรสงครามยังมีพระแสงราชศัตราวุธฝักทองด้ามทอง เก็บรักษาไว้ที่คลังจังหวัดสมุทรสงคราม พระแสงราชศัตราวุธนี้เป็นของพระราชทานในสมัย พระบาทสมเด็จพระ-จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เป็นธรรมเนียมว่า เวลาพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปถึงเมืองนั้นๆ เจ้าเมืองจะต้องนำพระแสงราชศัตราวุธนี้มาทูลถวายคืนไว้ตลอดเวลาที่เสด็จประทับอยู่ที่เมืองนั้น เมื่อเสด็จกลับจึงพระราชทานคืนให้เป็นอาญาสิทธิ์ในการปกครองเมืองแก่เจ้าเมืองนั้นต่อไป</p> <p><b>การเสด็จประพาสเมืองสมุทรสงคราม</b><b></b></p> <p>สมัยโบราณนั้น ที่ว่าการอำเภออัมพวาเป็นของหลวงยังไม่มี นายอำเภอต้องปลูกบ้านเรือนของตนเองอยู่อาศัย แล้วใช้บ้านนายอำเภอนั้นเองเป็นที่ว่าการอำเภอด้วย นายอำเภออัมพวาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสต้นนั้น ปลูกบ้านอยู่ตรงหัวแหลม ตรงข้ามกับวัดท้องคุ้งปัจจุบัน นายอำเภอผู้นั้นมีนามว่า ขุนวิชิตสมรรถการพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชการที่ ๕ ได้เสด็จไปประทับที่บ้านถึงสองครั้งพร้อมด้วยเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย </p> <p>มีเรื่องเล่าอยู่ในจดหมายเหตุเสด็จประพาสต้นว่า ดังนี้ </p> <p>“ เรือไฟลากล่องมาถึงแม่น้ำใหญ่จวนจะค่ำ หาที่ทำครัวเย็นก็ไม่ได้เหมาะ ล่องเรือลงมาเห็นบ้านแห่งหนึ่งสะอาดสะอ้านดี มีเรือนแพอยู่ริมน้ำ รับสั่งว่า ที่นี่เห็นพอจะอาศัยเขาทำครัวสักครั้งหนึ่ง ได้ให้กรมหลวงดำรง รับหน้าที่ขึ้นไปขออนุญาตต่อเจ้าของบ้าน กรมหลวงดำรงเสด็จขึ้นไต่ถาม ได้ความว่าเป็นบ้านนายอำเภอ นายอำเภอไปจัดฟืนเรือไฟที่ตรงข้ามบ้านอยู่แต่ภรรยา หารู้จักกรมหลวงดำรงไม่ ขออนุญาตทำครัวที่เรือนแพได้ดังที่ปรารถนา พอขนของขึ้นเรือนแพแล้ว กรมหลวงดำรงยังไม่ทันเสด็จลงมาจากเรือนใหญ่นายอำเภอก็กลับมาถึงไม่ทันเหลียวแลพระเจ้าอยู่หัวที่เรือนแพ มุ่งหน้าตรงขึ้นไปถวายคำนับเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยที่เรือนใหญ่ นายอำเภอเพ็ดทูลกรมหลวงดำรงยังไม่ทันได้กี่คำ นายอัษฎาวุธ ก็คลานศอกนำหนังสือรับสั่งไปถวายกรมหลวงดำรงว่า ขอให้เขารู้จักแต่กรมหลวงดำรงพระองค์เดียว ฉันนั่งดูท่านายอัษฎาวุธคลานเข้าเฝ้ากรมหลวงดำรง ทำท่าทางสนิทราวกับเป็นข้าไทย แต่กรมหลวงดำรงนั้นพออ่านหนังสือรับสั่งแล้วดูพระพักตร์สลด เห็นประทับนิ่งไม่รับสั่งว่ากระไร เป็นแต่พยักพระพักตร์ให้นายอัษฎาวุธกลับลงมา อีกสักครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงรับสั่งกับนายอำเภอและกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ถึงราชการงานเมืองอะไรอึงอยู่บนเรือน พวกกองครัวก็ทำครัวกันอยู่ที่เรือนแพ ทำเสร็จแล้วแต่งเครื่องให้คุณหลวงนายศักดิ์ เชิญขึ้นไปตั้งถวาย กรมหลวงดำรงเสวยพร้อมกับเครื่องเคราที่เจ้าของบ้านเขาหาถวาย ครั้นเสร็จแล้วเมื่อจะลงเรือ กรมหลวงดำรงเสด็จกลับจะลงเรือ นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านตามลงมาส่งเสด็จรุมมาตุ้ม พวกที่ไปตามเสด็จรับกระแสร์รับสั่งไว้ให้คลานรับเสด็จกรมหลวงดำรงเป็นอย่างข้าในกรม ส่วนพระเจ้าอยู่หัวเสด็จหลบออกไปบังเสียอยู่หลังเก๋งท้ายเรือ พระ-ราชทานอาสน์ไว้สำหรับกรมหลวงดำรงประทับ กรมหลวงดำรงเลยทรงไถลว่าเดือนหงายสบายดี จะยืนอยู่หน้าเก๋ง รีบสั่งให้ออกเรือ แต่พอพ้นหน้าบ้านก็รับสั่งบ่นใหญ่ว่าเล่นอย่างนี้ไม่สนุก แต่คนอื่นพากันหัวเราะกรมหลวงดำรงทั้งลำ…”</p> <p>พระนามในจดหมายเหตุเสด็จประพาสต้นนี้ กรมหลวงดำรง คือสมเด็จกรมพระยาดำรง</p> <p>ราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ในเวลานั้นยังเป็นกรมหลวงตามเสด็จในฐานะเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยด้วย</p> <p>นายอัษฎาวุธ คือ สมเด็จพระเจ้าฟ้าอัษฎางเดชาวุธ กรมขุนนครราชสีมา พระราชโอรสพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตามเสด็จด้วย</p> <p>คุณหลวงนายศักดิ์ คือ พระยานิพัทธราชกิจ (อ้น นรพัลลภ)</p> <p>เป็นอันว่าครั้งนี้นายอำเภอไม่ได้เฝ้าพระเจ้าอยู่หัว ทั้งที่เสด็จประทับอยู่บนบ้าน ได้เฝ้าแต่เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ทราบภายหลังคงจะเสียใจอยู่เหมือนกัน เสด็จครั้งนี้คือ วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๔๔๗</p> <p>แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้นเมื่อเสด็จประพาสสมุทรสงครามอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๑ ก็ทรงระลึกถึงขุนวิชิตสมรรถการจึงได้เสด็จไปเยี่ยมเยียนนายอำเภออัมพวาที่บ้านอีกหนหนึ่ง เมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๔๔๕ ทรงจดหมายเหตุไว้ว่า “แวะเยี่ยมขุนวิชิตสมรรถการ นายอำเภอ ซึ่งได้เคยปลอมไปบ้านเขาเมื่อมาเที่ยวครั้งก่อน”</p> <p><b>การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบบมณฑลเทศาภิบาล </b><b></b></p> <p>หลังจากจัดหน่วยราชการบริหารส่วนกลาง โดยมีกระทรวงมหาดไทยในฐานะเป็นส่วนราช-การที่เป็นศูนย์กลางอำนวยการปกครองประเทศ และควบคุมหัวเมืองทั่วประเทศแล้วการจัดระเบียบการปกครอง ต่อมาก็มีการจัดตั้งหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาค ซึ่งมีสภาพและฐานะเป็นตัวแทนหรือหน่วยงานประจำท้องที่ของกระทรวงมหาดไทยขึ้น อันได้แก่ การจัดรูปการปกครองแบบเทศาภิบาล ซึ่งถือได้ว่าเป็นระบบการปกครองอันสำคัญยิ่งที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนำมาใช้ปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคในสมัยนั้น การปกครองแบบเทศาภิบาลเป็นระบบการปกครองส่วนภูมิภาคชนิดหนึ่ง ที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการจากส่วนกลางออกไปบริหารราชการในท้องที่ต่างๆ ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาล เป็นระบบการปกครองที่รวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางอย่างมีระเบียบเรียบร้อย และเปลี่ยนระบบการปกครองจากประเพณีการปกครองดั้งเดิมของไทย คือ ระบบกินเมือง ให้หมดไป</p> <p>การปกครองหัวเมืองก่อนวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๓๕ นั้น อำนาจปกครองบังคับบัญชามีความหมายแตกต่างกันออกไปตามความใกล้ไกลของท้องถิ่น หัวเมืองหรือประเทศราชยิ่งไกลไปจากกรุงเทพฯ เท่าใดก็ยิ่งมีอิสระในการปกครองตนเองมากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากทางคมนาคมไปมาหาสู่ลำบาก หัวเมืองที่รัฐบาลปกครองบังคับบัญชาได้โดยตรงก็มีแต่หัวเมืองจัตวาใกล้ๆ ส่วนหัวเมืองอื่นๆ มีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครองแบบกินเมืองและมีอำนาจอย่างกว้างขวางในสมัยที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ดำรงตำแหน่งเสนาบดี พระองค์ได้จัดให้อำนาจการปกครองเข้ามารวมอยู่ยังจุดเดียวกัน โดยการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวง ซึ่งหมายความว่า รัฐบาลมิให้การบังคับบัญชาหัวเมืองไปอยู่ที่เจ้าเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลเริ่มจัดตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๗ จนถึง พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงสำเร็จและเพื่อความเข้าใจเรื่องนี้เสียก่อนในเบื้องต้น จึงจะขอนำคำจำกัดความของ “การเทศาภิบาล” ซึ่งพระยาราชเสนา (สิริ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) อดีตปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทยตีพิมพ์ไว้ ซึ่งมีความว่า</p> <p>“การเทศาภิบาล คือ การปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการอันประกอบด้วยตำแหน่งข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาลของพระองค์ รับแบ่งภาระของรัฐบาลกลาง ซึ่งประจำแต่เฉพาะในราชธานีนั้นออกไปดำเนินงานในส่วนภูมิภาคอันเป็นที่ใกล้ชิดติดต่ออาณาประชากร เพื่อให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขและความเจริญทั่วถึงกัน โดยมีระเบียบแบบแผนอันเป็นคุณประโยชน์แก่ราชอาณาจักรด้วย ฯลฯ จึงได้แบ่งส่วนการปกครองโดยขนาดลดหลั่นกันเป็นขั้นอันดับดังนี้คือ ส่วนใหญ่เป็นมณฑลรองถัดลงไปเป็นเมือง คือ จังหวัด รองไปอีกเป็นอำเภอ ตำบลและหมู่บ้านจัดแบ่งหน้าที่ราชการเป็นส่วนสัดแผนกงานให้สอดคล้องกับทำนองการของกระทรวงทบวงกรมในราชธานี และจัดสรรข้าราชการที่มีความรู้สติปัญญา ความประพฤติดี ให้ไปประจำทำงานตามตำแหน่งหน้าที่มิให้มีการก้าวก่ายสับสนกันดังที่เป็นมาแต่ก่อน เพื่อนำมาซึ่งความเจริญเรียบร้อย รวดเร็ว แก่ราชการและธุรกิจของประชาชน จึงต้องอาศัยทางราชการเป็นที่พึ่งด้วย” </p> <p>จากคำจำกัดความดังกล่าวข้างต้น ควรทำความเข้าใจบางประการเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาล ดังนี้</p> <p>การเทศาภิบาล นั้น หมายความรวมว่า เป็น “ระบบ” การปกครองอาณาเขตชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า “การปกครองส่วนภูมิภาค” ส่วน “มณฑลเทศาภิบาล” นั้น คือ ส่วนหนึ่งของการปกครองชนิดนี้ และยังหมายความอีกว่า ระบบเทศาภิบาลเป็นระบบที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการส่วนกลางไปบริหารราชการในท้องที่ต่างๆ แทนที่ส่วนภูมิภาคจะจัดปกครองกันเองเช่นที่เคยปฏิบัติมาแต่เดิม อันเป็นระบบกินเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลจึงเป็นระบบการปกครองซึ่งรวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลาง และริดรอนอำนาจของเจ้าเมืองตามระบบกินเมืองลงอย่างสิ้นเชิง</p> <p>นอกจากนี้มีข้อที่ควรทำความเข้าใจอีกประการหนึ่ง คือ ก่อนการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาลนั้น ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก่อนปฏิรูปการปกครองก็มีการรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลเหมือนกัน แต่มณฑลสมัยนั้นหาใช่มณฑลเทศาภิบาลไม่ ดังจะอธิบายโดยย่อดังนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช ทรงพระราชดำริจะจัดการปกครองพระราชอาณาเขตให้ มั่นคงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทรงเห็นว่าหัวเมืองอันมีมาแต่เดิมแยกกันขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยบ้าง กระทรวงกลาโหมบ้าง และกรมท่าบ้าง การบังคับบัญชาหัวเมืองในสมัยนั้นแยกกันอยู่ถึง ๓ แห่ง ยากที่จะจัดระเบียบปกครองให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนกันได้ทั่วราชอาณาจักร ทรงพระราชดำริว่า ควรจะรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงให้ขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียว จึงได้มีพระบรมราชโองการแบ่งหน้าที่ระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงกลาโหมเสียใหม่ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๕ เมื่อได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยปกครองหัวเมืองทั้งปวงแล้ว จึงได้รวบรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลมีข้าหลวงใหญ่เป็นผู้ปกครอง การจัดตั้งมณฑลในครั้งนั้นมีอยู่ทั้งสิ้น ๖ มณฑล คือ มณฑลลาวเฉียงหรือมณฑลพายัพ มณฑลลาวพวนหรือมณฑลอุดร มณฑลลาวกาวหรือมณฑลอีสาน มณฑลเขมรหรือมณฑลบูรพา และมณฑลนครราชสีมา ส่วนหัวเมืองทางฝั่งทะเลตะวันตกบัญชาการอยู่ที่เมืองภูเก็ต</p> <p>การจัดรวบรวมหัวเมืองเข้าเป็น ๖ มณฑลดังกล่าวนี้ ยังมิได้มีฐานะเหมือนมณฑลเทศาภิบาล การจัดระบบการปกครองมณฑลเทศาภิบาลได้เริ่มอย่างแท้จริงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๓ เป็นต้นมา และก็มิได้ดำเนินการจัดตั้งพร้อมกันทีเดียวทั่วราชอาณาจักร แต่ได้จัดตั้งเป็นลำดับ ดังนี้</p> <p>พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นปีแรกที่ได้วางแผนงานจัดระเบียบการบริหารมณฑลแบบใหม่เสร็จกระทรวงมหาไทยได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ๓ มณฑล คือ มณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีนบุรี มณฑลนครราชสีมา ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากสภาพมณฑลแบบเก่ามาเป็นแบบใหม่ และในตอนปลายนี้ เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้โอนหัวเมืองทั้งปวงซึ่งเคยขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศมาขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียวแล้ว จึงได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลราชบุรีขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง</p> <p>พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๓ มณฑล คือ มณฑลนคร -ชัยศรี มณฑลนครสวรรค์ และมณฑลกรุงเก่า และได้แก้ไขระเบียบการจัดมณฑลฝ่ายทะเลตะวันตก คือ ตั้งเป็นมณฑลภูเก็ต ให้เข้ารูปลักษณะของมณฑลเทศาภิบาลอีกมณฑลหนึ่ง</p> <p>พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้รวมหัวเมืองมณฑลเทศาภิบาลอีก ๒ มณฑล คือ มณฑลนครศรีธรรมราช และมณฑลชุมพร</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้รวมหัวเมืองมะลายูตะวันออกเป็นมณฑลไทรบุรี และในปีเดียวกันนั้นเอง ได้ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง </p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้เปลี่ยนแปลงสภาพของมณฑลเก่าๆ ที่เหลืออยู่อีก ๓ มณฑล คือ มณฑลพายัพ มณฑลอุดร และมณฑลอีสาน ให้เป็นมณฑลเทศาภิบาล</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๗ ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ เพราะเห็นว่ามีแต่จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๙ จัดตั้งมณฑลปัตตานีและมณฑลจันทบุรี มีเมืองจันทบุรี ระยอง และตราด</p> <p>พ.ศ. ๒๔๕๐ ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง</p> <p>พ.ศ. ๒๔๕๑ จำนวนมณฑลลดลง เพราะไทยต้องยอมยกมณฑลไทรบุรีให้แก่อังกฤษเพื่อแลกเปลี่ยนกับการแก้ไขสัญญาค้าขาย และเพื่อจะกู้ยืมเงินอังกฤษมาสร้างทางรถไฟสายใต้</p> <p>พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒ มณฑล มีชื่อใหม่ว่า มณฑลอุบลและมณฑลร้อยเอ็ด</p> <p>พ.ศ. ๒๔๕๘ จัดตั้งมณฑลมหาราษฎร์ขึ้น โดยแยกออกจากมณฑลพายัพ</p> <p><b>การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน</b><b></b></p> <p>การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมืองเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น ปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง นอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอแล้ว ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลอีกด้วย เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสีย เหตุที่ยกเลิกมณฑลน่าจะเนื่องจาก</p> <p>๑. การคมนาคมสื่อสารสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน สามารถที่จะสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง </p> <p>๒. เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศให้น้อยลง</p> <p>๓. เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล มณฑลรายงานต่อกระทรวง เป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น</p> <p>๔. รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆ มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วนภูมิภาคยิ่งขึ้น และการที่ยุบมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจนั่นเอง</p> <p>ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกฉบับหนึ่ง ในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัดมีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนี้</p> <p>๑. จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ ๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่</p> <p>๒. อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคล ได้แก่ คณะกรมการจังหวัดนั้นได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่กับบุคคลเดียว คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด</p> <p>๓. ในฐานะของคณะกรมการจังหวัด ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัด ได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด</p> <p>ต่อมา ได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฎิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น</p> <p>๑. จังหวัด</p> <p>๒. อำเภอ</p> <p>จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลายๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้งยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น</p> <p><a href="http://lh4.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkdLCCudvI/AAAAAAAAAS8/sWjp6O3o1iU/s1600-h/clip_image0013.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image001" border="0" alt="clip_image001" src="http://lh6.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkdO4kxd4I/AAAAAAAAATA/LK9tuPinAjY/clip_image001_thumb.gif?imgmax=800" width="240" height="2" /></a></p> <p>ที่มา : <b>ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดสมุทรสงคราม</b>. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์อักษรพัฒนา, ๒๕๒๖.</p> ไม้ไผ่http://www.blogger.com/profile/13079736154779537493noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3975884513971132653.post-4225938700904412112010-08-16T04:12:00.001-07:002010-08-16T04:12:09.905-07:00สมุทรสาคร<p><b>ประวัติศาสตร์จังหวัดสมุทรสาคร</b><b></b></p> <p><b></b></p> <p>สมุทรสาครเป็นดินแดนที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจตั้งแต่สมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ แห่งกรุงศรีอยุธยา จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์</p> <p>สมุทรสาครเดิมชื่อบ้านท่าจีนเป็นชุมนุมชนใหญ่ อยู่บริเวณอ่าวไทย มีทำเลที่เหมาะสมในการพาณิชย์มาก มีเรือสำเภาค้าขายจากประเทศจีนมาจอดเทียบท่าที่นี่ ขนถ่ายซื้อขายสินค้ากันจนเป็นที่รู้จักกันทั่ว ใครอยากจะค้าขายกับเรือสำเภาจีนก็ต้องมาที่นี่ มีชื่อเรียกกันติดปากมาแต่เดิมว่า "ท่าจีน" แต่ยังมิได้มีฐานะเป็นเมืองคงเป็นหมู่บ้านชุมชนแห่งหนึ่งเท่านั้น เมื่อครั้งสังฆราช ปาลเลกัวส์ เดินทางไปเยี่ยมพวกคริสตังชาวจีน ที่กระจัดกระจายอยู่ทางทิศตะวันออกได้กล่าวถึงท่าจีนว่า ".....เป็นเมืองสวยงามมีพลเมืองประมาณ ๕๐,๐๐๐ คน ส่วนมากเป็นชาวประมง และพ่อค้า ที่ตั้งจังหวัดอยู่ห่างทะเล ๒ ลี้ เป็นทำเลเหมาะในการประมงและการพาณิชย์จึงมีสำเภาจีนมาติดต่อค้าขายอยู่เสมอ"</p> <p>ในสมัยพระมหาจักรพรรดิ ราชวงศ์สุพรรณภูมิ (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๐๙๑ - พ.ศ. ๒๑๑๑) แห่งกรุงศรีอยุธยาหลังสงครามเสียสมเด็จพระศรีสุริโยทัย พ.ศ. ๒๐๙๒ ได้ยกฐานะบ้านท่าจีนเป็นเมือง "สาครบุรี" ตามแผนการเกณฑ์ชายฉกรรจ์ที่อยู่กระจัดกระจายตามหัวเมืองต่าง ๆได้อย่างรวดเร็ว ยามเมื่อเกิดศึกสงคราม ดังปรากฏอยู่ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๐๗ หน้า ๖๐ ว่า "สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชตรัสว่า ไพร่บ้านพลเมือง ตรี จัตวา ปากไต้เข้าพระนครครั้งนี้น้อย หนีออกอยู่ป่าดงห้วยเขาต้อนไม่ได้เป็นอันมาก ให้เอาบ้านท่าจีนตั้งเป็น สาครบุรี" และข้อความในพงศาวดาร ไทยรบพม่าว่า ".......เพื่อจะให้สะดวกแก่การเรียกหาผู้คนเวลาเกิดศึกสงคราม จึงให้ตั้งเมืองขึ้นใหม่อีก ๓ เมือง คือ ยกบ้านตลาดขวัญเป็นเมืองนนทบุรี เมือง ๑ ยกบ้านท่าจีนเป็นเมืองสาครบุรีเมือง ๑ แบ่งเอาเขตเมืองราชบุรีกับเมืองสุพรรณบุรีมารวมกัน ตั้งเป็นเมืองนครไชยศรีขึ้นอีกเมือง ๑"</p> <p>หลวงวิจิตรวาทการ ได้กล่าวไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์สากลเล่ม ๓ ว่า "หลังจากสงครามกับเขมร (พ.ศ. ๒๐๙๙)........สมเด็จพระมหาจักรพรรดิยังให้ตรวจบัญชีสำมะโนครัวราษฎร ได้จำนวนชายฉกรรจ์ในมณฑลราชธานีถึงแสนเศษ แล้วจัดระเบียบการระดมพลให้สะดวกขึ้นกว่าแต่ก่อน ในการนี้ให้ตั้งเมืองชั้นในเพิ่มขึ้นหลายเมือง คือ ตั้งบ้านท่าจีนขึ้นเป็นเมืองสาครบุรี เมือง ๑......"</p> <p>สรุปความตรงกันว่า บ้านท่าจีนได้ยกขึ้นเป็นเมืองสาครบุรี ในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เพื่อสะดวกแก่การเรียกหาผู้คนเวลาเกิดศึกสงคราม และสะดวกแก่การปกครอง</p> <p>ในสมัยแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ได้ยกเมืองสาครบุรีขึ้นกับกรมท่า ดังปรากฏในประชุมพงศาวดารว่า ".......แบ่งหัวเมือง ขึ้นกลาโหม มหาดไทย กรมท่า ในรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์........ยังคงเมืองขึ้นกรมท่าอีก ๘ เมือง คือ เมืองนนทบุรี ๑ เมืองสมุทรปราการ ๑ เมืองสาครบุรี ๑......."</p> <p>ในรัชกาลที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๕๒ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์เป็นแม่ทัพยกไปปราบพม่าที่เมืองถลาง และเมืองชุมพร ในการเดินทัพทางเรือ ผ่านธนบุรี ท่าจีน แม่กลองบ้านแหลม และเพชรบุรี นายนรินทร์ธิเบศร์ (อิน) ได้ตามเสด็จคราวนี้ด้วย และแต่งโคลงนิราศ</p> <p>นริทร์ มีความตอนที่กล่าวถึง สมุทรสาคร ว่า</p> <p><i>มหาชัยชัยฤกษ์น้อง นาฏลง โรงฤา</i></p> <p><i>รักร่วมพุทธมนต์สงฆ์</i><i> เสกซ้อม</i></p> <p><i>เสียดเศียรแม่ทัดมง</i><i> คลคู่ เรียมเอย</i></p> <p><i>ชเยศชุมญาติห้อม</i><i> มอบให้สองสม</i></p> <p><i>ท่าจีนจีนจอดถ้า คอยถาม ใดฤา</i></p> <p><i>จีนช่วยจำใจความ</i><i> ข่าวร้อน</i></p> <p><i>เยียวมิ่งแม่มาตาม</i><i> เตือนเร่ง ราแม่</i></p> <p><i>จงนุชรีบเรียมข้อน</i><i> เคร่าถ้า จีนคอย</i></p> <p>ในปี พ.ศ. ๒๓๙๐ ปีมะแม พระยามหาเทพให้จมื่นทิพเสนา (เอี่ยม) ออกไปจับฝิ่นอ้ายจีนเผียว ซึ่งตั้งตนเป็นตั้วเหี่ยที่ลัดตรุด แขวงสาครบุรี มีการจับกุมหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายเมื่อวันอังคาร เดือน ๔ ขึ้น ๑๐ ค่ำ (๑๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๓๙๐) พระยามหาเทพไปกับพระสวัสดิวารีพร้อมกับเกณฑ์กรมการเมืองสาครบุรี และชาวบ้านไปช่วย เกิดการต่อสู้กันขึ้น พระยามหาเทพได้รับบาดเจ็บ อ้ายจีนเผียวตั้งใจจะหนีเข้าอังกฤษ รัชกาลที่ ๓ โปรดให้พระยาพระคลังคุมพวกตำรวจในพระยามหาเทพกับกองรามัญไปตั้งที่สาครบุรี และมีหนังสือถึงผู้รักษาเมืองสมุทรสงคราม ราชบุรี ให้ตีสกัดจีนเผียวลงมา ในที่สุดสามารถจับจีนเผียวตั้วเหี่ยได้ที่ราชบุรี</p> <p>ครั้งต่อมาในสมัยสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ได้โปรดเกล้าให้เปลี่ยนชื่อเมืองสาครบุรี เป็นเมือง สมุทรสาคร ดังปรากฏอยู่ในพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงษ์ว่า "……เมืองขึ้นกรมท่าเรือเมืองนนทบุรีศรีมหาสมุทร แปลงเป็นเมืองนนทบุรีศรีมหาอุทยาน เมืองสาครบุรีแปลงเป็นเมืองสมุทรสาคร เกาะกงให้ชื่อเมืองประจันตคีรีเขตต์รวม ๓ เมือง</p> <p>ในสมัยรัชกาลที่ ๕ พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งมณฑลนครไชยศรี มีเมืองปกครอง ๓ เมือง คือ นครชัยศรี สุพรรณบุรี สมุทรสาคร</p> <p>เมืองสมุทรสาคร เดิมมีอำเภอขึ้นอยู่ในความปกครอง รวม ๓ อำเภอ คือ อำเภอเมืองสาคร อำเภอบางโทรัด อำเภอกระทุมแบน ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๔๖ ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่ออำเภอบางโทรัด เป็นอำเภอ "บ้านบ่อ" ให้ตรงกับชื่อตำบลที่ตั้งอำเภอ เพราะอำเภอบางโทรัด ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลบ้านบ่อ</p> <p>พ.ศ. ๒๔๕๖ เปลี่ยนชื่อเมืองนครชัยศรี เป็น เมืองนครปฐม</p> <p>ในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการให้ทางราชการเปลี่ยนคำว่า "เมือง" เป็น "จังหวัด" ทั่วทุกแห่งในพระราชอาณาจักร เมืองสมุทรสาครจึงเปลี่ยนเป็น "จังหวัดสมุทรสาคร" มาจนทุกวันนี้</p> <p>ต่อมาได้มีแจ้งของกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ ว่า ได้ทรงทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทว่า อำเภอบ้านบ่อ จังหวัดสมุทรสาคร มณฑลนครชัยศรี ซึ่งตั้งที่ว่าการอำเภอบ้านบ่อ แต่เดิมเป็นตำบลลับ เวลานี้การไปมาค้าขายของราษฎร ได้ไปประชุมกันอยู่ทางคลองดำเนินสะดวก ตำบลบ้านแพ้ว จึงเป็นตำบลที่สำคัญอย่างยิ่ง และทั้งตำบลบ้านบ่อกับตำบลที่ใกล้เคียง ราษฎรจะไปมาติดต่อกับอำเภอเมืองสมุทรสาคร สะดวก เพราะมีรถไฟไปมาได้ในวันเดียว อีกประการหนึ่งท้องถิ่นที่อำเภอสามพรานมาขึ้นได้อีกหลายตำบล สะดวกแก่การปกครองขึ้นอีก</p> <p>จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมท้องที่ตำบลต่างๆ คือ แยกเอาตำบลดอนไผ่ ๑ ตำบลบ้านแพ้ว ๑ ตำบลเจ็ดริ้ว ๑ ตำบลคลองตัน ๑ จากอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐมรวม ๔ แห่ง แบ่งออกตำบลอำแพงของอำเภอเมืองสมุทรสาคร ๑ ตำบล รวมกับตำบลโรงเข้และตำบลหลักสาม ของอำเภอบ้านบ่อ รวม ๗ ตำบลด้วยกัน เป็นอำเภอหนึ่ง ตั้งที่ว่าการที่ตำบลบ้านแพ้ว เรียกว่าอำเภอบ้านแพ้วขึ้นจังหวัดสมุทรสาคร</p> <p>ส่วนอำเภอบ้านบ่อเก่า ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านบ่อนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมกับตำบลบางกระเจ้า ๑ ตำบลบางโทรัด ๑ ตำบลกาหลง ๑ ตำบลนาโคก ๑ เข้ากับตำบลบ้านบ่อเป็น ๕ ตำบลด้วยกัน ตั้งขึ้นเป็นกิ่งอำเภอเรียกว่า "กิ่งอำเภอบ้านบ่อ" ขึ้นกับอำเภอเมืองสมุทรสาคร ตั้งแต่วันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ เป็นต้นไป จังหวัดสมุทรสาคร มีอำเภอและกิ่งอำเภอขึ้นอยู่ในปกครอง ๓ อำเภอ กับ ๑ กิ่งอำเภอ คือ อำเภอเมืองสมุทรสาคร อำเภอกระทุ่มแบน อำเภอบ้านแพ้ว และกิ่งอำเภอบ้านบ่อ ขึ้นกับอำเภอเมือง</p> <p>เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ สมุหเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลนครชัยศรีได้ไปตรวจราชการที่กิ่งอำเภอบ้านบ่อ เห็นการงานแผนกมหาดไทย แผนกอัยการ มีน้อย ส่วนแผนกสรรพากรมีมาก เห็นว่าควรรวมการงานแผนกมหาดไทยและแผนกอัยการกับอำเภอเมืองสมุทรสาคร มณฑลนครชัยศรีจึงได้คำสั่งที่ ๑๗๓/๘๙๕ ลงวันที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ให้สั่งปลัดกิ่งอำเภอบ้านบ่อ และเสมียนพนักงานขนสรรพราชการทั้งปวงในแผนกมหาดไทย และแผนกอัยการมารวมทำการอยู่ที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร ส่วนกิ่งอำเภอนั้น ให้มีเจ้าพนักงานสรรพากร ๒ คน ตรวจเก็บภาษีอากรด่านและประจำที่ไปตามเดิม ตั้งแต่วันที่ได้รับคำสั่งนี้เป็นต้นไป</p> <p>ต่อมาสมุหเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลนครชัยศรี ได้มีคำสั่งที่ ๑๕๗๘/๑๙๒๓๙ ลงวันที่ ๒๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๗๐ ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครว่า เนื่องจากทางราชการได้แบ่งตำบลในท้องที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม กับตำบลในท้องที่อำเภอกระทุ่มแบน อำเภอเมืองสมุทรสาคร กิ่งอำเภอบ้านบ่อ จังหวัดสมุทสาครไปตั้งเป็นอำเภอบ้านแพ้วขึ้นในจังหวัดสมุทรสาครเสียแล้วนั้น กิ่งอำเภอบ้านบ่อคงเหลือเพียง ๕ ตำบล ต่อมาราชการสำหรับกิ่งอำเภอบ้านบ่อน้อยลง ตลอดทั้งการไปมาระหว่างอำเภอเมืองสมุทรสาครกับกิ่งอำเภอบ้านบ่อสะดวกขึ้น มณฑลเห็นว่าไม่จำเป็นต้องมีกิ่งอำเภอบ้านบ่ออีกต่อไป จึงได้ขออนุญาตยุบกิ่งอำเภอบ้านบ่อกับยกราชการและย้ายปลัดกิ่งอำเภอและเสมียนพนักงานไปรวมทำที่อำเภอเมืองสมุทรสาครเข้าไปยังกระทรวงมหาดไทย และได้รับท้องตราพระราชสีห์น้อย ที่ ๔๐๐/๑๔๔๐๗ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๗๐ อนุญาตให้ยุบกิ่งอำเภอนั้นแล้วและให้จัดการแก้ทำเนียบท้องที่เสียให้ถูกต้อง</p> <p>ตั้งแต่วันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ เป็นต้นไป จังหวัดสมุทรสาครมีอำเภอขึ้นอยู่ในความปกครองรวม ๓ อำเภอ คือ อำเภอเมืองสมุทรสาคร อำเภอกระทุ่มแบน และอำเภอบ้านแพ้วส่วนกิ่งอำเภอบ้านบ่อยุบไปขึ้นกับอำเภอเมืองสมุทรสาคร </p> <p>ครั้นเมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๖ ทางราชการได้ยุบจังหวัดสมุทรสาครไปรวมกับจังหวัดธนบุรี อำเภอเมืองสมุทรสาคร อำเภอกระทุ่มแบน และอำเภอบ้านแพ้ว จึงต้องไปขึ้นอยู่ในความปกครองของจังหวัดธนบุรี และอำเภอเมืองสมุทรสาครจึงต้องเปลี่ยนชื่อ เป็น "อำเภอสมุทรสาคร"</p> <p>ต่อมาเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ ทางราชการได้แยกการปกครองท้องที่ของจังหวัดสมุทรสาครเดิมออกจากจังหวัดธนบุรี และยกฐานะเป็นจังหวัดขึ้นใหม่เรียกว่า จังหวัดสมุทรสาคร อำเภอเมืองสมุทรสาคร อำเภอกระทุ่มแบน และอำเภอบ้านแพ้ว จึงได้มาขึ้นอยู่ในความปกครองของจังหวัดสมุทรสาคร และอำเภอสมุทรสาครก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอเมืองสมุทรสาครตามเดิม</p> <p>ในวันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลรัชกาลที่ ๘ เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์มาเพื่อเยี่ยมทุกข์สุขของราษฎรนับเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ชาวจังหวัดสมุทรสาครปลาบปลื้มปิติเป็นอันมาก</p> <p>ประชาชนนิยมเรียก จังหวัดสมุทรสาครว่า "มหาชัย" ตามชื่อคลองมหาชัย ซึ่งเป็นคลองที่ขุดในสมัยสมเด็จพระสรรเพชญที่ ๘ (พระเจ้าเสือ) แห่งกรุงศรีอยุธยา เพื่อตัดความคดเคี้ยวของคลองโคกขาม แต่เดิมเริ่มต้นจากคลองด่าน วัดหัวหมู เขตเมืองธนบุรี จนถึงคลองโคกขาม เรียกว่า "คลองพระพุทธเจ้าหลวง" แต่ยังไม่ทันเสร็จก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน</p> <p>"สมเด็จพระสรรเพชญที่ ๙ (ขุนหลวงท้ายสระ) เสด็จพระราชดำเนินทรงเบ็ดที่ปากน้ำท่าจีน เมื่อถึงคลองมหาชัย เห็นคลองนั้นขุดไม่แล้วค้างอยู่ ครั้นทรงเบ็ดแล้วกลับคืนมาถึงพระนครจึงทรงพระกรุณาตรัสสั่งให้พระราชสงครามเป็นนายกองให้กะเกณฑ์คนหัวเมืองปักษ์ใต้ ๘ หัวเมือง …….ไปขุดคลองมหาชัย จึงให้ฝรั่งส่องกล้องดูให้ตรงปากคลอง ปักกรุยลงเป็นสำคัญทางไกล ๓๔๐ เส้น ได้ขุดคลองลึก ๖ ศอก กว้าง ๗ ศอก ขุด ๒ เดือนจึงแล้วเสร็จ ….คลองนั้นได้ชื่อว่า "คลองมหาชัย" ตราบเท่าทุกวันนี้" ต่อมาตัวเมืองเจริญเติบโตขึ้น ณ ริมฝั่งซ้ายของคลองมหาชัย ชื่อมหาชัยจึงกลายเป็นชื่อที่คนทั่วไปเรียกอีกชื่อหนึ่ง</p> <p><b>การจัดตั้งการสุขาภิบาลท่าฉลอม</b><b></b></p> <p>เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำเนินการปฏิรูประเบียบวิธีบริหารราชการแผ่นดิน พระองค์ได้ทรงมีพระราชประสงค์อันแรงกล้าที่จะจัดให้มีข้อบัญญัติเกี่ยวกับพระบรมราชานุภาพของพระมหากษัตริย์ของประเทศเช่นที่อารยประเทศได้ถือปฏิบัติและทรงมีพระราชดำริที่จะให้ประชาชนพลเมืองได้เข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองประเทศเพื่อช่วยกันทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญลุล่วงตามทัศนคติใหม่ของระบอบการปกครองในประเทศตะวันตก ในระยะแรกพระองค์ได้ทรงโปรดเกล้าฯ อนุญาตให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการเปลี่ยนแปลง ให้ผู้ดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน และกำนันเป็นผู้ได้รับเลือกมาจากประชาชนในท้องถิ่น แทนที่ทางรัฐบาลจะเป็นผู้แต่งตั้งดังเช่นในสมัยก่อน</p> <p>ครั้นเมื่อกระทรวงมหาดไทยนำพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๖ ออกใช้ ใน พ.ร.บ. ฉบับนี้ก็ได้มีบทบัญญัติกล่าวถึงการนคราภิบาลไว้ด้วย ใน ร.ศ. ๑๑๘ (พ.ศ. ๒๔๔๒) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเริ่มให้มีการจัดการบำรุงท้องถิ่นแบบสุขาภิบาลขึ้นในกรุงเทพฯ สิ่งเหล่านี้นับว่ามีอิทธิพลสืบเนื่องจากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีโอกาสไปดูกิจการต่างๆ ในทวีปยุโรป อย่างไรก็ตามความเจริญของประเทศและลักษณะปกครองของไทยยังผิดกันกับประเทศต่างๆ เหล่านั้น ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ที่ว่า "…ประเทศอื่น ๆ ราษฎรเป็นผู้ขอให้ทำ เจ้าแผ่นดินจำใจทำในเมืองเรานี้เป็นแต่พระเจ้าแผ่นดินคิดเห็นว่าควรจะทำ เพราะจะเป็นการเจริญแก่บ้านเมืองและความเป็นสุขแก่ราษฎรทั่วไป จึงได้คิดทำ เป็นการผิดกันตรงกันข้าม…."</p> <p>สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในราชการและเป็น</p> <p>ผู้รักษาการตามกฎหมายสำหรับหัวเมืองในส่วนภูมิภาค ก็ได้ทรงดำริที่จะดำเนินการตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเรื่อยมา การสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ได้เริ่มงานมาหลายปีแต่การจัดตั้งการสุขาภิบาลหัวเมืองยังไม่สามารถจะทำได้ เพราะเสด็จในกรมทรงเห็นว่าประชาชนยังไม่พร้อมที่จะรับ พระองค์ทรงต้องการที่จะให้ประชาชนมีความเข้าใจและเห็นคุณประโยชน์ของการสุขาภิบาลนี้เสียก่อน การรอจังหวะที่ดีกินเวลาอีกหลายปี จนกระทั่งถึง ร.ศ. ๑๒๔ (พ.ศ. ๒๔๔๘) สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพจึงทรงเริ่มงานจัดตั้งสุขาภิบาลหัวเมืองขึ้นเป็นครั้งแรก โดยทรงเลือกเอาวิธีการสุขาภิบาลมาแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการปรับปรุงท้องถิ่นในตำบลท่าฉลอม ซึ่งขณะนั้นอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมเป็นที่สกปรกรกรุงรังจนไม่เป็นที่สบพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพจึงได้มีหนังสือตราพระราชสีห์น้อย ที่ ๒๐/๓๙๙๐ ลงวันที่ ๒ สิงหาคม ร.ศ. ๑๒๔ ถึงพระยาพิไชยสุนทร ผู้ว่าราชการเมืองสมุทรสาคร มีความตอนหนึ่งว่า "ด้วยเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๒๔ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกที่ประชุมเสนาบดี มีรับสั่งเล่าถึงที่ได้ไปประพาสเมืองนครเขื่อนขันธ์เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ไม่เป็นที่พอพระราชหฤทัยที่ได้ทอดพระเนตรเห็นถนน และตลาดเมืองนครเขื่อนขันธ์โสโครกมาก รับสั่งว่าสกปรกเหมือนตลาดท่าจีน ฉันนั่งอยู่ที่ประชุมรู้สึกละอายใจมาก ที่เมืองนครเขื่อนขันธ์จะสกปรกหรือสะอาดก็ไม่ใช่ธุระของเรา แต่ความสกปรกของตลาดท่าจีนซึ่งสกปรกจริงสำหรับเป็นที่ยกตัวอย่างเปรียบเทียบที่อื่นที่ไม่พอพระราชหฤทัยเช่นนี้ ก็เสมอกริ้วตลาดท่าจีนด้วยเหมือนกัน การเป็นเช่นนี้จึงรู้สึกร้อนใจมาก เห็นว่า ถ้าไม่คิดอ่านปัดกวาดจัดถนนในตลาดท่าจีนให้หายโสโครกแล้วจะเสียชื่อตั้งแต่ฉันตลอดจนผู้ว่าราชการเมืองและกำนันผู้ใหญ่บ้านในตลาดท่าจีน ซึ่งเป็นคนดี ๆที่ฉันรู้จักอยู่แทบทุกคน ถ้าตลาดท่าจีนยังสกปรกอยู่อย่างนี้ แม้ปีนี้เสด็จอีกก็เห็นจะไม่เสด็จตลาดและจะให้กำนันผู้ใหญ่บ้านในที่นั้นเฝ้าก็เห็นไม่ได้ ฉันมีความร้อนใจอย่างนี้ จึงได้มีตราฉบับนี้มายังพระยาพิไชยสุนทร เมื่อได้รับตราฉบับนี้แล้วขอให้เรียกกำนันผู้ใหญ่บ้านที่ตลาดท่าจีนมาประชุมอ่านตราฉบับนี้ให้ฟังและปรึกษากันดูว่าจะควรทำอย่างไร อย่าให้พระเจ้าอยู่หัวทรงติเตียนได้"</p> <p>เมื่อได้รับหนังสือตราพระราชสีห์น้อยฉบับนี้ ปรากฎว่าพระยาพิไชยสุนทรได้เรียกประชุมกำนันผู้ใหญ่บ้านตำบลท่าฉลอมทั้งหมด เพื่อให้ทราบข้อบกพร่องและช่วยกันคิดอ่านแก้ไขในการที่ถูกติเตียนเช่นนี้ ในที่สุดผู้ว่าราชการเมืองสมุทรสาครทั้งกำนันผู้ใหญ่บ้านได้ชักชวนให้ประชาชนและพ่อค้าในตำบลท่าฉลอมร่วมมือช่วยกันสละเงินได้แก่การเรี่ยไร เพื่อนำมาปรับปรุงตลาดท่าจีนให้สะอาด ได้เงินเป็นจำนวนทั้งสิ้น ๕,๔๗๒ บาท โดยได้นำเงินจำนวนที่ได้มาทำเป็นถนนปูอิฐขนาดกว้าง ๒ วา ได้ยาวถึง ๑๑ เส้น ๑๔ วา อีกทั้งจ้างคนปัดกวาดเทขยะมูลฝอยทิ้งจนตลาดท่าจีนสะอาดสมความปรารถนา</p> <p>สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงมีความยินดีเป็นอันมาก พระองค์ทรงรายงานทูลเกล้าถวายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ให้ทรงทราบถึงความร่วมมือร่วมใจของประชาชนชาวท้องถิ่นในตลาดท่าฉลอมในการสละเงินทองปรับปรุงบ้านเมืองให้เจริญขึ้นและในขณะเดียวกันเสด็จในกรมก็ได้ทรงเห็นเป็นโอกาสอันงามที่จะเริ่มงานสุขาภิบาลหัวเมืองขึ้นที่ตำบลท่าฉลอมเป็นแห่งแรกเสียเลย เพราะสิ่งที่ดำเนินการไปนั้น ยังต้องมีการบำรุงและเสริมสร้างกันต่อไปอีก จึงทรงเสนอต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมกันนั้นก็ขอพระบรมราชานุญาตแก้ไข "ภาษีโรงร้าน" เพื่อจัดสมทบเป็นรายได้แก่สุขาภิบาลที่ตั้งขึ้น หน้าที่โดยย่อ ๓ ประการของสุขาภิบาลที่เสด็จในกรมทรงเสนอไว้แต่แรก คือ</p> <p>(๑) ซ่อมแซมรักษาถนนหนทาง</p> <p>(๒) จุดโคมไฟให้มีแสงสว่างในเวลาค่ำคืนเป็นระยะตลอดถนนในตำบลนั้น และ</p> <p>(๓) ให้จ้างลูกจ้างสำหรับกวาดขนขยะมูลฝอยของโสโครกต่าง ๆ ในตำบลนั้นไปทิ้งเสียที่อื่น</p> <p>กระทรวงมหาดไทยได้ส่งพระยาจ่าแสนยบดี เจ้ากรมมหาดไทยฝ่ายพลำภังไปประชุมปรึกษาหารือกับผู้ว่าราชการเมืองสมุทรสาคร กำนันผู้ใหญ่บ้าน พ่อค้าและราษฎรในบ้านตลาดท่าฉลอมในการจัดตั้งสุขาภิบาลท่าฉลอมและปรึกษาขอความคิดเห็นในการปรับปรุงภาษีโรงร้าน และการใช้จ่ายเงินเพื่อการสุขาภิบาล ปรากฏว่าได้รับความร่วมมือจากประชาชนในท้องที่ในครั้งนั้นเป็นอย่างดี</p> <p>เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ของพระราชประสงค์แห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว </p> <p>รัชกาลที่ ๕ ในด้านการสุขาภิบาล พระองค์จึงเสด็จไปทอดพระเนตรและไปเป็นเกียรติอันปวงชนควรจะได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในการเปิดถนนที่ราษฎรตำบลท่าฉลอมออกเงินสร้างสำเร็จซึ่งมีชื่อว่า "ถนนถวาย" <i>เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ร.ศ. ๑๒๔</i> นับว่าเป็นการเริ่มงานสุขาภิบาลหัวเมืองขึ้นเป็นแห่งแรกด้วย</p> <p>คณะกรรมการสุขาภิบาลท่าฉลอมชุดแรกที่ได้ตั้งขึ้นประกอบด้วยสมาชิกดังนี้ คือ</p> <p>(๑) หลวงพัฒนการภักดี กำนันตำบลท่าฉลอม</p> <p>(๒) ขุนพิจารณ์นรกิจ (๓) ขุนพินิจนรภาร</p> <p>(๔) จีนพัก (๕) จีนศุข</p> <p>(๖) จีนเน่า (๗) จีนอู๊ด</p> <p>(๘) จีนโป๊ ผู้ใหญ่บ้าน </p> <p>การบริหารงานสุขาภิบาลท่าฉลอมในระยะต่อมาเป็นไปอย่างเรียบร้อยดี เพราะปรากฎว่าการเก็บภาษีโรงร้านในตลาดท่าฉลอมได้เก็บตลอดทุกบ้านเรือนทั้งที่ทำการค้าขายหรือมิได้ค้าขาย และไม่ว่าในบังคับใดๆ ย่อมเสียให้โดยไม่เกี่ยงงอน การจ่ายเงินของคณะกรรมการสุขาภิบาลก็จ่ายโดยเขม็ดแขม่ ด้วยความรู้สึกเสียดายเงินและมีบัญชีโฆษณาให้คนทั้งหลายทราบเสมอทุกเดือนว่าเก็บเงินได้เท่าใดจ่ายใช้ไปเท่าใด คงเหลือเป็นเงินเท่าใด เป็นต้น สมพระเจตจำนงอันรอบคอบของสมเด็จเสนาบดีทุกประการ</p> <p>เสด็จในกรมทรงอธิบายถึงการจัดตั้งการสุขาภิบาลท่าฉลอมเป็นตัวอย่างแก่ที่ประชุมว่าเป็นวิธีที่จัดให้กำนันผู้ใหญ่บ้านตำบลนั้นเป็นผู้ใช้จ่ายเงินเอง ผู้ว่าราชการเมืองมีหน้าที่แต่เพียงแนะนำตรวจตราให้การเป็นไปตามพระราชประสงค์เท่านั้น พระองค์ได้ทรงแนะนำให้ข้าหลวงเทศาภิบาลไปจัดหาสถานที่เพื่อจัดตั้งการสุขาภิบาลขึ้นเป็นการทดลองในท้องที่ ๆ มีความจำเป็นและสมควรที่จะจัดก่อน แต่การจัดตั้งการสุขาภิบาลนี้เสด็จในกรมทรงดำริให้ "เกิดจากความนิยมของราษฎรก่อน คือให้ราษฎรนำน่า และรัฐบาลตามหลัง" ทั้งนี้ เพื่อให้การสำเร็จไปด้วยความชมชอบของประชากร <table cellspacing="0" cellpadding="0"><tbody> <tr> <td width="4"></td> </tr> <tr> <td></td> <td><a href="http://lh3.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkc6MGZcZI/AAAAAAAAAS0/5eQ6J9K3r74/s1600-h/clip_image0013.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image001" border="0" alt="clip_image001" src="http://lh6.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkc916lk_I/AAAAAAAAAS4/ovSqYRQCz44/clip_image001_thumb.gif?imgmax=800" width="232" height="2" /></a></td> </tr> </tbody></table> </p> <p>ที่มา : <b>ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดสมุทรสาคร</b>.กรุงเทพฯ : อมรินทร์การพิมพ์, </p> <p>๒๕๒๖.</p> ไม้ไผ่http://www.blogger.com/profile/13079736154779537493noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3975884513971132653.post-52220963289707960462010-08-16T04:11:00.001-07:002010-08-16T04:11:02.786-07:00สมุทรปราการ<p>ประวัติศาสตร์จังหวัดสมุทรปราการ</p> <p>สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา</p> <p>ในสมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา เมืองสมุทรปราการ ยังไม่ปรากฏในประวัติศาสตร์จะมีแต่เมืองพระประแดง ซึ่งเป็นเมืองหนึ่งที่ขอมสร้างขึ้น เป็นเมืองหน้าด่านทางทิศใต้ของขอมซึ่งตั้งอยู่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาและเป็นที่คาดคะเนว่าเมืองพระประแดงก็ยังคงเป็นเมืองหน้าด่านทางทิศใต้มาจนตลอดสมัยสุโขทัย</p> <p>สมัยกรุงศรีอยุธยา</p> <p>เมื่ออำนาจของกรุงสุโขทัยอ่อนลง พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ได้</p> <p>ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นราชธานี และได้เลือกเอาระบบการปกครองของขอมและสุโขทัยมาปรับปรุงเสียใหม่ และประกาศใช้เป็นระบบการปกครองของราชอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา ซึ่งวิธีการจัดระบบการปกครองหัวเมืองแบ่งเป็น ๓ ชั้น คือ</p> <p>- หัวเมืองชั้นใน มีเมืองป้อมปราการ เป็นด่านชั้นในกับหัวเมืองชั้นในที่อยู่รอบๆ เมืองป้อมปราการเหล่านั้น</p> <p>- เมืองพระยามหานคร คือ หัวเมืองไกลๆ ที่มอบอำนาจให้เจ้าเมืองปกครองชาวเมืองอย่างเจ้าชีวิต แต่ต้องส่งส่วยให้แก่เมืองหลวง</p> <p>- เมืองประเทศราช อันได้แก่ เมืองขึ้นต่างๆ</p> <p>ในสมัยนี้เมืองป้อมปราการด่านชั้นในมี ๔ หัวเมือง คือ</p> <p>ทิศเหนือ เมืองลพบุรี</p> <p>ทิศใต้ เมืองพระประแดง</p> <p>ทิศตะวันออก นครนายก</p> <p>ทิศตะวันตก สุพรรณบุรี</p> <p>ต่อมาแผ่นดินที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาได้งอกลงมา ในท้องทะเลทางทิศใต้ ราวๆ ใต้คลองบางปลากดทางฝั่งขวา และแถบตำบลบางด้วน บางนางเกรง ทางฝั่งซ้าย ในปัจจุบันนี้ ฉะนั้นเมืองพระ-ประแดงจึงมิใช่เมืองที่ตั้งอยู่ปากแม่น้ำเช่นเดิม ด้วยแผ่นดินงอกใหม่เกิดขึ้นออกมามากในแผ่นดินพระเจ้าทรงธรรมพระองค์ทรงโปรดให้สร้างเมืองสมุทรปราการขึ้นให้เป็นหัวเมืองหน้าด่านทางใต้ ณ บริเวณฝั่งใต้ของคลองบางปลากด ฝั่งขวาของแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนเมืองพระประแดงก็หมดความสำคัญลง และถูกยุบในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช</p> <p>เมืองสมุทรปราการนี้มีชื่อปรากฏในพระราชกฤษฎีกา ซึ่งตราขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๑๗๘ เวลานั้นตัวเมืองจะตั้งอยู่ที่ไหนยังไม่พบหลักฐาน แต่ได้ความตามจดหมายเหตุฝรั่งว่า ที่ปากคลองบางปลากดฝั่งขวาแม่น้ำเจ้าพระยา มีพ่อค้าชาวฮอลันดามาตั้งห้างพักสินค้าที่นั่น เรียกว่า "นิวอัมสเตอร์ดัม" และที่ตรงนี้คราวพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแต่งสมณฑูตไปลังกา กล่าวว่าออกเรือจากเมืองธนบุรีไปถึงตึกฮอลันดา ณ บางปลากด แสดงว่า ตำบลบางปลากดมีคนอยู่มาก อาจเป็นตัวเมืองสมุทรปราการครั้งนั้นก็ได้ และมีเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเมืองสมุทรปราการ ดังนี้ <a href="#_ftn1_9950" name="_ftnref1_9950">(</a>๑)</p> <p>ในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช พ.ศ. ๒๑๒๑ พระยาจีนจันตุ ขุนนางเขมรยกทัพไปตีเมืองเพชรบุรีไม่ได้เกิดเกรงความคิด จึงหนีมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารแต่ต่อมา เมื่อพระยาจีนจันตุทราบว่า พระยาละแวกไม่เอาโทษ จึงหนีกลับโดยลอบพาครอบครัวลงสำเภาที่ล่องลงไปขณะนั้นสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสด็จมาแต่เมืองพิษณุโลก ประทับอยู่ ณ วังใหม่ พระองค์จึงทรงประทับเรือพระ ที่นั่งออกติดตามสำเภาพระยาจีนจันตุไปในคืนวันเดียวกันนั้น ทันกันที่ปากน้ำรับสั่งให้เรือตามเสด็จเข้าล้อมสำเภาไว้ เกิดรบพุ่งกัน พระยาจีนจันตุได้ยิงปืนลงมาต้องพระแสงปืนต้นที่ทรงนั้นแตกออกพระยาจีนจันตุถือโอกาสนั้นโล้สำเภาหลบหนีไปได้ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจะเสด็จไล่ตามก็ไม่ทันจึงยกทัพเรือกลับ</p> <p>ใน พ.ศ. ๒๑๖๓ แผ่นดินสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม มีเรือกำปั่นโปรตุเกส เข้ามาด้วยพบเรือฮอลันดา ที่บริเวณปากน้ำ ก็จับเรือฮอลันดาเอาไว้ สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมทรงทราบโปรดให้ทหารลงไปบังคับโปรตุเกสให้คืนเรือแก่ฮอลันดา เหตุนี้จึงทำให้โปรตุเกสเคืยงไทย เลิกห้างค้าขายในกรุงศรีอยุธยาแล้วให้กองทัพเรือมาปิดอ่าวเมืองมะริด</p> <p>ใน พ.ศ. ๒๑๗๓ พวกญี่ปุ่นที่เข้ามาในกรุงศรีอยุธยา เกิดขัดใจขึ้นกับไทย ถึงกับต่อญี่ปุ่นจึงลงเรือสำเภาหนีไป กองทัพเรือไทยตามทันที่ปากน้ำ ได้เกิดการต่อสู้กันที่บริเวณปากน้ำปรากฏว่าญี่ปุ่นพากันหนีไปได้ </p> <p>ใน พ.ศ. ๒๒๐๗ พวกฮอลันดา ที่มาค้าขายอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา เคืยงว่าทางราชการไทยทำการค้าขายผูกขาด แต่ผู้เดียวเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เสียประโยชน์ของพวกฮอลันดาจึงเลิกการค้าขายกับไทยและกลับไปเสียจากกรุงศรีอยุธยาแล้วเอาเรือรบมาปิดปากน้ำ</p> <p>พ.ศ. ๒๒๓๑ ในรัชกาลสมเด็จพระเพทราชา ไทยต่อสู้กับทหารฝรั่งเศสที่เข้ามารักษาป้อมวิชัยประสิทธิ์ครั้งรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ในการต่อสู่กันนี้ไทยตั้งค่ายรายปืนที่บริเวณปากน้ำ และจับเรือฝรั่งเศสคุมมาได้ ๒ ลำ ครั้นเมื่อตกลงกันว่าต่างจะปล่อยกลับไปบ้านเมืองของตนเอง แต่ให้มีตัวประกันไปด้วย จนถึงปากน้ำจึงจะแลกเปลี่ยนตัวประกันกับฝ่ายไทย แต่พวกตัวประกันที่ไทยยึดไว้ได้หนีลงเรือฝรั่งเศสไปโดยไม่คืนตัวประกันฝ่ายไทยให้ตามที่ตกลงกัน ไทยจึงต้องจับพวกบาทหลวงที่เหลืออยู่ในกรุงศรีอยุธยาขังต่อไป</p> <p>สมัยกรุงธนบุรี</p> <p>เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าใน พ.ศ. ๒๓๑๐ เมืองสมุทรปราการได้ถูกกองทัพพม่ากวาดต้อนผู้คนปล้นสดมภ์ยับเยิน วัดและบ้านเมืองกลายเป็นเมืองร้างอยู่พักหนึ่ง ต่อมาเมื่อสมเด็จพระเจ้า-ตากสินมหาราชทรงกู้บ้านเมืองเอาไว้ได้ และสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีเมื่อบ้านเมืองสงบเรียบร้อย ผู้คนในเมืองสมุทรปราการที่อพยพหนีภัยสงคราม จึงได้กลับมาตั้งถิ่นฐานเดิม</p> <p>ในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินนี้ พระองค์ทรงรื้อกำแพงเมืองพระประแดงเดิมที่ตั้งอยู่เขตราษฎร์บูรณะในปัจจุบัน ไปก่อกำแพงพระราชวังธนบุรีและที่อื่นๆ อย่างรีบเร่ง เนื่องจากไม่มีเวลาเผาอิฐอีกทั้งกำแพงดังกล่าวก็อยู่ใกล้ สะดวกแก่การลำเลียง ดังนั้น เมืองพระประแดงเดิมจึงสิ้นซากนับแต่นั้นมา</p> <p>สมัยกรุงรัตนโกสินทร์</p> <p>ในสมัยรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะสร้าง เมืองพระประแดงขึ้นเป็นเมืองหน้าด่าน สำหรับป้องกันศัตรูซึ่งมาทางทะเลแต่พระองค์ทรงสร้างเพียงป้อมขึ้นไว้ทางฝั่งตะวันออก ๑ ป้อม เรียกว่า ป้อมวิทยาคม</p> <p>ใน พ.ศ. ๒๓๕๗ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ เป็นแม่กองสร้างปราการเมืองพระประแดงขึ้น ต่อจากที่รัชกาลที่ ๑ ทรงสร้างไว้ทางฝั่งตะวันออกและสร้างป้อมเพิ่มเติมทางฝั่งตะวันตก (ฝั่งขวาของแม่น้ำเจ้าพระยา) ๕ ป้อม คือ</p> <p>๑. ป้อมแผลงไฟฟ้า</p> <p>๒. ป้อมมหาสังหาร</p> <p>๓. ป้อมศัตรูพินาศ</p> <p>๔. ป้อมจักร์กรด</p> <p>๕. ป้อมพระจันทร์ พระอาทิตย์</p> <p>ป้อมทางฝั่งตะวันออก (ฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา) </p> <p>มี ๔ ป้อม คือ</p> <p>๑. ป้อมปู่เจ้าสมิงพราย</p> <p>๒. ป้อมปีศาจสิง</p> <p>๓. ป้อมราหูจร</p> <p>๔. ป้อมวิทยาคม</p> <p>ป้อมเหล่านี้ชักปีกกาถึงกัน ทางหลังเมืองกำแพงล้อมรอบ มียุ้งฉาง ตึกดินและศาลาไว้เครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์</p> <p>พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงขนานนามเมืองพระประแดงนี้ว่าเมืองนครเขื่อนขันธ์ การสร้างเมืองเสร็จเรียบร้อยเมื่อวันศุกร์ เดือน ๗ แรม ๑๑ ค่ำ พ.ศ. ๒๓๕๘ แล้วทรงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายครัวมอญ เมืองปทุมธานี พวกเจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) ซึ่งหนีภัยพม่าเข้ามาพึ่งพระ-บรมโพธิสมภาร ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นชายฉกรรจ์ ๓๐๐ คน ให้มาตั้งภูมิลำเนาอยู่ ณ เมืองนี้ และทรงแต่งตั้งสมิงทอมา บุตรเจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) ซึ่งเป็นพระยาราม น้องเจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรีย) เป็นพระยานครเขื่อนขันธ์รามัญราชชาติเสนาบดีศรีสิทธิสงคราม เป็นผู้รักษาเมือง</p> <p>เมื่อสมัยรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช องเชียงสือเจ้า</p> <p>ราชวงศ์ของญวนหนีภัยการเมืองเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร เมื่อองเชียงสือได้กลับไปเป็นใหญ่ในญวนสัมพันธภาพระหว่างไทยกับญวนจึงเป็นไปอย่างแน่นแฟ้นดุจพี่น้อง ต่อมาในรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สัมพันธไมตรีที่มีอยู่ด้วยกันเสื่อมคลายลง เกิดกินแหนงแคลงใจกันสาเหตุจากญวนคิดเป็นเจ้าใหญ่นายโตปกครองประเทศเขมร</p> <p>องต๋ากุน เจ้าเมืองญวน ได้เกณฑ์ไพร่พลญวน - เขมร ผลัดละ ๑๐,๐๐๐ คน ขุดคลองใหญ่จากทะเลสาบเขมร มาออกเมืองบันทายมาศ ใกล้ชายแดนไทยอันจะเป็นเหตุให้ไทยเราได้รับความกระทบกระเทือน เพราะถ้าญวนขุดคลองนี้สำเร็จญวนอาจยกกองทัพเรือมารุกรานไทยเข้าตีหัวเมืองไทยได้ง่ายเข้า เนื่องจากไม่ต้องอ้อมแหลมใหญ่ผ่านทะเล และเมืองบันทายมาศอยู่ใกล้ชายแดนไทยอีกทั้งยังเคยเป็นของไทยมาเก่าก่อน แต่เนื่องจากญวนได้แต่งทูตเข้ามาบังคมพระบรมศพรัชกาลที่ ๑ เลยถือโอกาสถวายสาส์นรัชกาลที่ ๒ ขอเมืองบันทายมาศ โดยที่ไทยเห็นแก่ไมตรีที่มีมาดั้งเดิม พระองค์มิได้เฉลียวพระทัยว่าญวนจะคิดหักหลัง จึงยอมยกเมืองบันทายมาศให้ญวนไป</p> <p>ฉะนั้น พระองค์จึงแน่พระทัยว่าการขุดคลองของญวนในครั้งนี้นั้น เป็นแผนการของญวนที่คิดจะรุกรานไทย พระองค์จึงทรงพระราชดำริว่า เมืองสมุทรปราการเดิมที่สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมทรงสร้างไว้ทรุดโทรมลงมากแล้ว ประกอบทั้งอยู่ห่างไกลจากปากแม่น้ำเจ้าพระยา และทรงเห็นความจำเป็นที่จะต้องป้องกันพระนครทางน้ำให้แข็งแกร่งกว่าที่เป็นอยู่ เห็นควรให้สถาปนาเมืองสมุทรปราการขึ้นใหม่ และเลื่อนออกไปให้ใกล้ปากแม่น้ำ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่น-เจษฎาบดินทร์ (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓) เป็นแม่กองร่วมด้วย เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) จัดการสร้างเมืองสมุทรปราการขึ้นใหม่ ใน พ.ศ. ๒๓๖๒ เป็นการด่วน โดยทรงกำหนดเขตให้ตรงบริเวณพื้นที่ที่ชาวบ้าน เรียกว่า "บางเจ้าพระยา" (เป็นเทศบาลเมืองสมุทรปราการ กับตำบลบางเมืองในปัจจุบัน) อยู่ระหว่างปากคลองปากน้ำคลองมหาวงศ์ มีป้อมปราการเป็นเมืองหน้าศึก ๖ ป้อมปราการ คือ <a href="#_ftn2_9950" name="_ftnref2_9950">(</a>๒)</p> <p>- ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา (ตะวันออก)</p> <p>๑. ป้อมประโคนชัย อยู่ที่ปากคลองปากน้ำ</p> <p>๒. ป้อมนารายณ์ปราบศึก อยู่ในตำบลบางเมือง</p> <p>๓. ป้อมปราการ อยู่ในตำบลบางเมือง</p> <p>๔. ป้อมกายสิทธิ์ ในตำบลบางเมือง</p> <p>- ทางฝั่งขวาของแม่เจ้าพระยา (ตะวันตก) มีป้อมนาคราช</p> <p>- ส่วนกลางแม่น้ำมีเกาะใหม่เกิดขึ้น จึงสร้างป้อมขึ้นบนเกาะนั้น เรียกว่า "ป้อมผีเสื้อสมุทร" และในครั้งนั้นโปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองปากลัด ในเมืองนครเขื่อนขันธ์ขึ้นมาด้วย</p> <p>ในการสร้างเมืองสมุทรปราการใหม่นี้ ได้สร้างเสร็จเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๔ พ.ศ. ๒๓๖๕ ครั้นในวันพุธ เวลา ๐๔.๒๔ น. ได้ฤกษ์เอาแผ่นยันต์ทอง เงิน ทองแดง ดีบุก และศิลา ลงสู่ภูมิบาทแล้วยกเสาหลักเมือง พอวันเสาร์ ๐๕.๒๔ น. ทำพิธีฝังอาถรรพ์แผนยันต์องครักษ์อีกครั้งหนึ่ง เสาหลักเมืองที่ทำพิธียกขึ้นครั้งนั้น เป็นที่ตั้งของ "ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง" ในปัจจุบัน</p> <p>ใน ปี พ.ศ. ๒๓๖๕ ก่อนหน้าที่จะทำพิธีฝังหลักเมืองไม่นาน อุปราชเมืองนครพนมได้พาสมัครพรรคพวกและบริวารเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารประมาณ ๒,๐๐๐ คน รัชกาลที่ ๒ โปรดให้ตั้งภูมิลำเนาอยู่แถบคลองมหาวงษ์ในเมืองสมุทรปราการ กับให้ท้าวอินทพิศาล บุตรชายคนโตของอุปราชเมืองนครพนมเป็นพระยาปลัดเมืองสมุทรปราการ</p> <p>ในระหว่างที่สร้างเมืองสมุทรปราการใหม่อยู่นี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้เสด็จทอดพระเนตรงานก่อสร้างอยู่เสมอ ครั้นวันพฤหัสบดี เดือน ๑๒ ขึ้น ๑๑ ค่ำ พ.ศ. ๒๓๖๖ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เสด็จพระราชทานผ้าพระกฐิน ณ วัดพิชัยสงคราม (วัดนอก) เมืองสมุทรปราการทรงทอดพระเนตรเห็นเกาะหาดทรายข้างป้อมผีเสื้อสมุทร จึงทรงพระราชดำริจะสร้างมหาเจดีย์เพื่อคู่กับชาวเมืองสมุทรปราการที่พระองค์ทรงสถาปนาขึ้นไว้ ดังนั้นจึงโปรดให้สร้าง" พระสมุทรเจดีย์" ขึ้นบนเกาะกลางน้ำตรงท้ายป้อมผีเสี้อสมุทรแต่การสร้างได้เริ่มในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ และเสร็จสิ้นในรัชสมัยของพระองค์</p> <p><a href="#_ftn3_9950" name="_ftnref3_9950">(</a>๓) ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปราบกบฏเวียงจันทน์เสร็จแล้วจะทำสงครามกับญวน พระองค์จึงโปรดให้สร้างป้อมเพิ่มเติมที่เมืองสมุทรปราการ เมื่อปีชวด พ.ศ. ๒๓๗๑ โปรดให้เจ้าพระยาพระคลังเป็นแม่กองสร้างป้อมฝั่งตะวันตก (ฝั่งขวา) ของแม่น้ำเจ้าพระยา ชื่อป้อม ปีกกาต่อจากป้อมประโคมชัยของเดิม, ป้อมตรีเพ็ชร์ สร้างที่บางจะเกรง (บางนาเกรงในปัจจุบัน) เหนือเมืองขึ้นไป</p> <p>ต่อมา ปีมะเมีย พ.ศ. ๒๓๗๗ โปรดให้กรมสมเด็จพระเคชาดิศร ครั้งดำรงพระยศเป็นกรมขุนเดชาอดิสรกับกรมหมื่นเสพสุนทร กรมหมื่นณรงค์หริรักษ์ สร้างป้อมที่บางปลากด ทางฝั่งตะวันตกข้างเหนือเมืองสมุทรปราการ ชื่อป้อมคงกระพัน ในปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๓๘๘ โปรดให้เจ้าพระยาพระคลัง ไปสร้างป้อมเพิ่มเติมที่เมืองสมุทรปราการ คือ ทำป้อมปีกกาต่อป้อมนาคราช เรียกว่า ป้อมปีกกาพับสมุทร ส่วนป้อมผีเสื้อสมุทร เดิมทำเป็น ๒ ชั้น ให้รื้อชั้นบนออกเสียชั้นหนึ่งแล้วสร้างปีกกาขยายป้อมออกไปทั้ง ๒ ข้าง และให้ถมศิลาปิดปากอ่าวที่แหลมฟ้าผ่า ๕ กอง ไว้ทางเรือเดินเป็นช่องๆ เรียกว่า </p> <p>"โขลนทวาร" ถึงปีวอก พ.ศ. ๒๓๙๑ โปรดให้สมเด็จพระยามหาศรีสุริยวงศ์ เมื่อครั้งเป็นจมื่นไวยวรนารถ เป็นแม่กองสร้างป้อมใหญ่ขึ้นที่ตำบลมหาวงษ์ ทางฝั่งตะวันออกอีกหนึ่งป้อม เป็นป้อมที่ตั้งของแม่ทัพ ชื่อป้อมเสือซ่อนเล็บ</p> <p>ในปี พ.ศ. ๒๔๓๖ รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นความจำเป็นต้องมีป้อมที่ปากอ่าวบริเวณแผ่นดินที่ยื่นออกไปจนถึงตำบลแหลมฟ้าผ่า อำเภอเมืองสมุทรปราการ จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างป้อมพระจุลจอมเกล้า ซึ่งมีป้อมปืนสามารถต้านทานกระสุนปืนเรือทันสมัยได้ ประกอบกับเวลานั้นไทยกำลังมีเรื่องพิพาทกับฝรั่งเศล กรณีพิพาทดินแดนทางแม่น้ำโขง ป้อมพระจุลจอมเกล้าฯ ได้สิ้นพระราชทรัพย์ในการสร้างไปทั้งสิ้น ๑๐,๐๐๐ ชั่ง</p> <p>ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ประเทศไทยมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล แต่ก็รักษาไว้ไม่ได้นาน เพราะมีประเทศมหาอำนาจตะวันตกมาแสวงหาเมืองขึ้น ทางภาคตะวันออกของทวีปเอเชียประเทศเล็กประเทศน้อยก็ต้องสูญเสียดินแดนแก่มหาอำนาจที่ว่านี้ อย่างไม่มีทางจะเอาดินแดนคืนได้โดยเฉพาะประเทศไทยได้เสียดินแดนให้ประเทศมหาอำนาจตะวันตกไปทั้งหมด ๑๑ ครั้ง และในการเสียดินแดน ครั้งที่ ๗ มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวพันกับเมืองสมุทรปราการ คือ เหตุการณ์รบที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อเย็นวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๔๓๖ เนื่องจากในวันนั้น เป็นวันกำหนดการเสด็จมาถึงของอาชดุ๊ค ฟรานซ์เฟอร์ดินานด์ ยุพราชแห่งออสเตรีย โดยจะเดินทางถึงอ่าวไทย เพื่อเยือนประเทศสยาม และในตอนเย็นวันนั้น มีฝนตกตรำๆ ตลอดจนค่ำ เรือรบฝรั่งเศษ ๒ ลำ และมีเรือสินค้าซึ่งเคยทำการค้าระหว่างกรุงเทพฯ กับไซ่ง่อนเป็นเรือนำร่องเข้ามา ถือโอกาสแล่นเข้ามาเป็นการสวมรอย ทำให้ทหารไทยไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าเป็นฝ่ายใดแน่นอน จึงเกิดความลังเลใจ เรือรบฝรั่งเศสจึงรอดจากการยิงของทหารไทยที่ป้อมปืนพระจุลจอมเกล้าเข้ามาได้ คงถูกยิงแต่เรือนำร่องและเกยตื้นอยู่ การเข้ามาของเรือรบฝรั่งเศสเป็นการขู่รัฐบาลไทยให้ปฏิบัติตามเงื่อนไข ซึ่งฝรั่งเศสให้ตอบภายใน ๔๘ ชั่วโมง นอกจากนั้นฝรั่งเศสยังส่งเรือรบอีก ๘ ลำ มาปิดอ่าวไทยเมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๔๓๖ อีกชั้นหนึ่งรัฐบาลไทยได้ยอมตกลงตามเงื่อนไขที่ฝรั่งเศสเรียกร้องเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๔๓๖ ฝรั่งเศสจึงยอมถอนกองเรือรบที่ปิดอ่าว เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๔๓๖ แม้กระนั้นก็ยังยึดจังหวัดจันทบุรี และจังหวัดตราดไว้อีก ๑๕ ปี</p> <p>เหตุการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ.๒๔๓๖) นี้ นอกจากไทยจะถูกปรับเป็นเงินตราอย่างมหาศาลแล้วต้องเสียดินแดนฝั่งช้ายแม่น้ำโขง เป็นเนื้อที่ทั้งหมด ๑๔๓,๐๐๐ ตารางกิโลเมตรให้แก่ฝรั่งเศส ประเทศลาวทั้งหมด อาณาจักรลานช้าง ซึ่งเป็นของไทยมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อ พ.ศ. ๒๑๓๖ อยู่กับไทยมาครบ ๓๐๐ ปีพอดี ต้องมาเสียให้ฝรั่งเศสคราวนี้ด้วย และยึดจังหวัดจันทบุรีกับจังหวัดตราดเป็นประกันอีก ๑๕ ปี</p> <p>การที่ไทยต้องเสียดินแดนให้แก่ฝรั่งเศสใน ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖ หรือ จ.ศ. ๑๒๕๕) นับว่าเป็นครั้งยิ่งใหญ่กว่าทุกครั้งในจำนวน ๑๑ ครั้ง สร้างความขมขื่นให้ไทยอย่างใหญ่หลวง<a href="#_ftn4_9950" name="_ftnref4_9950">(</a>๔)</p> <p>ในระหว่าง พ.ศ. ๒๔๓๕ - ๒๔๓๘ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปรับปรุงการปกครองพระราชอาณาเขตให้เรียบร้อยเป็นระเบียบ โปรดเกล้าฯ ให้มีการรวบรวมบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงซึ่งเดิมขึ้นอยู่กับกรมพระกลาโหมกรมมหาดไทย และกรมท่า ให้มาอยู่ในบังคับบัญชา ของกระทรวงมหาดไทย เพียงกระทรวงเดียว อย่างไรก็ตาม ในการจัดระเบียบการปกครองโอนหัวเมืองต่างๆ ให้มาขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทยครั้งนี้ปรากฏว่า เมืองสมุทรปราการและเมืองนครเขื่อนขันธ์ ได้รวมเข้าอยู่ในมณฑลกรุงเทพฯ ขึ้นต่อกระทรวงนครบาลแทน ตามพระราชบัญญัติปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๔ <a href="#_ftn5_9950" name="_ftnref5_9950">(</a>๕)</p> <p>ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงดำริว่านาม "พระประแดง" เป็นเมืองสำคัญมาแต่โบราณกาล สมควรใช้แทนนครเขื่อนขันธ์ เพราะอยู่ติดกันอยู่แล้ว ดังนั้น ใน พ.ศ. ๒๔๕๘ พระองค์จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อ "นคร เขื่อนขันธ์" เป็น "เมืองพระประแดง" สืบมา</p> <p>ใน พ.ศ.๒๔๕๘ รัชกาลที่ ๖ ได้มีพระบรมราชโองการขยาย เขตกรุงเทพมหานครเสียใหม่ด้วยทรงเห็นว่ากรุงเทพมหานครมีความเจริญขยายออกไปมากแล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราช-บัญญัติแบ่งการบังคับบัญชาหัวเมืองใหม่ ยกเลิกมณฑลกรุงเทพฯ เดิมที่รวมท้องที่เมืองนนทบุรี เมืองมีนบุรี เมืองพระประแดงเมืองสมุทรปราการ แล้วกำหนดเขตเสียใหม่และให้ยกเมืองธัญบุรี เมืองปทุมธานี ไปสมทบเป็นหัวเมืองขึ้นกระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๘ เป็นต้นมา<a href="#_ftn6_9950" name="_ftnref6_9950">(</a>๖)</p> <p>ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะเมืองขึ้นเป็นจังหวัด เมืองสมุทรปราการก็กลายเป็นจังหวัดสมุทรปราการ และเมืองพระประแดงก็เป็นจังหวัดพระประแดงต่างหาก จังหวัดสมุทรปราการในตอนนั้นมี ๔ อำเภอ คือเมือง, บางเหี้ย (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นบางบ่อ) , บางพลี และเกาะสีชัง (ลดฐานะลงมาเป็นกิ่งอำเภอในภายหลัง เพราะพลเมืองน้อย) และจังหวัดพระประแดง มี ๓ อำเภอ คือ เมืองราษฎร์บูรณะ และพระโขนง</p> <p>ต่อมาในรัชกาลที่ ๗ อันเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ รัฐบาลจึงยุบจังหวัดพระประแดงลงมาเป็นอำเภอหนึ่งให้ขึ้นกับจังหวัดสมุทรปราการ อำเภอราษฎร์บูรณะไปขึ้นกับจังหวัด ธนบุรี และอำเภอพระโขนงไปขึ้นกับจังหวัดพระนคร</p> <p>ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ได้ออกพระราชบัญญัติยุบจังหวัดสมุทรปราการกับจังหวัดอื่นๆ อีก ๔ จังหวัดไปรวมเป็นจังหวัดพระนคร-ธนบุรี แต่ต่อมาในวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๔๘๙ ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้จัดตั้งจังหวัดสมุทรปราการขึ้นอีกครั้งหนึ่ง</p> <p><b>การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล</b><b></b></p> <p>หลังจากจัดหน่วยราชการบริหารส่วนกลาง โดยมีกระทรวงมหาดไทย ในฐานะเป็นส่วนราชการที่เป็นศูนย์กลางอำนวยการปกครองประเทศ และควบคุมหัวเมืองทั่วประเทศแล้วการจัดระเบียบการปกครองต่อมาก็มีการจัดตั้งหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาค ซึ่งมีสภาพและฐานะเป็นตัวแทนหรือหน่วยประจำท้องที่ของกระทรวงมหาดไทยขึ้น อันได้แก่ การจัดรูปการปกครองแบบเทศาภิบาล ซึ่งถือได้ว่าเป็นระบบการปกครองอันสำคัญยิ่งที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนำมาใช้ปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคในสมัยนั้น กรมปกครองแบบเทศาภิบาล เป็นระบบการปกครองส่วนภูมิภาคชนิดหนึ่งที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการจากส่วนกลางออกไปบริหารราชการ ในท้องที่ต่างๆ ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาล เป็นระบบการปกครองที่รวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางอย่างมีระเบียบเรียบร้อย และเปลี่ยนระบบการปกครองจากประเพณีปกครองดั้งเดิมของไทย คือ ระบบกินเมือง ให้หมดไป</p> <p>การปกครองหัวเมืองก่อนวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๓๕ นั้น อำนาจปกครองบังคับบัญชามีความหมายแตกต่างกันออกไปตามความใกล้ไกลของท้องถิ่น หัวเมืองหรือประเทศราชยิ่งไกลไปจากกรุงเทพฯ เท่าใดก็ยิ่งมีอิสระในการปกครองตนเองมากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากทางคมนาคมไปมาหาสู่ลำบาก หัวเมืองที่รัฐบาลปกครองบังคับบัญชาได้โดยตรงก็มีแต่หัวเมืองจัตวาใกล้ๆ ส่วนหัวเมืองอื่นๆ มีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครองแบบกินเมืองและมีอำนาจอย่างกว้างขวาง ในสมัยที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพดำรงตำแหน่งเสนาบดี พระองค์ได้จัดให้อำนาจการปกครองเข้ามารวมอยู่ยังจุดเดียวกัน โดยการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงซึ่งหมายความว่า รัฐบาลมิให้การบังคับบัญชาหัวเมืองไปอยู่ที่เจ้าเมืองระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลเริ่มจัดตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๗ จนถึง พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงสำเร็จและเพื่อความเข้าใจเรื่องนี้เสียก่อนในเบื้องต้น จึงจะขอนำคำจำกัดความของ"การเทศาภิบาล" ซึ่งพระยาราชเสนา (สิริ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) อดีตปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทยตีพิมพ์ไว้ ซึ่งมีความว่า</p> <p>"การเทศาภิบาล คือ การปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการอันประกอบด้วยตำแหน่งข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาลของพระองค์ รับแบ่งภาระของรัฐบาลกลาง ซึ่งประจำแต่เฉพาะในราชธานีนั้นออกไปดำเนินงานในส่วนภูมิภาคอันเป็นที่ใกล้ชิดติดต่ออาณาประชากร เพื่อให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขและความเจริญทั่วถึงกันโดยมีระเบียบแบบแผนอันเป็นคุณประโยชน์แก่ราชอาณาจักรด้วย ฯลฯ จึงได้แบ่งส่วนการปกครองโดยขนาดลดหลั่นกันเป็นขั้นอันดับดังนี้ คือ ส่วนใหญ่เป็นมณฑลรองถัดลงไปเป็นเมือง คือ จังหวัดรองไปอีกเป็น อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน จัดแบ่งหน้าที่ราชการเป็นส่วนสัดแผนกงานให้สอดคล้องกับทำนองการของกระทรวง ทบวง กรมในราชธานี และจัดสรรข้าราชการที่มีความรู้สติปัญญาความประพฤติดี ให้ไปประจำทำงานตามตำแหน่งหน้าที่มิให้มีการก้าวก่ายสับสนกันดังที่เป็นมาแต่ก่อนเพื่อนำมาซึ่งความเจริญเรียบร้อย รวดเร็ว แก่ราชการและธุรกิจของประชาชนซึ่งต้องอาศัยทางราชการเป็นที่พึ่งด้วย"</p> <p>จากคำจำกัดความดังกล่าวข้างต้น ควรทำความเข้าใจบางประการเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาล ดังนี้</p> <p>การเทศาภิบาล นั้น หมายความรวมว่า เป็น "ระบบ" การปกครองอาณาเขตชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า "การปกครองส่วนภูมิภาค" ส่วน "มณฑลเทศาภิบาล" นั้น คือ ส่วนหนึ่งของการปกครองชนิดนี้ และยังหมายความอีกว่า ระบบเทศาภิบาลเป็นระบบที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการส่วนกลางไปบริหารราชการในท้องที่ต่างๆ แทนที่ส่วนภูมิภาคจะจัดปกครองกันเองเช่นที่เคยปฏิบัติมาแต่เดิม อันเป็นระบบกินเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลจึงเป็นระบบการปกครองซึ่งรวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางและริดรอนอำนาจของเจ้าเมืองตามระบบกินเมืองลงอย่างสิ้นเชิง</p> <p>นอกจากนี้ มีข้อที่ควรทำความเข้าใจอีกประการหนึ่ง คือ การจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาลนั้น ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก่อนปฏิรูปการปกครองก็มีการรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลเหมือนกัน แต่มณฑลสมัยนั้นหาใช่มณฑลเทศาภิบาลไม่ ดังจะอธิบายโดยย่อดังนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระ-จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระปิยมหาราช ทรงพระราชดำริจะจัดการปกครองพระราชอาณาเขตให้มั่นคงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทรงเห็นว่าหัวเมืองอันมีมาแต่เดิมแยกกันขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยบ้าง กระทรวงกลาโหมบ้างและกรมท่าบ้าง การบังคับบัญชาหัวเมืองในสมัยนั้นแยกกันอยู่ถึง ๓ แห่งยากที่จะจัดระเบียบการปกครองให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนกันได้ทั่วราชอาณาจักร ทรงพระราชดำริว่า ควรจะรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงให้ขึ้นอยู่กกับในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียว จึงได้มีพระบรมราชโองการแบ่งหน้าที่ระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงกลาโหมเสียใหม่ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๔๓๕ เมื่อได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยปกครองหัวเมืองทั้งปวงแล้ว จึงได้รวบรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลมีข้าหลวงใหญ่เป็นผู้ปกครอง การจัดตั้งมณฑลในครั้งนั้นมีอยู่ทั้งสิ้น ๖ มณฑล คือ มณฑลลาวเฉียงหรือมณฑลพายัพ มณฑลลาวพวนหรือมณฑลอุดร มณฑลลาวกาวหรือมณฑลอีสาน มณฑลเขมรหรือมณฑลบูรพา และมณฑลนครราชสีมา ส่วนหัวเมืองทางฝั่งทะเลตะวันตก บัญชาการอยู่ที่เมืองภูเก็ต</p> <p>การจัดรวบรวมหัวเมืองเข้าเป็น ๖ มณฑลดังกล่าวนี้ ยังมิได้มีฐานะเหมือนมณฑลเทศาภิบาลการจัดระบบการปกครองมณฑลเทศาภิบาลได้เริ่มอย่างแท้จริงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นต้นมา และก็มิได้ดำเนินการจัดตั้งพร้อมกันทีเดียวทั่วราชอาณาจักร แต่ได้จัดตั้งเป็นลำดับดังนี้</p> <p>พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นปีแรก ได้วางแผนงาน จัดระเบียบการบริหารมณฑลแบบใหม่เสร็จกระทรวงมหาดไทยได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ๓ มณฑล คือ มณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีนบุรี มณฑลนครราชสีมา ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากสภาพมณฑลแบบเก่ามาเป็นแบบใหม่ และในตอนปลายปี เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้โอนหัวเมืองทั้งปวงซึ่งเคยขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหมและกระทรวงต่างประเทศมาขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียวแล้วจึงได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลราชบุรีขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง</p> <p>พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๓ มณฑล คือ มณฑลนครชัยศรีมณฑลนครสวรรค์ มณฑลกรุงเก่า และได้แก้ไขระเบียบการจัดมณฑลฝ่ายทะเลตะวันตก คือ ตั้งเป็นมณฑลภูเก็ตให้เข้ารูปลักษณะของมณฑลเทศาภิบาลอีกมณฑลหนึ่ง</p> <p>พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้รวมหัวเมืองเป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๒ มณฑล คือ มณฑลนครศรีธรรมราช และมณฑลชุมพร</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้รวมหัวเมืองมะลายูตะวันออกเป็นมณฑลไทรบุรี และในปีเดียวกันนั้นเอง ได้ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้เปลี่ยนแปลงสภาพของมณฑลเก่าๆ ที่เหลืออยู่อีก ๓ มณฑล คือ มณฑลพายัพ มณฑลอุดร และมณฑลอีสาน ให้เป็นมณฑลเทศาภิบาล</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๗ ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ เพราะเห็นว่ามีแต่จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๙ จัดตั้งมณฑลปัตตานีและมณฑลจันทบุรี มีเมืองจันทบุรี ระยอง และตราด</p> <p>พ.ศ. ๒๔๕๐ ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง</p> <p>พ.ศ. ๒๔๕๑ จำนวนมณฑลลดลง เพราะไทยต้องยอมยกมณฑลไทรบุรีให้แก่อังกฤษเพื่อแลกเปลี่ยนกับการแก้ไขสัญญาค้าขาย และเพื่อจะกู้ยืมเงินอังกฤษมาสร้างทางรถไฟสายใต้</p> <p>พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒ มณฑล มีชื่อใหม่ว่า มณฑลอุบลและมณฑลร้อยเอ็ด </p> <p>พ.ศ. ๒๔๕๘ จัดตั้งมณฑลมหาราษฎร์ขึ้น โดยแยกออกจากมณฑลพายับ</p> <p><b>การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน</b><b></b></p> <p>การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมืองเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น ปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองนอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอแล้ว ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลอีกด้วย เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสียเหตุที่ยกเลิกมณฑลน่าจะเนื่องจาก</p> <p>๑) การคมนาคมสื่อสารสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน สามารถที่จะสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง</p> <p>๒) เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศให้น้อยลง</p> <p>๓) เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑลมณฑลรายงานต่อกระทรวงเป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น</p> <p>๔) รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆ มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วนภูมิภาคยิ่งขึ้น และการที่ยุบมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจนั่นเอง</p> <p>ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกฉบับหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัดมีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนี้</p> <p>๑) จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่</p> <p>๒) อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคล ได้แก่ คณะกรมการจังหวัดนั้น ได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่กับบุคคลคนเดียว คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด</p> <p>๓) ในฐานะของคณะกรมการจังหวัด ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด</p> <p>ต่อมา ได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น</p> <p>๑. จังหวัด</p> <p>๒. อำเภอ</p> <p>จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลายๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้ง ยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราช-การจังหวัดในการบริหารราชแผ่นดินในจังหวัดนั้น</p> <p>ที่มา : <b>ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดสมุทรปราการ. </b>สมุทรปราการ : วีระการพิมพ์, ๒๕๒๖.</p> <hr align="left" size="1" width="33%" /> <p><a href="#_ftnref1_9950" name="_ftn1_9950">(</a>๑) "สารานุกรมภูมิศาสตร์ แห่งประเทศไทย" เล่ม ๔ จบบริบูรณ์ รวบรวมโดยสงวน อั้นคง. โรงพิมพ์เฟื่องอักษร, พ.ศ. ๒๕๑๔ หน้า ๑๖๓๕ - ๑๖๓๙.</p> <p><a href="#_ftnref2_9950" name="_ftn2_9950">(</a>๒) "ตำนานวัตถุสถานต่างๆ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนา" พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายจำเนียร นครประศาสน์,ผดุงวิทยาการพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๑๔,หน้า ๕๔.</p> <p><a href="#_ftnref3_9950" name="_ftn3_9950">(</a>๓) "ตำนานวัตถุสถานต่างๆ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนา" หน้า ๕๔-๕๖.</p> <p><a href="#_ftnref4_9950" name="_ftn4_9950">(</a>๔) ประเทศสยามเสียดินแดนให้แก่มหาอำนาจตะวันตก ๑๑ ครั้ง ดังนี้</p> <p>๑. เสียเกาะหมาก ให้อังกฤษ เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๓๒๙ เนื้อที่ ๓๗๕ ตารางกิโลเมตร</p> <p>๒. เสียมะริด ทะวาย ตะนาวศรี ให้อังกฤษ เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๓๓๖ เนื้อที่ ๕๕,๐๐๐ ตร.กม.</p> <p>๓. เสียแสนหวี เชียงตุง เมืองพง ให้อังกฤษ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๘ เนื้อที่ ๑๒๐,๐๐๐ ตร.กม.</p> <p>๔. เสียสิบสองพันนา ให้อังกฤษ เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๓๙๗ เนื้อที่ ๖๐,๐๐๐ ตร.กม.</p> <p>๕. เสียแคว้นเขมร ให้ฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๔๑๐ เนื้อที่ ๑๒๔,๐๐๐ ตร.กม.</p> <p>๖. เสียสิบสองจุไทย ให้ฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๔๓๑ เนื้อที่ ๘๗,๐๐๐ ตร.กม.</p> <p>๗. เสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ให้ฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๔๓๖ เนื้อที่ ๑๔๓,๐๐๐ ตร.กม.</p> <p>๘. เสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง ให้ฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๔๔๖ เนื้อที่ ๖๒,๕๐๐ ตร.กม.</p> <p>๙. เสียมณฑลบูรพา ให้ฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๔๔๙ เนื้อที่ ๕๑,๐๐๐ ตร.กม.</p> <p>๑๐. เสียกะลันตัน,ตรังตานู,ไทรบุรี,ปลิศ, ให้อังกฤษ เมื่อ ๑๐ มีนาคม ๒๔๕๑ เนื้อที่ ๘๐,๐๐๐ ตร.กม.</p> <p>๑๑. เสียเขาพระวิหาร ให้เขมร เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๐๕ เนื้อที่ ๒ ตร.กม.</p> <p>จากหนังสือ การเสียดินแดนของชนเชื้อชาติไทย โดย พันเอก ถวิล อยู่เย็น หัวหน้ากองประวัติศาสตร์ กรมยุทธการทหารบก, กองทัพบก, กองบัญชาการตำรวจภูธรชายแดง จัดพิมพ์เผยแพร่. </p> <p><a href="#_ftnref5_9950" name="_ftn5_9950">(</a>๕) หอจดหมายเหตุแห่งชาติ, กรมศิลปากร เอกสาร ร.๕ ม.๑/๑๗</p> <p><a href="#_ftnref6_9950" name="_ftn6_9950">(</a>๖) หอจดหมายเหตุแห่งชาติ, กรมศิลปากร เอกสาร ร.๕ ป.๑/๑๗.</p> ไม้ไผ่http://www.blogger.com/profile/13079736154779537493noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3975884513971132653.post-10947587578587507092010-08-16T04:09:00.001-07:002010-08-16T04:09:38.497-07:00นครนายก<p>ประวัติศาสตร์จังหวัดนครนายก</p> <p><b>สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา</b><b></b></p> <p>จังหวัดนครนายก จะสร้างขึ้นในสมัยใดนั้นยังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด แต่จากการที่กรมศิลปากรได้มาทำการขุดค้นตัวเมืองเก่าที่ตำบลดงละคร อำเภอเมืองนครนายก เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๗ และจากการรื้อค้นหลักฐานที่มีพอจะสรุปประวัติความเป็นมาได้ว่า จังหวัดนครนายกเป็นเมืองเก่าแก่กว่า ๙๐๐ ปีมาแล้ว มีปรากฏขึ้นในสมัยทวารวดี แต่จะมีชื่อเมืองอย่างไรนั้นไม่ปรากฏ <b>จากสภาพเมืองเก่าที่ตำบลดงละคร </b><b>(เมืองลับแล) เป็นตัวเมืองที่ตั้งอยู่บนที่สูง มีลักษณะเป็นเกาะกลางทุ่ง สภาพตัวเมืองเป็นรูปทรงกลม </b>ซึ่งเป็นลักษณะตัวเมือง<b>สมัยทวารวดี</b> ต่อมาเมื่ออาณาจักรขอมมีอำนาจได้แผ่อาณาจักรออกไปตลอดลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา มีนครธมเป็นราชธานีขอมได้ตั้งเมืองละโว้ (ลพบุรี) เป็นเมืองลูกหลวง มีหน้าที่ปกครองอาณาจักรขอมในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เมืองนครนายกจึงตกอยู่ใต้อิทธิพลของขอมชั่วระยะเวลาหนึ่ง ประมาณปี พ.ศ. ๑๖๐๐ อาณาจักรขอมเสื่อมอำนาจลงแต่นครนายกก็ยังคงรวมอยู่ในดินแดนของอาณาจักรขอมแถบชายแดน จนเมื่อไทยเริ่มมีอำนาจ และตั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี</p> <p><b>สมัยกรุงศรีอยุธยา</b><b></b></p> <p>มีหลักฐานว่า <b>นครนายกเป็นเมืองหน้าด่าน </b>หรือ <b>เมืองปราการ </b>ตั้งแต่ <b>สมัยพระรามาธิบดีที่ ๑ </b>(พระเจ้าอู่ทอง) เป็นต้นมา</p> <p>หน้าที่ของเมืองหน้าด่าน คือ <b>เป็นเมืองที่รายล้อมราชธานี เป็นที่สะสมเสบียงอาหารและกำลังผู้คนไว้สำหรับป้องกันเมืองหลวง</b> เมืองเหล่านี้อยู่ห่างจากเมืองหลวงโดยเฉลี่ยประมาณ ๕๐ กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางไปมาจากเมืองหน้าด่านถึงราชธานีประมาณ ๒ วัน</p> <p>ในสมัย <b>สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ </b>ได้ทำการปรับปรุงการปกครอง คือ ยกเลิกเมืองหน้าด่านขยายอำนาจราชธานีออกไปจัดตั้งหัวเมืองชั้นใน ได้แก่ ราชบุรี เพชรบุรี กาญจนบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร นครปฐม สุพรรณบุรี ชัยนาท นครสวรรค์ ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี ชลบุรี และนครนายก กำหนดให้หัวเมืองชั้นในเหล่านี้เป็นเมืองชั้นจัตวา ผู้ว่าราชการเมืองเรียกว่า <b>"ผู้รั้ง"</b> พระมหากษัตริย์ ทรงแต่งตั้งออกไปปกครอง เพราะฉะนั้นหัวเมืองชั้นในจึงอยู่ในการดูแลของราชธานีอย่างใกล้ชิด</p> <p>นครนายกจึงมีฐานะเป็นหัวเมืองจัตวา ตั้งแต่นั้นมาจนตลอดสมัยกรุงศรีอยุธยา</p> <p><b>สมัยกรุงธนบุรี</b><b></b></p> <p>ก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะเสียให้แก่พม่า ในวันอังคาร เดือน ๕ ขึ้น ๙ ค่ำ ปีกุน พ.ศ. ๒๓๑๐ เป็นครั้งที่ ๒ นั้น ในขณะที่พม่าล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่ <b>พระยาตาก</b> ได้ช่วยทำการรบศึกอยู่ในเมือง ครั้งหนึ่งพระยาตากเห็นพม่ารุกหนักเข้ามา ก็สั่งให้ยิงปืนใหญ่สกัดกั้นไว้โดยที่ยังไม่ได้ขออนุญาตก่อนตามกฎที่วางไว้ จึงถูก<b> พระเจ้าเอกทัศน์</b> สั่งภาคทัณฑ์คาดโทษ พระยาตากตัดสินใจนำทหารประมาณ ๕๐๐ คน ตีฝ่าวงล้อมของพม่าออกไปเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๐๙ และยกทัพออกมาทางตะวันออกมาทางด้านวัดพิชัย มีพลประมาณ ๑,๐๐๐ กว่าคน พร้อมทั้งข้าราชการกรุงเก่า บางพวกที่ร่วมหนีออกมาด้วยกับพระยาตาก</p> <p>จากพงศาวดารกรุงธนบุรีได้กล่าวว่า <b>พระยาตากยกทัพมาทางสระบุรี นครนายก ปราจีนบุรี </b>กองทัพพระยาตากยกไปต้องปะทะกับพม่าที่มีกำลังเหนือกว่าหลายเท่า แต่ก็ได้ประสบชัยชนะตลอดมา ระหว่างทางได้ทำการเกลี้ยกล่อม คนไทยให้เข้าด้วยตลอดทางจนถึงชลบุรี พระยาตากใช้นโยบายเกลี้ยกล่อมให้ยอมอ่อนน้อมเสียก่อน ถ้าไม่ยอมถึง ๓ ครั้ง จึงจะจัดการอย่างเด็ดขาด</p> <p>พระยาตากมุ่งไปทางระยองและจันทบุรี <b>พระยาจันทบุรี </b>ได้รับปากว่าจะเข้าด้วย แต่ขอให้พระยาตากรอไปก่อน ผลสุดท้ายพระยาตากต้องตัดสินใจโจมตีเมืองจันทบุรี เพราะ <b>เมืองจันทบุรีเป็นเมืองสำคัญทั้งในด้านทหารและด้านเศรษฐกิจ</b> ในการที่จะสนับสนุนให้การขับไล่พม่าไปจากประเทศเป็นผลสำเร็จ</p> <p><b>สมัยกรุงรัตนโกสินทร์</b><b></b></p> <p>สมัยรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๓ นครนายกเป็นหัวเมือง <b>ชั้นจัตวา </b>โดยเป็นหน่วยปกครองที่อยู่ไม่ไกลเมืองหลวงนัก สมัยรัชกาลที่ ๕ ได้มีการปฏิรูปการปกครองใหม่เรียกว่า การปกครองมณฑลเทศาภิบาลเมืองนครนายกจัดอยู่ในมณฑลปราจีนบุรี ซึ่งจัดตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ ประกอบด้วยเมืองต่าง ๆ คือ </p> <p>๑. ปราจีนบุรี</p> <p>๒. ฉะเชิงเทรา</p> <p>๓. นครนายก</p> <p>๔. พนมสารคาม</p> <p>๕. พนัสนิคม</p> <p>๖. ชลบุรี</p> <p>๗. บางละมุง</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๕ <b>รัชกาลที่ ๕</b> ทรงยกเลิกธรรมเนียมการมีเจ้าเข้าครอง และให้มีตำแหน่ง<b>ผู้ว่าราชการเมือง</b>ขึ้นแทน เมืองนครนายก จึงได้มีผู้ว่าราชการเมืองคนแรก คือ <b>พระพิบูลย์สงคราม </b>(จอน) <b>ศาลากลางจังหวัดแห่งแรกตั้งขึ้น ณ บริเวณริมฝั่งขวา แม่น้ำนครนายก</b> (บริเวณหลังธนาคารกรุงศรีอยุธยาและธนาคารกรุงเทพในปัจจุบัน) จนถึง พ.ศ. ๒๔๘๖ ทางราชการได้ยุบจังหวัดนครนายกให้ไปรวมกับจังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดสระบุรี หลังจากนั้นประมาณ ๔ ปี คือใน พ.ศ. ๒๔๘๙ จึงได้ตั้งจังหวัดนครนายกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งใน พ.ศ. ๒๕๑๙ มีปัญหาเกี่ยวกับสถานที่ตั้งศาลากลางจังหวัดหลังเก่า ซึ่งตั้งอยู่ในย่านชุมนุมชนคับแคบขยายออกไปอีกไม่ได้ จึงได้ย้ายไปสร้างศาลากลางจังหวัดแห่งใหม่ บริเวณริมถนนสุวรรณศรห่างจากเขตเทศบาลประมาณ ๒ กิโลเมตร และได้เปิดทำการเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ จนถึงปัจจุบัน</p> <p><b>การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบบมณฑลเทศาภิบาล</b><b></b></p> <p>หลังจากจัดหน่วยราชการบริหารส่วนกลาง โดยมี<b>กระทรวงมหาดไทย</b>ในฐานะเป็นส่วนราชการที่เป็น<b>ศูนย์กลางอำนวยการปกครองประเทศ</b>และควบคุมหัวเมืองทั่วประเทศแล้ว การจัดระเบียบการปกครองต่อมาก็มีการจัดตั้งหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาค ซึ่งมีสภาพและฐานะเป็นตัวแทนหรือหน่วยงานประจำท้องที่ของกระทรวงมหาดไทยขึ้น อันได้แก่ การจัดรูปการปกครองแบบเทศาภิบาล ซึ่งถือได้ว่าเป็นระบบการปกครองอันสำคัญยิ่งที่<b>สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ </b>ทรงนำมาใช้ปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคในสมัยนั้น การปกครองแบบเทศาภิบาล เป็นระบบการปกครองส่วนภูมิภาคชนิดหนึ่งที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการจากส่วนกลางออกไปบริหารราชการในท้องที่ต่าง ๆ การปกครองแบบเทศาภิบาล เป็นระบบการปกครองที่รวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางอย่างมีระเบียบเรียบร้อย และเปลี่ยนระบบการปกครองจากประเพณีปกครองดั้งเดิมของไทย คือ <b>ระบบกินเมือง </b>ให้หมดไป</p> <p>การปกครองหัวเมืองก่อนวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๓๕ นั้น อำนาจปกครองบังคับบัญชา </p> <p>มีความหมายแตกต่างกันออกไปตามความใกล้ไกลของท้องถิ่น หัวเมืองหรือประเทศราชยิ่งไกลไปจากกรุงเทพฯ เท่าใดก็ยิ่งอิสระในการปกครองตนเองมากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากทางคมนาคมไปมาหาสู่ลำบาก หัวเมืองที่รัฐบาลปกครองบังคับบัญชาได้โดยตรงก็มีแต่หัวเมืองจัตวาใกล้ๆ ส่วนหัวเมืองอื่น ๆ ที่เจ้าเมืองเป็นผู้ปกครองแบบกินเมืองและมีอำนาจอย่างกว้างขวาง<b>ในสมัยที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ดำรงตำแหน่งเสนาบดี</b> พระองค์ได้จัดให้อำนาจการปกครองเข้ามาร่วมอยู่ยังจุดเดียวกัน โดยการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นมีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงซึ่งหมายความว่า รัฐบาลมิให้การบังคับบัญชาหัวเมืองไปอยู่ที่เจ้าเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลเริ่มจัดตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๗ จนถึง พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงสำเร็จและเพื่อสร้างความเข้าใจเรื่องนี้เสียก่อนในเบื้องต้น จึงจะขอนำคำจำกัดความของ "การเทศาภิบาล" ซึ่งพระยาราชเสนา (สิริ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) อดีตปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทยตีพิมพ์ไว้ มีความว่า </p> <p><b>"การเทศาภิบาล </b>คือ การปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการอันประกอบด้วยตำแหน่งข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาลของพระองค์ รับแบ่งภาระของรัฐบาลกลาง ซึ่งประจำอยู่แต่เฉพาะในราชธานีนั้น ออกไปดำเนินงานในส่วนภูมิภาคเป็นสื่อกลางระหว่างรัฐบาล ซึ่งอยู่ในราชธานีให้ได้ใกล้ชิดกับอาณาประชากร เพื่อให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขและเกิดความเจริญทั่วถึงกัน โดยมีระเบียบแบบแผนอันเป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติด้วย จึงแบ่งเขตการปกครองโดยขนาดลดหลั่นกันเป็นชั้นอันดับดังนี้ คือ <b>ส่วนใหญ่เป็นมณฑล</b> รองถัดลงไปเป็นเมือง คือ <b>จังหวัด</b> รองไปอีกเป็น<b> อำเภอ </b>และ <b>หมู่บ้าน</b> จัดแบ่งหน้าที่ราชการเป็นส่วนสัดแผนกงานให้สอดคล้องกับทำนองงานของกระทรวงทบวงกรมในราชธานี และจัดสรรข้าราชการที่มีความรู้ความสามารถความประพฤติให้ไปประจำทำงานตามตำแหน่งหน้าที่มิให้มีการก้าวก่ายสับสนกันดังที่เป็นมาแต่ก่อน เพื่อนำมาซึ่งความเจริญเรียบร้อย และรวดเร็วแก่ราชการและกิจธุระของประชาชนซึ่งต้องอาศัยทางราชการเป็นที่พึ่งด้วย<b>"</b></p> <p>จากคำจำกัดความดังกล่าวข้างต้น ควรทำความเข้าใจบางประการเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาล ดังนี้</p> <p><b>การเทศาภิบาล</b> นั้น หมายความรวมว่า เป็น <b>"ระบบ" การปกครองอาณาเขต </b>ชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า <b>"การปกครองส่วนภูมิภาค" </b>ส่วน <b>"มณฑลเทศาภิบาล"</b> นั้น คือ ส่วนหนึ่งของการปกครองชนิดนี้ และยังหมายความอีกว่า ระบบเทศาภิบาลเป็นระบบที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการส่วนกลางไปบริหารราชการในท้องที่ต่าง ๆ แทนที่ส่วนภูมิภาคจะจัดปกครองกันเองเช่นที่เคยปฏิบัติมาแต่เดิม อันเป็นระบบกินเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลจึงเป็นระบบการปกครองซึ่งรวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลาง และริดรอนอำนาจของเจ้าเมืองตามระบบกินเมืองลงอย่างสิ้นเชิง</p> <p>นอกจากนี้ มีข้อที่ควรทำความเข้าใจอีกประการหนึ่ง คือ ก่อนการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาลนั้น ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก่อนปฏิรูปการปกครองก็มีการรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลเหมือนกัน แต่มณฑลสมัยนั้นหาใช่มณฑลเทศาภิบาลไม่ ดังจะอธิบายโดยย่อดังนี้ เมื่อ<b>พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว</b> ทรงพระราชดำริจะจัดการปกครองพระราชอาณาเขตให้มั่นคงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทรงเห็นว่าหัวเมืองอันมีมาแต่เดิมแยกกันขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยบ้างกระทรวงกลาโหมบ้างและกรมท่าบ้าง การบังคับบัญชาหัวเมืองในสมัยนั้นแยกกันอยู่ถึง ๓ แห่ง ยากที่จะจัดระเบียบเรียบร้อยเหมือนกันได้ทั่วราชอาณาจักรทรงพระราชดำริว่า <b>ควรจะรวมการบังคับบัญชา</b><b></b></p> <p><b>หัวเมืองทั้งปวงให้ขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเดียวกัน </b>จึงได้มีพระบรมราชโองการแบ่งหน้าที่ระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงกลาโหมเสียใหม่ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๕ เมื่อได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยปกครองหัวเมืองทั้งปวงแล้ว จึงได้รวบรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลมีข้าหลวงใหญ่เป็นผู้ปกครอง การจัดตั้งมณฑลในครั้งนั้นมีอยู่ทั้งสิ้น ๖ มณฑล คือ <b>มณฑลลาวเฉียงหรือมณฑลพายัพ มณฑลลาวพวน หรือมณฑลอุดร มณฑลลาวกาว หรือมณฑลอีสาน มณฑลเขมร หรือมณฑลบูรพา และมณฑลนครราชสีมา</b> ส่วนหัวเมืองทางฝั่งทะเลตะวันตก บัญชาการอยู่ที่เมืองภูเก็ต</p> <p>การจัดรวบรวมหัวเมืองเข้าเป็น มณฑลดังกล่าวนี้ ยังมิได้มีฐานะเหมือนมณฑลเทศาภิบาลการจัดระบบการปกครองมณฑลเทศาภิบาลได้เริ่มอย่างแท้จริงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นต้นมา และก็มิได้ดำเนินการจัดตั้งพร้อมกันทีเดียวทั่วราชอาณาจักร แต่ได้จัดตั้งเป็นลำดับ ดังนี้</p> <p>พ.ศ. ๒๔๓๗ <b>เป็นปีแรก</b>ที่ได้วางแผนงานจัดระเบียบการบริหารมณฑลแบบใหม่เสร็จ กระทรวงมหาดไทยได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ๓ มณฑล <b>คือ มณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีนบุรี มณฑลนครราชสีมา </b>ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากสภาพมณฑลแบบเก่ามาเป็นแบบใหม่ และในตอนปลายนี้เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้โอนหัวเมืองทั้งปวงซึ่งเคยขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศมาขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียวแล้วจึงได้รวมหัวเมืองจัดเป็น<b>มณฑลราชบุรี</b>ขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง</p> <p>พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๓ มณฑล คือ <b>มณฑลนครชัยศรี มณฑลนครสวรรค์ และมณฑลกรุงเก่า </b>และได้แก้ไขระเบียบการจัดมณฑลฝ่ายทะเลตะวันตก คือ <b>ตั้งเป็นมณฑลภูเก็ต </b>ให้เข้ารูปลักษณะของมณฑลเทศาภิบาลอีกมณฑลหนึ่ง</p> <p>พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้รวมหัวเมืองมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๒ มณฑล คือ <b>มณฑลนครศรีธรรมราชและมณฑลชุมพร</b><b></b></p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้รวมหัวเมืองมลายูตะวันออกเป็น<b>มณฑลไทรบุรี</b></p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๒ ได้ตั้ง<b>มณฑลเพชรบูรณ์</b>ขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้เปลี่ยนแปลงสภาพของมณฑลเก่า ๆ ที่เหลืออยู่อีก ๓ มณฑล คือ <b>มณฑลพายัพ มณฑลอุดร และมณฑลอีสาน </b>ให้เป็นมณฑลเทศาภิบาล</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๗ ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ เพราะเห็นว่ามีแต่จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๙ จัดตั้ง<b>มณฑลปัตตานี </b>และ<b>มณฑลจันทบุรี </b>มีเมือง<b>จันทบุรี ระยอง</b> และ<b>ตราด</b></p> <p>พ.ศ. ๒๔๕๐ ตั้ง<b>มณฑลเพชรบูรณ์</b>ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง</p> <p>พ.ศ. ๒๔๕๑ จำนวนมณฑลลดลง เพราะไทยต้องยอมยก<b>มณฑลไทรบุรี</b>ให้แก่อังกฤษ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการแก้ไขสัญญาค้าขาย และเพื่อจะกู้ยืมเงินอังกฤษมาสร้างทางรถไฟสายใต้</p> <p>พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒ มณฑล มีชื่อใหม่ว่า <b>มณฑลอุบลและมณฑลร้อยเอ็ด</b><b></b></p> <p><b></b>พ.ศ. ๒๔๕๘ จัดตั้ง<b>มณฑลมหาราษฎร์</b>ขึ้น โดยแยกออกจาก<b>มณฑลพายัพ</b><b></b></p> <p><b>การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน</b><b></b></p> <p><b></b>การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมืองเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมา<b>เป็นระบอบประชาธิปไตย</b>นั้น ปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม <b>พ</b><b>.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ</b> จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดินมีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองนอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอแล้ว ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลอีกด้วย เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสียเหตุที่ยกเลิกมณฑลน่าจะเนื่องจาก</p> <p><b></b>๑) การคมนาคมสื่อสารสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน สามารถที่จะสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง</p> <p>๒) เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศให้น้อยลง</p> <p>๓) เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล มณฑลรายงานต่อกระทรวง เป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น</p> <p>๔) รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ ๆ มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วนภูมิภาคยิ่งขึ้น และ<b>การที่ยุบมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจ</b>นั่นเอง</p> <p>ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออก<b>พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน</b>อีกฉบับหนึ่ง ในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัดมีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนี้</p> <p>๑. <b>จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล </b>แต่จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่</p> <p>๒. <b>อำนาจบริหารในจังหวัด </b>ซึ่งแต่เดิมตกอยู่ในคณะบุคคล ได้แก่ คณะกรมการจังหวัดนั้นได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่กับบุคคลคนเดียว คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด</p> <p>๓. <b>ในฐานะของคณะกรมการจังหวัด </b>ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัด ได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด</p> <p>ต่อมา ได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น</p> <p>๑. <b>จังหวัด</b><b></b></p> <p>๒. <b>อำเภอ</b><b></b></p> <p>จังหวัดนั้นได้รวมท้องที่หลาย ๆอำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้ง ยุบและเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดให้ตราเป็นพระราชบัญญัติและให้มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น</p> <p>ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดนครนายก.นครนายก,๒๕๒๗</p> ไม้ไผ่http://www.blogger.com/profile/13079736154779537493noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3975884513971132653.post-85577085099131817412010-08-16T04:07:00.001-07:002010-08-16T04:07:46.107-07:00ปทุมธานี<p><b>ประวัติศาสตร์จังหวัดปทุมธานี</b><b></b></p> <p><b></b></p> <p><b>สมัยกรุงศรีอยุธยา</b><b></b></p> <p><b>สมัยศรีกรุงศรีอยุธยาตอนต้น</b><b></b></p> <p>อาศัยหลักฐานทางโบราณสถาน และโบราณวัตถุ ภายในจังหวัดปทุมธานี เป็นที่น่าเชื่อว่าจังหวัดปทุมธานีในอดีตเป็นเมืองที่เกิดขึ้นในยุคต้นของอาณาจักรศรีอยุธยาประกอบกับ "ตำนานท้าวอู่ทอง" ทำให้เรื่องท้าวอู่ทองอพยพผู้คนหนีโรคห่า (อหิวาตกโรค) ผ่านมายังเมืองปทุมธานีมีความจริงอยู่มาก</p> <p>"ตำนานท้าวอู่ทอง" ที่จังหวัดปทุมธานี มีปรากฏอยู่ ๒ เรื่อง คือ ตำนานเรื่องท้าวอู่ทอง เสด็จหนีโรคห่าผ่านมายังวัดมหิงสารามตำบลบางกระบือ อำเภอสามโคกเรื่องหนึ่งและตำนานเรื่องท้าวอู่ทอง อันเป็นประวัติวัดเทียนถวาย อำเภอเมืองอีกเรื่องหนึ่ง</p> <p>ตำนานท้าวอู่ทอง ที่วัดมหิงสาราม ผู้เฒ่าผู้แก่ในตำบลบางกระบือ เล่าต่อกันมาว่าครั้งหนึ่งในอดีต ท้าวอู่ทองได้อพยพไพร่พล หนีโรคห่า ขณะผ่านเขตสามโคกเป็นเวลาใกล้ค่ำแล้วประกอบกับเกวียนชำรุด จึงหยุดพักไพร่พล ที่บริเวณวัดมหิงสาราม กับทั้งได้ออกปากขอยืมเครื่องมือจากชาวบ้านละแวกนั้น เพื่อนำมาซ่อมแซมเกวียนแต่ได้รับการปฏิเสธ ท้าวอู่ทองทรงพิโรธนัก และในคืนนั้นเองทรงแอบฝังทรัพย์สมบัติส่วนที่ไม่สามารถนำไปได้เพราะเกวียนชำรุด ไว้ในบริเวณวัด และสาปแช่งมิให้ผู้ใดนำทรัพย์สมบัติที่ฝังไว้ไปได้เลย สภาพปัจจุบันวัดมหิงสารามเป็นวัดร้าง ชำรุดทรุดโทรม เหลือเพียงผนังพระอุโบสถเพียง ๔ ด้านเท่านั้นอยู่ห่างจากลำน้ำเจ้าพระยาประมาณสองกิโลเมตร สาเหตุที่ร้างมีผู้สันนิษฐานต่างกันไป บ้างก็ว่าเป็นเพราะลำน้ำเปลี่ยนทางเดิน บ้างก็คิดว่าเพราะกรุงแตกเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๐</p> <p>ตำนานท้าวอู่ทองจากคำบอกเล่าทางวัดเทียนถวาย ความว่า พระเจ้าอู่ทองได้อพยพผู้คนหนีโรคห่า พร้อมด้วยไพร่พล สัมภาระบรรทุกเกวียนมาประมาณแปดสิบเล่ม ได้หยุดพักไพร่พลอยู่ที่หนองแห่งหนึ่ง (ปัจจุบันเรียกชื่อว่า หนองปลาสิบ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของวัดเทียนถวาย ตำบลบ้านใหม่ อำเภอเมือง) ตอนกลางคืนได้จุดไฟสว่างไสวตลอดทั้งคืนนานเป็นแรมเดือน เมื่อโรคห่าสงบแล้ว ก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดในบริเวณที่เคยประทับขึ้น ๑ วัด สมัยนั้นชาวบ้านเรียกว่า "วัดเกวียนไสว" ต่อมาแผลงเป็น "วัดเทียนถวาย"</p> <p>ตำนานเรื่องท้าวอู่ทองเสด็จหนีโรคห่าเล่าต่อกันมาจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ดังปรากฏในนิราศวัดเจ้าฟ้า กล่าวอ้างถึงเรื่องพระเจ้าอู่ทอง ได้เสด็จหนีโรคผ่านเมืองสามโคก ก่อนไปตั้งกรุงศรีอยุธยาไว้ว่า</p> <p>"พอเลยนาคบากข้ามถึงสามโคก</p> <p>เป็นคำโลกสมมุติสุดสงสัย</p> <p>ถามบิดาว่าท่านผู้เฒ่าท่านกล่าวไว้</p> <p>ว่าท้าวไทพระอู่ทองเธอกองทรัพย์</p> <p>หวังจะไว้ให้ประชาเป็นค่าจ้าง</p> <p>ด้วยจะสร้างบ้านเมืองเครื่องประดับ</p> <p>พอห่ากินสิ้นบุญไปสูญลับ</p> <p>ทองก็กลับกลายสิ้นเป็นดินแดง</p> <p>จึงที่นี้มีนามชื่อสามโคก</p> <p>เป็นคำโลกสมมุติสุดแถลง</p> <p>ครั้งพระโกศโปรดปรานประทานแปลง</p> <p>ที่ตำแหน่งมอญมาสวามิภักดิ์</p> <p>ชื่อประทุมธานีที่เสด็จ</p> <p>เดือนสิบเบ็ดบัวออกทั้งดอกฝัก</p> <p>มารับส่งตรงนี้ที่สำนัก</p> <p>พระยาพิทักษ์ทวยหาญผ่านพารา"</p> <p>จากตำนานจึงพอประมาณการได้ว่า ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ลงมา บริเวณสองริมฝั่งลำน้ำเจ้าพระยาตอนล่างเป็นอาณาบริเวณที่ตั้งของจังหวัดปทุมธานี ในอดีตเต็มไปด้วยป่าไม้หนาแน่นอุดมด้วยสัตว์ป่านานาชนิด บ้านเรือนราษฎร ตั้งเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ริมฝั่งแม่น้ำ และบ้านเรือนเริ่มจะมีมากขึ้นในภายหลังที่พระเจ้าอู่ทอง ได้สถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีปทุมธานีคงเป็นเพียงชุมชนเล็กๆ เป็นต้นด่านกักนาวาก่อนที่จะเดินทางผ่านเข้ามาสู่ตัวเมืองกรุงศรีอยุธยา</p> <p><b>สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ</b> (พ.ศ. ๑๙๙๑-๒๐๓๑)</p> <p>ในรัชสมัยของกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาพระองค์นี้ ชุมชนในเขตจังหวัดปทุมธานี เริ่มขยายตัวเป็นชุมชนเมืองริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาตะวันออก ตั้งแต่บริเวณวัดสองพี่น้องถึงวัดป่างิ้วในปัจจุบัน (แต่เดิมเป็นที่ตั้งของวัด "พญาเมือง" และ "วัดนางหยาด") โดยมีคันคูเมืองโดยรอบปัจจุบันเหลือเพียงร่องรอยต่าง ๆ ในอดีตให้ได้เห็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น รู้จักกันในนามว่า "เมืองสามโคก"</p> <p>ครั้นในปี พ.ศ. ๒๑๑๒ แผ่นดินพระมหินทราธิราชกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าครั้งแรก พระเจ้าหงสาวดีได้กวาดต้อนประชาชนพลเมืองไปประเทศพม่า คงเหลือไว้เพียงหมื่นเศษเป็นผลให้สามโคกกลายเป็นเมืองร้างไป</p> <p>มีหลักฐานในกฎหมายเก่าลักษณะพระธรรมนูญ ว่าด้วยการใช้ตราราชการ พ.ศ. ๒๑๗๙ แผ่นดินพระเจ้าปราสาททอง แห่งกรุงศรีอยุธยา ระบุว่า สามโคกเป็นหัวเมืองขึ้นกับกรมพระกลาโหม จึงแสดงให้เห็นว่า เมืองสามโคกมีฐานะเป็นเมืองมาก่อนแล้วตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา</p> <p><b>สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช</b><b></b></p> <p>เมื่อพม่ารบกับจีน ในปี พ.ศ. ๒๒๐๒ ชาวมอญที่ถูกเกณฑ์เข้าร่วมในกองทัพพม่า ได้พากันหลบหนีจากกองทัพพม่า โดยพาครอบครัวออกจากเมืองเมาะตะมะ เข้ามากรุงศรีอยุธยาประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน สมเด็จพระนารายณ์ฯ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ครอบครัวมอญที่อพยพเข้ามาในครั้งนี้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านสามโคก ปรากฏตามพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขาว่า</p> <p>"ขณะนั้น (พ.ศ. ๒๒๐๒ ปีชวด โทศก) มังนันทมิตร ผู้เป็นอาพระเจ้าอังวะอยู่ปกครองเมาะตะมะ ส่วนชาวเมืองฮ่อไซร้ยกทัพมาล้อมเมืองอังวะ จะเอาฮ่ออุทิงผาซึ่งพาฉกรรจ์อพยพประมาณพันหนึ่งหนีไปพึ่งอยู่ ณ เมืองอังวะนั้น จึงมังนันทมิตรเกณฑ์เอาพล ๓๒ เมือง ซึ่งขึ้นแก่เมืองเมาะตะมะนั้น ๓,๐๐๐ ให้ไปช่วยป้องกันเมืองอังวะ และมอญอันไปช่วยป้องกันก็หลีกหนีคืนมาเป็นอันมาก จึง มัง นันทมิตรก็ให้คุมเอามอญอันหนีมานั้นใส่ตะรางไว้ว่าจะเผาเสีย และสมิงนายอำเภอทั้ง ๑๑ คนนั้น ควบคุมมอญประมาณห้าพันยกเข้าเผาเมืองเมาะตะมะและได้ตัวมังนันทมิตรจำไว้แล้ว จึงปรึกษากันว่าเรากระทำความผิดถึงเพียงนี้ ถ้าทราบถึงพระเจ้าอังวะก็จะมีภยันตรายแก่พวกเราเป็นแท้ และเราทั้งปวงหาที่พึ่งมิได้ จำจะพากันกวาดอพยพหนีเข้าไปพึ่งพระบรมโพธิสมภารสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา เอาพระเดชานุภาพปกเกล้าฯ ร่มเย็น เป็นที่พำนักจึงจะพ้นภัย ครั้นปรึกษาเห็นพร้อมกันแล้ว สมิงนายอำเภอทั้ง ๑๑ นายก็กวาดต้อนครอบครัวรามัญในแว่นแคว้นเมืองเมาะตะมะทั้ง ๓๒ หัวเมืองกับสมัครพรรคพวกของตัวและพรรคพวกมังนันทมิตรเป็นคนประมาณหมื่นเศษ แล้วให้ถอดมังนันทมิตรออกจากพันธนาการพากันอพยพออกจากเมืองเมาะตะมะ มาทางเมืองสมิถึงด่านพระเจดีย์ ๓ องค์ ในปีระกา นพศกนั้น จึงสมิงนายอำเภอทั้ง ๑๑ นาย ก็แต่งหนังสือบอกให้รามัญ ถือเข้ามาแจ้งกิจการแก่พระยากาญจนบุรีว่าจะเข้ามาสวามิภักดิ์เป็นข้าทูลละอองธุลีพระบาทพระยากาญจนบุรีก็ส่งหนังสือบอกเข้ามาถึงอัครมหาเสนาธิบดี ให้นำขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาให้ทราบ พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าช้างเผือกให้ทรงทราบเหตุ ก็ทรงพระโสมนัสดำรัสให้สมิงรามัญเก่าในกรุงถือ พลพันหนึ่ง ออกไปรับครัวเมืองเมาตะมะเข้ามายังพระมหานครแล้วทรงพระกรุณาโปรดให้พวกครัวมอญใหม่ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ตำบล<b>สามโคก</b>บ้าง ที่คลองคูจามบ้าง ที่ใกล้วัดตองปุบ้างแล้วดำรัสโปรดให้สมิงนายกองทั้ง ๑๑ คน เข้าเฝ้ากราบถวายบังคม ทรงพระมหาการุญภาพพระราชทานเครื่องยศ เครื่องเรือน และเสื้อผ้าเงินตรากับทั้งเคหฐานให้อยู่เป็นสุข แต่มังนันทมิตรนั้นป่วยลงถึงอนิจกรรม"</p> <p>ฉะนั้น สมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มอญที่อพยพมาในครั้งนั้นตั้งบ้านเรือนอาศัยทำมาหากินที่ตำบลสามโคก และต่อมาทำให้ตำบลสามโคกเจริญรุ่งเรืองขึ้นจนมีฐานเป็นเมืองสามโคกและเป็นจังหวัดปทุมธานีในปัจจุบัน นับว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ได้ทรงทำนุบำรุงเมืองปทุมให้เจริญรุ่งเรืองเป็นหลักฐาน ชาวปทุมธานีจึงสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์มาจนตราบเท่าทุกวันนี้</p> <p><b>สมัยกรุงธนบุรี</b><b></b></p> <p>ภายหลังจากที่พระยาวชิรปราการ กอบกู้เอกราชของชาวไทยไว้ได้ เมื่อครั้งเสียกรุงแก่พม่าครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๑๐ ได้ประกาศตั้งเมืองหลวงขึ้นใหม่ เรียกว่า "กรุงธนบุรี" และปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๓๑๐ ทรงพระนามว่าสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ในปี พ.ศ. ๒๓๑๗ พม่าเกณฑ์ทหารมอญมาตีไทยที่ตำบลสามสบ ท่าดินแดง มีพญามอญหัวหน้า ๔ คน คือ พระยาเจ่ง เจ้าเมืองอัตรัน เป็นหัวหน้าใหญ่ พระยาอู่ตละเลี้ยงและตละเกล็บ ทหารมอญเหล่านี้ต่างมีความแค้นเคืองพม่าที่ได้กระทำทารุณกรรมต่อชาวมอญ ดังนั้น แทนที่จะมารบกับไทยตามที่พม่าเกณฑ์มา กลับยกทัพเข้าตีพม่าเสียเองที่เมาะตะมะ จนพม่าต้องทิ้งเมืองหนีไปร่างกุ้งเพราะเข้าใจว่าทัพไทยบุกเข้าโจมตีโดยไม่ทันรู้ตัวทัพมอญบุกตีพม่ารุกเข้าไปจนได้เมืองสะโตงหงสาวดี ครั้นพอถึงร่างกุ้ง อะแซ-หวุ่นกี้แม่ทัพ พม่ายกกำลังขึ้นปราบปราม มอญสู้ไม่ได้จึงหนีเข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภารทางเมืองตาก และด่านเจดีย์สามองค์ ประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน พระเจ้ากรุงธนบุรี จึงโปรดเกล้าฯ ให้เตรียมพลไปรับครอบครัวมอญเหล่านั้นให้ไปตั้งภูมิลำเนาอยู่ที่ปากเกร็ด แขวงเมืองนนทบุรีและ "สามโคก" ให้พระยารามัญวงศ์ มียศเสมอ จตุสดมภ์ หรือเรียกว่า "จักรีมอญ" เป็นหัวหน้าดูแลครัวมอญทั่วไป</p> <p><b>สมัยกรุงสมัยรัตนโกสินทร์</b><b></b></p> <p>พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในรัชสมัยของพระองค์ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๘ พระเจ้าปดุงกษัตริย์พม่าได้ทรงเกณฑ์แรงงานชาวมอญให้สร้างพระธาตุที่เมืองเมงถุนให้เป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างความลำบากยากเข็ญแก่ชาวมอญเหล่านั้นเป็นอย่างยิ่ง จึงพากันอพยพหลบหนีเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระมหากษัตริย์ไทยทางเมืองตาก เมืองอุทัยธานี และทางด่านเจดีย์สามองค์ เมืองกาญจนบุรี จำนวน ๔๐,๐๐๐ คน ดังกล่าวไว้ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ตอนหนึ่งว่า</p> <p>"เมื่อทรงทราบข่าวว่า ครัวมอญอพยพเข้ามา จึงโปรดให้กรมพระราชวังบวรสถานมงคลเสด็จขึ้นไปคอยรับครัวมอญ ทีเมืองนนทบุรี จัดจากและไม้สำหรับปลูกสร้างบ้านเรือนและเสบียงอาหารของพระราชทานขึ้นไปพร้อมเสร็จทางเมืองกาญจนบุรี โปรดให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฏฯ (รัชกาลที่ ๔) คุมไพร่พลสำหรับป้องกันครัวมอญ และเสบียงอาหารของพระราชทานออกไปรับครัวมอญทางหนึ่ง โปรดให้เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรีเป็นผู้ใหญ่เสด็จกำกับ</p> <p>ทางเมืองตากนั้นโปรดให้เจ้าพระยาอภัยภูธร ที่สมุหนายกเป็นผู้ขึ้นไปรับครัวมอญมาถึงเมืองนนทบุรี เมื่อ ณ วันพุธ เดือน ๙ แรม ๓ ค่ำ ปีกุน สัปตศก จุลศักราช ๑๑๗๗ พ.ศ. ๒๓๕๘ เป็นจำนวน ๔๐,๐๐๐ เศษ โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งภูมิลำเนาอยู่ในแขวงเมืองปทุมธานีบ้าง เมืองนนทบุรีบ้าง" </p> <p>พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงเอาพระทัยใส่ ดูแลทุกข์ สุข ครอบครัวมอญเหล่านั้นมิได้ขาด ครั้นถึงเดือน ๑๑ พ.ศ. ๒๓๕๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ ได้เสด็จประพาสเมืองสามโคกโดยทางชลมารค เพื่อทรงเยี่ยมเยียนชาวรามัญที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ พระองค์ทรงประทับ ณ พลับพลาริมแม่น้ำเจ้าพระยาตรงกับเมืองสามโคก (ตรงหน้าวัดปทุมทองปัจจุบันนี้) ทรงรับดอกบัวจากพสกนิกร ซึ่งนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายอยู่เป็นเนืองนิตย์ จึงพระราชทานนามเมืองสามโคกให้เป็นสิริมงคลใหม่ว่า "ประทุมธานี" เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๓๕๘ ยกฐานะเป็นหัวเมืองชั้นตรี ซึ่งมีหลักฐานปรากฏในวรรณคดีสำคัญของสุนทรภู่ ๒ เรื่อง คือ</p> <p><i>นิราศภูเขาทอง</i><i> (</i><i>แต่งราว</i><i> </i><i>พ</i><i>.</i><i>ศ</i><i>. </i><i>๒๓๗๑</i><i>) </i><i>ว่า</i><i></i></p> <p>"ถึงสามโคกโศกถวิลถึงปิ่นเกล้า</p> <p>พระพุทธเจ้าหลวงบำรุงซึ่งกรุงศรี</p> <p>ประทานนามสามโคกเป็นเมืองตรี</p> <p>ชื่อประทุมธานีเพราะมีบัว"</p> <p><i>(</i><i>นิราศวัดเจ้าฟ้า</i><i> </i><i>แต่งราว</i><i> </i><i>พ</i><i>.</i><i>ศ</i><i>. </i><i>๒๓๗๙</i><i>)</i></p> <p>"จึงที่นี้มีนามชื่อสามโคก</p> <p>เป็นคำโลกสมมุตติสุดแถลง</p> <p>ครั้งพระโกศโปรดปรานประทานแปลง</p> <p>ที่ตำแหน่งมอญมาสามิภักดิ์</p> <p>ชื่อประทุมธานีที่เสด็จ</p> <p>เดือนสิบเบ็ดบัวออกทั้งดอกฝัก</p> <p>มารับส่งตรงนี้ที่สำนัก</p> <p>พระยาพิทักษ์ทวยหาญผ่านพารา"</p> <p>ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีกรมมหาดไทย พ.ศ. ๒๔๓๗ (ร.ศ. ๑๑๓) ให้เมืองประทุมธานี นครเขื่อนขันธ์ เมืองสมุทรปราการ เป็นหัวเมืองแขวงมณฑลกรุงเทพฯ ทรงมีพระราชาธิบายว่า เป็นหัวเมืองที่อยู่ไกลกรุงเทพฯ เพียงพันเส้นเท่านั้น ประกอบกับมีโจรผู้ร้ายชุกชุม ให้มาขึ้นสังกัดกระทรวงนครบาล เพื่อที่ลาดตระเวนจะจับโจรผู้ร้าย ไม่ต้องไปขอตรา เจ้ากระทรวงมหาดไทยอีกต่อไป</p> <p>ปี พ.ศ. ๒๔๔๑-๒๔๔๒ (ร.ศ. ๑๑๗-๑๑๘) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ทำบัญชีสำมะโนประชากรของเมืองประทุมธานี ปรากฏว่ามีประชากรในเมืองประทุมธานีทั้งสิ้น ๒๑,๓๖๐ คน</p> <p>พ.ศ. ๒๔๕๙ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงให้ใช้คำว่า "จังหวัด" แทนคำว่าเมือง ดังนั้นเมืองประทุมธานี จึงเป็นจังหวัดประทุมธานีเป็นต้นมา โดยเปลี่ยนการเขียนใหม่ด้วย คือ "ประทุมธานี" เป็น "ปทุมธานี" ขึ้นอยู่กับมณฑลกรุงเก่า มีเขตการปกครอง ๓ อำเภอ คือ อำเภอบางกะดี อำเภอสามโคก และอำเภอเชียงราก</p> <p>ทั้งสามอำเภอตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาใกล้ ๆ กัน และมีอาณาเขตการปกครองของแต่ละอำเภอเป็นแนวลึกไปทางทิศตะวันตก ซึ่งไม่เหมาะแก่การปกครองเป็นอย่างยิ่ง ทางราชการจึงได้ประกาศให้แบ่งเขตการปกครองเสียใหม่ และให้ย้ายอำเภอเชียงรากไปตั้งที่ตำบลระแหงทางทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี เรียกว่า "อำเภอระแหง" ไปก่อน ตามหนังสือศาลากลางเมืองประทุมธานีที่ ๘๒๔/๓๒๒๘ ลงวันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๘ แล้วให้เปลี่ยนชื่ออำเภอ ระแหง เป็นอำเภอลาดหลุมแก้ว แต่นั้นเป็นต้นมา</p> <p>ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๗ ทางราชการให้ยุบจังหวัดธัญญบุรี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ ทำให้จังหวัดปทุมธานีมีเขตพื้นที่อีก ๔ อำเภอเพิ่มเข้ามารวมเป็น ๗ อำเภอ คือ</p> <p>อำเภอบางกะดี</p> <p>อำเภอสามโคก</p> <p>อำเภอลาดหลุมแก้ว</p> <p>อำเภอธัญบุรี</p> <p>อำเภอลำลูกกา</p> <p>อำเภอบางหวาย</p> <p>อำเภอหนองเสือ</p> <p>(สำหรับอำเภอบางหวาย ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "อำเภอคลองหลวง" เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๘ เมื่อทางราชการโดยบริษัทคูนาสยาม ได้ขุดคลองที่สองเชื่อมคลองรังสิตทางทิศใต้กับคลองระพีพัฒน์ทางทิศเหนือแล้วเสร็จ เนื่องจากตัวอาคารที่ว่าการอำเภอตั้งอยู่ริมคลองที่หลวง (ราชการ) ได้ขุดขึ้น)</p> <p>ดังนั้น เมืองสามโคก จึงเป็นที่ตั้งของจังหวัดปทุมธานีมาก่อน แต่เนื่องจากสภาพของเมืองมีลักษณะเป็นแหล่งอพยพ เจ้าเมืองผู้ใดมีบ้านเรือนตั้งอยู่ ณ ที่ใด ที่ว่าการเมืองก็อยู่ที่นั่นจึงทำให้ที่ว่าการเมืองต้องย้ายอยู่ถึง ๘ ครั้ง ดังนี้ คือ</p> <p>ครั้งที่ ๑ ย้ายจากตำบลบ้านงิ้ว ปากคลองบ้านพร้าว บริเวณวัดพญาเมือง (วัดร้าง) ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ไปตั้งที่บ้านสามโคก ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาระหว่างวัดตำหนักกับวัดสะแก</p> <p>ครั้งที่ ๒ ย้ายมาจากบ้านสามโคก ไปตั้งที่บ้านตอไม้ ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงกับวัดปทุมทองในปัจจุบัน</p> <p>ครั้งที่ ๓ ย้ายจากบ้านตอไม้ไปตั้งที่บ้านสามโคก ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาตามเดิม</p> <p>ครั้งที่ ๔ ย้ายจากบ้านสามโคกไปตั้งที่ปากคลองบางหลวงไหว้พระ ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ตำบลบ้านฉาง อำเภอเมืองปทุมธานี ปัจจุบัน</p> <p>ครั้งที่ ๕ ย้ายจากปากคลองบางหลวงไหว้พระไปตั้งระหว่างปากคลองบางโพธิ์ ฝั่งเหนือกับคลองบางหลวงฝั่งใต้ ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา</p> <p>ครั้งที่ ๖ (พ.ศ. ๒๔๕๙) ย้ายจากปากคลองบางโพธิ์เหนือไปตั้งที่บ้านโคกชะพลูใต้คลองบางทรายฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา</p> <p>ครั้งที่ ๗ (พ.ศ. ๒๔๖๐) ย้ายจากบ้านโคกชะพลู ไปตั้งที่ตำบลบางปรอก อำเภอเมืองปทุมธานี ปัจจุบัน ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา</p> <p>ครั้งที่ ๘ (พ.ศ. ๒๕๑๙) ย้ายจากตำบลบางปรอก ไปตั้งที่ตำบลบ้านฉางนอกเขตเทศบาลเมืองปทุมธานี ตรงสี่แยกถนนปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว ติดกับโรงพยาบาลปทุมธานีและด้านหน้าติดกับถนนแยกไปอำเภอสามโคก ย้ายไปปฏิบัติการเมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๑๙</p> <p>การก่อสร้างอาคารศาลากลางจังหวัดปทุมธานี ที่ย้ายครั้งที่ ๘ ใหม่นี้ ได้เริ่มลงมือก่อสร้างอาคารสมัย พลตรีวิทย์ นิ่มนวล เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช ได้เสด็จมาทรงเป็นองค์ประธานประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ดังคำกราบทูลของพลตรีวิทย์ นิ่มนวล ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ถวายรายงานแด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชตอนหนึ่งว่า</p> <p>".......เกล้ากระหม่อมและบรรดาข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน ชาวจังหวัดปทุมธานีรู้สึกซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณ เป็นล้นพ้น ที่ฝ่าพระบาทได้ทรงพระกรุณาสละเวลาเสด็จมาเป็นองค์ประธาน ในพิธีวางศิลาฤกษ์ อาคารศาลากลางจังหวัดปทุมธานีหลังใหม่ในวันนี้ นับเป็นพระเดชพระคุณหาที่สุด มิได้...."</p> <p>ที่ดินในการปลูกสร้างอาคารศาลากลางหลังใหม่นี้ คุณนายกฐิน กุยยกานนท์ ได้ยกให้กับทางราชการ จำนวน ๑๖ ไร่ การก่อสร้างใช้เงินงบประมาณ ในการถมดินและก่อสร้าง รวมทั้งสิ้น ๘,๙๒๖,๐๐๐ บาท (แปดล้านเก้าแสนสองหมื่นหกพันบาท)</p> <p>เมื่อสร้างอาคารหลังใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้ขนย้ายพัสดุครุภัณฑ์ เอกสารต่าง ๆ จากศาลากลางเก่า ไปศาลากลางใหม่ เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๙</p> <p>เมื่อนายสุธี โอบอ้อม มาดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ได้สนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเมืองปทุมธานีเป็นอย่างมาก ได้สำรวจค้นหาศาลหลักเมืองปทุมธานีและสอบถามชาวเมืองปทุมธานี แล้วปรากฏว่า เมืองนี้ได้โยกย้ายตัวเมืองอยู่หลายครั้งและไม่เคยมีศาลหลักเมืองมาก่อนเหมือนเมืองอื่น ๆ จึงดำริเห็นเป็นสำคัญว่า ควรจะสร้างศาลหลักเมืองไว้ให้มั่นคง เพื่อเป็นเครื่อง ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวปทุมธานี พร้อมทั้งให้เกิดความรักสามัคคีกันให้มากยิ่งขึ้น ทั้งยังจะนำความสงบสุขร่มเย็นมาสู่เมืองด้วย ความดำรินี้จึงเห็นพ้องต้องกันระหว่างข้าราชการ พ่อค้าแม่ค้า และประชาชน ได้ร่วมกันสละทรัพย์คนละเล็กคนละน้อย ดำเนินการสร้างศาลหลักเมืองขึ้น โดยเริ่มลงมือทำพิธีสะเดาะพื้นที่ที่จะสร้างศาลหลักเมือง เพื่อความสวัสดิมงคล เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๙</p> <p>ต่อมาสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (วาสน์ วาสโน) ได้เสด็จมาทรงเป็นประธานวางศิลาฤกษ์หลักเมือง เมื่อวันจันทร์ วันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๐ ตรงกับเวลา ๑๕.๐๐ น. เดือนยี่ ขึ้น ๑๔ ค่ำ ปีมะโรง ณ บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดปทุมธานี</p> <p>ทางกรมศิลปากร ได้เป็นผู้ออกแบบประดิษฐ์ตัวเสาหลักเมือง ซึ่งทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ ที่ทางกรมป่าไม้ได้นำมาจากสวนป่าลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์มอบให้ ครั้นเมื่อประดิษฐ์เสร็จเรียบร้อยแล้วได้นำเข้าพระตำหนักสวนจิตรลดาเพื่อทูลเกล้า ฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๙) ทรงเจิมเมื่อวันศุกร์ วันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ เวลาฤกษ์ ๘.๒๙ น. และในคืนนี้เวลาประมาณ ๕ ทุ่ม ได้เกิดจันทรคราสจับครึ่งดวงเป็นที่น่าอัศจรรย์</p> <p>เมื่อสร้างตัวศาลหลักเมืองแบบจตุรมุขยอดปรางค์เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้กำหนดการประกอบพิธียกเสาหลักเมืองจังหวัดปทุมธานี เมื่อวันพุธ วันที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ โดยมี ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธี มีขบวนแห่ยาวเหยียด มีการสมโภชเฉลิมฉลองเป็นงานใหญ่อย่าง เอิกเกริก</p> <p>ศาลหลักเมืองจึงตั้งเด่นเป็นสง่า อยู่หน้าศาลากลางจังหวัดปทุมธานี มีผู้คนมากราบไหว้บูชากันอยู่มิได้ขาด นับว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นศูนย์รวมน้ำใจของชาวปทุมธานี ให้มีความรักสมัครสมานสามัคคีกันให้แข็งแกร่ง เพื่อปกป้องคุ้มครองสถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่เคารพรักยิ่งชีวิตของชาวไทย ไว้ให้มั่นคงถาวรสืบไปชั่วกาลนาน</p> <p><b>การจัดรูปการปกครองระบบมณฑลเทศาภิบาล</b><b></b></p> <p>แต่เดิมการปกครองบ้านเมืองมีข้อสำคัญเป็นหลัก ๒ ประการ คือ เมื่อมีข้าศึกศัตรู ภายนอก ชาวเมืองต้องช่วยกันรบพุ่งต่อสู้ป้องกันบ้านเมืองประการหนึ่ง ซึ่งตรงกับ "การทหาร" และในยามที่บ้านเมืองเป็นปกติสุข ก็ช่วยกันทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองอีกประการหนึ่ง ซึ่งตรงกับการ "การพลเมือง" ด้วยเหตุนี้กรมต่าง ๆ จึงต้องทำงานทั้งในด้านการทหารและพลเรือน สุดแต่จะมีงานฝ่ายไหนเป็นสำคัญ แต่การสงครามนั้นนาน ๆ จะมีสักครั้ง จึงมักจะมีงานฝ่ายพลเรือนมากกว่า และเมื่อก่อนที่จะแบ่งแยก ระเบียบราชการเป็นฝ่ายทหารและพลเรือนนั้น ในราชการฝ่ายพลเรือน มีกรมใหญ่อยู่ ๔ กรม คือ กรมเมือง กรมวัง กรมคลัง และกรมนา เรียกรวมกันว่า "จตุสดมภ์" โดยหัวหน้ากรมทั้ง ๔ มีศักดิ์เสมอกันทั้ง ๔ คน เป็นใหญ่กว่าข้าราชการทั้งปวง ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้ทรงกำหนดราชการให้เป็นฝ่ายทหารและพลเรือน โดยทรงตั้งหน่วยราชการเพิ่มขึ้นอีก ๒ กรม คือ กรมกลาโหม และกรมมหาดไทย ซึ่งกรมทั้ง ๒ นี้มีฐานะใหญ่กว่าจตุสดมภ์ดังกล่าวแล้ว และเป็นผู้ควบคุมบังคับบัญชาฝ่ายทหารและพลเรือนทั้งหมด มีอัครมหาเสนาบดีเป็นหัวหน้าฝ่ายละคน คือ สมุหพระกลาโหม และสมุหนายก แต่ก็มิใช่เป็นการแบ่งแยกราชการออกเป็นทหารและพลเรือน เช่นในปัจจุบัน ข้าราชการทั้ง ๓ ฝ่ายยังคงมีหน้าที่ต้องทำทั้งการทหารและพลเรือนอยู่อย่างเดิม ส่วนการปกครองหัวเมืองนั้น อำนาจการปกครองบังคับบัญชาแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะทางใกล้ไกล คือ หัวเมืองที่อยู่ห่างไกลจากราชธานีมาก ก็จะมีอิสระในการปกครองตนเองมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้แบ่งออกเป็นเมืองเอก โท ตรี และมืองจัตวา โดยให้เมืองน้อยขึ้นกับเมืองใหญ่ คือ หัวเมืองชั้นในขึ้นกับราชธานี และเมืองเล็กขึ้นกับเมืองพระยามหานคร เป็นต้น</p> <p>ระบบการปกครองดังกล่าวนี้ ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามแต่เหตุการณ์และความเหมาะสม ซึ่งก็ได้ใช้อยู่ตลอดมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๕ จึงได้มีการปฏิรูปการบริหารราชการเสียใหม่ โดยทรงแบ่งหน่วยราชการส่วนกลางออกเป็น ๑๒ กระทรวงด้วยกัน แต่ละกระทรวงมีเสนาบดีเป็นผู้บังคับบัญชา มีฐานะเท่าเทียมกันทุกตำแหน่ง สำหรับการ ปกครองส่วนภูมิภาค หรือการปกครองหัวเมือง ซึ่งแต่เดิมได้แยกกันอยู่ในบังคับบัญชาของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และกรมท่า (ก่อนเปลี่ยนเป็นกระทรวงการต่างประเทศ) ก็ได้ปรับปรุงให้รวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑล มีข้าหลวงใหญ่เป็นผู้ปกครอง รวม ๖ มณฑล คือ มณฑลลางเฉียง หรือ มณฑลพายัพ มณฑลลาวพวน หรือมณฑลอุดร (มณฑลนี้เมื่อก่อน พ.ศ. ๒๔๓๖ รวมหัวเมืองฝั่งซ้าย แม่น้ำโขงเข้าด้วย เช่น เมืองพวน และเมืองเชียงขวาง จนกระทั่ง ร.ศ. ๑๑๒ คงเหลือเพียง ๖ เมือง) มณฑลลาวกาวหรือมณฑลอีสาน มณฑลเขมรหรือมณฑลบูรพา มณฑลลาวกลาง และมณฑลภูเก็ต แต่การรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลดังกล่าวนี้ยังไม่ใช่การปกครองลักษณะมณฑลเทศาภิบาล</p> <p><b>การเทศาภิบาล</b><b></b></p> <p>การเทศาภิบาล คือ การปกครองที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการออกไปดำเนินการในส่วนภูมิภาค โดยแบ่งการปกครอง เป็นมณฑล เมือง อำเภอ ตำบลและหมู่บ้าน ทั้งนี้ได้จัดแบ่งหน้าที่ การงานออกเป็นสัดส่วน โดยมีสมุหเทศาภิบาล ผู้ว่าราชการเมือง และนายอำเภอ เป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาข้าราชการจะดูแลทุกข์สุขของประชาชนในเขตท้องที่นั้น รวมทั้งมีกำนันผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ช่วยเหลือปฏิบัติงานในระดับตำบล และหมู่บ้าน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งการเทศาภิบาลเป็นระบบการปกครองส่วนภูมิภาค มีลักษณะรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง โดยการที่รัฐบาลจัดส่งข้าราชการไปบริหารราชการในท้องที่ต่าง ๆ แทนที่จะให้ส่วนภูมิภาคจัดการปกครองกันเอง อันเป็นการยกเลิกการปกครองแบบโบราณดั้งเดิมของไทยที่เรียกว่า "กินเมือง" ให้หมดสิ้นไป</p> <p>เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริ จะจัดการปกครอง พระราชอาณาจักรให้มั่นคงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทรงเห็นว่าการที่หัวเมืองต่างก็แยกกันขึ้นอยู่ในกระทรวงต่าง ๆ ถึง ๓ กระทรวงนั้น เป็นการยากที่จะจัดการปกครองให้เป็นระเบียบเรียบร้อยได้ จึงทรงมีพระบรมราชโองการให้แบ่งหน้าที่ระหว่างกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหมเสียใหม่และเมื่อได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยปกครองหัวเมืองทั้งปวง โดยให้รวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลขึ้นต่อกระทรวงมหาดไทย ต่อมาจึงได้ดำเนินการจัดระบบการปกครองในรูปมณฑลเทศาภิบาลดังกล่าว ข้างต้น ซึ่งได้เริ่มใช้อย่างแท้จริงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ แต่ก็มิได้ดำเนินการพร้อมกันทีเดียวทั่วราชอาณา-จักร คงจัดตั้งมณฑลขึ้นตามความเหมาะสมและให้ปรับปรุงมณฑลที่ตั้งก่อน พ.ศ. ๒๔๓๗ ให้เป็นลักษณะเทศาภิบาลเหมือนกันเป็นลำดับ ดังนี้</p> <p>พ.ศ. ๒๔๓๗ เมื่อเหตุการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ผ่านพ้นไปแล้วได้เริ่มจัดระบบการเทศาภิบาล โดยเลิกประเพณีการมีประเทศราชและได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลรวม ๓ มณฑล คือมณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีน และได้รวบรวมหัวเมืองจากกระทรวงกลาโหมและกรมท่ามาตั้งเป็นมณฑลราชบุรี</p> <p>พ.ศ. ๒๔๓๘ ตั้งขึ้น ๓ มณฑล คือ มณฑลนครชัยศรี มณฑลนครสวรรค์ และมณฑล กรุงเก่า (เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า มณฑลอยุธยา ในรัชกาลที่ ๖)</p> <p>พ.ศ. ๒๔๓๙ ตั้งชื่อ ๒ มณฑล คือ มณฑลนครศรีธรรมราช และมณฑลชุมพร (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลสุราษฎร์)</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๐ ตั้งขึ้น ๑ มณฑล โดยโอนหัวเมืองของไทย และหัวเมืองมลายูฝ่ายตะวันตก ซึ่งเป็นประเทศราชมาก่อน ตั้งเป็นมณฑลไทรบุรี</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๒ ตั้งขึ้น ๑ มณฑล คือ มณฑลเพชรบูรณ์ มณฑลนี้มีการตั้งและยุบถึง ๒ ครั้ง เพราะเป็นท้องที่กันดารและเป็นมณฑลที่มีท้องที่เล็กกว่ามณฑลอื่น</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๒ ได้ปรับปรุงจัดระบบมณฑลพายัพ มณฑลอุดร และมณฑลอีสาน ซึ่งเป็นมณฑลในสภาพเดิม ให้เป็นมณฑลเทศาภิบาล</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๙ ตั้งมณฑลขึ้นใหม่ ๒ มณฑล คือ มณฑลจันทบุรี และได้แบ่งหัวเมืองจากมณฑลนครศรีธรรมราช มารวมกันจัดตั้งเป็นมณฑลปัตตานี</p> <p>พ.ศ. ๒๔๕๕ ตั้งมณฑลเพิ่มอีก ๑ มณฑล โดยแบ่งแยกท้องที่จากมณฑลอีสาน ออกเป็น ๒ มณฑล เรียกว่า มณฑลอุบลราชธานีและมณฑลร้อยเอ็ด</p> <p>พ.ศ. ๒๔๕๘ ตั้งมณฑลเพิ่มขึ้นอีก ๑ มณฑล โดยแบ่งพื้นที่จากมณฑลพายัพ มาตั้งเป็นมณฑลมหาราษฎร์ อีก ๑ มณฑล</p> <p>มณฑลกรุงเทพฯ ได้จัดตั้งเป็นมณฑล เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๘ เนื่องจากเป็นที่ตั้งราชธานีจึงมีระเบียบการปกครองผิดกับระเบียบการปกครองของมณฑลอื่น ๆ กล่าวคือ ไม่มีตำแหน่งข้าหลวงเทศาภิบาล หรือสมุหเทศาภิบาล มณฑลกรุงเทพฯ อยู่ใต้บังคับบัญชารับผิดชอบของเสนาบดีกระทรวงนครบาลโดยเฉพาะ และเมื่อรวมกระทรวงนครบาลเข้ากับกระทรวงมหาดไทยแล้ว จึงมีสมุหนครบาลเป็นหัวหน้ารับผิดชอบเช่นเดียวกับมณฑลอื่น ๆ มณฑลกรุงเทพฯ มีเมืองอยู่ในปกครอง ๖ เมือง คือ พระนคร ธนบุรี ปทุมธานี นครเขื่อนขันธ์ (พระประแดง) สมุทรปราการและนนทบุรี</p> <p>หลังจากที่ได้จัดการปกครองระบบเทศาภิบาลแล้ว ก็มีการปรับปรุงแก้ไขตลอดมาและเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๕๙ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศเปลี่ยนคำว่า "เมือง" เป็น "จังหวัด" ต่อเมื่อมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย การปกครองระบบเทศาภิบาล ได้ถูกยุบเลิกโดยพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๔๗๙ ซึ่งให้ถือจังหวัดเป็นเขตการปกครองส่วนภูมิภาคนับแต่นั้นเป็นต้นมา</p> <p><b>การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน</b><b></b></p> <p>การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมือง เมื่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น ปรากฏตามระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดมีฐานะเป็น หน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง นอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอแล้ว ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลอีกด้วย เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสีย เหตุที่ยกเลิกมณฑลน่าจะเนื่องจาก</p> <p>๑) การคมนาคมสื่อสารสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน สามารถที่จะสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง</p> <p>๒) เพื่อประหยัดค่าจ่ายของประเทศให้น้อยลง</p> <p>๓) เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล มณฑลรายงานต่อกระทรวง เป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น</p> <p>๔) รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ ๆ มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วน ภูมิภาคยิ่งขึ้น และการที่ยุบมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจนั่นเอง</p> <p>ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกฉบับหนึ่ง ในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัดมีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนี้</p> <p>๑) จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่</p> <p>๒) อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคล ได้แก่ คณะกรมการจังหวัดนั้น ได้เปลี่ยนมาอยู่กับบุคคลคนเดียว คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด</p> <p>๓) ในฐานะของคณะกรมการจังหวัด ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัด ได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด</p> <p>ต่อมา ได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น</p> <p>๑) จังหวัด</p> <p>๒) อำเภอ</p> <p>จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลาย ๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคลการตั้ง ยุบและเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น <table cellspacing="0" cellpadding="0"><tbody> <tr> <td width="4"></td> </tr> <tr> <td></td> <td><a href="http://lh4.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkb6RolHNI/AAAAAAAAASs/JtUjVmAM0JY/s1600-h/clip_image0013.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image001" border="0" alt="clip_image001" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgi7dFUfUdp3nrma_wJVJ1lmRYraOhLJxFvYzwYSywdrupS8FV99KrSCfiLQS3B3t7S_2BgSHgB373aNG6Zt5nA7PvqBFTrFpAOhIz-5nK7Ld-UFowCXOQdGLBb2noeZYqbs8rjGTIDjK0/?imgmax=800" width="240" height="2" /></a></td> </tr> </tbody></table> </p> <p>ที่มา <b>: </b><b>ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดปทุมธานี</b>. กรุงเทพ, โรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่น : ๒๕๒๗.</p> ไม้ไผ่http://www.blogger.com/profile/13079736154779537493noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3975884513971132653.post-65928671666411202032010-08-16T04:05:00.001-07:002010-08-16T04:05:55.231-07:00นนทบุรี<p>ประวัติศาสตร์จังหวัดนนทบุรี</p> <p>ก่อนสมัยกรุงรัตนโกสินทร์</p> <p>จังหวัดนนทบุรี เป็นเมืองเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ตำบลที่ตั้งเมืองนนทบุรีขึ้นมาครั้งแรกนั้นมีชื่อว่า บ้านตลาดขวัญ ต่อมาได้ยกฐานะขึ้นเป็นเมืองนนทบุรี เมื่อ พ.ศ. ๒๐๙๒ ในรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ดังปรากฏหลักฐานในพระราชพงศาวดารว่า “ฝ่ายสมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้าให้สถาปนาที่พระราชทานเพลิงนั้น<a href="#_ftn1_8341" name="_ftnref1_8341">(</a>๑) เป็นพระเจดีย์วิหารสำเร็จแล้ว ให้นามชื่อ วัดสบสวรรค์ แล้วสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า ไพร่บ้านเมืองตรีจัตวา ปากใต้ฝ่ายเหนือเข้าพระนครครั้งนี้น้อย หนีออกอยู่ป่าดงห้วยเขา ต้อนไม่ได้เป็นอันมากให้เอาบ้านท่าจีนตั้งเป็นเมือง สาครบุรี<a href="#_ftn2_8341" name="_ftnref2_8341">(</a>๒) ให้เอาบ้านตลาดขวัญตั้งเป็นเมืองนนทบุรี ให้แบ่งเอาแขวงเมืองราชบุรี แขวงเมืองสุพรรณบุรี ตั้งเป็นเมืองนครชัยศรี…”<a href="#_ftn3_8341" name="_ftnref3_8341">(</a>๓)</p> <p>บ้านตลาดขวัญเป็นดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์และเป็นสวนผลไม้ที่ขึ้นชื่อแห่งหนึ่ง ของกรุงศรีอยุธยา ฝรั่งต่างชาติที่ได้เดินทางเข้ามาค้าขายและเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาต่างก็ได้บันทึกเอาไว้ ดังปรากฏในจดหมายเหตุบันทึกการเดินทางของลาลูแบร์ ชาวฝรั่งเศสผู้ซึ่งเดินทางเข้ามาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชว่า “สวนผลไม้ที่บางกอกนั้น<a href="#_ftn4_8341" name="_ftnref4_8341">(</a>๔) มีอาณาบริเวณยาวไปตามชายฝั่ง โดยทวนขึ้นสู่เมืองสยามถึง ๔ ลี้ กระทั่งจรดตลาดขวัญ (Talacouan) ทำให้เมืองหลวงแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยผลาหาร ซึ่งคนพื้นเมืองชอบบริโภคกันนักหนา.…”<a href="#_ftn5_8341" name="_ftnref5_8341">(</a>๕)</p> <p>นอกจากนี้ยังมีดินแดนทางตอนใต้ของตลาดขวัญอีกแห่งหนึ่งชื่อว่า ตลาดแก้ว ตลาดแก้วแห่งนี้เข้าใจว่าคงจะมีความสำคัญควบคู่กันมากับตลาดขวัญตั้งแต่ก่อนจะตั้งเป็นเมืองนนทบุรีแล้ว เพราะปรากฏในจดหมายเหตุของลาลูแบร์ว่า “……ตำบลสำคัญๆ ที่แม่น้ำสายนี้<a href="#_ftn6_8341" name="_ftnref6_8341">(</a>๖)ไหลผ่าน คือ แม่ตาก (Mc-Tae) อันเป็นเมืองเอกของราชอาณาจักรสยามที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือหนพายัพ ถัดจากนี้ต่อมาก็ถึงเมืองเทียนทอง (Tian-Tong) หรือเชียงทอง กำแพงเพชรหรือกำแพงเฉยๆ ซึ่งลางคนออกเสียงว่า กำแปง (Campingue) แล้วก็มาถึงเมืองนครสวรรค์ (Loconsevan) ชัยนาท (Tchainat) สยาม<a href="#_ftn7_8341" name="_ftnref7_8341">(</a>๗) ตลาดขวัญ ตลาดแก้ว (Talapu’ou) และบางกอก.….<a href="#_ftn8_8341" name="_ftnref8_8341">(</a>๘)</p> <p>สำหรับบริเวณอันเป็นที่ตั้งของตลาดแก้วในปัจจุบันนี้ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าอยู่ตรงไหน แน่มีผู้สันนิษฐานว่าคงจะอยู่แถววัดปากน้ำ ตำบลสวนใหญ่ อำเภอเมืองนนทบุรี ขึ้นไป เมื่อสุนทรภู่แต่งนิราศภูเขาทอง เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๑ ก็ปรากฏว่าตลาดแก้วได้เลือนลางไปแล้ว คงเหลือแต่เพียงตลาดขวัญเท่านั้น ดังปรากฏในนิราศภูเขาทองว่า </p> <p>“ตลาดแก้วแล้วไม่เห็นตลาดตั้ง สองฟากฝั่งก็แต่ล้วนสวนพฤกษา </p> <p>โอ้รินรินกลิ่นดอกไม้ใกล้คงคา เหมือนกลิ่นผ้าแพรดำร่ำมะเกลือ </p> <p>เห็นโศกใหญ่ใกล้น้ำระกำแฝง ทิ้งรักแซงแซมสวาดประหลาดเหลือ </p> <p>เหมือนโศกพี่ที่ช้ำระกำเจือ เพราะรักเรื้อแรมสวาทมาคลาดคลาย </p> <p>ถึงแขวงนนท์ชลมารคตลาดขวัญ มีพ่วงแพแพรพรรณเขาค้าขาย </p> <p>ทั้งของสวนล้วนแต่เรือเรียงราย พวกหญิงชายชุมกันทุกวันคืน”</p> <p>ตัวเมืองนนทบุรีแต่เดิมนั้นตั้งอยู่ที่ตำบลบางกระสอในปัจจุบันนี้ โดยมีวัดหัวเมือง (เดี๋ยวนี้เป็นวัดร้าง ทางราชการได้ใช้เป็นสถานที่สร้างโรงพยาบาลนนทบุรี) เป็นเขตเหนือ และ มีวัดท้ายเมืองเป็นเขตใต้</p> <p>พ.ศ. ๒๐๘๑ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้โปรดให้ขุดคลองลัดจากคลองบางกรวย (แม่น้ำเจ้าพระยา) ริมวัดชะลอ ไปทะลุวัดมูลเหล็ก<a href="#_ftn9_8341" name="_ftnref9_8341">(</a>๑) (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นวัดสุวรรณคีรี)</p> <p>พ.ศ. ๒๑๗๙ พระเจ้าปราสาททองโปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองลัดตอนใต้วัดท้ายเมืองไปทะลุออกหน้าวัดเขมา<a href="#_ftn10_8341" name="_ftnref10_8341">(</a>๒) เพราะแต่เดิมมาแม่น้ำเจ้าพระยาไหลวกเข้าแม่น้ำอ้อมมาทางบางใหญ่แล้ววกเข้าคลองบางกรวยข้างวัดชะลอ มาออกหน้าวัดเขมา เมื่อขุดคลองลัดแล้วกระแสน้ำเปลี่ยนทางเดินไหลเข้าคลองลัดที่ขุดใหม่ นานเข้าก็กลายเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาใหม่ดังปัจจุบันนี้ ส่วนแม่น้ำเจ้าพระยาเดิมก็ ตื้นเขินกลายเป็นคลองไป</p> <p>พ.ศ. ๒๒๐๘ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเห็นว่า ตามที่แม่น้ำเปลี่ยนทางเดินใหม่นั้น ทำให้ข้าศึกประชิดพระนครได้ง่าย จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างป้อมปราการตรงปากแม่น้ำอ้อม และโปรดให้ย้ายเมืองนนทบุรีมาอยู่ปากแม่น้ำอ้อมด้วย (ต่อมาในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้รื้อป้อมและเมืองบางส่วน เพื่อนำอิฐไปสร้างวัดเฉลิมพระเกียรติ และบางส่วนก็ถูกกระแสน้ำ พัดเซาะพังทะลายลงน้ำไป ปัจจุบันเหลือแต่ศาลหลักเมืองเท่านั้น)</p> <p>นอกจากป้อมที่ปากแม่น้ำอ้อมแล้ว เข้าใจว่าในสมัยกรุงศรีอยุธยาคงจะได้มีการสร้างป้อมไม้เอาไว้ที่บริเวณวัดเฉลิมพระเกียรติในปัจจุบันนี้ด้วย เพราะปรากฏหลักฐานจากจดหมายเหตุรายวันของบาทหลวง เดอ ซัวซีย์ (L’abbé de Choisy) ผู้ซึ่งเดินทางร่วมมากับคณะราชฑูตของพระเจ้าหลุยส์ ที่ ๑๔ ที่เข้ามาเจริญทางพระราชไมตรีในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อ พ.ศ. ๒๒๒๘ ว่า “….เช้าวันนี้เราผ่านป้อมที่ทำด้วยไม้ ๒ ป้อม ป้อมหนึ่ง ยิงปืนเป็นการคำนับ ๑๐ นัด อีกป้อมหนึ่ง ๘ นัด ที่นี่มีแต่ปืนครกเท่านั้น ดินปืนดีมากทีเดียว ป้อมทางขวามือเรียกป้อมแก้ว (Hale de Cristal) และป้อมทางซ้ายมือเรียกป้อมทับทิม (Hale de Rubis) ณ ที่นี้เจ้าเมืองบางกอกก็กล่าวคำอำลาและอ้างเหตุว่าได้ควบคุมเรือขบวนมาส่งจนสุดแดนที่อยู่ในความปกครอง ของเมืองบางกอกแล้ว แล้วก็ลาท่านราชฑูตกลับไป……”<a href="#_ftn11_8341" name="_ftnref11_8341">(</a>๑)</p> <p>และใน ปี พ.ศ. ๒๒๓๐ เมื่อลาลูแบร์เป็นราชฑูตเข้ามากรุงศรีอยุธยาก็ได้กล่าวถึงป้อมไม้แห่งนี้ไว้ด้วย โดยเขียนเป็นแผนที่เอาไว้อย่างชัดเจน (โปรดดูแผนที่) ตามหลักฐานดังกล่าว จึงเข้าใจว่าป้อมแก้ว คงตั้งอยู่ ณ บริเวณตลาดแก้ว ส่วนป้อมทับทิมเข้าใจว่าคงตั้งอยู่ ณ บริเวณหน้าวัดเฉลิม พระเกียรติ ปัจจุบันนี้</p> <p>พ.ศ. ๒๒๖๔ ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ได้ทรงโปรดให้ขุดคลองลัดเกร็ด ที่อำเภอปากเกร็ด ดังปรากฏในหลักฐานในพงศาวดารว่า “ในปีขาล จัตวาศก ทรงพระกรุณาโปรดให้พระธนบุรีเป็นแม่กอง เกณฑ์พลนิกายคนหัวเมืองปากใต้ให้ได้คน ๑๐,๐๐๐ เศษ ให้ขุดคลองเตร็ดน้อย ลัดคุ้งบางบัวทองนั้นคดอ้อมหนัก ขุดลัดตัดให้ตรงพระธนบุรีรับสั่งแล้วกราบบังคมลามาให้เกณฑ์พลนิกายในบรรดาหัวเมืองปากใต้ได้คน ๑๐,๐๐๐ เศษ ให้ขุดคลองเตร็ดน้อยนั้นลึก ๖ ศอก กว้าง ๖ วา ยาวทางไกลได้ ๓๙ เส้นเศษ ขุดเดือนเศษจึงแล้ว…..”<a href="#_ftn12_8341" name="_ftnref12_8341">(</a>๒)</p> <p>พ.ศ. ๒๓๐๗ ในรัชกาลสมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์ ได้มีเหตุการณ์สงครามเกี่ยวข้องกับจังหวัดนนทบุรี เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนที่จะเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าเพียงเล็กน้อยคือเมื่อมังมหานรธาเป็นแม่ทัพพม่ายกทัพเข้าตีเมืองทวาย เมืองตะนาวศรีได้แล้วยกติดตามตีพวกมอญมาจนถึงเมืองชุมพรได้โดยสะดวก จึงมีความกำเริบคิดยกเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา ดังปรากฏในพงศาวดารว่า “….ครั้น ณ เดือน ๗ มังมหานรธาให้แยงตะยุกลับขึ้นไปแจ้งราชการ ณ กรุงอังวะ แล้วจึงปรึกษากันว่า เรามาตีเมืองทวายได้ บัดนี้หามีผู้ใดจะต้านต่อฝีมือทแกล้วทหารเราไม่ ควรเราจะยกเข้าไปชิงเอาซึ่งเศวตฉัตร ณ กรุงเทพมหานคร….....” แล้วมังมหานรธาก็เดินทัพมุ่งเข้าตีกรุงศรีอยุธยาโดยลำดับ จนถึงเมืองนนทบุรี ซึ่งก็ถูกมังมหานรธาตีแตกเช่นเดียวกับเมืองรายทางอื่นๆ ดังพงศาวดารกล่าวว่า "……..ครั้ง ณ เดือน ๑๐ พม่ายกทัพเรือลงมาตีค่าย (บาง) บำรุแตก แล้วยกมาตีเมืองนนทบุรีได้.........”<a href="#_ftn13_8341" name="_ftnref13_8341">(</a>๓)</p> <p>เมื่อพม่าตีได้เมืองนนทบุรีแล้ว ขณะนั้นมีเรือกำปั่นอังกฤษเข้ามาค้าขายที่ธนบุรีจึงรับอาสาช่วยรบพม่า พม่าเอาปืนใหญ่ตั้งบนป้อมวิชาเยนทร์ ยิงโต้ตอบกับกำปั่นในที่สุดกำปั่นถอนสมอหนีไปอยู่ที่เมืองนนท์ เมืองนนทบุรีจึงเป็นยุทธภูมิระหว่างเรือกำปั่นอังกฤษกับพม่า ดังปรากฏในพงศาวดารว่า “……..ฝ่ายทัพพระยายมราช ซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองนนท์นั้น ก็เลิกหนีขึ้นไปเสีย พม่าตั้ง (อยู่) เมืองธนบุรีแล้ว จึงแบ่งกันขึ้นมาตั้งค่าย ณ วัดเขมา ตำบลตลาดแก้วทั้งสองฟาก ครั้นเพลากลางคืนนายกำปั่น จึงขอเรือกราบมาชักสลุบล่องลงไป ไม่ให้มีปากเสียงครั้นตรงค่ายพม่า ณ วัดเขมาแล้ว ก็จุดปืนรายแคมพร้อมกันทั้งสองข้าง ฝ่ายพม่าต้องปืนล้มตายเจ็บลำบาก แตกวิ่งออกจากค่าย ครั้นน้ำขึ้นเพลาเช้า สลุบถอยมาหากำปั่น ซึ่งทอดอยู่ ณ ตลาดขวัญ ฝ่ายพม่าก็ยกเข้าค่ายเมืองนนทบุรี......."<a href="#_ftn14_8341" name="_ftnref14_8341">(</a>๔)</p> <p>ประวัติความเป็นมาของประชากรในจังหวัดนนทบุรี</p> <p>ประชากรของจังหวัดนนทบุรีประกอบไปด้วยชนชาวไทยที่สืบเชื้อสายมาจากหลายเชื้อชาติมีทั้งไทย จีน มอญ แขก เป็นต้น</p> <p>ชนชาติไทยมีอยู่ทั่วไปทุกอำเภอ เป็นชนส่วนใหญ่ที่สุดของจังหวัด แต่เดิมอยู่ที่ใดมาจากไหน ไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัด รองลงไปเป็นเชื้อสายจีน ซึ่งไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าได้เข้ามาอยู่ในจังหวัดนนทบุรีตั้งแต่เมื่อใด สันนิษฐานว่าคงจะเข้ามาอยู่ตั้งแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี</p> <p>นอกจากนี้ ยังมีชนชาติที่อพยพเข้ามาภายหลังอีกสองเชื้อชาติ คือ ชาวไทยเชื้อสายมอญและชาวไทยเชื้อสายมลายู ชาวไทยสองเชื้อชาตินี้อพยพมาอยู่ในจังหวัดนนทบุรีตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาสมัยกรุงธนบุรี ตลอดจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ดังปรากฏหลักฐานในหนังสืออักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทย ดังนี้ "..…ในจังหวัดนี้มีชาวไทยที่สืบเชื้อสายมาจากมอญอยู่มากแถวอำเภอปากเกร็ด ตั้งแต่ปากคลองบางตลาดฝั่งเหนือลำแม่น้ำเจ้าพระยา ด้านตะวันออกและตะวันตก ตำบลอ้อมเกร็ด เหนือคลองบางภูมิขึ้นไป รวมทั้งเกาะเกร็ดด้วย มีชาวไทยที่สืบเชื้อสายมาจากมอญ ซึ่งอพยพเข้ามาพึ่งบรมโพธิสมภารในสมัยกรุงธนบุรี เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๗ คราวหนึ่งกับเมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๘ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒ อีกคราวหนึ่ง เรียกว่ามอญใหม่ โปรดให้แบ่งครอบครัวไปอยู่เมืองปทุมธานีบ้าง เมืองนนทบุรีบ้าง และเมืองนครเขื่อนขันธ์ ซึ่งบัดนี้เป็นอำเภอพระประแดง ขึ้นจังหวัดสมุทรปราการบ้าง</p> <p>ไทยอิสลามที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลบางกระสอ และที่บ้านตลาดแก้ว ในตำบลบางตะนาวศรี อำเภอเมืองนนทบุรี มีเชื้อสายเป็นชาวปัตตานี มาอยู่ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เฉพาะตำบลบาง กระสอต้นตระกูลได้เป็นแม่ทัพนายกองคนสำคัญของไทยหลายคน</p> <p>ไทยอิสลามที่ตำบลท่าอิฐ อำเภอปากเกร็ด เป็นเชื้อสายชาวเมืองไทรบุรี เข้ามาอยู่ใน รัชกาลที่ ๓</p> <p>ไทยชาวเมืองตะนาวศรี มีรายงานอำเภอสอบสวนได้ความว่า ได้เข้ามาตั้งภูมิลำเนาอยู่ที่ตำบลบางตะนาวศรี อำเภอเมืองนนทบุรี ในรัชกาลสมเด็จพระที่นั่งสุริยาสอมรินทร์ พ.ศ. ๒๓๐๒ ครั้งทัพไทยตั้งรวมพลอยู่ที่แก่งตูม นอกเขตไทยต้นแม่น้ำตะนาวศรี พม่ายกทัพจะมาตีชาวตะนาวศรี ก็หนีเข้ามา....<a href="#_ftn15_8341" name="_ftnref15_8341">(</a>๑)</p> <p>ในด้านประวัติศาสตร์วรรณคดีที่กล่าวถึงเมืองนนท์ในอดีต กวีหลายท่านได้เดินทาง ผ่านคลองบางกอกน้อยไปตามคลองวัดชลอ แล้วไปตามแม่น้ำอ้อมจนถึงบางใหญ่ เข้าคลองบางใหญ่ ไปออกแม่น้ำนครชัยศรี บางท่านก็ผ่านเพียงคลองบางกอกน้อย คลองวัดชลอ ไปออกคลอง มหาสวัสดิ์ แล้วเกิดความบันดาลใจให้สร้างวรรณคดีประเภทนิราศอันไพเราะไว้หลายเรื่อง ในบทกวี ได้กล่าวถึงสถานที่สำคัญๆ ของเมืองนนท์ ไว้หลายแห่ง ซึ่งแสดงว่าสถานที่เหล่านี้อดีตเคยมี ความรุ่งเรืองมาในประวัติศาสตร์มาก่อนซึ่งจะกล่าวได้ดังต่อไปนี้</p> <p>๑. บางขวาง บางขวางเป็นชื่อคลองอยู่ในท้องที่อำเภอบางกรวย เรียกว่าคลองขวางแยกจากคลองมหาสวัสดิ์ ตรงข้ามวัดชัยพฤกษมาลา ไปบรรจบกับคลองบางระนก ถือว่าเป็นคลองประวัติศาสตร์สุนทรภู่เขียนไว้ในโคลงนิราศสุพรรณว่า</p> <p>“บางขวางข้างเขตแคว้น แขวงนนท์</p> <p>สองฟากหมากมะพร้าวผล พรรคไม้</p> <p>หอมรื่นชื่นเช่นปน แป้งประ ปรางเอย</p> <p>เคลิ้มจิตคิดว่าใกล้ กลิ่นเนื้อเจือจันทร์”</p> <p>ฯลฯ</p> <p>และในนิราศพระประธมว่า</p> <p>“ถึงบางขวางปางก่อนว่ามอญขวาง</p> <p>เดี๋ยวนี้นางไทยลาวแก่สาวสอน</p> <p>ทำยกย่างขวางแขวนแสนแสงอน</p> <p>ถึงนางมอญก็ไม่ขวางเหมือนนางไทย”</p> <p>๒. วัดชลอ เป็นชื่อตำบลและชื่อวัด ตั้งอยู่ริมคลองวัดชลอฝั่งใต้ในเขตอำเภอบางกรวยพระอุโบสถของวัดชลอแสดงเค้าว่าเป็นฝีมือเก่าถึงสมัยอยุธยา แต่ได้ซ่อมแซมบูรณะจนเปลี่ยนรูปไปมากแล้ว เมื่อเร็วๆ นี้ ทางวัดได้พบพระเจดีย์โลหะ ๒ องค์ บรรจุภายในซากเจดีย์เก่าเหนือพระอุโบสถ ซึ่งท่านเจ้าอาวาสได้มอบให้นำมาเก็บรักษาไว้ ณ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติแล้ว</p> <p>นายมี ครั้งเป็นหมื่นพรหมสมพัตสร ไปเก็บอากรที่เมืองสุพรรณเมื่อผ่านวัดชลอไปก็รำพึงไว้ในนิราศสุพรรณว่า</p> <p>บรรลุถึงวัดชลอก็รอจิต ใครช่างคิดชลอวัดไม่ขัดสน</p> <p>ถ้าไม่ชลอก็จะนั่งลงวังวน ชลอพ้นที่จะพังจึงยั่งยืน</p> <p>แต่ชลอจิตมนุษย์นี่สุดยาก เอาพรวนลากก็ไม่ไหวอย่าได้ขืน</p> <p>ใครขัดขวางน้ำใจเหมือนไฟฟืน ทั้งแผ่นพื้นภพไตรใจเหมือนกัน</p> <p>ฯลฯ</p> <p>เมื่อสุนทรภู่ผ่านหน้าวัดชลอตรงไปพระประธม ได้เขียนไว้ในนิราศพระประธมว่า</p> <p>วัดชะลอใครหนอชะลอฉลาด เจ้าอาวาสมาไว้ให้อาศัยสงฆ์</p> <p>ช่วยชะลอวรลักษณ์ที่รักทรง ให้มาลงเรือร่วมนวมที่นอน ฯ</p> <p>ฯลฯ</p> <p>๓. วัดโพบางโอ ทางฝั่งใต้ของลำคลองแม่น้ำอ้อม มีวัดอยู่หลายวัด เช่น วัดตะโหนด วัดโพบางโอ โดยเฉพาะที่วัดโพนี้ เป็นวัดโบราณอยู่ในตำบลบางขนุน อำเภอบางกรวย มีภาพเขียนสีเป็นเรื่องปริศนาธรรมที่ฝาผนังภายในพระอุโบสถ ซึ่งนับว่ามีแนวความคิดแปลกกว่าที่อื่นและมีภาพเขียนใส่กรอบติดไว้เหนือหน้าต่างพระอุโบสถ ภาพเขียนในกรอบเหล่านี้เป็นภาพชาวฝรั่งเศสเขียนลงบนกระจกใส ภาพชัดเจนแจ่มใส และงดงามน่าสนใจมาก หน้าบันพระอุโบสถเป็นเครื่องไม้จำหลักลวดลายและฝีมืองามเช่นกัน และมีตุ๊กตาหินพวกเซียนหรือตัวละครในวรรณคดีบานประตูพระอุโบสถด้านในเขียนภาพจับ และว่าท่านวัดเพลงเป็นผู้เขียนภาพจิตรกรรม คงจะหมายถึงอาจารย์นาค</p> <p>กรมหลวงเสนีบริรักษ์ (ต้นสกุล เสนีวงศ์) พระโอรสในกรมพระราชวังหลังทรงสร้างวัดนี้ในรัชกาลที่ ๓ และสกุลเสนีวงศ์ได้บูรณะปฏิสังขรณ์สืบต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๘๓ ได้ขอเปลี่ยนชื่อวัดเป็น วัดโพเสนี</p> <p>๔. บางขนุน เป็นตำบลอยู่ริมคลองแม่น้ำอ้อมฝั่งใต้ ในเขตอำเภอบางกรวยมีคลอง บางขนุนแยกจากคลองแม่น้ำอ้อมเข้าไป ในคลองนี้มีวัดบางขนุน เป็นวัดโบราณ มีหอไตรเก่าภายในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง</p> <p>ครั้นเมื่อสุนทรภู่ไปพระประธม ได้รำพึงถึงบางขนุนและบางขุนกองไว้ในนิราศพระประธม มีความอ้างอิงเชิงประวัติศาสตร์ ว่าเดิมชื่อ บางถนน มีมาตั้งแต่ครั้งท้าวอู่ทอง ดังนี้</p> <p>“บางขนุนขุนกองมีคลองกว้าง</p> <p>ว่าเดิมบางชื่อถนนเขาขนของ</p> <p>เป็นเรื่องหลังครั้งคราวท้าวอู่ทอง</p> <p>แต่คนร้องเรียกเฟือนไม่เหมือนเดิม”</p> <p>๕. บางนายไกร บางนายไกรอยู่ในเขตตำบลบางขุนกอง อำเภอบางกรวย มีคลองแยกจากคลองแม่น้ำอ้อมทางฝั่งตะวันตก เรียกว่า “คลองบางนายไกร” มีวัดบางนายไกรนอกตั้งอยู่ปากคลอง มีเคหสถานบ้านเรือนเป็นหลักฐานหนาแน่นมาก ท้องที่แถบนี้คงจะเป็นที่รู้จักกันดี เพราะเป็นสถานที่ ซึ่งมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับวรรณคดีสำคัญเรื่องหนึ่ง คือเรื่อง ไกรทอง ปรากฏว่า กวีเกือบทุกท่านที่ผ่านบางนายไกรมักไม่เว้นกล่าวถึง</p> <p>สุนทรภู่เมื่อไปพระประธม ก็ได้เขียนนิราศกล่าวถึงเรื่องราวของบางนายไกรไว้ว่า</p> <p>“บางนายไกรไกรทองอยู่คลองนี้</p> <p>ชื่อจึงมีมาทุกวันเหมือนมั่นหมาย</p> <p>ไปเข่นฆ่าชาละวันให้พลันตาย</p> <p>เป็นเลิศชายเชี่ยวชาญผ่านวิชา</p> <p>ได้ครอบครองสองสาวชาวพิจิตร</p> <p>สมสนิทนางตะเข้เสน่หา</p> <p>เหมือนตัวพี่นี้ได้ครองแต่น้องมา</p> <p>จะเกื้อหน้าพางามขึ้นครามครัน ฯ ”</p> <p>๖. วัดปรางค์หลวง ตั้งอยู่ริมคลองแม่น้ำอ้อมฝั่งตะวันตกเหนือปากคลองบางค้อวัดนี้เป็นวัดโบราณ คงเก่าถึงสมัยอยุธยา ซึ่งกล่าวกันว่า พระเจ้าอู่ทองเป็นผู้ทรงสร้าง มีพระอุโบสถเก่าทรุดโทรมมาก กับมีพระปรางค์ใหญ่ก็ชำรุดทรุดโทรมและถูกขุดจนพรุน แต่ยังทรงลักษณะพอเห็นฝีมือ ก่อสร้างได้ ชาวบ้านแถบนั้นเล่าว่า เคยมีผู้ขุดได้พระและตะปูสังฆวานรที่เป็นของใช้ในการก่อสร้างสมัยอยุธยา พระปรางค์องค์นี้ยังคงมีทรงรูปนอกเป็นแบบระฆังทรงสูงเหลือไว้ให้เห็น ซึ่งทำให้ตัวพระปรางค์ดูสง่างาม พระปรางค์องค์นี้ก็เช่นกัน ได้ถูกน้ำมือของพวกทำลาย ศาสนา แสวงหาทรัพย์สมบัติ ทลายด้านหน้าของพระปรางค์ทั่วไปเสียส่วนหนึ่ง ส่วนอีกสามด้านนั้นมีพระพุทธรูปปูนปั้นจำหลักนูนสูงประดิษฐานอยู่ในซุ่มจระนำ พระพุทธรูปดังกล่าวมีความงดงามตามแบบศิลปอยุธยาโดยเฉพาะ กล่าวคือ มีความแข็งกร้าวของพระพุทธรูปสมัยอู่ทองผสมอยู่กับ แบบอันงดงามของศิลปสุโขทัย</p> <p>กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ทรงพรรณนาไว้ในนิราศพระประธม เรียกว่าวัดหลวง ดังนี้ </p> <p>“วัดหลวงคิดคู่ร้าง เวียงหลวง</p> <p>ร้างศุขสิ่ง เกษมทรวง เสื่อมสิ้น</p> <p>มาเดียวอดูรดวง แดเด็ด สวาดิ์แม่</p> <p>ยามดึกสดุ้งยุงริ้น เหลือบล้อมตอมกวน ฯ "</p> <p>๗. บางสนาม บางสนามอยู่ทางฝั่งตะวันออกของคลองวัดชลอ เหนือวัดพิกุลขึ้นไปมีคลองแยกเข้าไปจากคลองวัดชลอ และมีวัดสนามนอกอยู่ปลายคลอง</p> <p>กรมหลวงวงศาธิราชสนิททรงพระนิพนธ์เกี่ยวกับบางสนามไว้ในนิราศพระประธมว่าที่บางสนามนี้มีศาลเจ้า ซึ่งมีเทพารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ ทรงอธิษฐานต่อเทพารักษ์ที่ศาลเจ้าบางสนามไว้ว่า </p> <p>“มาลุศาลจ้าวปาก บางสนาม</p> <p>สนามเล่นสิ่งใดถาม ห่อนแจ้ง</p> <p>เทพารักษ์แถลงความ บอกหน่อย หนึ่งพ่อ</p> <p>สนามสนุกนี้เรียมแล้ง ขาดเศร้าเซาเขษม ฯ ”</p> <p>“ศาลสถิตศักดิ์สิทธิ์ท้าว เทพา พ่อฤา</p> <p>เชิญผดุงกานดา แม่ด้วย</p> <p>ใครอย่าริเริ่มตุนา- หงันแม่ อีกแม่</p> <p>แม้หลุดสุดมือม้วย สวาดิ์แล้วเผาศาล ฯ ”</p> <p>๘. บางกรวย เป็นชื่อตำบล มีคลองบางกรวยแยกจากแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก ตรงข้ามวัดเขมาภิรตาราม มาต่อกับคลองวัดชลอที่ขุดในรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เหนือวัดชลอ คลองบางกรวยนี้แต่เดิมก็เป็นตอนหนึ่งของแม่น้ำเจ้าพระยา แต่เมื่อขุดคลองใหม่ กระแสน้ำเปลี่ยนจากแม่น้ำอ้อม มาเดินทางหน้าวัดเฉลิมพระเกียรติ แม่น้ำเดิมจึงแคบและตื้นเขินกลายเป็นคลองไป</p> <p>เมื่อสุนทรภู่ผ่านมาถึงบางกรวย คราวไปสุพรรณใน พ.ศ. ๒๓๘๔ ได้รำพึงถึงภรรยาที่ชื่อนิ่ม ซึ่งเป็นชาวบางกรวย นิ่มได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว ๙ ปี (คือตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๗๖) สุนทรภู่อธิษฐานให้นิ่มภรรยาไปสวรรค์ กล่าวไว้ในโคลงนิราศสุพรรณว่า</p> <p>“บางกรวยกรวดน้ำแบ่ง บุญทาน</p> <p>ส่งนิ่มนุชนิพพาน ผ่องแผ้ว</p> <p>จำจากพรากพลัดสถาน ทั้งพี่ หนีเอย</p> <p>เห็นแต่คลองน้องแคล้ว คลาดเคลื่อนเดือนปี”</p> <p>สุนทรภู่มีบุตรกับนิ่มคนหนึ่งชื่อ ตาบ ซึ่งต่อมาจนถึงรัชกาลที่ ๕ และเจริญรอยเป็นกวีตามบิดา มีเพลงยาวนิราศของนายตาบปรากฏอยู่ในคราวไปพระประธม เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๕ ตาบก็ไปกับสุนทรภู่ด้วย ซึ่งท่านได้เขียนไว้ในนิราศพระประธมว่า</p> <p>“เห็นคลองขวางบางกรวยระทวยจิต</p> <p>ไม่ลืมคิดนิ่มน้อยละห้อยหา</p> <p>เคยร่วมสุขทุกข์ร้อนแต่ก่อนมา</p> <p>โอ้สิ้นอายุเจ้าได้เก้าปี</p> <p>แต่ก่อนกรรมทำสัตว์ให้พลัดพราก</p> <p>จึงจำจากนิ่มน้องให้หมองศรี</p> <p>เคยไปมาหาน้องในคลองนี้</p> <p>เห็นแต่ที่ท้องคลองนองน้ำตา”</p> <p>จังหวัดนนทบุรีในรอบ ๒๐๐ ปี ของกรุงรัตนโกสินทร์</p> <p>เมืองนนทบุรีจะมีความเป็นมา หรือจะพัฒนาอย่างไรบ้างในรอบ ๒๐๐ ปี ของกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ สิ่งที่พัฒนานั้นคงได้แก่ การปกครอง การเศรษฐกิจ การคมนาคม การศึกษา การศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม และประเพณี การพัฒนาต่างๆ คงจะต้องดำเนินไปทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชน</p> <p>ในระยะเริ่มต้นตั้งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี ภาครัฐบาลอันได้แก่ องค์พระมหากษัตริย์ ยังคงมีพระราชภารกิจหลายด้าน อาทิ การสร้างกรุง การสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งด้านการ พระราชไมตรี และการสงคราม ตลอดทั้งการทำนุบำรุงประเทศประการอื่นๆ โดยส่วนรวมการจะพัฒนาเมืองนนทบุรีอันเป็นเมืองขนาดเล็กคงทำได้น้อย จึงไม่ใคร่พบหลักฐานเกี่ยวกับการพัฒนาเมืองนนทบุรีทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชน โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ ๑ - รัชกาลที่ ๔ ในรัชกาลต่อๆ มาเมืองนนทบุรีจึงค่อยๆ เจริญขึ้นตามลำดับอาจกล่าวได้ว่า เมืองนนทบุรีพัฒนารวดเร็ว รุดหน้า และมากที่สุดในสมัยรัชกาลที่ ๙ นี้เองซึ่งจะกล่าวถึงโดยแบ่งช่วงเวลาตามรัชสมัยขององค์พระมหากษัตริย์ดังต่อไปนี้ </p> <p>สมัยรัชกาลที่ ๑ - รัชกาลที่ ๔ (พ.ศ. ๒๓๒๕ - พ.ศ. ๒๔๑๑)</p> <p>รัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พ.ศ. ๒๓๒๕ - พ.ศ. ๒๓๕๒</p> <p>รัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พ.ศ. ๒๓๕๒ - พ.ศ. ๒๓๖๗</p> <p>รัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. ๒๓๖๗ - พ.ศ. ๒๓๙๔</p> <p>รัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. ๒๓๙๔ - พ.ศ. ๒๔๑๑</p> <p>เมืองนนทบุรีในสมัยรัชกาลที่ ๑ - รัชกาลที่ ๔ จัดอยู่ในประเภทหัวเมืองปักษ์ใต้เป็นเมืองขึ้นของกรมท่า<a href="#_ftn16_8341" name="_ftnref16_8341">(</a>๑) ชื่อเมืองนนทบุรีศรีมหาสมุทร ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ ได้เปลี่ยนชื่อใหม่ ครั้งแรกเปลี่ยนเป็นเมืองนนทบุรีศรีมหาอุทยาน ผู้ว่าราชการเมือง คือ พระนนทบุรีศรีมหาอุทยาน ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นพระนนทบุรีศรีเกษตราราม หลวงปลัด ได้แก่ หลวงสยามนนทเขตต์ขยันปลัด ทรงเห็นว่าในแขวงเมืองนนทบุรีมีชาวรามัญตั้งบ้านเรือนอยู่มาก จึงตั้งหลวงรามัญเขตต์คดี ปลัดรามัญขึ้นอีกตำแหน่งหนึ่ง</p> <p>เนื่องจากกฎหมายที่ใช้ในการปกครองประเทศนี้ ใช้สืบต่อกันมาแต่รัชกาลที่ ๑ จึงขอคัดลอกข้อความบางตอนเกี่ยวกับหน้าที่ของผู้ปกครองหัวเมือง ซึ่ง วนิดา สถิตานนท์ เขียนไว้ในหนังสืออ่านเพิ่มเติมระดับประถมศึกษา เรื่อง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ดังนี้</p> <p>“พระเจ้าอยู่หัวตรัสสั่งให้ไปรั้งเมือง ครองเมือง ให้รักษาพยาบาลไพร่ฟ้าข้าไทท่านแลให้รับรองสุขทุกข์ราษฎรทั้งปวงและรักษาถิ่นฐานบ้านนอกขอบชนบท มิให้มีโจรผู้ร้ายแลคนกรรโชกราษฎร ถ้าผู้รั้งเมือง ผู้ครองเมือง ผู้ใดรักษาได้ ท่านว่ามีบำเหน็จในแผ่นดิน ถ้าแลโจรผู้ร้ายกรรโชกราษฎรเกิดชุกชุมขึ้นเหลือกำลังระงับมิได้ ก็ให้บอกมายังลูกขุน ณ ศาลาให้บังคมทูลแต่สมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว จึงจะพ้นโทษ ถ้าแลผู้รั้งเมือง ผู้ครองเมืองมิได้กำชับจับกุม ละเลยให้โจรและผู้กรรโชกราษฎรชุกชุมขึ้นได้ ท่านว่าผู้นั้นละเมิด ต้องในระวางกรรโชกให้ลงโทษ ๖ สถาน”</p> <p>การเศรษฐกิจของชาวเมืองนนทบุรีในสมัยนั้น คงขึ้นอยู่กับอาชีพการเพาะปลูกทำนา ทำสวน เป็นพื้น การคมนาคมคงใช้ทางน้ำเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการค้าขาย หรือการไปมาหาสู่ หลักฐานที่พอจะอ้างได้ ได้แก่ นิราศต่างๆ ของสุนทรภู่ ซึ่งจะขอคัดบางตอนมากล่าวไว้</p> <p>จากนิราศพระบาท ซึ่งแต่งเมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๓๕๐ ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ขณะเดินทางผ่านบางซ่อน เข้าเขตเมืองนนทบุรี กล่าวไว้ดังนี้</p> <p>“ถึงน้ำวนชลสายที่ท้ายย่าน เขาเรียกบ้านวัดโบสถ์ตลาดแก้ว</p> <p>จะเหลียวกลับลับวังมาลิบแล้ว พี่ลับแก้วลับบ้านมาย่านบาง</p> <p>พฤกษาสวนล้วนได้ฤดูดอก ตระหง่านงอกริมกระแสแลสล้าง</p> <p>กล้วยระกำอัมพาพฤกษาปราง ต้องน้ำค้างช่อชุ่มเป็นพุ่มพวง”</p> <p>และอีกตอนหนึ่ง กล่าวว่า</p> <p>“ถึงแขวงแควแพตลอดตลาดขวัญ เป็นเมืองจันตะประเทศรโหฐาน</p> <p>ตลิ่งเบื้องบูรพาศาลาลาน เรือขนานจอดโจษกันจอแจ</p> <p>พินิจนางแม่ค้าก็น่าชม ท้าคารมเร็วเร่งอยู่เซ็งแซ่…...…”</p> <p>จากนิราศวัดเจ้าฟ้า ซึ่งสุนทรภู่แต่งเป็นของเณรหนูพัด ผู้บุตร เขียนไว้เมื่อครั้งยังอุปสมบทเป็นพระภิกษุ และเดินทางไปวัดแก้วฟ้า ที่อยุธยา ราว พ.ศ. ๒๓๗๕ กล่าวไว้ว่า</p> <p>“ตลาดแก้วแล้วแต่ล้วนสวนสล้าง เป็นชื่ออ้างออกนามตามวิสัย”</p> <p>จากโคลงนิราศสุพรรณ แต่งไว้ราว พ.ศ. ๒๓๘๔ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ สุนทรภู่เดินทางผ่านทางคลองบางกอกน้อย เลี้ยวเข้าคลองบางใหญ่ ก็ได้กล่าวถึงสภาพของเมืองนนท์ทางฝั่งตะวันตกไว้หลายประการ ดังนี้</p> <p>“บางศรีทองคลองบ้านเท่า เจ้าคลอง</p> <p>สีเพชผัวสีทอง ถิ่นนี้</p> <p>เลื่องฦาชื่อเสียงสนอง สำเหนียก นามเอย</p> <p>คลองคดลดเลี้ยวชี้ เช่นไสร้สีทอง</p> <p>ล่วงทางบางบ้านเรียด ริมชลา</p> <p>สองฝั่งพรั่งพฤกษา สลับสล้าง</p> <p>ไม้ปลูกลูกดอกดา ดกดาศ กลาดเอย</p> <p>ทรงกลิ่นรินรื่นข้าง ขอบคุ้งฟุ้งขจร ฯ ”</p> <p>และอีกตอนหนึ่ง กล่าวว่า</p> <p>“บางกร่างข้างคุ้งค่าม เขตคลอง</p> <p>บางขนุนขุนกอง ก่อสร้าง</p> <p>ของสวนส่วนเจ้าของ ขายน่า ท่าเอย</p> <p>สาวแก่แม่หม้ายบ้าง บกน้ำลำเรือ ฯ</p> <p>โรงหีบหนีบอ้อยออด แอดเสียง</p> <p>สองข้างรางรองเรียง รับน้ำ</p> <p>อ้อยไส่ไล่ควายเคียง คู่วิ่ง เวียรเอย</p> <p>อกพี่นี้ชอกช้ำ เช่นอ้อยย่อยรยำ</p> <p>สุนทรภู่กล่าวถึงบางคูเวียงตลอดถึงบางใหญ่ไว้ดังนี้</p> <p>“บางคูเวียงเสียงสงัดล้วน สวรไสว</p> <p>เวียงชื่อครีท้าวไท ท่านตั้ง</p> <p>เวียงราชคลาศแคล้วไกล กลับระลึก นึกเอย</p> <p>ยามยากจากเมืองทั้ง ถิ่นปลื้มลืมกเษม ฯ</p> <p>บางม่วงทรวงเศร้าคิด เคยชวน</p> <p>ม่วงเกบมม่วงสวน ศุกร - ย้า</p> <p>ม่วงอื่นรื่นรันจวน จิตไม่ ใคร่แฮ</p> <p>ม่วงหม่อมหอมห่วนหน้า เสน่ห์เนื้อเจือจรร ฯ</p> <p>ฯลฯ</p> <p>ล่วงทางบางใหญ่บ้าน ด่านคอย</p> <p>เลี้ยวล่องคลองเล็กลอย เลื่อนช้า</p> <p>สองฝั่งพรั่งพฤกษ์พลอย เพลินชื่น ชมแฮ</p> <p>แลเหล่าชาวสวนหน้า เสน่ห์น้องครองสนอม ฯ</p> <p>คลองคดเลี้ยวลดล้วน หลักตอ</p> <p>เกะกระเรือรอ ร่องน้ำ</p> <p>คดคลองช่องแคบพอ พายถ่อ พ่อเอย</p> <p>คนคดลดเลี้ยวล้ำ กว่าน้ำลำคลอง ฯ</p> <p>ล่วงย่านบ้านวัดร้าง เรือนโรง</p> <p>ตกทุ่งถึงคลองโยง หย่อมไม้</p> <p>วัดใหม่ธงทองโถง ที่ติด ตื้นแฮ</p> <p>ควายลากฝากเชือกไขว้ เคลื่อนคล้อยลอยเสน ฯ "</p> <p>จากนิราศอีกเรื่องหนึ่ง คือ นิราศพระประธม สุนทรภู่แต่งเมื่อครั้งเดินทางไปมนัสการ พระประธม ที่จังหวัดนครปฐม ราว พ.ศ. ๒๓๘๕ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ เช่นกัน สุนทรภู่เดินทางโดยทางเรือจากวัดระฆัง เข้าคลองบางกอกน้อย ผ่านบางกรวย บางใหญ่ เข้าคลองบางใหญ่ออกคลองโยงไปสู่นครปฐม เส้นทางที่ผ่านเมืองนนทบุรี เป็นเส้นทางเดียวกับที่จะไปสุพรรณบุรี แต่การบรรยายถึงสภาพเมืองนนท์ในนิราศพระประธม ละเอียดกว่านิราศสุพรรณบุรี เช่น กล่าวถึง วัดชะลอ, วัดบางอ้อยช้าง, วัดสัก, บางขุนกอง, บางนายไกร และคลองบางระนก เป็นต้นเห็นจะเป็นเพราะแต่งเป็นกลอนจึงบรรยายได้ดีกว่าโคลง ท่านที่สนใจควรลองอ่านดูทั้งเรื่อง จะได้ทั้งอรรถรสของภาษา และความรู้เชิงภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์ในสมัยนั้นไว้ประดับสติปัญญา จะขอนำมากล่าวอ้างไว้บางตอนดังนี้</p> <p>“บางขนุนขุนกองมีคลองกว้าง ว่าเดิมบางชื่อถนนเขาขนของ</p> <p>เป็นเรื่องหลังครั้งคราวท้าวอู่ทอง แต่คนร้องเรียกเฟือนไม่เหมือนเดิม”</p> <p>ฯลฯ</p> <p>“ถึงคลองขวางบางระนกโอ้อกพี่ แม้นปีกมีเหมือนหนึ่งนกจะผกผัน</p> <p>ไปอุ้มแก้วแววตาพาจรัล มาด้วยกันทั้งคู่ที่อยู่ริม”</p> <p>ในปัจจุบันนี้ คลองบางระนกก็ยังคงมีอยู่ ท่านที่เคยนั่งเรือผ่านไปในคลองจะพบว่ายังคง มีบ้านที่ปลูกในลักษณะทรงไทยเหลืออยู่หลายหลัง แสดงว่าถิ่นนี้เป็นแหล่งชุมชนที่อาศัยกันมายั่งยืน</p> <p>จากนิราศต่างๆ ที่อ้างมาล้วนแสดงว่า ชาวเมืองนนท์ได้ประกอบอาชีพทางทำสวนผลไม้มานานแล้ว มีข้อสังเกตคือ กวีมิได้กล่าวถึง ทุเรียน ซึ่งเป็นผลไม้มีชื่อที่มีชื่อเสียงของเมืองนนท์อาจเป็นเพราะในสมัยนั้น จะยังไม่นิยมปลูกทุเรียนกันนัก แต่กวีอีกผู้หนึ่งคือ นายมี ซึ่งแต่งนิราศสุพรรณ ไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๓ ขณะเดินทางถึงบางใหญ่ได้พรรณนาถึงผลไม้ไว้หลายชนิดและได้กล่าวถึงทุเรียนไว้ด้วย ดังนี้</p> <p>“รำพันพลางทางมาถึงบางใหญ่ พิศดูหมู่ไม้ในสวนศรี</p> <p>ม่วงทุเรียนมังคุดละมุดมี ทั้งลิ้นจี่ลำไยมะไฟเฟือง</p> <p>มะปรางปริงกิ่งแปล้แต่ละต้น เป็นพวงผลสุกงามอร่ามเหลือง</p> <p>ลูกไม้สวนสารพัดไม่ขัดเคือง เป็นผลเนื่องตามฤดูไม่รู้วาย”</p> <p>ฯลฯ</p> <p>อาชีพอย่างหนึ่งของชาวเมืองนนท์ที่นักกวีกล่าวถึง ได้แก่ การหีบอ้อย แสดงว่ามีการ ปลูกอ้อย และการทำน้ำตาลอ้อยกันมานานแล้ว โรงหีบเดิมอยู่ฝั่งทางตะวันออกของคลองแม่น้ำอ้อมแต่ปัจจุบันนี้มีอยู่ทางฝั่งตะวันตก ใช้เครื่องจักรแทนเครื่องหีบอ้อยแต่โบราณซึ่งใช้แรงควายหมุนในปัจจุบันมีโรงงานทำน้ำตาลอ้อยที่ทันสมัยเกิดขึ้นมากในจังหวัดต่างๆ อาชีพทำน้ำตาลอ้อยของชาวบางศรีทองบางคูเวียง จึงเหลือเพียงเล็กน้อย</p> <p>บทกวีที่กล่าวถึงโรงหีบอ้อยของจังหวัดนนทบุรี เช่นเมื่อคราวสุนทรภู่เดินทางไปพระประธม ก็เขียนไว้ในนิราศพระประธม ว่า</p> <p>“เห็นโรงหีบหนีบอ้อยเขาคอยป้อน</p> <p>มีคนต้อนควายตวาดไม่ขาดเสียง</p> <p>เห็นน้ำอ้อยย้อยรางที่อ่างเรียง</p> <p>โอ้พิศเพียงชลนาที่จาบัลย์”</p> <p>ในช่วงระยะเวลารัชสมัยขององค์พระมหากษัตริย์ทั้ง ๔ พระองค์นี้ สันนิษฐานได้ว่าการจัดการศึกษาคงมีแต่เพียงในวัดเป็นส่วนใหญ่ พระสงฆ์เป็นผู้สั่งสอนอบรมแก่ชายที่บวชหรือผู้ที่ปรนนิบัติพระ ผู้หญิงยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียน เพราะในสมัยนั้นยังไม่ได้ส่งเสริมการศึกษากันอย่างกว้างขวาง</p> <p>ส่วนการศาสนาก็คงจะมีลักษณะไม่ต่างจากปัจจุบันเท่าใดนัก กล่าวคือ คนไทยส่วนมาก นับถือศาสนาพุทธ พอใจในการทำบุญสุนทร์ทาน การสร้างวัด สังเกตได้ว่า วัดในจังหวัดนนทบุรีมีวัดเก่าแก่อยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในเขตอำเภอเมืองนนทบุรี อำเภอปากเกร็ด อำเภอบางกรวย และอำเภอบางใหญ่ วัดส่วนมากตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ลำคลอง บางแห่งตั้งอยู่ติดๆ กัน เช่น ที่คลองบางกอกน้อย และคลองอ้อม วัดสำคัญที่ควรกล่าวถึงได้แก่</p> <p>๑. วัดเขมาภิรตาราม อยู่ตำบลสวนใหญ่ (เหนือตลาดแก้ว) ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาตรงปากคลองบางกรวยข้าม เดิมชื่อ “วัดเขมา” เป็นวัดโบราณ สร้างครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ ทรงสถาปนาขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๒ ครั้นสมัยรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิสังขรณ์ ทรงต่อสร้อยนามวัดว่า “วัดเขมาภิรตาราม” วัดนี้จึงจัดเป็นพระอารามหลวงชั้นโท ซึ่งจะกล่าวถึงโดยละเอียดในบทต่อไป</p> <p>๒. วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร อยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตกใต้ปากคลองอ้อมเยื้องกับศาลากลางจังหวัดนนทบุรีในปัจจุบัน วัดนี้สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเพื่ออุทิศพระราชทานสมเด็จพระศรีสุลาไลยพระบรมราชชนนี แต่ยังไม่สำเร็จ ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสร้างเพิ่มเติมจนสำเร็จบริบูรณ์ สมดังที่ทรงตั้งพระราชหฤทัยไว้ วัดนี้ปัจจุบันเป็นพระอารามหลวงชั้นโท จะขอกล่าวถึงโดยละเอียดในบทต่อไป</p> <p>ทางด้านศิลปะและวัฒนธรรมของชาวเมืองนนทบุรีนั้น ศิลปะที่นับว่าเด่นน่าจะได้แก่ งานจิตรกรรมฝาผนัง และการก่อสร้างโบสถ์ของวัดเก่าแก่บางวัด ซึ่งตอนหนึ่งจากบทความการวิจัยงานศิลปโบราณของไทย ศาสตราจารย์ศิลป พีระศรี ได้กล่าวว่า <a href="#_ftn17_8341" name="_ftnref17_8341">(</a>๑) “........วัดลางวัด เช่น วัดปราสาท และวัดชมภูเวก นั้น มีงานจิตรกรรมฝาผนังสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๒๓ และ ๒๔ ผลจากการสำรวจ ท้องถิ่นต่อมา เราจึงตระหนักถึงความสำคัญของงานจิตรกรรมของท้องถิ่นเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ งานจิตรกรรมของวัดปราสาท ซึ่งยังมีสภาพดีกว่าแห่งอื่น และแสดงให้เห็นถึงลักษณะพิเศษของ “สกุลช่างนนทบุรี” อย่างแจ้งชัด</p> <p>พระอุโบสถของวัดปราสาทสร้างขึ้นในตอนต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๔ บริเวณผนังภายในมีภาพเขียนบรรยายถึงเรื่องชาดกตกแต่งอยู่ทั่วไปอย่างงดงาม โครงการสีของภาพเขียนเป็นสีแดงและ สีขาว ดูเหมือนมีความสัมพันธ์กันใกล้ชิดกับภาพเขียนของวัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี จากภาพเขียนที่วัดปราสาท ทำให้เราเกิดความคิดที่แน่นอนเกี่ยวกับความเป็นลักษณะโดยเฉพาะของสกุลช่างนนทบุรื ซึ่งแตกต่างไปจากภาพเขียนของสกุลช่างรัตนโกสินทร์อย่างไม่สงสัย…….” เล่ากันว่า เป็นวัดที่พระเจ้าอู่ทองทรงสร้างขึ้น ลักษณะทรวดทรงคล้ายกับที่พระอุโบสถวัดเกาะแก้วสุภาราม จังหวัดเพชรบุรี</p> <p>ศิลปะอีกด้านหนึ่งที่ควรกล่าวถึงคือ ฝีมือการทำเครื่องปั้นดินเผาของชาวบ้านบางตะนาวศรี (ปัจจุบัน ตำบลสวนใหญ่) มีผู้สันนิษฐานว่า นักปั้นหม้อชาวบางตะนาวศรี อาจจะสืบเชื้อสายมาจากชาวบ้านหม้อคลองสระบัว จังหวัดพระนครศรีอยุธยาก็ได้ โดยเมื่อครั้งกรุงแตก ราว พ.ศ. ๒๓๑๐ ชาวบ้านแถบนั้นบางส่วนได้อพยพหนีภัยจากพม่าลงมาทางใต้ มาตั้งภูมิลำเนาอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา สมทบกับชาวบางตะนาวศรีเดิมที่อพยพมาจากทางตอนใต้ของพม่า เมื่อราว พ.ศ. ๒๓๐๒ แล้วมาประกอบอาชีพการทำเครื่องปั้นดินเผาตามความถนัด ฝีมือการปั้นหม้อดินเผาของชาวบ้านบางตะนาวศรีนับว่าประณีต งดงาม น่าดู น่าใช้ กว่าของท้องถิ่นอื่น จัดเป็นงานศิลปหัตถกรรมที่ขึ้นชื่อของชาวเมืองนนท์เป็นเวลาช้านาน จนในสมัยต่อมา จังหวัดนนทบุรีได้ใช้ภาพหม้อน้ำลายวิจิตรเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดตราบเท่าทุกวันนี้</p> <p>สมัยรัชกาลที่ ๕ - รัชกาลที่ ๘ (พ.ศ. ๒๔๑๑ - พ.ศ. ๒๔๘๙)</p> <p>รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. ๒๔๑๑ - พ.ศ. ๒๔๕๓</p> <p>รัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. ๒๔๕๓ - พ.ศ. ๒๔๖๘</p> <p>รัชกาลที่ ๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. ๒๔๖๘ - พ.ศ. ๒๔๗๗</p> <p>รัชกาลที่ ๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พ.ศ. ๒๔๗๗ - พ.ศ. ๒๔๘๙</p> <p>ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้ทรงปรับปรุงระเบียบการปกครองประเทศใหม่ กล่าวคือการบริหารราชการแผ่นดินส่วนกลาง ทรงตั้งเป็นกระทรวงต่างๆ อย่างรูปแบบปัจจุบัน ส่วนการปกครองส่วน ภูมิภาค พระองค์รวมเมืองต่างๆ เข้าเป็นกลุ่ม เรียกว่า “มณฑล” ซึ่งก็ปรากฏว่าเมืองนนทบุรีขึ้นอยู่กับมณฑลกรุงเทพ ในสมัยนี้ได้ย้ายศาลากลางจังหวัดจากฝั่งขวา ของแม่น้ำเจ้าพระยามาตั้งที่ฝั่งซ้าย ด้านใต้ปากคลองบางซื่อ ซึ่งเป็นท่าเรือตลาดขวัญจนถึง สมัยรัชกาลที่ ๗ จึงย้ายศาลากลางจังหวัดอีก</p> <p>เมื่อพุทธศักราช ๒๔๔๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสเมืองต่างๆ ในลักษณะการ “ประพาสต้น” พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงนิพนธ์ไว้เป็นจดหมายเหตุ ทรงทำเป็นสำนวนของนายทรงอานุภาพ เขียนจดหมายถึงนายประดิษฐ์ ซึ่งเป็นเพื่อน เล่าเรื่องการประพาสต้นให้เพื่อนฟัง จากจดหมายฉบับที่ ๒ ในหนังสือ “จดหมายเหตุเรื่องประพาสต้น ในรัชกาลที่ ๕ ” กล่าวถึงเมืองนนทบุรีไว้ดังนี้</p> <p>“………เสด็จออกจากบางปะอิน เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๒๓ ล่องมาตามลำแม่น้ำ เรือฉันมาล่วงหน้า ทราบว่าเสด็จประทับวัดปรมัยยิกาวาส ครู่หนึ่ง แล้วเลยประพาสสวนสะท้อนของ นายบุตรที่แม่น้ำอ้อม แขวงเมืองนนทบุรี ว่ามีสะท้อนอย่างดีๆ ที่สวนนั้นมากกำลังสะท้อนออกผล เจ้าของสวนเชิญเสด็จเก็บสะท้อน ทราบว่าเป็นที่พอพระราชหฤทัย แลทรงพระกรุณาแก่เจ้าของสวนมาก เวลาเย็นเสด็จมาประทับแรมที่หน้าวัดเขมา จอดเรือพระที่นั่งเข้ากับสะพานหน้าวัดอย่างเราไปเที่ยวกัน ใช้ศาลาน้ำหน้าวัดเป็นท้องพระโรง ไม่มีพลับพลาฝาเลื่อนอย่างใด เจ้าพนักงานเจ้าของท้องที่ ก็ดูเหมือนจะไม่รู้ตัวว่า จะเสด็จมาประทับแรมที่นั้น การล้อมวงกงกำจัดกันตามแต่จะทำได้ ดูก็สนุกดี จนเวลา ๒ ทุ่มเศษ กรมหลวงนเรศร์ เสนาบดีกระทรวงนครบาล จึงเสด็จไปถึง ได้ยินรับสั่งว่า “อาสน์แข็งๆ กันไม่รู้ พอรู้ก็รีบมาจะต้องนั่งอยู่ยังรุ่ง……..”</p> <p>ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้ทรงสร้างพระอารามหลวงเพิ่มขึ้นมาอีกวัดหนึ่ง คือ วัดปากอ่าวเป็นวัดไทยรามัญ ตั้งอยู่ตำบลเกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ สร้างมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ ทั้งพระอารามเพื่ออุทิศถวายแด่พระเจ้าบรมมหัยยิกาเธอ กรมสมเด็จพระสุดารัตนราชประยูร แล้วพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดปรมัยยิกาวาส”</p> <p>ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ตลอดจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๖ เมืองนนทบุรีได้พัฒนาขึ้นมาอย่างช้าๆ สภาพโดยส่วนรวมจะเป็นเช่นไรนั้น ใคร่จะขอคัดหนังสือของพระกรุงศรีบริรักษ์ ผู้ว่าราชการเมืองนนทบุรีในสมัยรัชกาลที่ ๖ (พ.ศ. ๒๔๕๘) มีไปถึงพระมหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยายมราชเสนาบดีกระทรวงนครบาลในสมัยนั้น ตามคำขอร้องที่ว่าต้องการให้เป็นประโยชน์แก่นักเรียนโรงเรียนข้าราชการพลเรือน ความมีดังนี้ </p> <p>ภูมิศาสตร์เฉพาะเมืองนนทบุรี</p> <p>๑. ว่าด้วยภูมิประเทศ</p> <p>เมืองนนทบุรีตั้งศาลากลางเมืองอยู่ที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงปากคลองแม่น้ำอ้อมข้ามใต้หมู่บ้านตลาดขวัญ ใต้เมืองเดิมประมาณ ๑๐ เส้น</p> <p>เมืองนนทบุรีแต่เดิมเป็นดินแดนระหว่างเมืองธนบุรี (กรุงเทพ) แลเมืองสามโคก (เมืองปทุมธานี) เหตุที่จะตั้งเมืองนนทบุรีขึ้น ปรากฏตามพระราชพงศาวดารดังนี้ คือ</p> <p>เมื่อจุลศักราช ๙๐๕ ปี พ.ศ. ๒๑๘๖ แผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ มีศึกพม่ามาติด พระนคร เมื่อพม่าข้าศึกยกรี้พลกลับไปแล้ว สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชได้ตรัสว่า ไพร่บ้านพลเมืองตรีจัตวาปักษ์ใต้เข้าพระนครครั้งนี้น้อยนัก หนีอยู่ป่าดงห้วยเขาต้อนไม่ได้เป็นอันมาก ให้เอาบ้านท่าจีนตั้งเป็นเมืองสมุทรสาคร ให้เอาบ้านตลาดขวัญตั้งเป็นเมืองนนทบุรีแบ่งเอาแขวงเมืองราชบุรี เมืองสุพรรณบุรี ตั้งเป็นเมืองนครไชยศรี มีข้อความตามพระราชพงศาวดาร ดังนี้</p> <p>อาณาเขตเมืองนนทบุรีแต่เดิมมา ด้านตะวันออกและด้านใต้ ติดต่อกับกรุงเทพด้านตะวันตกติดต่อกับนครปฐม ด้านทิศเหนือติดต่อกับเมืองปทุมธานี แต่อาณาเขตในเวลานี้ด้านตะวันตกแลด้านเหนือเปลี่ยนรูปจากอาณาเขตเดิมด้วยเหตุผล เมืองที่ขึ้นอยู่ในเมืองนนท์ได้ทำนารุกที่ป่าทุ่ง ฝั่งตะวันตกออกไปจนแดนกระทุ่มหลักไชย แลกระทุ่มช้างสี พ้นป่ากระทุ่มมืดออกไปโอบเมืองปทุมไปทางทิศเหนือ นับว่าอาณาเขตได้รุกเข้าไปในแดนของเมืองนครปฐม เมืองปทุม แลกรุงเก่าอาณาเขตที่เปลี่ยนแปลงใหม่ จึงคงเป็นดังนี้ คือ</p> <p>ด้านตะวันออกและด้านใต้ ติดต่อกับกรุงเทพ พรมแดนกันที่คลองเปรมประชากรคนละ ฝั่งคลองเปรม จับตั้งแต่สถานีหลักหกจนถึงสถานีบางเขนตอนหนึ่ง ด้านใต้จับตั้งแต่สถานีบางเขนตรงไปตามลำคลองบางเขน ออกปากคลองล่องลงไปข้ามฟากเข้าคลองวัดละมุดไปออกคลองวัดพิกุล เข้าคลองสวนแดนไปประจบทางรถไฟสายเพชรที่สุดเพียงคลองวัฒนา ไปเข้าคลองนราภิรมย์ กินขึ้นไปบนทุ่งวัดเทพเฉลิม วกไปตามคลองเจ้า คลองขุนศรี ไปออกลำลาดสวายตัดตรงไปกระทุ่มหลักไชย ด้านเหนือพรมแดนกับกรุงเก่า ตั้งแต่ปลายคลอง ๒ หม่อมแช่ม ตัดตรงตามทุ่งนาตามคลอง ๑ แลคลองขุนศรี เป็นหมดเขตกรุงเก่าเข้าเขตปทุม โอบเมืองปทุมตามทุ่งนา ตามลำกล่ำ ตัดตรงมาวัดกระโจม มาคลองบางตะไนย ออกปากคลองคนละฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามาปั่นกันที่คลองบ้านใหม่ตลาดเนื้อ ใต้วัดเทียนถวาย ตามลำคลองมาตกคลองเปรมประชากร เขตแดนใหม่เป็นดังที่กล่าวมานี้</p> <p>เมืองนนทบุรีแบ่งเป็น ๔ อำเภอ ๔๙ ตำบล ๗๗๕ หมู่บ้าน</p> <p>อำเภอตลาดขวัญ ตั้งอยู่ที่ใต้บ้านตลาดขวัญ ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา มีตำบล ๑๕ ตำบล ๒๖๗ หมู่บ้าน</p> <p>อำเภอบางบัวทอง ตั้งที่ว่าการอำเภอที่ปากคลองพระราชาภิมณฑ์ มีตำบล ๑๔ ตำบล หมู่บ้าน ๒๒๓ หมู่บ้าน</p> <p>อำเภอบางใหญ่ ตั้งที่ว่าการอำเภอวัดชลอ ปากคลองบางกรวยมีตำบล ๑๐ ตำบล หมู่บ้าน ๒๑๗ หมู่บ้าน</p> <p>อำเภอปากเกร็ด ตั้งที่ว่าการอำเภอวัดสนามไชย มีตำบล ๑๐ ตำบล หมู่บ้าน ๑๖๘ หมู่บ้าน</p> <p>เขตแดนติดต่อระหว่างอำเภอตลาดขวัญ พรมแดนกับอำเภอปากเกร็ด ที่คลองบางตลาด พรมแดนกับอำเภอบางบัวทองที่คลองบางรักใหญ่ พรมแดนกับอำเภอบางใหญ่คนละฝั่งคลองอ้อมมาออกคลองบางกรวย </p> <p>อำเภอปากเกร็ด พรมแดนกับอำเภอบางบัวทอง ที่คลองลำโพ</p> <p>อำเภอบางบัวทอง พรมแดนกับอำเภอบางใหญ่ ที่คลองบางใหญ่</p> <p>แม่น้ำลำคลองในเมืองนนทบุรี เป็นแม่น้ำสำคัญเกี่ยวด้วยการไปมาค้าขายแลการเดินเรือแพ แม่น้ำบางตอนเป็นแม่น้ำที่ขุดขึ้นเป็นทางลัด แต่โดยเหตุที่สายน้ำเดินตรง น้ำจึงแรงกัดเอาเป็น แม่น้ำเหมือนกับแม่น้ำที่ไม่ได้ขุด แม่น้ำเจ้าพระยาเดิมนั้นคือลำแม่น้ำอ้อมที่เรียกกันว่า คลองอ้อมตรงหน้าเมืองนนท์เดี๋ยวนี้ไปออกคลองบางกรวยเหนือวัดลุ่ม ส่วนแม่น้ำตั้งแต่คลองอ้อมตรงไปวัดเขมานั้นเป็นทางลัด ได้ขุดขึ้นเมื่อจุลศักราช ๙๘๘ ปี พ.ศ. ๒๑๖๙ แผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปราสาททอง แม่น้ำตอนตั้งแต่วัดชลอไปวัดขี้เหล็กนั้น ได้ขุดเมื่อจุลศักราช ๙๐๐ พ.ศ. ๒๐๘๑ แผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ</p> <p>คลองลัดเกร็ดนั้นขุดเมื่อจุลศักราช ๑๐๔๘ แผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ปรากฏตาม พระราชพงศาวดารว่า ขุดกว้าง ๖ วา ลึก ๖ ศอก ยาว ๒๙ เส้น พระชลบุรี ผู้ว่าราชการเมืองชล เป็นแม่กองขุด ขุดอยู่ปีเศษจึงสำเร็จ</p> <p>ลำคลองอ้อมหรือแม่น้ำอ้อม มีคลองสำคัญๆ ที่เป็นทางเชื่อมการไปมาค้าขายหลายคลอง แต่คลองเหล่านี้จะใช้ได้เฉพาะฤดูหน้าน้ำ คลองที่นับว่าเป็นทางเชื่อมแม่น้ำลำคลองอื่น คือ</p> <p>คลองบางรักใหญ่ ปากคลองอยู่ที่ลำคลองอ้อม อยู่ทิศตะวันตกของบ้านบางพลูห่างบ้าน บางพลูประมาณ ๓๐ เส้น คลองนี้ลัดไปออกคลองบางบัวทอง ใกล้กว่าที่จะไปทางแม่น้ำ ประมาณ ๒๐๐ เส้น</p> <p>คลองบางใหญ่ ปากคลองอยู่ที่ลำแม่น้ำอ้อม ใกล้วัดค้างคาว เป็นคลองตรงไปออกคลอง นราภิรมย์ และถ้าจะไม่ไปทางคลองนราภิรมย์ ไปออกแม่น้ำสุพรรณที่ตรงวัดลานตากฟ้าเหนือคลองกระทุ่มเมืองก็ได้</p> <p>คลองบางคูเวียง ปากคลองอยู่ที่ลำแม่น้ำอ้อม ใกล้วัดยุคันธร์ คลองนี้ไปออกคลอง มหาสวัสดิ์ใต้สถานีธรรมสพน์ก็ได้ ไปออกคลองวัดไผ่ ไปออกวัดบ้านช่างเหล็ก คลองบางกอกใหญ่ ก็ได้ แต่การที่จะไปทางนี้ระยะทางพอกันกับที่จะเดินทางแม่น้ำใหญ่ ส่วนไปทางคลองนราภิรมย์ไปออกสถานีศาลาธรรมสพน์นั้นย่นระยะทางได้กว่า ๒๕๐ เส้น</p> <p>คลองบางราวนก ปากคลองอยู่ที่ลำแม่น้ำอ้อม ใต้ปากคลองบางคูเวียงสัก ๓๐ วา คลอง บางราวนกนี้ไปออกคลองวัดไผ่ที่วัดใหม่ หรือจะมาออกทางคลองขื่อขวางวัดไชยพฤกษ์ก็ได้</p> <p>คลองบางสีทอง ปากคลองอยู่ตรงหน้าที่ว่าการอำเภอบางใหญ่ข้าม เป็นคลองลัดมาออก ลำแม่น้ำใหญ่ ตรงหน้าโรงเรียนราชวิทยาลัยบางขวางข้าม</p> <p>คลองบางกรวย ปากคลองอยู่ที่หน้าที่ว่าการอำเภอบางใหญ่ ตรงวัดชลอมาออกแม่น้ำใหญ่ตรงหน้าวัดเขมาข้าม (แม่น้ำเจ้าพระยาเดิม)</p> <p>คลองบางแพรก บางตะนาวศรี บางขุนเทียน เป็นคลองปลายตันตามทุ่งนาแต่เป็นคลอง ที่มีบ้านเรือนราษฏรมาก แลสองฝั่งคลองเป็นสวน เป็นคลองที่น่าเที่ยวในเวลาฤดูน้ำ</p> <p>คลองบางตลาด ปากคลองอยู่ที่วัดเชิงท่า ฝั่งตะวันออกแม่น้ำเจ้าพระยา คลองนี้เมื่อยัง ไม่ทำประปา เป็นทางลัดไปออกคลองเปรมประชากรก็ได้ ในเวลานี้ไปสุดแค่คลองผ่านประปา</p> <p>คลองบางบัวทอง ปากคลองอยู่ที่เหนือโรงอิฐหลวงอ้อมเกร็ด อยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ตอนปากคลองทางคดเคี้ยวมาก แต่เมื่อพ้นปากคลองเข้าไปทางลึก ๕๐ เส้นตรงคลองนี้ ไปประจบกับคลองราชาภิรมณฑ์ส่วนตัวลำคลองไปที่สุดเพียงบ้านละหารประจบคลองลำโพ</p> <p>คลองพระราชาภิมณฑ์ ปากคลองอยู่เหนือวัดราษฎร์บรรหาร ฝั่งตะวันตกของลำคลอง บางบัวทองไปออกลำลาดสวาย คลองบางภาษี ที่วัดบางภาษี แม่น้ำสุพรรณ เป็นทางชาวเมืองนนท์ ไปตัดฟืนเมืองสุพรรณทางนี้</p> <p>คลองบางเขน ปากคลองอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาใต้บ้านตลาดแก้วคลองนี้ ไปออกคลองเปรมประชากรตรงสถานีบางเขนก็ได้ ไปออกคลองวังหิน คลองลาดพร้าวไปเมืองนครเขื่อนขันธ์ ไปออกคลองแสนแสบ ลัดที่ตรงคลองพลับพลาไปเมืองมีนบุรีก็ได้</p> <p>คลองมหาสวัสดิ์ ปากคลองอยู่ที่วัดไชยพฤกษ์ ตรงไปแม่น้ำนครไชยศรี ออกตรงใต้บ้าน งิ้วราย หรือจะไปออกคลองนราภิรมย์ คลองทวีวัฒนาก็ได้เป็นคลองที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ขุดขึ้นเพื่อไปนมัสการพระปฐมเจดีย์แต่ยังมิได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เพราะทางรถไฟสายใต้ยังไม่มี</p> <p>เมืองนนทบุรีมีที่ดินทั้งสวนแลนา ที่สวนมีอยู่ในอำเภอตลาดขวัญแลอำเภอบางใหญ่โดยมาก ส่วนอำเภอบางบัวทองแลอำเภอปากเกร็ดนั้น มีที่นามากกว่าที่สวน สวนมีทุเรียนแลส้มเขียวหวานเป็นไม้ยืน นอกจากนี้มีไม้อื่นๆ เป็นไม้แซม แลมีผลไม้อีกชนิดหนึ่งเป็นของมีชื่อสำหรับเมืองนนท์ คือ สะท้อนห่อคลองอ้อม สะท้อนนี้มีตามแถวปากคลองอ้อมฝั่งเหนือ เวลานี้เจ้าของสวนสะท้อนไม่สู้จะนิยม เห็นว่าประโยชน์สู้ส้มเขียวหวานไม่ได้ ได้พากันโค่นสะท้อนปลูกส้มเขียวหวานแทนชุกชุม ต่อไปสะท้อนมีชื่อเสียงจะแพงขึ้น</p> <p>นาในเมืองนนทบุรี แต่เดิมทางฝั่งตะวันออกแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นนาปักโดยมาก แต่เวลานี้เจ้าของนาได้เปลี่ยนเป็นวิธีนาหว่าน ด้วยเหตุฝนไม่ให้ช่อง</p> <p>๒. การปกครองแลการภาษีอากร</p> <p>เมืองนนทบุรีเป็นเมืองขึ้นในมณฑลกรุงเทพ มีศาลากลาง โรงศาล หอทะเบียนที่ดินได้เริ่มจัดการปกครองตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ มีกำนัน พันทนายบ้านเป็นระเบียบ แบบแผน แลได้จัดการเปลี่ยนแปลงระเบียบอย่างดีเป็นลำดับมาโดยรวดเร็วในเวลานี้นับว่าได้จัดการเข้ารูปเรียบร้อยดียิ่ง</p> <p>การโจรผู้ร้ายนอกจากอาศัยอำเภอ กำนัน เป็นผู้ปราบปราม ยังได้จัดการพลตระเวนขยายออกไปในถิ่นสำคัญๆ เป็นกำลังของผู้ปกครองท้องถิ่น</p> <p>การภาษีอากร แยกวิธีการออกเป็น ๒ อย่าง ฝ่ายบ้านเมืองจัดการอย่างมีระเบียบชั้นนอก มีสมุห์บัญชีเป็นผู้เก็บเงิน รวมอยู่ในกรมการอำเภอ มีค่านา ค่าน้ำ อากรสวนแลอื่นๆ ส่วนภาษีผ่านด่าน กรมศุลกากรตั้งด่านครองเก็บ ด่านใหญ่ตั้งเจ้าพนักงานมีเงินเดือนด่านย่อยให้สิบลด ด่านเวลานี้มีอยู่คือ ๑. ด่านใหญ่ปากคลองอ้อม ๒. ด่านบางเขน ๓. ด่านย่อยปากคลอง มหาสวัสดิ์ ๔. ด่านย่อยปากคลองบางใหญ่ ๕. ด่านย่อยคลองบ้านแหลม ๖. ด่านย่อยคลอง บางบัวทอง ๗. ด่านย่อยปากคลองเกร็ด ๘. ด่านย่อยบางพูด ๙. ด่านย่อยปากคลองบางสีทอง </p> <p>ด่านเหล่านี้ได้เงินทางภาษีน้ำตาลโตนด และนายด่านบางคนได้รับอำนาจจากกรมศุลกากรให้เป็นผู้จัดการสุรารัฐบาลด้วย</p> <p>ภาษีฝิ่น มีเจ้าพนักงานต่างหากจากสุรา แบ่งผู้จัดการออกเป็น ๒ แขวงตอนปากเกร็ด แลบางบัวทองแขวงหนึ่ง ตอนบางใหญ่ตลาดขวัญแขวงหนึ่ง</p> <p>ทะเบียนเรือเป็นเจ้าพนักงานฝ่ายหนึ่งของกรมเจ้าท่า ทำการโดยเฉพาะ ตั้งที่ทำการที่เมือง การตรวจตราจับกุมอาศัยกำลังเจ้าพนักงานฝ่ายบ้านเมือง การอื่นๆ อยู่ในความรับผิดชอบของหัวหน้าแผนก</p> <p>หวย มีผู้รับผูกขาดมาจากนายอากร รับกินเองใช้เอง รวมทั้งเมืองนนท์มี ๓ แขวง แบ่งอาณาเขตแขวงไม่ถูกกับอาณาเขตการปกครอง แบ่งตามสะดวกของการหวย หมู่บ้านที่มีชื่อเสียงในการส่งเงินหวยให้เจ๊กมากที่สุดคือ หมู่บ้านบางตะนาวศรี เจ๊กว่าปีหนึ่งไม่น้อยกว่าหมื่นบาท หวยที่นี่แปลกกว่ากรุงเทพ ใช้เพียง ๒๘ ต่อต้นทุน</p> <p>สุราโรงทำนองเป็นผู้ผูกขาด การแบ่งแขวงก็แบ่งตามความสะดวกในการสุรา การตรวจตราจับกุมส่วนเหล้าเถื่อน น้ำตาลเมา เป็นธุระของฝ่ายบ้านเมือง การตรวจตราโรงร้านเป็นธุระของเจ้าพนักงานโรงสุราที่จัดกันมาต่างหาก</p> <p>๓. ว่าด้วยการสำมโนครัว</p> <p>เมืองนนทบุรีมีจำนวนพลเมืองที่ได้สำรวจอย่างแน่นอน ๗๒,๔๐๗ คน พลเมืองโดยมากเป็นมอญและแขก ไทยมีมากกว่ามอญ มอญมากกว่าแขก แขกน้อยกว่าไทย มอญได้ตั้งถิ่นฐานอยู่แถบตั้งแต่คลองบางตลาดไปจนสุดเขตแดนของเมืองนี้พวกหนึ่ง อยู่ในแถวคลองขุนศรี คลองญี่ปุ่น อำเภอบางบัวทองพวกหนึ่ง มอญพวกนี้ปรากฏตามพระราชพงศาวดารว่าเป็นพวกที่อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร มา ๒ คราว คราวที่ ๑ เมื่อจุลศักราช ๑๑๓๖ คราวที่ ๒ เมื่อจุลศักราช ๑๑๗๗ ในคราวนี้ มาถึง ๓๐,๐๐๐ เศษ รัฐบาลได้จัดให้อยู่ที่เมืองนนทบุรีบ้าง เมืองนครเขื่อนขันธ์บ้าง เมืองปทุมธานีบ้าง</p> <p>ส่วนแขกนั้นได้แยกย้ายกันอยู่หลายแห่ง ที่บ้านตลาดขวัญพวกหนึ่ง ตลาดแก้วพวกหนึ่ง คลองบางตลาดพวกหนึ่ง บ้านท่าอิฐพวกหนึ่ง แขกละหารพวกหนึ่ง แขกบ้านละหาร เป็นแขกบ้านท่าอิฐ บางตลาด ตลาดแก้ว ยกออกไป แขกเหล่านี้เข้าใจว่าได้มาอยู่ก่อนพวกมอญ แต่ไม่ปรากฏหลักฐาน</p> <p>๔. ว่าด้วยการศาสนาแลการเล่าเรียน</p> <p>ทางฝ่ายพุทธศาสนานับว่าเจริญ พระสงฆ์องค์เจ้าปฏิบัติกิจการในศาสนาอย่างเคร่งครัดดีฝ่ายศาสนาอิสลามต่างหมู่บ้านก็ต่างมีโบสถ์ เป็นที่กระทำพิธีกรรมตามศาสนา โบสถ์ได้ทำเป็นตึกอย่างถาวรถึง ๓ แห่ง คือ ตลาดแก้ว ตลาดขวัญ ท่าอิฐ พวกแขกบ้านอื่นๆ นอกจากบ้านตลาดขวัญปรองดองกันในทางศาสนาเรียบร้อย ส่วนหมู่บ้านตลาดขวัญไม่สู้ปรองดองกันต้นเหตุเกิดจากเรื่องถือ ๑๐ ถือ ๒๐</p> <p>การเล่าเรียนนั้นในเมืองนนทบุรีมีโรงเรียนราชวิทยาลัยเป็นโรงเรียนที่สำคัญ โรงเรียนนี้จัดดีทั้งการปกครองแลการสอน ฝรั่งบางคนที่ได้มาเห็นการสอนของโรงเรียนสรรเสริญว่าจัดดีกว่าโรงเรียนเมืองนอกที่เทียบชั้นเดียวกัน ส่วนโรงเรียนของกรมศึกษาธิการ มีโรงเรียนตัวอย่างประจำเมือง ตั้งอยู่ที่วัดท้ายเมือง นอกจากโรงเรียนตัวอย่างได้จัดให้มีโรงรียนประจำอำเภอ นอกจากโรงเรียนประจำอำเภอยังได้มีโรงเรียนตามหมู่บ้านใหญ่ ๆ การเกี่ยวข้องกับโรงเรียนนั้นได้อาศัยพระเป็นกำลังสำคัญ เจ้าอธิการบางวัดได้พยายามจัดสร้างโรงเรียนอย่างมั่นคงขึ้นหลายแห่งการศึกษาเฉพาะในเมืองนี้นับว่าได้รับอุปการะจากวัดมาก</p> <p>๕. ว่าด้วยโรงงาน การกสิกรรม พานิชการแลการหัตถกรรม</p> <p>การหัตถกรรมซึ่งเป็นของพื้นเมือง มีการทำเครื่องปั้นดินเผาอย่างหนึ่ง การจักสานอย่างหนึ่ง เครื่องปั้นดินเผานั้นชาวบ้านแถวปากคลองอ้อมทำหม้อตาล ชาวบ้านแถวเกาะเกร็ด ปั้นโอ่งอ่างกระถางต้นไม้ เครื่องปั้นดินเผานี้เป็นของพื้นเมืองมีมานาน ทำได้อย่างดี ไม่มีที่อื่นสู้ดินที่ใช้ทำเครื่องปั้นดินเผา ใช้ดินท้องนาที่ในบริเวณเกาะศาลากุนแลบ้านแหลมใหญ่ วิธีนั้นซื้อนากันเป็นแปลง ๆ แล้วขุดเอาดินที่นานั้นมาใช้ นอกจากดินในที่ ๒ แห่งนี้ใช้ไม่ได้หรือจะใช้ก็ไม่ดี</p> <p>ส่วนการจักสาน มีทำงอบและเข่งปลาทู พวกทำงอบอยู่แถวคลองบางกรวยแลบางราวนก บางคูเวียง พวกทำเข่งปลาทูอยู่แถวตั้งแต่บางแพรกไปจนคลองบางตลาด</p> <p>โรงงานที่มีในเมืองนนท์ มีโรงอิฐหลวง ตั้งอยู่ที่ป้อมเกร็ดใต้ปากคลองบางบัวทองฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา โรงอิฐนี้เป็นของพระคลังข้างที่ ทำอิฐอย่างฝรั่งได้ผลดี โรงสีตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับ โรงทำอิฐ ทำการสีข้าวของตนเองแลรับจ้างสีข้าวราษฎร ได้ประโยชน์ดีเหมือนกันโรงหีบนั้นมีโรงหีบเครื่องจักรโรงหนึ่ง ตั้งอยู่ที่ปากคลองบางใหญ่ แลโรงที่ใช้แรงกระบือ ตั้งอยู่ตามระยะคลองอ้อมถึง ๓ โรง เป็นโรงสำหรับรับจ้างหีบอ้อยของราษฎร </p> <p>๖. เรือไฟ รถไฟ</p> <p>เมืองนนทบุรีมีรถไฟสายหนึ่งเดินตั้งแต่วัดสิงขรผ่านตามสวนมาข้ามที่คลองบางกรวยตัด ไปบางใหญ่ ทางหนึ่งแยกมาเมืองนนท์ตรงบ้านตึก เยื้องศาลากลางข้ามทางหนึ่ง ทางที่ตัดไปบางใหญ่นั้นเจ้าของได้ตั้งใจจะทำไปอำเภอบางบัวทอง ที่สุดบ้านเจ้าเจ็ด อำเภอเสนา กลางกรุงเก่าแต่ตอนนี้ยังไม่สำเร็จ ตอนที่ไปบางใหญ่กับเมืองนนท์จะได้ประโยชน์เฉพาะรับคนโดยสาร คงจะไม่ได้ประโยชน์ในทางบรรทุกสินค้า แต่ตอนบ้านเจ้าเจ็ดมาบางบัวทองนั้นเข้าใจว่าจะได้ประโยชน์ ในทางบรรทุกข้าวมาก<a href="#_ftn18_8341" name="_ftnref18_8341">*</a></p> <p>เรือที่รับส่งคนโดยสารนั้น มีเรือยนต์ของบริษัทแม่น้ำมอเตอร์โบ๊ต เดินระหว่างปากคลองบางใหญ่ไปออกคลองบางกอกน้อย รับส่งคนขึ้นลงที่ท่าข้างวังหลวงสายหนึ่ง เดินระหว่างปากคลองบางใหญ่มาส่งตลาดเมืองนนท์ แต่เดินเฉพาะฤดูที่น้ำเดินได้สายหนึ่ง เดินระหว่างเมืองปทุมแลปากเกร็ดไปส่งที่ท่าบางกระบืออีกสายหนึ่ง</p> <p>นอกจากเรือประจำมีเรือผ่านที่ไปกรุงเก่า อ่างทอง บ้านผักไห่ อีกพวกหนึ่งแลนอกจากเรือรับส่งคนโดยสารมีเรือโยงลากเรือไปส่งกรุงเก่าและแควเหนืออีกพวกหนึ่ง</p> <p>๗. ตลาดค้าขาย</p> <p>ตลาดค้าขายมีตลาดใหญ่ที่อำเภอปากเกร็ด เป็นตลาดแพจอดเรียงเป็นตับ ตั้งแต่หน้าวัดสนามไชยไปจนเลยวัดบ่อ ตลาดนี้เป็นตลาดสำคัญของเมืองนี้ ทำการติดต่อกับพวกตลาดย่อย แลแม่ค้าเร่ แถบเมืองปทุม บางบัวทอง บ้านแหลมใหญ่ บ้านใหม่ตลาดเนื้อ</p> <p>ที่ปากคลองบางราวนก บางคูเวียง มีตลาดแพอีกตลาดหนึ่ง ทำการติดต่อกับพวกคลอง บางใหญ่ บางราวนก บางคูเวียง ไปจนคลองนราภิรมย์ นอกจากสองตลาดนี้ไม่มีตลาดที่เป็นแก่นสาร ส่วนตลาดขายของสวนนั้นมีอยู่ ๔ แห่ง ๑.ปากคลองบางเขน ของสวนที่ออกจากคลองบางเขน บางตะนาวศรี บางแพรก แลบางอื่นๆ ไปรวมขายที่นั่น ๒. ปากคลองบางกรวยตรงวัดชลอของสวนในแถวบางขนุน บางขุนกอง บางศรีเมือง บางศรีทอง บางกรวย มารวมขายที่นั่น ๓. ปากคลองบางราวนก บางคูเวียง ของสวนในคลองบางราวนก บางคูเวียง มารวมขายที่นั่น ๔. ปากคลองบางใหญ่ ของสวนในคลองบางใหญ่ บางเลน บางรักน้อย บางรักใหญ่ไปขายที่นั่น ตลาดสวนติดเวลาเช้าเวลาเดียวสายหน่อยเลิกหมด</p> <p>๘. การทำมาหากิน</p> <p>ชาวเมืองนนท์ทำสวนแลทำนาเป็นพื้น การหัตถกรรมมีเครื่องปั้นดินเผาและการจักสานเป็นงานที่สำหรับทำในเวลาว่าง ชาวเมืองนนท์น่าชมที่ไม่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปในใช่เหตุ ว่างนั่นทำนี่ เป็นพลเมืองขยันต่อการงานจริงๆ แลนอกจากการทำนา ทำสวนเครื่องปั้นดินเผา ยังมีพวกที่ทำน้ำตาลโตนดอีกพวกหนึ่ง น้ำตาลโตนดกรอกเป็นหม้อเป็นคะนนเป็นสินค้าซึ่งออกจากเมืองนนท์ปีละมากๆ</p> <p>๙. นิสัยความประพฤติพลเมือง</p> <p>นิสัยชาวเมืองนนท์ใจกว้าง การตีรันฟันแทงนับว่าเป็นมือขวา การพนันไม่สู้จะชอบเป็น นักเลงยาฝิ่นน้อย เป็นคนหมั่นต่อกิจการงาน</p> <p>๑๐. ผลประโยชน์รายได้</p> <p>เมืองนี้ประโยชน์รายได้รวมทุกประเภทราว ๕๐๐,๐๐๐ บาท ได้จากค่าอากรค่านาแลอากรสวนใหญ่ มากกว่าอย่างอื่น</p> <p>๑๑. ที่เที่ยว</p> <p>ที่เที่ยวมี ๒ ประเภท เที่ยวหาอากาศสบายที่วัดเขมาแห่งหนึ่ง วัดเสาธงทองแห่งหนึ่งวัดเขมาอยู่ตรงปากคลองบางกรวยข้าม วัดเสาธงทองอยู่ตรงอ้อมเกร็ดเยื้องปากคลองบ้านแหลมใหญ่ข้าม เที่ยวเพื่อเย็นตาสบายใจแลดูฐานเดิมแห่งลำแม่น้ำเก่าต้องเที่ยวในคลองอ้อมออกคลองบางกอกน้อย</p> <p>๑๒. โบราณคดี </p> <p>เมืองนี้ครั้งกรุงเก่า เป็นเมืองห่างจากพระนครหลวง แลเป็นเมืองจัตวาปักษ์ใต้ไม่สู้จะมี เหตุการณ์แลถาวรวัตถุเกี่ยวเนื่องโบราณคดี มีบ้างก็เป็นเรื่องขุดแม่น้ำลำคลองดังที่ว่ามาในตอนต้น นั้น นอกจากเรื่องขุดแม่น้ำลำคลองมีเรื่องเกี่ยวกับวัดเขมาอยู่ตอนหนึ่ง คือ เมื่อจุลศักราช ๑๑๒๗ ปี พ.ศ. ๒๓๐๘ ในครั้งนั้นมีศึกพม่ามาติดพระนคร มีความตามพระราชพงศาวดารดังนี้</p> <p>ฝ่ายกองทัพหน้าพม่าข้างทางใต้ ซึ่งตั้งค่ายอยู่ ณ ตอกระออมนั้น ถึง ณ เดือนสิบ ปีระกาสัปตศก เมฆราโบ จึงยกทัพเรือพลพันเศษลงมาตีค่ายทัพไทย ซึ่งตั้งอยู่ตำบลบำหรุนั้นแตกแล้วก็ยกลงมาตีทัพเรือพวกไทยตำบลบางกุ้งก็แตกฉานพ่ายหนี จึงยกล่วงหน้าเข้ามาถึงเมืองธนบุรี พระยารัตนา ธเบศมิได้สู้รบหนีกลับขึ้นไปกรุงเทพมหานคร กองทัพเมืองนครราชสีมา ก็เลิกไปทางฟากตะวันออก ยกกลับไปเมืองสิ้น พม่าก็ได้เมืองธนบุรี เข้าตั้งอยู่ ๓ วันแล้วเลิกทัพกลับไป ณ ค่ายตอกระออมดังเก่า</p> <p>ในขณะนั้นมีกำปั่นอังกฤษลูกค้าลำหนึ่ง บรรทุกผ้าสุหรัดเข้ามาจำหน่าย ณ กรุงเทพมหานคร โกษาธิบดีให้ล่ามถามแก่นายกำปั่นว่า ถ้าพม่าจะเข้ามารบเอาเมืองธนบุรีอีก นายกำปั่นจะอยู่ช่วยรบหรือจะไปเสีย นายกำปั่นว่าจะอยู่ช่วยรบ แต่ขอให้ถ่ายมัดผ้าขึ้นฝากไว้ให้กำปั่น เบาก่อน ครั้นถ่ายมัดผ้าขึ้นแล้วก็ถอยกำปั่นล่องลงมาทอดอยู่ ณ ปากคลองบางกอกใหญ่</p> <p>ครั้น ณ เดือนยี่ เมฆราโบ ก็ยกทัพเรือเข้ามาเมืองธนบุรีอีก ไม่มีใครอยู่รักษาเมืองแลสู้รบ พม่าเอาปืนใหญ่ขึ้นตั้งบนป้อมวิไชยเยนทร์ฟากตะวันตก ยิงโต้ตอบกับปืนกำปั่นจนเวลาค่ำ กำปั่น จึงถอนสมอลอยขึ้นไปตามน้ำ ขึ้นไปทอดอยู่เหนือเมืองนนทบุรี แลกองทัพพระยายมราช ซึ่งตั้งอยู่ เมืองนนท์นั้นก็เลิกหนีขึ้นไปเสียมิได้ตั้งอยู่ต่อรบพม่า พม่าเข้าตั้งอยู่ ณ เมืองธนแล้ว จึงแบ่งทัพขึ้นมา ตั้งค่าย ณ วัดเขมาตลาดแก้วทั้งสองฟาก ครั้นเพลากลางคืนนายกำปั่นจึงขอเรือกราบลงมาชักสลุบ ช่วง ล่องลงไปให้มีปากเสียง ครั้นตรงค่ายพม่า ณ วัดเขมา ก็ได้จุดปืนรายแคมพร้อมกันทั้งสองข้าง ยิงค่ายพม่า ทั้งสองฟาก พม่าต้องปืนล้มป่วยลำบากแตกหนีออกหลังค่าย ครั้นเพลาเช้าน้ำขึ้น สลุบช่วงก็ถอนขึ้นมาหากำปั่นใหญ่ ซึ่งทอดอยู่เหนือเมืองนนท์</p> <p>ฝ่ายทัพพม่าก็ยกเข้าค่ายเมืองนนท์ ครั้นเวลาค่ำให้ยกสลุบช่วงล่องลงไปอีก จุดปืนชายแคมยิงค่ายเมืองนนท์ พม่าหนีออกไปซุ่มอยู่หลังค่าย อังกฤษแลไทยลงกำปั่นขึ้นไปเก็บของในค่าย พม่ากลับกรูกันเข้ามาข้างหลังค่ายไล่ฟันแทงไทยแลอังกฤษแตกหนีออกจากค่ายลงกำปั่น แลตัดศรีษะล้าต้าอังกฤษได้คนหนึ่ง เอาขึ้นเสียบประจานไว้หน้าค่าย นายกำปั่นจึงบอกแก่ล่ามว่าปืนในกำปั่นกระสุนย่อมกว่าปืนพม่า เสียเปรียบข้าศึกจะขอปืนใหญ่กระสุนสิบนิ้วสิบกระบอกแล้วจะขอเรือรบ พลทหารสิบลำจะลงไปรบพม่าอีก ล่ามกราบเรียนแก่เจ้าพระยาพระคลัง พระยาพระคลังกราบบังคมทูล จึงโปรดให้เอาปืนใหญ่สิบกระบอกลงบรรทุกเรือใหญ่ขึ้นไปกำปั่น แต่เรือสิบลำนั้นหาทันจัดแจงให้ไปไม่ ครั้นเพลาบ่ายอังกฤษล่องเรือกำปั่นแลสลุบช่วงลงไปจนพ้นเมืองธนบุรีแล้ว จึงทอดสมออยู่</p> <p>ขณะนั้นไทยในกรุงเทพมหานคร ลอบลงเรือน้อยลงมาเก็บผลไม้หมากพลู ณ สวนอังกฤษจับขึ้นไว้บนเรือมากกว่าร้อยคน แล้วก็ใช้ใบหนีไปออกท้องทะเล ครั้นเพลาค่ำไทยหนีขึ้นมาถึงพระนครได้ ๒ คน จึงรู้เนื้อความว่ากำปั่นอังกฤษมิได้อยู่รบพม่า หนีไปแล้วได้แต่มัดผ้า ซึ่งขนขึ้นไว้สี่สิบมัด</p> <p>นอกจากวัดเขมามีวัดหนึ่งที่เกี่ยวด้วยโบราณคดี คือวัดบางอ้อยช้าง ท้องที่อำเภอบางกรวย วัดนี้ว่ากันว่า เป็นวัดที่ขุนหลวงหาวัดได้เคยจำพรรษาอยู่ จะจริงเท็จฉันใดไม่พบหลักฐาน…..”</p> <p>(การคัดลอกนี้รักษาอักขระตามต้นฉบับเดิมทุกประการ)</p> <p>เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๕ รัชกาลที่ ๕ ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงนครบาล เป็นเจ้าหน้าที่จัดซื้อที่ดินตำบลบางขวาง อำเภอตลาดขวัญ จังหวัดนนทบุรีเพื่อจัดสร้างเรือนจำมหันตโทษกลาง แต่ยังไม่ทันสำเร็จเรียบร้อย ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๖ ทรงใช้ที่ดินส่วนหนึ่งสร้างเป็นโรงเรียนแบบกินนอน คือ โรงเรียนราชวิทยาลัย เมื่อสิ้นรัชกาลที่ ๖ ถึงสมัยรัชกาลที่ ๗ เศรษฐกิจตกต่ำมากจึงได้ยุบกิจการโรงเรียนนี้ แล้วมอบอาคารเรียนให้เป็นศาลากลางจังหวัดนนทบุรี</p> <p>ในสมัยรัชกาลที่ ๗ พ.ศ. ๒๔๗๑ จึงได้ย้ายศาลากลางจากท่าเรือตลาดขวัญ มาตั้งใหม่ ณ อาคารเดิมของโรงเรียนราชวิทยาลัย ส่วนเรือนจำกลางบางขวางนั้นได้เริ่มดำเนินการใหม่ ราว พ.ศ. ๒๔๖๒ และสร้างเสร็จเปิดดำเนินกิจการได้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔ ซึ่งจะได้กล่าวเฉพาะเรื่องในบทต่อไป</p> <p>อาคารเรียนของโรงเรียนราชวิทยาลัยนี้ นอกจากจะใช้เป็นศาลากลางจังหวัดนนทบุรีแล้ว ยังจัดแบ่งบางส่วนเป็นที่ว่าการอำเภอเมืองนนทบุรี เป็นสำนักงานเทศบาลเมืองนนทบุรี ส่วนหอประชุมของโรงเรียนนั้น ใช้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนสตรีประจำจังหวัดนนทบุรี ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๖ – พ.ศ. ๒๔๙๘ ศาลากลางจังหวัดนนทบุรีแห่งนี้ นับว่าเป็นศาลากลางจังหวัด ที่สง่างามยิ่งแห่งหนึ่ง เนื่องจากรูปแบบการก่อสร้างมีลักษณะเฉพาะที่อิงเอกลักษณ์ไทย กรมศิลปากรจึงได้ขึ้นบัญชีไว้เป็นโบราณสถานแห่งหนึ่งด้วย ทางกระทรวงมหาดไทยเคยขอรื้อดัดแปลง เพื่อสร้างใหม่ ทางกรมศิลปากรคัดค้านจึงคงรูปอยู่จนถึงทุกวันนี้ </p> <p>ในสมัยก่อนการคมนาคมระหว่างจังหวัดนนทบุรีกับเมืองหลวง ต้องใช้ทางน้ำเป็นพื้น ดังในรายงานที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าใช้เรือยนต์ของบริษัทมอเตอร์โบ๊ต และมีรถไฟของเอกชนแล่นทางฝั่งตะวันตก (ชาวบ้านเรียกว่า รถไฟเจ้าพระยาวรพงศ์) ซึ่งก็ไม่ใคร่สะดวกนัก ต่อมาการใช้รถยนต์ก้าวหน้าขึ้น ในสมัยรัชกาลที่ ๘ ได้มีการตัดถนนรถยนต์เชื่อมระหว่างนนทบุรี – กรุงเทพ ขึ้นเป็นสายแรก เรียกว่า ถนนประชาราษฎร์ สายต่อมาคือถนนเลียบริมฝั่งแม่น้ำตัดค้างไว้แต่สมัยรัชกาลที่ ๘ แต่สำเร็จใช้เดินรถได้ในสมัยรัชกาลที่ ๙ ให้ชื่อว่าถนนพิบูลสงคราม</p> <p>กล่าวได้ว่าจังหวัดนนทบุรีได้เริ่มพัฒนามากขึ้น ในสมัยรัชกาลที่ ๘ โดยเฉพาะการคมนาคม และการศึกษา ส่วนรูปแบบการปกครองก็เปลี่ยนไปตามลักษณะการบริหารราชการส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น เพราะประเทศไทยได้เปลี่ยนการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตยตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๕ สมัยรัชกาลที่ ๗ ความเจริญเหล่านี้มีอุปสรรคทำให้ชะงักลงด้วยเหตุ ๒ ประการคือ เกิดสงครามโลก ครั้งที่ ๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒ - พ.ศ. ๒๔๘๘ และเกิดน้ำท่วมใหญ่ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕ ซึ่งทำให้สวนทุเรียน จมน้ำ ทุเรียนตายเกือบหมด เกิดการเสียหายทางเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่</p> <p>หากจะกล่าวถึงผลดีที่ชาวเมืองนนท์ได้รับจากการเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็อาจจะมีอยู่บ้างคือในราว พ.ศ. ๒๔๘๖ - พ.ศ. ๒๔๘๗ ครั้งนั้นเครื่องบินของสัมพันธมิตรได้โจมตีกรุงเทพฯ หนักมาก ชาวกรุงเทพฯ จึงอพยพมาเช่าบ้านอยู่ทางจังหวัดนนทบุรี เพราะไม่มีจุดยุทธศาสตร์ และ ต่อมาก็ได้แต่งงานกับชาวนนท์ไปหลายคู่ โรงเรียนบางแห่งก็ย้ายมา แม้กระทั่งโรงพยาบาลศิริราชก็ ยังย้ายคนไข้มาอยู่ที่บริเวณสนามศาลากลางจังหวัด โดยสร้างอาคารชั่วคราวขึ้นเต็มตลอดทั้งสนาม นับได้ว่าการอพยพของชาวกรุงมีส่วนช่วยให้ชาวเมืองนนท์มีเศรษฐกิจดีขึ้นทั้งการสังคมก็กว้างขวาง ขึ้นด้วย</p> <p>รัชกาลที่ ๙</p> <p>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (พ.ศ. ๒๔๘๙ - ปัจจุบัน)</p> <p>แม้จังหวัดนนทบุรีจะเป็นเมืองชานนครหลวง แต่สภาพของตัวเมือง เมื่อเริ่มสมัยรัชกาลที่ ๙ ยังคงมีสภาพคล้ายหัวเมืองชนบทที่อยู่ห่างไกล กระทรวงมหาดไทยเห็นความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงให้จังหวัดได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว จึงได้มอบนโยบายสำคัญมากับผู้ว่าราชการจังหวัดในสมัยนั้น (นาย สอาด ปายะนันทน์ พ.ศ. ๒๕๐๓ - ๒๕๑๑) ให้สนองนโยบายของรัฐบาลให้ได้ จังหวัดนนทบุรีจึงได้พัฒนาอย่างรุดหน้าและรวดเร็วมาก โดยเริ่มจากตัวเมือง และตัวอำเภอที่สำคัญๆ ก่อน ดังจะขอนำตอนหนึ่งจากคำปราศัยของจอมพลประภาส จารุเสถียร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในสมัยนั้น ได้กล่าวต่อที่ประชุมข้าราชการ เมื่อคราวมาตรวจเยี่ยมประชาชนชาวนนทบุรี เมื่อ ๗ สิงหาคม ๒๕๐๖ ดังนี้</p> <p>“………..แต่เดิมมา แม้แต่ภายในตัวเมืองเอง ก็ยังอยู่กันขะมุกขะมอมมอมแมม ผมก็อยากให้เมืองนี้สวยงามขึ้น และนอกจากนั้น ถนนเชื่อมจากพระนครเข้ามาถึงแล้ว ทั้งแขก ทั้งฝรั่ง ทั้งญี่ปุ่น ทั้งจีน ก็พากันมาดูเรือนจำบางขวาง เขาเห็นนนทบุรีพรอวินส์ ขะมุกขะมอมเข้า ผมก็รู้สึกอายเขาเหลือเกิน มีกอฟเวอเนอร์อยู่ทั้งคน จะปล่อยให้เก่าแก่เหมือนเดิมไม่ได้ฉะนั้นผมจึงได้เคี่ยวเข็นมายังจังหวัด พยายามจะให้เห็นจังหวัดนี้สวยงามขึ้น และมีความเป็นอยู่สุขสบายตามสมควร ดังนั้น จึงได้รุกมายัง ผู้ว่าราชการจังหวัดมาก ท่านก็เป็นคนชอบมุมานะในเรื่องนี้อยู่แล้วผมเห็นว่าท่านเหมาะกับงานนี้ จึงได้เชิญมาอยู่ที่นี่และก็ได้เห็นผลทันตาดีเหมือนกัน…………”</p> <p>จังหวัดนนทบุรีจะพัฒนาอย่างไรนั้น จะขอบรรยายสรุป โดยอาศัยหัวข้อจากป้ายอนุสรณ์แสดงผลงานของการพัฒนา ซึ่งสร้างไว้หน้าศาลากลางจังหวัดมากล่าว ดังนี้</p> <p>ผลการพัฒนาจังหวัดนนทบุรี</p> <p>ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๐๓ - ๒๕๐๗</p> <p>ซึ่งสำเร็จด้วยความร่วมมือของประชาชนและหน่วยงานต่างๆ</p> <p>๑. การพัฒนาเมืองนนทบุรี</p> <p>กวาดล้างแหล่งเสื่อมโทรมทั้งเมือง (ขยายถนนให้กว้าง) และสร้างเมืองใหม่ (รวมทั้งตลาดสดและถนนโดยรอบ) เฉพาะอาคารพาณิชย์เทศบาล ๑๒๓ คูหา ราคา ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท มีผู้สร้างอุทิศให้เทศบาล</p> <p>รวมรายจ่ายตามโครงการประมาณ ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท </p> <p>๒. การพัฒนาเมืองบางบัวทอง</p> <p>กวาดล้างแหล่งเสื่อมโทรมครึ่งเมือง และสร้างเมืองใหม่ เฉพาะอาคารพาณิชย์เทศบาล ๑๒๘ คูหา ตลาดสด (รวมเขื่อนหน้าตลาด) และถนน ราคา ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท มีผู้สร้างอุทิศให้เทศบาล</p> <p>รวมรายจ่ายตามโครงการนี้ประมาณ ๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท </p> <p>๓. การพัฒนาอำเภอปากเกร็ด</p> <p>ย้ายที่ตั้งอำเภอและสร้างบริเวณชุมนุมชนการค้าใหม่ เฉพาะอาคารพาณิชย์และอาคาร ต่าง ๆ ราคา ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท มีผู้สร้างอุทิศให้สุขาภิบาล</p> <p>๔. การพัฒนางานคมนาคม</p> <p>๔.๑ ตัดถนนสายบางกรวย – ไทรน้อย เป็นถนนลาดยาง ยาว ๓๘ กิโลเมตร (และถนนแยกไปบางบำหรุ) รวมรายจ่ายตามโครงการนี้ประมาณ ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ประชาชนได้อุทิศที่ดินให้ตัดถนนด้วยคิดเป็นเงินอีกประมาณ ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท</p> <p>๔.๒ ถนนตัดใหม่ ๑๐ สาย และปรับปรุงถนนเก่า รวมรายจ่ายประมาณ ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท กล่าวคือ บริเวณเมืองด้านตะวันออกได้ตัดถนนซอยหลายสายเช่นซอยวัดบางขวาง ซอยวัดกำแพง ซอยเหนือโรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม ซอยหน้าโรงเรียนศรีบุณยานนท์ไปเชื่อมกับซอยเรวดี ซอยรอบศาลากลางจังหวัดและซอยหลังธนาคารกรุงไทย ฯลฯ ส่วนทางด้านทิศตะวันตก มีการตัดถนนเชื่อมตำบล ชุมชน และวัด เข้าสู่ถนนใหญ่ (บางกรวย – ไทรน้อย) หลายสาย เช่น ซอยวัดเฉลิมพระเกียรติ ซอยวัดประชารังสรรค์ – ค่ายลูกเสือ และซอย อ. บางใหญ่ ฯลฯ</p> <p>๕. การพัฒนาการศึกษา</p> <p>ได้สร้างพิพิธภัณฑ์ประวัติธรรมชาติ ห้องสมุดประชาชนประจำจังหวัด ปรับปรุงโรงเรียนให้ถาวร (๒๓ แห่ง) และอื่นๆ รวมค่าใช้จ่ายประมาณ ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท</p> <p>๖. การพัฒนางานสาธารณสุข</p> <p>ได้สร้างอาคารในโรงพยาบาลนนทบุรีเพิ่มเติม สร้างสถานีอนามัยชั้นหนึ่ง ๓ แห่ง สร้างสถานีอนามัยชั้นสองและอื่นๆ รวมค่าใช้จ่ายประมาณ ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท</p> <p>๗. การพัฒนาอาชีพ</p> <p>ขุดคลองขนาดใหญ่ ๒ คลอง ขุดคลองขนาดเล็กและลอกคลองเก่า ๔๕ คลอง รวม ความยาวประมาณ ๑๕๓ กิโลเมตร รวมค่าใช้จ่ายในการนี้และกิจการอื่นๆ ประมาณ ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท</p> <p>ได้ซื้อรถขุดเพื่อช่วยการทำนา และขุดคลองใหม่ ๓ คัน ราคาประมาณ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท</p> <p>๘. การพัฒนางานสาธารณูปโภค</p> <p>ติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะที่ ถนนแจ้งวัฒนะ ถนนงามวงศ์วาน และอื่นๆ รวม ๑๐ ถนนยาวประมาณ ๓๒ กิโลเมตร ค่าใช้จ่ายประมาณ ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท</p> <p>ปรับปรุงกิจการเดินรถโดยสารประจำทาง โดยซื้อรถใหม่ ๕๐ คัน รวมทั้งปรับปรุง กิจการอื่น ๆ ค่าใช้จ่ายประมาณ ๑๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท</p> <p>๙. การพัฒนาตามอำเภออื่นๆ รวมรายจ่ายประมาณ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท</p> <p>รวมการพัฒนาในรอบ ๔ ปี ๖๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท</p> <p>การพัฒนาอื่นๆ ที่ควรกล่าวถึงได้แก่</p> <p>๑. การสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กหน้าศาลากลางจังหวัดนนทบุรี แทนเขื่อนเดิมที่ พังทลาย เขื่อนที่สร้างใหม่ยาว ๑๗๐ เมตร ขยายถนนคอนกรีตออกไปอีก ๘ เมตร และมีทางเท้า กว้าง ๔ เมตร สุดทางเท้ามีลูกกรงคอนกรีตและเสาไฟฟ้าพร้อมดวงโคมทุกระยะ ๖ เมตร เสร็จเมื่อ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๐๘ ใช้งบประมาณ ๔,๒๗๘,๓๕๐ บาท</p> <p>๒. การสร้างสนามกีฬาจังหวัด ค่ายลูกเสือและสวนสาธารณะ สร้างที่บริเวณวัดโบสถ์ ดอนพรหมเขต อ. เมืองนนทบุรีติดต่อกับ อ. บางใหญ่ใช้เนื้อที่ประมาณ ๔๐ ไร่ งบประมาณ ในการก่อสร้าง ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๘</p> <p>ผลจากการพัฒนาของจังหวัด ทำให้ชุมชนต่างๆ ตื่นตัวขึ้น ต่างเห็นความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของตน ทั้งรัฐบาลในสมัยต่อมาได้มีโครงการสร้างงานในชนบทเป็น โครงการสำคัญ สภาตำบลทุกสภาต่างวางโครงการพัฒนาท้องถิ่นของตนให้เจริญ โครงการส่วนใหญ่ได้แก่ การตัดถนนเข้าสู่หมู่บ้าน การประปาอนามัย และการขุดลอกคลอง สมัยปัจจุบันนี้จังหวัดนนทบุรีจึงกำลังพัฒนาในทุกๆ ด้าน อาทิ การคมนาคม การศึกษา การพาณิชย์ การเกษตร และการสาธารณสุข เป็นต้น</p> <p>พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและ</p> <p>พระบรมวงศานุวงศ์ที่เกี่ยวกับจังหวัดนนทบุรี</p> <p>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และพระบรมวงศานุวงศ์ได้เสด็จมาที่ จังหวัดนนทบุรีหลายครั้ง เท่าที่พอจะค้นหาหลักฐานได้มีดังนี้</p> <p>พ.ศ. ๒๔๙๔ (โดยประมาณ)</p> <p>- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถเสด็จเยี่ยมชมสวนทุเรียนของชาวสวนแห่งหนึ่ง สวนแห่งนี้อยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเหนือที่ว่าการอำเภอเมืองนนทบุรี เป็นสวนของนายสุเทพ รัตนเสวี อดีตผู้แทนราษฎรนนทบุรี</p> <p>พ.ศ. ๒๕๐๔</p> <p>- สมเด็จพระศรีนครินทราทราบรมราชชนนี เสด็จเยี่ยมศูนย์บริการเด็กพิการ ที่อำเภอ ปากเกร็ด เมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ </p> <p>- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินร่วมพิธีลอยกระทง ณ วัดเฉลิมพระเกียรติ พร้อมด้วยเจ้าหญิงอเล็กซานดราแห่งเคนท์ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน</p> <p>พ.ศ. ๒๕๑๗</p> <p>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปทรงประกอบพิธีพระราชทานธงประจำรุ่นแก่ลูกเสือชาวบ้าน ๓ รุ่น และพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ผู้ที่มีจิตศรัทธา เฝ้าทูลเกล้า ฯ ถวายเงินเพื่อโดยเสด็จพระราชกุศลในกิจการลูกเสือชาวบ้าน เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์</p> <p>ในวันเดียวกันนี้ได้เสด็จไปทรงประกอบพิธีเปิดวัดพระแม่การุณย์ของมิซซังโรมัน คาทอลิก ที่ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ดด้วย</p> <p>พ.ศ. ๒๕๒๑</p> <p>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถและสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ เสด็จพระราชทานธงลูกเสือชาวบ้าน ที่โรงเรียนสตรีนนทบุรี </p> <p>พ.ศ. ๒๕๒๓</p> <p><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh-K4h0p_ONabXoiHB6b1l_i2ugmZy6Kjvl9lJTU1s-u3G2ygUwuYtZSZUTkCiFPMF-SdG7M63rkHqJYILcUQJtnvDAJOkvgxtbnpJXazszn_F_R8SCrpFGfoJ-hGtpP3Esg5VIDzamZTg/s1600-h/clip_image0013.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image001" border="0" alt="clip_image001" src="http://lh6.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkbcW4r7nI/AAAAAAAAASo/YtoEEo0OdGg/clip_image001_thumb.gif?imgmax=800" width="240" height="2" /></a>สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จแทนพระองค์มาเป็นองค์ประธานในพิธีตัดลูกนิมิตร ณ วัดกู้ อำเภอปากเกร็ด เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม</p> <p>ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดนนทบุรี. นนทบุรี : โรงพิมพ์สถานสงเคราะห์หญิงบ้านปากเกร็ด,</p> <p>๒๕๒๖</p> <hr align="left" size="1" width="33%" /> <p><a href="#_ftnref1_8341" name="_ftn1_8341">(</a>๑) พระราชทานเพลิงศพสมเด็จพระศรีสุริโยทัย</p> <p><a href="#_ftnref2_8341" name="_ftn2_8341">(</a>๒) คือจังหวัดสมุทรสาคร</p> <p><a href="#_ftnref3_8341" name="_ftn3_8341">(</a>๓) พระราชพงศาวดารสยาม จากต้นฉบับของบริติชมิวเซียม (สำนักพิมพ์ก้าวหน้า), หน้า ๗๖</p> <p><a href="#_ftnref4_8341" name="_ftn4_8341">(</a>๔) หมายถึงกรุงเทพฯ ในปัจจุบัน</p> <p><a href="#_ftnref5_8341" name="_ftn5_8341">(</a>๕) จดหมายเหตุของลาลูแบร์, หน้า ๑๔</p> <p><a href="#_ftnref6_8341" name="_ftn6_8341">(</a>๖) หมายถึงแม่น้ำเจ้าพระยา</p> <p><a href="#_ftnref7_8341" name="_ftn7_8341">(</a>๗) หมายถึงกรุงศรีอยุธยา</p> <p><a href="#_ftnref8_8341" name="_ftn8_8341">(</a>๘) จดหมายเหตุของลาลูแบร์, หน้า ๑๔</p> <p><a href="#_ftnref9_8341" name="_ftn9_8341">(</a>๑), (๒) พระราชพงศาวดารกรุงสยาม จากต้นฉบับบริติชมิวเซียม, (สำนักพิมพ์ก้าวหน้า), หน้า ๕๖๖</p> <p><a href="#_ftnref10_8341" name="_ftn10_8341"></a></p> <p><a href="#_ftnref11_8341" name="_ftn11_8341">(</a>๑) สันต์ ท. โกมลบุตร จดหมายเหตุรายวันการเดินทางไปสู่ประเทศสยาม, หน้า ๓๕๐</p> <p><a href="#_ftnref12_8341" name="_ftn12_8341">(</a>๒) พระราชพงศาวดารกรุงสยาม จากต้นฉบับของบริติชมิวเซียม, (สำนักพิมพ์ก้าวหน้า), หน้า ๕๘๐</p> <p><a href="#_ftnref13_8341" name="_ftn13_8341">(</a>๓), พระราชพงศาวดารกรุงสยาม จากต้นฉบับของบริติชมิวเซียม, (สำนักพิมพ์ก้าวหน้า), หน้า ๖๒๙-๖๓๒</p> <p><a href="#_ftnref14_8341" name="_ftn14_8341"></a></p> <p><a href="#_ftnref15_8341" name="_ftn15_8341">(</a>๑) อักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม ๒ (พิมพ์ครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๐๗), หน้า ๕๔๘</p> <p><a href="#_ftnref16_8341" name="_ftn16_8341">(</a>๑) กรมท่า เป็นหน่วยงานขึ้นในกรมพระคลัง ให้มีหน้าที่ดูแลบังคับการที่ท่าเรือ ซึ่งชาวต่างประเทศได้เข้ามาค้าขาย</p> <p>และจัดกิจการที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศ</p> <p><a href="#_ftnref17_8341" name="_ftn17_8341">(</a>๑) จำนง หนูนิ่มประวัติเมืองนนทบุรี โรงพิมพ์ประเสริฐศิริ พระนคร ๒๕๑๒ หน้า ๕</p> <p><a href="#_ftnref18_8341" name="_ftn18_8341"><b>*</b></a><b> </b>รถไฟสายนี้เรียกว่ารถไฟสายวรพงษ์ ไปจอดที่ตลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี ของเจ้าพระยาวรรพงษ์</p> ไม้ไผ่http://www.blogger.com/profile/13079736154779537493noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3975884513971132653.post-78614892202382974012010-08-16T04:04:00.001-07:002010-08-16T04:04:17.349-07:00นครปฐม<p>ประวัติศาสตร์จังหวัดนครปฐม</p> <p>ถ้าจะกล่าวถึงเมืองเก่าแก่ที่สุดเมืองหนึ่งในประเทศไทย และเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่ สมัยอดีต นครปฐมนับว่าเป็นเมืองที่สมกับคำกล่าวนี้ ทั้งนี้เนื่องจากการสำรวจดูโบราณสถานที่ยังเหลือเป็นพยานอยู่ เช่นพระปฐมเจดีย์องค์เดิม ธรรมจักรกับกวาง อาสนบูชา สถูป จารึกพระธรรมภาษามคธ คาถาเยธมฺมา ซึ่งทำตามคตินิยมแต่ครั้งพระเจ้าอโศกมหาราชก่อนมีพระพุทธรูปสิ่งเหล่านี้มีพบแต่ที่นครปฐมแห่งเดียวเท่านั้น</p> <p>ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เมืองนครปฐมเป็นเมืองดั้งเดิม อาจกล่าวเป็นสมัยๆ ดังนี้</p> <p>สมัยสุวรรณภูมิ</p> <p>สุวรรณภูมิถ้าแปลตามศัพท์ หมายถึงแผ่นดินทอง หรือดินแดนทอง ซึ่งหมายถึงดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ แผ่นดินตรงบริเวณที่เมืองนครปฐมตั้งอยู่นี้ เดิมเป็นที่ราบต่ำและเคยเป็นทะเลมาแล้ว ต่อมาพื้นน้ำค่อยๆ ลดลง เพราะพื้นดินเกิดตื้นเขินขึ้น เพราะแม่น้ำได้พัดพาเอาดินตะกอนและสิ่งต่างๆ มาทับถมอยู่เป็นเวลาช้านาน อาณาบริเวณนี้จึงเป็นที่ราบลุ่มเหมาะแก่การตั้งบ้านเรือนทำมาหากิน นครปฐมในอดีตจึงเป็นเมืองที่อยู่ริมทะเลและเจริญรุ่งเรืองมาก ในสมัยพุทธกาล นครปฐมเปรียบเสมือนแผ่นดินทอง ชาวต่างประเทศได้แก่ชาวอินเดียได้ทำการติดต่อค้าขายเป็นประจำโดยทางเรืออยู่เรื่อยๆ ชาวพื้นเมืองแถบนี้คงจะเป็นชนชาติที่ยังไม่มีศาสนาเป็นของตนเอง และมีวัฒนธรรมต่ำกว่าชาวอินเดีย ชาวอินเดียจึงได้นำศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ตลอดจนภาษาหนังสือมาสอนให้แก่ชาวพื้นเมืองต่างๆ ในแคว้นสุวรรณภูมิ หนังสือที่ใช้ก็เป็นอักษรคฤนถ์และ เทวนาครี นอกจากนี้ยังสอนวิชาปั้นพระพุทธรูป เทวรูปต่างๆ พิธีกรรมและขนบธรรมเนียมประเพณี ชาวพื้นเมืองก็ได้รับและถ่ายทอดกันมาจนทุกวันนี้</p> <p>มีหลักฐานหลายประการ อาทิตำนานการเผยแพร่พระพุทธศาสนาจากชมพูทวีปเข้ามาสู่แหลมอินโดจีนบอกให้ทราบได้ว่า ชาวอินเดียสมัยพุทธกาลรู้จักสุวรรณภูมิแล้ว นักปราชญ์ทั้งหลายยังไม่สามารถยุติกันได้ว่า สุวรรณภูมิที่ว่านี้ อยู่ตรงส่วนไหนหรืออยู่บริเวณใดของแหลมอินโดจีน มีความเชื่อกันมากพอสมควรว่า น่าจะอยู่ในประเทศไทย ตอนลุ่มน้ำเจ้าพระยา สำหรับราชธานี หรือเมืองหลวงของสุวรรณภูมิจะอยู่ ณ ที่ใดแน่ นอกนั้นยังถกเถียงกันอยู่ การค้นพบองค์พระปฐมเจดีย์เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้น่าเชื่อว่าในราวพุทธศตวรรษที่ ๓ รัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ได้ส่งสมณฑูต ๒ องค์ คือ พระโสณะ และพระอุตตระ มาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ โดยสร้างเจดีย์ คือ องค์พระปฐมเจดีย์ไว้เป็นหลักฐานให้ปรากฏว่าพระพุทธศาสนาได้เริ่มขึ้น ณ ดินแดนแห่งนี้แล้ว ซึ่งถ้าเช่นนั้น บริเวณอันเป็นที่ตั้งของพระเจดีย์สำคัญนี้ก็ควรจะเป็นราชธานียิ่งใหญ่ มีผู้คนหรือเป็นชุมชนหนาแน่น มีค่าพอที่จะประกาศพระศาสนา และสร้างองค์เจดีย์ไว้เป็นอนุสรณ์ได้ ซึ่งชวนให้เชื่อว่า ณ ดินแดนแห่งนี้ คือ ราชธานีหรือเมืองหลวงแห่งแคว้นสุวรรณภูมิและจากยุคสุวรรณภูมิได้วิวัฒนามาสู่ยุคทวารวดี ในชั้นหลัง โดยกระจัดกระจายกันอยู่หลายเมือง ดังจะได้กล่าวต่อไป</p> <p>สมัยทวารวดี</p> <p>อาณาจักรทวารวดี มีแหล่งชุมชนส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลางของประเทศไทย แหล่งชุมชนของทวารวดีในภาคกลางที่สำรวจพบมีถึง ๑๕ แห่ง ทิศเหนือสุดจดจังหวัดพิจิตร ทิศใต้จดจังหวัดเพชรบุรี เมืองที่กระจายห่างออกไปทางตอนเหนือ เช่น เมืองหริภุญชัย ในภาคเหนือ และเมืองฟ้าแดด-สูงยาง ในจังหวัดกาฬสินธุ์ โดยมีเมืองนครปฐมเป็นศูนย์กลางแห่งความเจริญ</p> <p>หลวงจีนอี้จิง หรือ พระภิกษุอีจิ๋นและหลวงจีนเฮียนจัง (ยวนฉ่าง) พ.ศ. ๑๑๕๐ ได้กล่าวไว้ในจดหมายเหตุของท่านว่า มีอาณาจักรอันใหญ่โตอาณาจักรหนึ่ง อยู่ระหว่างเมืองศรีเกษตร (พม่า) และเมืองอิศานปุระ (เขมร) ชื่อโตโลปอตี้ (ทวารวดี) และอาณาจักรนี้ก็เป็นอาณาจักรที่นักโบราณคดีได้สำรวจพบโบราณสถาน และพระพุทธรูปที่สร้างตามแบบฝีมือช่างครั้งราชวงศ์คุปตะของอินเดีย (พ.ศ. ๘๖๐-๑๑๕๐) เป็นจำนวนมากที่นครปฐม และเมืองในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เรื่อยไปทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จนถึงเมืองนครราชสีมา และเมืองบุรีรัมย์</p> <p>นครปฐมเป็นเมืองมาตั้งแต่สมัยแรกสร้างพระปฐมเจดีย์ คือราวๆ พ.ศ. ๓๐๐ เคยมีอำนาจสูงสุดครั้งหนึ่ง และเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรทวารวดี (พุทธศตวรรษ ๑๑-๑๖) ปูชนียสถานที่ใหญ่โตสร้างไว้เป็นจำนวนมาก และยังเหลือเป็นพยานปรากฏอยู่อย่างเช่น วัดพระประโทณเจดีย์ วัดพระเมรุ วัดพระงาม และวัดดอนยายหอม เป็นต้น โบราณสถานที่ค้นพบล้วนฝีมือประณีต งดงาม มีเครื่องประดับร่างกายสตรีทำด้วยดีบุก เงิน และทอง รูปปูนปั้นชาวต่างประเทศก็มี ทำให้สันนิษฐานได้ว่าชาวทวารวดีมีการติดต่อกับประเทศอื่น เช่นประเทศจีน ศิลปต่างๆ ขณะนี้เก็บไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระปฐมเจดีย์</p> <p>นครปฐมมีกษัตริย์ปกครองหลายพระองค์ เพราะปรากฏว่าได้พบปราสาทราชวังเหลือซากอยู่ เช่น ตรงเนินปราสาทในบริเวณพระราชวังสนามจันทร์ เคยทำเงินตราขึ้นใช้เอง เช่น เงินตราสมัยนั้นมีหลายรูปแบบ ซึ่งนอกจากเป็นรูปสังข์และปราสาทยังมีตราแพะ ตราปรูณกลศ (หม้อน้ำที่มีน้ำเต็ม) ฯลฯ จึงเป็นสิ่งยืนยันว่า อาณาจักรทวารวดีมีจริง และมีพระมหากษัตริย์ปกครองแน่นอน ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส ได้อ่านจารึกที่เงินตราแล้วแปลได้ความว่า บุญกุศลของพระราชาแห่งศรีทวารวดี</p> <p>นครปฐมมีอำนาจสูงสุดประมาณ ๒๐๐ ปี แล้วค่อยเสื่อมลง พวกขอมขณะนั้นกำลังรุ่งเรืองก็ถือโอกาสตีเมืองของอาณาจักรทวารวดีทีละเมืองสองเมืองจน พ.ศ. ๑๕๐๐ อาณาจักรทวารวดีก็เสื่อมลงเป็นธรรมดาหลังจากที่เจริญรุ่งเรืองอย่างที่สุด และตกอยู่ในอำนาจขอม พวกขอม คงจะกวาดต้อน ผู้คนไปเป็นเชลย นำไปใช้เป็นกำลังทำงานต่างๆ คนไทยยังมีตามหัวเมืองโบราณในแคว้นสุวรรณภูมิหลายเมือง เช่น ลพบุรี อู่ทอง กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี แต่ยังไม่มีอำนาจในการปกครองแต่อย่างใด ครั้นเมื่อ พ.ศ. ๑๘๐๐ ซึ่งเป็นเวลาที่ไทยยึดอำนาจการปกครองจากขอมได้ นครปฐมก็กลายเป็นเมืองร้างไปเสียแล้ว จึงไม่ปรากฏในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง สาเหตุที่เป็นเมืองร้าง เนื่องจากแม่น้ำท่าจีนและแม่น้ำแม่กลองซึ่งแต่เดิมเคยไหลผ่านนครปฐมเปลี่ยนทิศทางเดินใหม่ ไหลผ่านจากตัวเมืองไปมากจนทำให้นครปฐมเป็นที่ดอนขึ้น ไม่เหมาะแก่การทำไร่นา ผู้คนจึงถอยร่นไปอยู่ริมแม่น้ำด้วยเหตุนี้เมืองนครปฐมจึงเสื่อมลง</p> <p>สมัยอยุธยา </p> <p>นครปฐมเป็นเมืองร้างเรื่อยมา จนกระทั่งสมัยอยุธยา จึงได้มีความเจริญรุ่งเรืองและได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ชัดแจ้งขึ้น ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ นครปฐมมีฐานะเป็นหัวเมืองชั้นใน มีลำดับชั้นของเมืองเป็นเมืองจัตวา พระมหากษัตริย์ทรงอำนาจการปกครองโดยมีเสนาบดีเป็นผู้ช่วย มีผู้ปกครองหัวเมืองชั้นในเรียกว่า "ผู้รั้ง" จนกระทั่งสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิใน พ.ศ. ๒๐๙๑ ทรงตั้งพระนามเมืองนครปฐมใหม่ โดยเรียกชุมชนที่ตำบลท่านา ริมแม่น้ำท่าจีนว่า เมืองนครชัยศรี และรวมเนื้อที่ของแขวงเมืองราชบุรี แขวงเมืองสุพรรณบุรีเข้าด้วยกัน ให้มีฐานะเป็นเมืองตรีชั้นใน การที่เลือกชุมชนตำบลท่านาริมแม่น้ำท่าจีน และตั้งเป็นเมืองนครชัยศรีขึ้นมาใหม่เนื่องจากบริเวณพระปฐมเจดีย์อันเป็นศูนย์กลางของนครปฐมเดิม คงจะไม่มีผู้คนอาศัยอยู่มากและกลายเป็นที่รกร้าง และขาดน้ำ จึงเป็นการยากที่จะปฏิสังขรณ์ให้เมืองนครปฐมเป็นที่ตั้งเมืองใหม่ได้อีก การตั้งเมืองนครชัยศรีในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ จากประวัติศาสตร์อยุธยากล่าวว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงจัดตั้งเมืองนครชัยศรีหลังจากเสร็จสงครามกับพม่าคราวสมเด็จพระศรีสุริโยทัย สิ้นพระชนม์บนหลังช้างซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๒๐๙๑</p> <p>ในพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ระบุว่า ศักราช ๙๑๐ วอกศก (พ.ศ. ๒๐๙๑) เป็นปีที่สมเด็จพระศรีสุริโยทัยสิ้นพระชนม์บนหลังช้าง</p> <p>ส่วนพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม๑ บันทึกไว้ว่า "ฝ่ายสมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า ให้สถาปนาที่พระราชทานเพลิงนั้นเป็นพระเจดีย์วิหารเสร็จแล้ว ให้นามวัด สบสวรรค์ แล้วสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสว่าไพร่บ้านพลเมืองตรีจัตวาปากใต้เข้าพระนครครั้งนี้น้อย หนีออกอยู่ป่าดงห้วยเขาต้อนไม่ได้เป็นอันมาก ให้เอาบ้านท่าจีนตั้งเป็นเมืองสาครบุรี ให้เอาบ้านตลาดขวัญตั้งเป็นเมืองนนทบุรี ให้แบ่งเอาแขวงเมืองราชบุรี แขวงเมืองสุพรรณบุรี ตั้งเป็นเมืองนครชัยศรี...."</p> <p>ตามพงศาวดารบันทึกตรงกับ พ.ศ. ๒๐๘๖ (ศักราช ๙๐๕ ปีเถาะเบญจศก) แต่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายถึงเรื่องศึกหงสาวดีครั้งที่ ๑ (คราวเสียสมเด็จพระศรีสุริโยทัย) ไว้ในพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขาเล่ม ๑ พร้อมพระอธิบายของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพว่าพม่ายกเข้ามาเมื่อปีวอก จ.ศ. ๙๑๐ ครั้งเดียว ที่หนังสือพระราชทานพงศาวดารผิดตรงนี้เป็นด้วยหลงปีที่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิเสวยราชย์ว่าเป็นปีฉลู จ.ศ. ๘๙๑ (พ.ศ. ๒๐๗๒) สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายเหตุผลว่า ได้ตรวจสอบจากจดหมายเหตุเดิมซึ่งรวบรวมมาตรวจเมื่อแต่งหนังสือพระราชพงศาวดารบางฉบับ คงกล่าวเพียงว่า ในปีที่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิเสวยราชย์นั้น พระเจ้าหงสาวดียกกองทัพเข้ามาบางฉบับลงไว้แต่ศักราชว่า พระเจ้าหงสาวดียกกองทัพเข้ามาเมื่อปีวอก จ.ศ. ๙๑๐ ซึ่งเป็นความจริงทั้งสองฝ่าย แต่ผู้แต่งหนังสือพระราชพงศาวดารลงศักราช ปีสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเสวยราชย์เร็วไป ๑๙ ปี จึงเข้าใจไปว่าศึกหงสาวดีเป็น ๒ ครั้ง เมื่อหาเรื่องราวการรบไม่ได้ จึงลงไว้ในพระราชพงศาวดารว่า ครั้งแรกพระเจ้าหงสาวดียกเข้ามาพอเห็น พระนครแล้วก็กลับไป ไม่ได้รบพุ่งอันใดกันในครั้งนั้น ไปรบกันต่อเมื่อยกเข้ามาครั้งที่ ๒ เรื่องตรงนี้สอบในหนังสือพระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐและพงศาวดารพม่าได้ความยุติต้องกันว่า สมเด็จ พระมหาจักรพรรดิเสวยราชย์ เมื่อปีวอก จ.ศ. ๙๑๐ (พ.ศ. ๒๐๙๑) เสวยราชย์ได้ ๗ เดือน พระเจ้าหงสาวดีตะเบ็งชเวตี้ก็ยกกองทัพเข้ามา มาครั้งเดียว และได้รบกันจนเสียพระสุริโยทัยในคราวนี้เอง</p> <p>สมัยรัตนโกสินทร์ </p> <p>เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงผนวชอยู่ได้เสด็จฯ ธุดงค์มาพบพระปฐมเจดีย์ พระองค์โปรดให้สืบดูทางฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ ก็ไม่ปรากฏว่าจะมีพระเจดีย์องค์ใดใหญ่โตกว่าที่พระปฐมเจดีย์ จึงกราบทูลให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบ และขอให้ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์ไว้เชิดชูพระเกียรติยศ แต่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่ทรงสนพระทัยครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์แล้ว และจนถึง พ.ศ. ๒๓๙๖ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างพระเจดีย์ครอบสถูปองค์เดิมไว้ และบูรณะปฏิสังขรณ์องค์พระปฐมเจดีย์เสียใหม่ มีความสูง ๓ เส้น ๑ คืบ ๖ นิ้ว หรือประมาณ ๑๒๐.๔๕ เมตร พร้อมกับการขุดคลองเจดีย์บูชา และคลองมหาสวัสดิ์เพื่อการคมนาคม</p> <p>อีก ๒ ปีต่อมา คือ พ.ศ. ๒๓๙๘ โปรดเกล้าฯ ให้นครปฐม (นครชัยศรี) ซึ่งขึ้นอยู่กับ กรมมหาดไทยมาก่อน มาขึ้นอยู่กับกรมท่าเรื่อยมาจนปลายรัชสมัยของพระองค์ เมืองนครปฐมจึงได้กลายมาเป็นหัวเมืองชั้นจัตวาขึ้นอยู่กับสมุหนายก</p> <p>ครั้น พ.ศ. ๒๔๑๑ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นครองราชย์ ทรงดำริว่าควรรวมการปกครองบังคับบัญชาแห่งเมืองทั้งปวง ให้ขึ้นอยู่กับสมุหนายก โดยปรับปรุงเขตการปกครองเดิมเข้าเป็นมณฑลใหม่ และในปี พ.ศ. ๒๔๓๘ จึงได้จัดตั้งมณฑลนครชัยศรีขึ้น ประกอบด้วย ๓ เมืองด้วยกัน คือ เมืองนครชัยศรี สมุทรสาคร และสุพรรณบุรี โดยมีเทศาภิบาลปกครองบังคับบัญชา ผู้ว่าราชการเมืองอีกชั้นหนึ่ง และในวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๑ ทรงย้ายเมืองนครชัยศรี และให้ที่ว่าการมณฑลไปตั้งทำการที่ระเบียงพระปฐมเจดีย์เป็นการชั่วคราวก่อน เนื่องจากว่าที่ตั้งที่ทำการมณฑลมิได้ประจำอยู่ที่ระเบียงพระปฐมเจดีย์ตลอดเวลา เมืองนครชัยศรีเดิมซึ่งตั้งมาแต่สมัยอยุธยาจึงลดความสำคัญลง</p> <p>ในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างทางรถไฟสายใต้ผ่านองค์พระปฐมเจดีย์ ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์ไว้ในหนังสือเรื่อง "ปาฐกถาเรื่องสงวนของโบราณ" ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๗๓ ความตอนหนึ่งว่า</p> <p>"เมื่อเริ่มสร้างรถไฟสายใต้ใน พ.ศ. ๒๔๔๓ เวลานั้นท้องที่รอบพระปฐมเจดีย์ยังเป็น ป่าเปลี่ยวอยู่โดยมาก ในป่าเหล่านั้นมีซากพระเจดีย์โบราณขนาดใหญ่ๆ ซึ่งสร้างทันสมัยพระปฐมเจดีย์อยู่หลายองค์ พวกรับเหมาทำทางรถไฟไปรื้อเอาอิฐพระเจดีย์เก่ามาถมเป็นอับเฉากลางรางรถไฟ ได้อิฐพอถมตั้งแต่สถานีบางกอกน้อยไปตลอดระยะทางกว่า ๕๐ กิโลเมตร เมื่อย้ายที่ว่าการมณฑลจากริม แม่น้ำขึ้นไม่ต่ำ ณ ตำบลพระปฐมเจดีย์สิรื้อกันเสียหมดแล้ว ก็ได้แต่เก็บศิลาเครื่องประดับพระเจดีย์เก่าเหล่านั้นมารวบรวมรักษาไว้ ยังปรากฏอยู่รอบพระระเบียงพระปฐมเจดีย์บัดนี้"</p> <p>อีกปีหนึ่งต่อมา คือ พ.ศ. ๒๔๔๔ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้วางผังเมือง อาคารสถานที่และย้ายเมืองนครชัยศรีไปอยู่ที่ตำบลพระปฐมเจดีย์ (ฉบับที่กรมศิลปากรตรวจสอบชำระใหม่ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๐๖ ระบุว่าย้าย พ.ศ. ๒๔๔๔ ตรงกับวันที่ ๑๑ เมษายน ร.ศ. ๑๒๐) จึงมีราษฎรอพยพไปอยู่กันหนาแน่นขึ้น ในการวางผังเมือง ได้โปรดให้ตัดถนนหนทางเพิ่มขึ้นจากเดิมหลายสาย เช่น ถนนหน้าองค์พระปฐมเจดีย์ ตรงไปผ่าหน้าพระประโทณเจดีย์ และพระราชทานชื่อว่าถนนเทศา ถนนรอบองค์พระปฐมเจดีย์ โดยพระราชทานชื่อถนนด้านนอกว่า ถนนหน้าพระ ทางเหนือชื่อถนนซ้ายพระ ทางใต้ชื่อถนนขวาพระ ทางตะวันตกชื่อถนนหลังพระ ฯลฯ เป็นต้น และ ต่อมาปี พ.ศ. ๒๔๖๑ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างสะพานข้ามคลองเจดีย์บูชาขึ้นสะพานหนึ่งทรงพระราชทานนามว่า สะพานเจริญศรัทธา สำหรับชื่อจังหวัด "นครปฐม" นั้น ได้มีขึ้นเป็นครั้งแรกในรัชกาลที่ ๖ นี้ กล่าวคือ เมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๖ โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเมืองนครชัยศรีเป็นเมืองนครปฐม แต่ยังคงเรียกว่า มณฑลนครชัยศรีอยู่ตามเดิม จนถึง พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้มีประกาศยกเลิกมณฑลนครชัยศรีและโอนให้การปกครองจังหวัดในมณฑล นครชัยศรีไปรวมกับมณฑลราชบุรี มณฑลนครชัยศรีมีชื่อเป็นมณฑลอยู่รวมทั้งสิ้น ๓๘ ปี และเมื่อมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๔๗๖ จังหวัดนครปฐมซึ่งเคยขึ้นกับมณฑลราชบุรีก็แยกมาเป็นเขตการปกครองส่วนภูมิภาคอิสระเป็นจังหวัดนครปฐมเรื่อยมาจนถึง ทุกวันนี้</p> <p><a href="#_edn1" name="_ednref1"></a></p> <hr align="left" size="1" width="33%" /> <p><a href="#_ednref1" name="_edn1">ที่มา</a> : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดนครปฐม.กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์อักษรสมัย,๒๕๒๘.</p> ไม้ไผ่http://www.blogger.com/profile/13079736154779537493noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3975884513971132653.post-91443083220811274632010-08-16T04:03:00.001-07:002010-08-16T04:03:38.694-07:00สุพรรณบุรี<p><b>ประวัติศาสตร์จังหวัดสุพรรณบุรี</b><b></b></p> <p><b>สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา</b><b><sup>(</sup></b><b><sup>๑</sup></b><b><sup>)</sup></b><b></b></p> <p>อาจแบ่งได้อย่างกว้าง ๆ</p> <p>๑. สมัยก่อนประวัติศาสตร์</p> <p>๒. สมัยประวัติศาสตร์</p> <p><b>สมัยก่อนประวัติศาสตร์</b><b></b></p> <p>สมัยก่อนประวัติศาสตร์ หมายถึงสมัยที่มนุษย์ยังไม่รู้จักใช้ตัวหนังสือ การแบ่งอายุของ</p> <p>สมัยก่อนประวัติศาสตร์ยึดเอาวัตถุที่ใช้ทำเครื่องมือเครื่องใช้เป็นหลัก</p> <p>ในท้องที่จังหวัดสุพรรณบุรี ปัจจุบันได้ค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีโดยบังเอิญ และโดยจงใจของผู้ลักลอบขุดค้นแหล่งโบราณคดีต่าง ๆ ทำให้ทราบได้ว่าในท้องที่จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นแหล่งที่อยู่ของคนก่อนประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ยุคหินใหม่ ตอนกลางประมาณ ๓,๘๐๐ ปี ถึง ๒,๗๐๐ ปีลงมาจนถึงยุคโลหะ ตั้งแต่สมัยสำริดและยุคเหล็ก สังคมของมนุษย์พวกนี้เป็นสังคมเกษตรกรรม รู้จักการเพาะปลูก รู้จักทำภาชนะดินเผา ถลุงแร่และทอผ้า บริเวณที่พบโบราณวัตถุมักจะเป็นที่ดอน น้ำท่วมไม่ถึงอยู่ริมน้ำ และอยู่ไม่ห่างไกลจากภูเขามากนัก น่าเสียดายที่ยังไม่เคยมีการขุดค้นทางด้านก่อนประวัติศาสตร์ในจังหวัดสุพรรณบุรี หากได้มีการขุดค้นทางด้านนี้แล้วก็จะได้รับความรู้เพิ่มเติมขึ้นอีกอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไรก็ดีผู้ที่สนใจเรื่องราวสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ที่พบในจังหวัดสุพรรณบุรีจะศึกษาได้จากโบราณวัตถุต่าง ๆ ที่จัดแสดงอยู่ที่ห้องก่อนประวัติศาสตร์ทวารวดี ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ</p> <p>อู่ทอง เป็นต้นว่าขวานหินขัด สมัยหินใหม่ พบที่บริเวณเมืองอู่ทองซึ่งมีอายุประมาณ ๓,๘๐๐ ปี ถึง ๒,๗๐๐ ปี <sup>(</sup><sup>๒</sup><sup>)</sup></p> <p>สมัยหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างสมัยก่อนประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์</p> <p>หรือสมัยกึ่งก่อนประวัติศาสตร์</p> <h3>อาณาจักรฟูนัน (ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๖-๑๐)</h3> <p>จากการค้นพบโบราณวัตถุหลายชิ้น เป็นต้นว่า ลูกปัด เครื่องประดับทำด้วยทองหรือดีบุก ที่ประทับตราหรือตราขนาดใหญ่และขนาดเล็ก เหรียญเงินศรีวัตสะ เศษเครื่องปั้นดินเผา ฯลฯ ที่เมือง</p> <p>อู่ทองซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับวัตถุที่ค้นพบที่เมืองออกแก้วซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเมืองท่าของอาณาจักร</p> <p>ฟูนัน ในแหลมโคชินไชนา ในประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียตนามภาคใต้มาก<sup>(</sup><sup>๓</sup><sup>)</sup> วัตถุเหล่านี้ไม่เคยพบในที่อื่นในแหลมอินโดจีน และเชื่อกันว่าเป็นวัตถุของอาณาจักรฟูนัน (พุทธศตวรรษที่ ๖-</p> <p>พุทธศตวรรษที่ ๑๐) โดยเฉพาะ<sup>(</sup><sup>๔</sup><sup>)</sup> นอกจากนี้ยังได้ค้นพบประติมากรรม ศิลปอินเดียสมัยอมราวดี</p> <p><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi-ivT35qzGC9voxFJXYJ6YdcT9R2t9n3S668lP7G6CnQxhzNMfuDt9Q7QbLBNd3z85nwx9TzEvEz7lROVNPrlXf810XG-w2Nf8DdibbrbmO9c4ltVDAhzetg2vkW15RhLJ6o0x6dHM18U/s1600-h/clip_image0013.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image001" border="0" alt="clip_image001" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiwRYSPJDpUZzymPfEW9M41dvkPGx6GBJUSyE8NIbqlgawl_aFVYEfGSQrMLbyFrlV5wgS25USO8aCHWb70JjM7ybDZ7XRbj3S2SEVQlZGdKP7iRCunmrihwFbnwqt6CZIrxAaQQSYrpOU/?imgmax=800" width="240" height="2" /></a></p> <p>(๑) เรียบเรียงโดย ว่าที่ร้อยตรีบันเทิง พูลศิลป์ ศิลปบัณฑิต โบราณคดี หัวหน้าพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ อู่ทอง</p> <p>(๒) จิรา จงกล, พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ อู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี (พระนคร: ห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิวพร,๒๕๐๙,)หน้า ๑๔</p> <p>(๓) สุภัทรดิศ ดิศกุล, ศาสตราจารย์หม่อมเจ้า, ประวัติศาสตร์เอเซียอาคเนย์ ถึง พ.ศ. ๒๐๐๐,</p> <p>(กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, ๒๕๒๒)หน้า ๑๑</p> <p>(๔) ปัจจุบันวัตถุส่วนหนึ่ง จัดแสดงอยู่ที่ห้องก่อนประวัติศาสตร์-ทวารวดี ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี</p> <p>(ประมาณพุทธศวรรษที่ ๙-พุทธศตวรรษที่ ๑๐) ที่เมืองอู่ทองอีกด้วย เป็นต้นว่า ชิ้นส่วนองค์พระพุทธรูป</p> <p>ยืนอุ้มบาตร ๓ องค์ ชิ้นส่วนองค์พระพุทธรูปปางนาคปรก ดินเผา รูปกินรีสวมศิราภรณ์ปูนปั้น ชิ้นส่วนหินจำหลักลวดลายและที่เจิมกระแจะจันทน์หิน ซึ่งสืบต่อจนถึงสมัยทวารวดี ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ห้องก่อนประวัติศาสตร์-ทวารวดี ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี อาศัยโบราณวัตถุดังกล่าวแล้ว เป็นเหตุให้ศาสตราจารย์จ็อง บ๊วซเซลิเยร์เสนอความเห็นว่า เมืองอู่ทองตั้งมาก่อนอาณาจักรทวารวดี และอาจเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรฟูนัน หรือเคยเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรฟูนันมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๖ ซึ่งเป็นอาณาจักรที่สำคัญที่สุดในเอเซียอาคเนย์ อาณาจักรนี้ในขณะที่เจริญสูงสุดได้ครอบคลุมไปจนถึงประเทศสาธารณรัฐสังคมเวียตนามภาคใต้ เมื่ออาณาจักรฟูนันหมดอำนาจลงแล้ว เมืองอู่ทองจึงได้กลายเป็นเมืองสำคัญขึ้นในอาณาจักรทวารวดี ในพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒</p> <p><b>สมัยประวัติศาสตร์</b><b> </b><b>หมายถึงสมัยที่มนุษย์รู้จักใช้ตัวหนังสือ</b><b></b></p> <p><b></b></p> <p><b>สมัยทวารวดี</b><b> (</b><b>พศว</b><b>.</b><b>ที่</b><b> </b><b>๑๑</b><b> </b><b>หรือ</b><b> </b><b>๑๒</b><b> </b><b>ถึง</b><b> </b><b>๑๖</b><b>)</b></p> <p>อาณาจักรทวารวดีเป็นอาณาจักรประวัติศาสตร์สมัยแรกในประเทศไทย อาณาจักรนี้ตามความเห็นของศาสตราจารย์จ็อง บ๊วซเซลิเยร์ ผู้เชี่ยวชาญโบราณคดีในภาคเอเซียอาคเนย์ ซึ่งกรม</p> <p>ศิลปากรได้เชิญเข้ามาสำรวจโบราณคดีในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๗ ได้ลงความเห็นว่า เมืองอู่ทองอาจเป็นราชธานีของอาณาจักรทวารวดีอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง การค้นพบแผ่นทองแดงของพระเจ้าหรรษาวรมันที่บริเวณหน้าโรงเรียนอู่ทองศึกษาลัยในเมืองอู่ทอง ซึ่งมีจารึกใช้ตัวอักษรอยู่ประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ก็อาจหมายความว่า พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้เป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์แรกที่เราทราบพระนามกันสำหรับอาณาจักรทวารวดี อาศัยเหตุนี้ทำให้ศาสตราจารย์จ็อง บ๊วซเซลิเยร์ มีความเห็นต่อไปอีกว่า เมืองอู่ทองจึงเป็นเมืองสำคัญในอาณาจักรทวารวดีในพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ นอกจากนั้นศาสตรจารย์จ็อง บ๊วซเซลิเยร์ ได้กล่าวว่า ศิลปสมัยทวารวดีได้ขยายตัวออกไป ๓ ทาง คือ ทางทิศตะวันออก ทางหนึ่งไปยังอำเภออรัญประเทศ จังหวัดปราจีนบุรี โดยผ่านทางดงละครและดงศรี</p> <p>มหาโพธิ์ อีกทางหนึ่งไปยังที่ราบสูงโคราช โดยผ่านทางจังหวัดสระบุรี และไปแยกออกเป็นหลายสายที่แม่น้ำมูลไปยังจังหวัดมหาสารคาม ทางทิศเหนือไปยังจังหวัดลำพูน (อาณาจักรหริภุญไชย) โดยผ่านทางจังหวัดลพบุรี นครสวรรค์ และตาก ทางใต้มีทางลงไปยังแหลมทองโดยผ่านทางจังหวัดราชบุรี และเพชรบุรี ทางเหล่านี้มาบรรจบกันแถบบริเวณเมืองอู่ทอง การที่ทราบได้เช่นนี้ก็โดยอาศัยหลักฐานจากโบราณวัตถุสถานศิลปสมัยทวารวดีที่ค้นพบตามสายทางเดินเหล่านั้น</p> <p>เมืองอู่ทอง อยู่ในเขตอำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ตั้งอยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ ๑๔<sup>๐</sup> ๒๒' เหนือ และเส้นแวงที่ ๙๙<sup>๐</sup> ๕๓' ๓๐" ตะวันออก ตัวเมืองเป็นรูปรีค่อนข้างกลมขนาด ๙๐๐ x ๑.๗๕๐ เมตร ภายในตัวเมืองและบริเวณใกล้เคียงได้พบโบราณวัตถุสถานสมัยทวารวดีเป็นอันมาก ซึ่งเป็นประโยชน์ในการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง</p> <p>นอกจากนี้แหล่งชุมชนสมัยทวารวดีกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในจังหวัดสุพรรณบุรีที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งอยู่ที่เมืองโบราณบ้านคูเมือง ในเขตอำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ ๑๔<sup>๐</sup> ๕๑' เหนือ และเส้นแวงที่ ๑๐๐<sup>๐</sup> ๑๓' ตะวันออก ตัวเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมมนขนาด ๕๑๐X๕๖๐ เมตร <sup>(</sup><sup>๑</sup><sup>)</sup></p> <p><b>สมัยอู่ทอง</b><b> (</b><b>พุทธศตวรรษที่</b><b> </b><b>๑๗</b><b>-</b><b>๒๐</b><b>)</b></p> <p>ภายหลังจากที่เมืองอู่ทองกลายเป็นเมืองร้าง เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๖ เนื่องจากกระแสน้ำในแม่น้ำจระเข้สามพันเปลี่ยนทางเดินและเกิดอหิวาตกโรคระบาดขึ้น จึงได้ย้ายเมืองไปตั้งเมืองใหม่ในท้องที่อำเภอเมืองสุพรรณบุรีปัจจุบัน คือ ตั้งอยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ ๑๔<sup>๐</sup> ๒๘' เหนือ เส้นแวงที่ ๑๐๐<sup>๐</sup> ๑๗' ตะวันออก จากภาพถ่ายทางอากาศปรากฏว่า เป็นเมืองขนาด ๑๐๐๐X ๓๖๐๐ เมตร มีอาณาเขตของตัวเมืองคลุมทั้งสองฟากแม่น้ำท่าจีน ซึ่งมีสภาพเป็นเมืองอกแตก มีแม่น้ำท่าจีนอยู่กลางเมืองไหลผ่านจากเหนือลงใต้คูเมืองด้านตะวันออกเริ่มแต่บริเวณหมู่บ้านตาหมันขนานกับแม่น้ำท่าจีนผ่านบ้านน้อยมาหมดลงใกล้กับโรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัย ส่วนทางตะวันตก คูเมืองผ่านกลางตัวเมืองสุพรรณบุรี สมัยอยุธยาเมืองนี้เข้าใจว่าเป็น เมืองพันธุมบุรี ตามที่ปรากฏชื่อในหนังสือไตรภูมิของเก่า ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้ค้นพบซากโบราณสถานขนาดเล็กสมัยทวารวดีตอนปลาย พระพุทธรูปขนาดใหญ่ทำด้วยหิน ๒ องค์ ที่วัดราชเดชะ (ร้าง) และพระบาทพระพุทธรูปสมัยทวารวดีที่วัดพิหารแดง</p> <p>ต่อมาเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาหมู่บ้าน ในบริเวณเมืองสุพรรณบุรีเก่าให้เจริญขึ้น จึงได้มีการตัดถนนผ่านเข้าไปในบริเวณซากโบราณสถานต่าง ๆ และมีการรื้ออิฐจากโบราณสถานต่าง ๆ เอาไปใช้ในการสร้างบ้านเมืองและสถานที่ทางราชการทั้ง ๒ ฝั่ง ที่ตั้งตัวจังหวัดสุพรรณบุรีปัจจุบันรวมทั้งได้มีการรื้ออิฐจากโบราณสถานต่าง ๆ จากวัดร้างหารายได้หลายครั้งหลายหนไปขายตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ (พ.ศ. ๒๔๘๘-พ.ศ. ๒๕๐๐) เป็นเหตุให้หลักฐานทางโบราณคดีในสมัยอู่ทอง ในบริเวณตัวเมืองสุพรรณบุรีเก่าและบริเวณใกล้เคียงหมดสภาพไปเป็นอันมาก โบราณสถานที่เหลือรอดจากการกระทำดังกล่าวมีอยู่เพียงประมาณ ๕ % เท่านั้น<sup>(</sup><sup>๒</sup><sup>)</sup>เช่น</p> <p>๑. เจดีย์ในวัดพระอินทร์ (ร้าง) ๑ องค์</p> <p>๒. เจดีย์ในวัดเถลไถล (ร้าง) ๑ องค์</p> <p>๓. เจดีย์ในวัดพระรูป ๑ องค์ และพระพุทธไสยาสน์ ๑ องค์</p> <p>๔. ฐานเจดีย์หลังอุโบสถวัดพระรูป ๑ องค์</p> <p>๕. พระปรางค์ในวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ๑ องค์</p> <p>๖. เจดีย์ในวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ๒ องค์</p> <p>๗. เจดีย์ในวัดพริก (ร้าง) ๑ องค์</p> <p>๘. พระป่าเลไลยก์ ๑ องค์</p> <p>๙.เจดีย์ในวัดมรกต (ร้าง) ๑ องค์</p> <p>๑๐.เจดีย์ในวัดสนามชัย (ร้าง) ๑ องค์ <table cellspacing="0" cellpadding="0"><tbody> <tr> <td width="4"></td> </tr> <tr> <td></td> <td><a href="http://lh4.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkad2UXiGI/AAAAAAAAARc/AC2J8xUCAZA/s1600-h/clip_image0023.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image002" border="0" alt="clip_image002" src="http://lh6.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkagnFOQPI/AAAAAAAAARg/YVg2OmWXXEs/clip_image002_thumb.gif?imgmax=800" width="232" height="2" /></a></td> </tr> </tbody></table> </p> <p>(๑) ศรีศักร วัลลิโภดม "สุพรรณภูมิอยู่ที่ไหน" ช่อฟ้าปีที่ ๔ ฉบับที่ ๑๖ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๐ หน้า ๖๒</p> <p>(๒) สัมภาษณ์ นายสถาน แสงจิตพันธุ์ อาจารย์โรงเรียนสงวนหญิง จังหวัดสุพรรณบุรี วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๒๔</p> <p>นอกจากนี้ยังมีเจดีย์สมัยอู่ทอง ยังมีอีกองค์หนึ่งที่วัดเขาดิน ตำบลสระแก้ว อำเภอเมือง</p> <p>สุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี</p> <p><b>สมัยสุโขทัย</b><b> (</b><b>พุทธศตวรรษที่</b><b> </b><b>๑๙</b><b>-</b><b>๒๐</b><b>)</b></p> <p>จากจารึกตอนท้ายในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช (พ.ศ. ๑๘๒๒-๑๘๔๑) ซึ่งคงสลักขึ้นหลัง พ.ศ. ๑๘๓๕ ได้กล่าวถึงรายละเอียดเกี่ยวกับชัยชนะของพระองค์ได้ว่าอาจปราบฝูงข้าศึก มีเมืองกว้างขวางหลายเมือง รวมทั้งเมืองสุพรรณภูมิด้วย เมืองนี้คงเป็นเมืองสุพรรณบุรีเก่า ที่ตั้งอยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ ๑๔<sup>๐</sup> ๒๘' เหนือ และเส้นแวงที่ ๑๐๐<sup>๐</sup>๑๗' ตะวันออก ที่ได้กล่าวมาแล้วและคงเป็นเมืองเดียวกับสุพรรณภูมิในจารึกหลักที่ ๔๘ วัดส่องคบ จังหวัดชัยนาท ซึ่งเป็นจารึกบนแผ่นทอง อักษรไทย ภาษาไทย มีศักราชระบุแน่ชัดว่าจะอยู่ในพ.ศ. ๑๙๕๑ ในรัชกาลสมเด็จพระรามราชาธิราช จารึกหลักนี้กล่าวถึงเจ้าเมืองขุนเพชญสารว่าได้เคยทำบุญอุทิศบ้านเรือนถวายวัดในเมืองศรีสุพรรณภูมิ และเมืองศรีอโยธยา เพราะระยะเวลาระหว่างจารึกหลักที่ ๑ ตอนที่กล่าวถึงชื่อเมืองสุพรรณภูมิกับ พ.ศ. ๑๙๕๑ นั้น ห่างกันเพียงประมาณ ๑๐๐ ปีเท่านั้น ประกอบทั้งโบราณวัตถุสถานในเขตเมืองสุพรรณภูมิหรือเมืองสุพรรณบุรีเก่าก็มีถึงสมัยสุโขทัยด้วย <sup>(</sup><sup>๑</sup><sup>)</sup></p> <p>เมืองนี้ต่อมาในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้โปรดให้รื้อกำแพงเมืองลงเมื่อ พ.ศ. ๒๐๘๖ เพื่อไม่ให้พม่าข้าศึกใช้เป็นที่มั่นถ้าเสียเมืองสุพรรณบุรีเก่าให้แก่ข้าศึก</p> <p>เมืองสุพรรณบุรีได้ตั้งอยู่ ณ ที่นี้ตลอดสมัยอยุธยาและได้ปรับปรุงเมืองให้มีขนาดเหมาะสมกับฐานะเมืองที่ถูกลดฐานะจากเมืองลูกหลวงมาเป็นหัวเมืองชั้นใน ในการปรับปรุงครั้งนี้ได้ทิ้งบริเวณเมืองทางฟากตะวันตกของแม่น้ำท่าจีน มาอยู่แค่ฝั่งตะวันออกแต่เพียงฝั่งเดียวเท่านั้น เข้าใจว่าเมืองแห่งนี้คงสร้างขึ้นระหว่างรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ กับสมเด็จพระชัยราชาธิราช (ระหว่าง พ.ศ. ๑๙๙๑-๒๐๘๙) <sup>(</sup><sup>๒</sup><sup>)</sup></p> <p><b>สมัยลพบุรี</b><b> (</b><b>พุทธศตวรรษที่</b><b> </b><b>๑๘</b><b>-</b><b>๑๙</b><b>)</b></p> <p><i>จากศิลาจารึกที่ปราสาทพระขรรค์</i><i> </i><i>ในบริเวณเมืองพระนคร</i><i> </i><i>ประเทศกัมพูชาประชาธิปไตย</i><i> </i><i>ซึ่งสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่</i><i> </i><i>๗</i><i> (</i><i>พ</i><i>.</i><i>ศ</i><i>. </i><i>๑๗๒๔</i><i>-</i><i>๑๗๖๐</i><i>) </i><i>ทำให้ทราบว่ามีเมืองโบราณเมืองหนึ่งมีชื่อตามศิลาจารึกว่า</i><i> "</i><i>สวรรณปุระ</i><i>" </i><i>ซึ่งน่าจะอยู่ที่บริเวณดอนทางพระ</i><i> </i><i>หรือเนินทางพระ</i><i> </i><i>ตำบลบ้านสระ</i><i> </i></p> <p><i>อำเภอสามชุก</i><i> </i><i>จังหวัดสุพรรณบุรี</i><i> </i><i>เพราะได้พบทรากโบราณสถาน</i><i> </i><i>เมื่อ</i><i> </i><i>พ</i><i>.</i><i>ศ</i><i>. </i><i>๒๕๒๒</i><i> </i><i>มีดินอัด</i><i> </i><i>อิฐ</i><i> </i><i>และศิลาแลงเป็นรากฐาน</i><i> </i><i>น่าเสียดายที่โบราณสถานแห่งนี้ถูกทำลายอย่างยับเยิน</i><i> </i><i>ก่อนที่หน่วยศิลปากรที่</i><i> </i><i>๒</i><i> </i><i>และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอู่ทอง</i><i> </i><i>ดำเนินการขุดแต่งโบราณสถาน</i><i> </i><i>ระหว่างวันที่</i><i> </i><i>๑</i><i> </i><i>กรกฎาคม</i><i> </i><i>๒๕๒๒</i><i> </i><i>ถึงวันที่</i><i> </i><i>๑๕</i><i> </i><i>สิงหาคม</i><i> </i><i>๒๕๒๒</i><i> </i><i>จึงไม่สามารถพบหลักฐานทางสถาปัตยกรรมได้อย่างเด่นชัด</i><i> </i><i>ถึงกระนั้นก็ดี</i><i></i></p> <p><a href="http://lh4.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkaiQLFNLI/AAAAAAAAARk/9C8IfPrb6NU/s1600-h/clip_image0033.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image003" border="0" alt="clip_image003" src="http://lh4.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkakTppYrI/AAAAAAAAARo/9fZOc7AK27g/clip_image003_thumb.gif?imgmax=800" width="204" height="2" /></a></p> <p>(๑) ศรีศักร วัลลิโภดม "สุพรรณภูมิอยู่ที่ไหน" ช่อฟ้า ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๖ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๐ หน้า ๕๖</p> <p>(๒) ศรีศักร วัลลิโภดม "สุพรรณภูมิอยู่ที่ไหน" ช่อฟ้า ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๖ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๐ หน้า ๕๘</p> <p><i></i></p> <p><i></i></p> <p><i></i></p> <p><i>การขุดแต่งที่ดอนทางพระได้พบปฏิมากรรมต่าง</i><i> </i><i>ๆ</i><i> </i><i>มีทั้งทำด้วยศิลา</i><i> </i><i>และปูนปั้นที่สวยงาม</i><i> </i><i>ซึ่งเป็นประโยชน์ในการศึกษาทางศิลปประวัติศาสตร์</i><i> </i><i>และโบราณคดี</i><i> </i><i>ของจังหวัดสุพรรณบุรีเป็นอันมาก</i><sup>(</sup><sup>๑</sup><sup>)</sup><i> </i><i>เช่น</i><i> </i><i>หน้าภาพรูปอสูรซึ่งเหมือนกับที่ประดับอยู่ที่ฐานปรางค์สามยอด</i><i> </i><i>จังหวัดลพบุรี</i><i> </i><i>หน้าภาพเศียรเทวดาปูนปั้น</i><i> </i><i>ประติมากรรมบางชิ้นก็น่าสนใจ</i><i> </i><i>และยังไม่มีผู้ใดทราบว่าเป็นรูปอะไร</i><i> </i><i>เช่น</i><i> </i><i>รูปครุฑยุดช้าง</i><i> </i><i>๒</i><i> </i><i>เชือก</i><i> </i><i>รูปบุคคลที่มีลิ้นจุกปาก</i><i> </i><i>และจากการที่ได้พบปฏิมากรรมรูปกลีบขนุนปรางค์</i><i> </i><i>เนื่องในการขุดแต่งจึงสันนิษฐานได้ว่า</i><i> </i><i>ทรากโบราณสถานที่เนินทางพระหรือดอนทางพระ</i><i> </i><i>คงเป็นรูปปรางค์ที่สร้างตามศิลปเขมร</i><i> </i><i>แบบบายน</i><i> </i><i>หรือสมัยลพบุรี</i><i></i></p> <p>อนึ่งก่อนหน้าที่จะมีการขุดแต่งดอนทางพระดังกล่าวแล้วข้างต้น ที่โบราณสถานดอนทางพระ ก็เคยมีผู้พบโบราณวัตถุต่าง ๆ เป็นต้นว่า พระพุทธรูปปางนาคปรก<sup>(</sup><sup>๒</sup><sup>)</sup> พระพิมพ์ พระโพธิสัตว์</p> <p>อวโลกิเตศวร ศิลปสมัยลพบุรี ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระพุทธรูปปางนาคปรก นั้นเป็นศิลปแบบเดียวกับที่พบที่วัดปู่บัว<sup>(</sup><sup>๓</sup><sup>)</sup> ตำบลพิหารแดง อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี</p> <p>นอกจากศิลปโบราณวัตถุศิลปสมัยลพบุรี มักจะพบอยู่ทั่วไปทุกอำเภอ<sup>(</sup><sup>๔</sup><sup>)</sup> ในจังหวัดสุพรรณบุรี ยกเว้นอำเภอด่านช้างเพียงอำเภอเดียว บริเวณที่พบมากกว่าที่อื่นอยู่ในท้องที่ตำบลพิหารแดง อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี</p> <p><b>สมัยอยุธยา</b><b></b></p> <p>ตอนต้นสมัยอยุธยา สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) โปรดให้ตั้งขุนหลวงพะงั่วพี่พระมเหสีขึ้นเป็นพระบรมราชา<sup>(</sup><sup>๕</sup><sup>)</sup> ให้อยู่ครองเมืองสุพรรณบุรีเดิมในฐานะเมืองลูกหลวง และเป็นเมืองหน้าด่าน ด้านตะวันตก ซึ่งในสมัยนั้นเป็นเมืองที่มีความสำคัญมากในการศึกสงคราม จึงมักจะแต่งตั้งพระราชโอรสหรือเชื้อพระองค์ไปเป็นเจ้าเมือง เป็นที่น่าสังเกตว่าในสมัยนั้นมี "เจ้า" ครองเมืองหน้าด่านเพียง ๒ องค์ เท่านั้น คือ พระราเมศวรพระราชโอรสครองเมืองลพบุรี ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านทางทิศเหนือและขุนหลวงพะงั่วพี่พระมเหสีครองเมืองสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านด้านทิศตะวันตก หน้าด่านอีก ๒ เมือง คือ เมืองนครเขื่อนขันธ์ (พระประแดง) ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านด้านทิศใต้ และเมืองนครนายกซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านด้านทิศตะวันออก ไม่มี "เจ้า" ไปเป็นเจ้าเมือง</p> <p>เมืองสุพรรณบุรีในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) นั้น มีกำลังทหารเข้มแข็งมาก มิได้ทำหน้าที่แต่เพียงเมืองหน้าด่านอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อเกิดกรณี "ขอมแปรพักตร์" สมเด็จ</p> <p>พระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) โปรดให้พระราเมศวรพระราชโอรสยกกองทัพไปตีเมืองเขมร แต่ฝ่ายเขมรรู้ตัวก่อน ทัพหน้าของพระราเมศวรยังไม่ทันตั้งค่าย พญาอุปราช ราชโอรสพระเจ้าแผ่นดินเขมรก็ <table cellspacing="0" cellpadding="0"><tbody> <tr> <td width="4"></td> </tr> <tr> <td></td> <td><a href="http://lh3.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkal_7y6oI/AAAAAAAAARs/PWcGKs08J0U/s1600-h/clip_image0043.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image004" border="0" alt="clip_image004" src="http://lh4.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkanzrXiaI/AAAAAAAAARw/aeUbTkrRGZs/clip_image004_thumb.gif?imgmax=800" width="223" height="2" /></a></td> </tr> </tbody></table> </p> <p>(๑) ปัจจุบันแสดงอยู่ที่ห้องลพบุรี ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ อู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี</p> <p>(๒) ปัจจุบันอยู่ที่วิมลโภคาราม ในเขตสุขาภิบาลสามชุก อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี องค์หนึ่ง</p> <p>(๓) ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ห้องลพบุรี - รัตนโกสินทร์ ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ อู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี</p> <p>(๔) มนัส โอภากุล พระฯเมืองสุพรรณ (สุพรรณบุรี มนัสการพิมพ์ ๒๕๒๔) หน้า ๑๕</p> <p>(๕) รายงานพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยเสด็จตรวจราชการเมืองสุพรรณบุรี ปีรัตนโกสินทร์ ศก ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๔๖)</p> <p>ยกทัพโจมตีทัพหน้าแตก มาปะทะทัพหลวง และเสียพระศรีสวัสดิ์ในที่รบ เมื่อความทราบถึงกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) โปรดให้ขุนหลวงพะงั่ว ยกทัพไปช่วยหลาน และ<b></b></p> <p>สามารถตีนครธมได้สำเร็จ พร้อมทั้งกวาดต้อนชาวเขมรเข้ามากรุงศรีอยุธยาเป็นอันมาก<sup>(</sup><sup>๖</sup><sup>)</sup> ถึงเก้าหมื่นคน<sup>(</sup><sup>๗</sup><sup>)</sup> ส่วนปีที่ตีนครธมได้ ขณะนี้ยังไม่เป็นข้อยุติว่าเป็นปีใด อาจเป็นพ.ศ. ๑๘๙๕ หรือ พ.ศ. ๑๙๑๒ ปลายรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑</p> <p>ในช่วงเวลาต่อมาเมืองสุพรรณบุรีกับเมืองลพบุรี ซึ่งเป็นเมืองลูกหลวงด้วยกันต่างก็แข่งขันกันเองและไม่วางใจซึ่งกันและกันดังจะเห็นได้จากตอนที่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) สวรรคต สมเด็จพระราเมศวรพระราชโอรสได้ครองราชสมบัติต่อมา แต่ครองได้เพียง ๑ ปี ขุนหลวง</p> <p>พะงั่วก็เสด็จมาจากเมืองสุพรรณบุรี เข้ากรุงศรีอยุธยาสถาปนาเป็นสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ครองกรุงศรีอยุธยา พระราเมศวรต้องเสด็จกลับไปครองเมืองลพบุรีดังเดิม</p> <p>ต่อมาเมื่อสมเด็จพระเจ้าทองลันพระราชโอรสของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่๑ ขึ้นครองราชสมบัติต่อในพ.ศ. ๑๙๓๑ ได้เพียง ๗ วัน พระราเมศวรก็ยกทัพจากเมืองลพบุรีมาจับสมเด็จพระเจ้าทองลัน สำเร็จโทษ แล้วขึ้นครองราชย์บัลลังก์เป็นครั้งที่ ๒</p> <p>การช่วงชิงอำนาจระหว่างเมืองสุพรรณบุรีกับเมืองลพบุรี ยังคงกระทำสืบเนื่องต่อมาอีก เมื่อสมเด็จพระรามราชาธิราช พระราชโอรสของสมเด็จพระราเมศวรขึ้นครองราชสมบัติแล้วไม่นานนักพระนครอินทร์เจ้าเมืองสุพรรณบุรี ก็ยกทัพเข้ากรุงศรีอยุธยาและถอดสมเด็จพระรามราชาธิราชออกจากราชบัลลังก์แล้วสถาปนาพระองค์เองเป็นสมเด็จพระนครินทราธิราช (พ.ศ. ๑๙๕๒- พ.ศ. ๑๙๖๗)<sup>(</sup><sup>๘</sup><sup>)</sup> และทรงโปรดให้เจ้าอ้ายพระยามาครองเมืองสุพรรณบุรีในฐานะเป็นเมืองลูกหลวง</p> <p>ต่อมาเมื่อสมเด็จพระนครินทราธิราช สวรรคต เจ้าอ้ายพระยา พระราชโอรสผู้ครองเมืองสุพรรณบุรีกับเจ้ายี่พระยา พระราชโอรสผู้ครองเมืองแพรก (เมืองสรรค์) ต่างก็แย่งชิงราชสมบัติ และชนช้างต่อสู้กันที่เชิงสะพานป่าถ่าน และถึงกับสิ้นพระชนม์อยู่บนคอช้างทั้งสองพระองค์ เจ้าสามพระยา</p> <p>พระราชโอรสผู้ครองเมืองชัยนาทจึงขึ้นครองราชย์ เป็นสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ ในรัชกาลนี้ได้เลิกประเพณีแต่งตั้งพระราชโอรสไปครองเมืองลูกหลวง ๒ แห่ง หรือหลายแห่ง เพราะเป็นจุดอ่อนเป็นผลเสียหายมากกว่าผลดี จึงทรงตั้งพระราเมศวร พระราชโอรสเป็นพระมหาอุปราชไปครองเมืองพิษณุโลกเพียงแห่งเดียว เมื่อสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ สวรรคต ในปี พ.ศ. ๑๙๙๑ จึงได้ครองราชสมบัติ ทรงพระนามว่าสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ</p> <p>ในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. ๑๙๙๑-พ.ศ.๒๐๓๑) ทรงเลิกเมืองลูกหลวง และใช้ระบบขุนนางแทน เมืองสุพรรณบุรีจึงมีแต่ “ผู้รั้ง” ซึ่งไม่มีอำนาจเด็ดขาดแบบการปกครองเมือง แต่หากต้องปรึกษากับกรมการเมือง ซึ่งประกอบด้วยจ่าเมืองแพ่ง และศุภมาตรา ผู้รั้ง และกรมการเมืองจะได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้าแผ่นดินไปปกครองเมืองในความควบคุมของราชธานีอย่างใกล้ชิด<sup>(</sup><sup>๙</sup><sup>)</sup> <table cellspacing="0" cellpadding="0"><tbody> <tr> <td width="4"></td> </tr> <tr> <td></td> <td><a href="http://lh5.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkaphA9FZI/AAAAAAAAAR0/opyb-MUb4Dw/s1600-h/clip_image0053.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image005" border="0" alt="clip_image005" src="http://lh5.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkaryUknKI/AAAAAAAAAR4/gdeVbp6_1-g/clip_image005_thumb.gif?imgmax=800" width="240" height="2" /></a></td> </tr> </tbody></table> <sup></sup></p> <p>(๖) กรมศิลปากร, พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา (ฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด),หน้า ๒-๓</p> <p>(๗) กรมศิลปากร, พระราชพงศาวดารกรุงกัมพูชา, (พระนคร, แพร่พิทยา, ๒๕๑๓) หน้า ๗๙</p> <p>(๘)เป็นพระเจ้าแผ่นดินไทยพระองค์แรกที่เสด็จพระราชดำเนินไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศจีน ครั้งดำรงพระยศเป็นที่พระมหาอุปราช</p> <p>(๙)สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ "ลักษณะการปกครองประเทศสยามแต่โบราณ"</p> <p>ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๐๘๖ ในรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้แห่งพม่า ได้ยกกองทัพใหญ่เข้ามาตีประเทศไทย<sup>(</sup><sup>๑๐</sup><sup>)</sup> ด่านแรกที่ตั้งรับกองทัพพม่า คือ เมืองสุพรรณบุรี ซึ่งมีพระสุนทรสงครามเป็นเจ้าเมือง กองทัพทั้ง ๒ ฝ่าย ได้รบพุ่งกันเป็นสามารถแต่เนื่องจากกำลังกองทัพไทยน้อยกว่า จึงทิ้งเมืองสุพรรณบุรีแตกถอยร่นเข้ามากรุงศรีอยุธยากองทัพพม่าก็ยกติดตามตีเข้ามาจนถึงชานกรุงศรีอยุธยา การศึกครั้งนี้กองทัพพม่าไม่สามารถตีหักเอากรุงศรีอยุธยาได้ต้องถอยทัพกลับไป ผลของการสงครามครั้งนี้เป็นเหตุให้สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระราชดำริเห็นว่าเมืองสุพรรณบุรี แม้จะมีป้อมคูประตูหอรบมั่นคงสักปานใดก็ตาม แต่เมื่อมีศึกใหญ่ยกมาติดเมืองก็ไม่สามารถจะรับไว้อยู่ และเมื่อข้าศึกตีได้แล้วกลับจะใช้เป็นที่มั่นอีกด้วย จึงโปรดให้รื้อป้อมกำแพงเมืองเสียซีกหนึ่ง เมื่อ พ.ศ. ๒๐๘๖<sup>(</sup><sup>๑๑</sup><sup>)</sup> เพื่อว่าข้าศึกตีเมืองได้แล้วจะไม่ได้มีโอกาสอาศัยใช้เป็นที่มั่นอยู่ในเมืองได้อีก และในปีเดียวกันนี้โปรดให้แบ่งท้องที่เมืองราชบุรี และเมืองสุพรรณบุรี ตั้งเป็นเมืองนครชัยศรี</p> <p>ต่อมา พ.ศ. ๒๐๙๒ พระเจ้าบุเรงนองแห่งพม่า ได้ยกกองทัพใหญ่ลงมาล้อมกรุงศรีอยุธยาครั้งนั้น สมเด็จพระมหาจักรพรรดิเตรียมป้องกันกรุงศรีอยุธยาอย่างเต็มที่ แต่กรุงศรีอยุธยามีกำลังน้อยกว่ากองทัพพม่า เหลือกำลังจะป้องกันพระนครจึงยอมเป็นไมตรีและส่งตัวผู้รับประกันพระนคร คือสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระราเมศวร พระยาจักรี และพระสุนทรสงครามเจ้าเมืองสุพรรณบุรี ให้แก่พม่าพร้อมกับช้างพลายเผือก อีก ๔ เชือก<sup>(</sup><sup>๑๒</sup><sup>)</sup></p> <p>ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๑๒๗ รัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชา พระนเรศวร พระราชโอรสได้ทรงประกาศอิสรภาพไม่ยอมขึ้นพม่า เป็นเหตุให้พระเจ้านันทบุเรงพิโรธ โปรดให้ยกกองทัพเข้ามาตี</p> <p>กรุงศรีอยุธยา โดยเดินทัพมาทางด่านเจดีย์ ๓ องค์ ทั้งกองทัพบก และกองทัพเรือของพม่า ปะทะกับกองทัพไทยที่เมืองสุพรรณบุรี และพม่าได้ถูกทัพเรือไทยภายใตับังคับบัญชาของเจ้าพระยาจักรี ตีแตกกลับไป</p> <p>ต่อมากองทัพพม่า ยกเข้ามาทางด่านเจดีย์ ๓ องค์ ผ่านเมืองกาญจนบุรี เข้าตีกรุงศรีอยุธยา ทางสุพรรณบุรีอีก ๒ คราว คือ พ.ศ. ๒๑๓๓ และ พ.ศ. ๒๑๓๕ การรบทั้ง ๒ ครั้ง สมเด็จพระ</p> <p>นเรศวรมหาราชทรงเป็นแม่ทัพเนื่องจากทรงชำนาญภูมิประเทศ และยุทธศาสตร์อย่างยิ่ง จึงทรงกำหนดพื้นที่ตำบลตะพังกรุ เมืองสุพรรณบุรีเป็นสนามรบทั้ง ๒ ครั้ง ครั้งแรก พ.ศ. ๒๑๓๓ ปีแรกรบกันในท้องที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี กล่าวคือเมื่อพระมหาอุปราชายกกองทัพผ่านด่านเจดีย์สามองค์เข้ามาแล้ว ก็เดินทัพผ่านแดนป่าสูงที่เต็มไปด้วยเทือกเขาใหญ่ของเมืองกาญจนบุรี<sup>(</sup><sup>๑๓</sup><sup>)</sup> เลียบลงมา</p> <p>ตามแนวลำน้ำแควน้อยและแควใหญ่ เมื่อพ้นแดนป่าสูงก็จะถึงพื้นที่สนามรบดอนตะพังกรุตอนใต้ที่บริเวณบ้านทวน<sup>(</sup><sup>๑๔</sup><sup>)</sup> แล้วตั้งค่ายใหญ่ประชุมทัพปิดปากทางเข้าแดนป่าสูง ซึ่งเป็นการรักษาเส้นทางสำคัญในการเดินทัพของฝ่ายพม่าไว้แล้วจึงจะเดินทัพตามพื้นที่ดอนขึ้นสู่ทิศเหนือผ่านบ้านจระเข้สามพัน บ้านโข้ง เพื่อไปข้ามลำน้ำที่แม่น้ำท่าคอยเข้าสู่พื้นที่ดอนฝั่งตะวันออก ซึ่งเป็นส่วนเหนือของแดนลุ่มพลี เมืองสุพรรณบุรี แล้วจึงจะเข้าตีเมืองสุพรรณบุรี หรือไปป่าโมกก็จะเข้าตีกรุงศรีอยุธยาได้สะดวกทั้ง <table cellspacing="0" cellpadding="0"><tbody> <tr> <td width="4"></td> </tr> <tr> <td></td> <td><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjyT9h9GB8teA99vEJIVyaUm6zbLla2COV-i2fAAkOGsTQBXj-VQtXxEu3HS7e1_9ZWFCv2FySSBOjUBkDF36kRFWi24X9EARSUIDau4YsL3iL7KS8hiskX1YGckFGXJ6kiANmQw4Xmtec/s1600-h/clip_image0063.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image006" border="0" alt="clip_image006" src="http://lh3.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkavgiPRJI/AAAAAAAAASA/z-JcbQmyXk4/clip_image006_thumb.gif?imgmax=800" width="232" height="2" /></a></td> </tr> </tbody></table> </p> <p>(๑๐)ประพัฒน์ ตรีณรงค์ ศึกษาและเที่ยวในเมืองไทย (พระนคร, เลี่ยงเซียง ๒๕๐๒ หน้า ๑๒๘๐)</p> <p>(๑๑) กรมศิลปากร, พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา (พระนคร, อักษรสัมพันธ์ ๒๕๐๕ หน้า ๑๔๔)</p> <p>(๑๒) เล่มเดียวกัน หน้า ๑๕๔ -๑๕๘</p> <p>(๑๓) สถาน แสงจิตพันธุ์ ตอบคำถามของกระทรวงกลาโหมเกี่ยวกับอนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พิมพ์ดีด ๒๕๒๐</p> <p>(๑๔) คืออำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี</p> <p>๒ แห่ง ถ้าข้ามลำน้ำต่ำลงมากว่านั้นจะเดินทัพไม่ได้ เพราะจะติดพื้นที่หล่มเลนลุ่มพลีตลอดไปจนถึงกรุงศรีอยุธยา</p> <p>ขณะที่กองทัพพระมหาอุปราชา เดินทัพมาตามเส้นทางเดิมที่เคยยกทัพมาครั้งก่อน ๆ ดังกล่าวแล้วข้างต้น สมเด็จพระนเรศวรมหาราชซึ่งทรงจัดเจนภูมิประเทศอยู่แล้วก็ทรงนำกองกำลังทหารจัดซุ่มอยู่ในป่าทึบบริเวณเชิงเทือกเขาพระยาแมน<sup>(</sup><sup>๑๕</sup><sup>) </sup>ตอนเหนือบ้านจระเข้สามพัน ตลอดแนวขุนเขาซึ่งพื้นที่เป็นคอคอดของสนามรบ มีเทือกเขาใหญ่อยู่ทางทิศตะวันตก มีลำน้ำจระเข้สามพันอยู่ทางทิศตะวันออก สภาพภูมิศาสตร์บีบกระหนาบพื้นที่ซึ่งเป็นเส้นทางเดินทัพให้เป็นช่องแคบอยู่ระหว่างกลางพระองค์ทรงพระราชดำริที่จะบุกตีกองทัพพม่า ขณะผ่านช่องแคบให้ถอยร่นไปแตกทัพที่ริมแม่น้ำจระเข้สามพันให้จงได้ ขณะที่กองทัพพม่าผ่านเข้าช่องแคบเข้ามาด้วยความประมาท เพราะไม่เคยต้องกลยุทธในสนามรบบริเวณนี้มาแต่ก่อน จึงถูกกองกำลังทหารไทยโจมตีถึงกับแตกพ่ายยับเยินที่ริมลำน้ำ จระเข้สามพันหมดทุกทัพ การรบครั้งนี้ถึงขั้นตะลุมบอน เกือบจับองค์พระมหาอุปราชาได้ พระยาพสิม พระยาพุกาม แม่ทัพพม่าได้แก้ไขเอาพระมหาอุปราชาหนีรอดไปได้ พระยาพุกามตายในที่รบพร้อมกับไพร่พลเป็นจำนวนมาก ทหารไทยจับตัวพระยาพสิมได้ พร้อมทั้งยึดได้ช้างม้าและเครื่องศาตราวุธเป็นอันมาก พระมหาอุปราชาและทหารพม่ารอดตายได้แตกพ่ายหนีกลับไป นอกราชอาณาจักรด้วยความเกรงกลัวในพระบรมราชานุภาพของสมเด็จพระนเรศวรมหารช</p> <p>ต่อมาพระมหาอุปราชา ยกกองทัพเข้ามาตีประเทศไทยอีก เป็นครั้งที่ ๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๑๓๕ ครั้งนี้ได้ยกกองทัพมาตั้งค่ายใหญ่ประชุมทัพปิดปากทางเข้าแดนป่าสูงที่บริเวณบ้านทวนตอนใต้ของสนามรบ เช่นเดียวกับครั้งก่อนแต่เนื่องจากพระมหาอุปราชายังเข็ดขยาดช่องแคบที่เป็นคอคอดของสนามรบดอนตระพังกรุอยู่ เพราะเคยได้รับบทเรียนที่มีค่าอย่างสูงถึงกับเสียชีวิตทหารทั้งกองทัพมาแล้ว จึงได้ให้กำลังส่วนใหญ่ยกล่วงหน้าขึ้นไปสำรวจช่องแคบ และพื้นที่ของสนามรบจากตอนใต้ขึ้นสู่ตอนเหนือ ทหารพม่าสำรวจพื้นที่ขึ้นไปและตั้งทัพหน้าอยู่ถึงบ้านโข้ง สืบทราบว่ากองทัพไทยมีกำลังน้อยกว่าได้ยกมาขัตตาทัพอยู่บนเส้นทางยุทธศาสตร์ พระมหาอุปราชาจึงยกกองทัพหลวงขึ้นสู่พื้นที่ด้านเหนือของสนามรบ เพื่อจะข้ามลำน้ำท่าคอย แล้วนำกำลังส่วนใหญ่ที่มีจำนวนมากกว่าเข้าซุ่มตีกองทัพไทยให้แตกแล้วหวังจะบุกตามตีให้ถึงกรุงศรีอยุธยา</p> <p>ฝ่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงมีพระราชดำริว่า ช่องแคบคอคอดของสนามรบดอนตระพังกรุนั้น กองทัพพม่ารู้เท่าทันในยุทธวิธีแล้ว จึงวางแผนออกตั้งค่ายหลวงประชุมทัพอยู่ที่บริเวณตระพังน้ำหนองสาหร่ายทางตอนเหนือของสนาม เพื่อปิดทางเข้าออกแดนลุ่มพลีของกรุงศรีอยุธยาไว้ โดยจัดกองทัพซุ่มอยู่ในป่าทึบเหนือบริเวณแม่น้ำท่าคอยคอยท่ารอจังหวะให้กองทัพพระมหาอุปราชายกข้ามลำน้ำมาเมื่อใด จึงจะบุกเข้าโจมตีกองทัพพม่าให้ถอยร่นลงไป แตกทัพที่ริมแม่น้ำอีกครั้งหนึ่งให้จงได้ แต่พระยาศรีไสยณรงค์ไปทำกลแตกเสียที่บ้านดอนระฆัง โดยนำกองสอดแนมเข้าโจมตีทัพหน้าของพม่าอย่างอาจหาญเป็นเหตุให้พม่าไหวตัวเสียก่อน สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจึงทรงเปลี่ยนแผน</p> <p><a href="http://lh5.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkaxDtbWqI/AAAAAAAAASE/4RMMQn2bOKE/s1600-h/clip_image0073.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image007" border="0" alt="clip_image007" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgkhrPtvA2jmrJXfwMTlwRo6UK6y5g1eejxKp84gwO8dXEoPGaoWQnzitmrlGoj0MFXJ_xMEAXQaPsWfMjJZp5dnUMX6vjWtvH_RTr_NBhucg3kFKHPRJxZUhSJ6F6N0rxkSh6N601k7Wo/?imgmax=800" width="233" height="2" /></a></p> <p>(๑๕) คือเทือกเขาใหญ่ นับแต่เขาถ้ำเสือ-สุสานสุขนิรันทร์-น้ำตกพุม่วง-เขาพระ ปัจจุบัน</p> <p>ใหม่ แต่เนื่องจากเวลากระชั้นชิดท่ามกลางป่ารกทึบเช่นนั้นทำให้ทหารทุกกองทัพไม่สามารถปฏิบัติการรบได้โดยพร้อมเพรียงกันเพื่อแก้ปัญหา พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยกระทำยุทธหัตถีทันทีในขณะที่กองทัพพระมหาอุปราชาไล่ติดตามทหารพระยาศรีไสยณรงค์เข้ามาใกล้บริเวณหนองสาหร่ายและพระองค์ทรงใช้พระแสงของ้าวฟันพระมหาอุปราชา ขาดสะพายแล่ง ทิวงคตบนคอช้างพระที่นั่งและกองทัพไทยส่วนหนึ่งได้รุกไล่ตามตีกองทัพพม่าลงไปจนสิ้นเขตพื้นที่สนามรบดอนตระพังกรุ และเข้าตีค่ายใหญ่ทางตอนใต้ของสนามรบแตกยับเยินไปทหารพม่าตายถึงประมาณ ๒๐,๐๐๐ คน ที่บาดเจ็บหนีกลับไปเป็นอันมาก ทหารไทยจับทหารพม่าได้เป็นอันมากและยึดได้ช้าง ม้า ตลอดจนเครื่องศาสตราวุธเป็นอันมาก ตั้งแต่นั้นมาพม่าก็เข็ดขยาดไม่กล้ายกกองทัพเข้ามาตีประเทศไทยเป็นเวลานานถึง ๑๖๕ ปี</p> <p>ต่อมาถึงรัชกาลพระเจ้าเอกทัศน์ ก่อนจะเสียกรุงไม่นานนัก ได้เกิดสงครามกับพม่าที่บริเวณเมืองสุพรรณบุรีอีกครั้งหนึ่ง<sup>(</sup><sup>๑๖</sup><sup>)</sup> สงครามครั้งนี้กองทัพไทยพ่ายแพ้ยับเยินเจ้าพระยาราชเสนาแม่ทัพถูกทหารพม่าไล่ติดตามและพุ่งด้วยหอกขัดถึงอนิจกรรม บนหลังช้าง พระยายมราช ก็ถูกหอกขัดของทหารพม่าบาดเจ็บหลายแห่ง แต่หนีเอาตัวรอดกลับไปได้ ส่วนกองทัพไทยก็แตกพ่ายหนีกองทัพพม่าอย่างไม่เป็นขบวน</p> <p><b>สมัยธนบุรี</b><b> (</b><b>พ</b><b>.</b><b>ศ</b><b>. </b><b>๒๓๑๑</b><b>-</b><b>๒๓๒๔</b><b>)</b></p> <p>เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงย้ายเมืองหลวงมาตั้งที่กรุงธนบรีแล้ว ก็ได้ทำสงครามกับพม่าอีกหลายครั้ง แต่เนื่องจากเมืองหลวงตั้งอยู่ทางทิศใต้ ห่างจากพระนครศรีอยุธยาซึ่งเป็นเมืองหลวงเดิมประมาณ ๗๐ กิโลเมตร และเมืองสุพรรณบุรีก็อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของพระนครศรีอยุธยาประมาณ ๘๐ กิโลเมตร พม่าซึ่งเดินทัพเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยกกองทัพย้อนขึ้นไปตีเมืองสุพรรณบุรีซึ่งอยู่เหนือกรุงธนบุรีขึ้นไปอีกประมาณ ๑๕๐ เมตร ถ้าพม่าจะตีเมืองหลวงของไทยก็คงจะต้องยกกองทัพตัดตรงเข้าเมืองหลวงเลยทีเดียว หรือถ้าจะยกกองทัพเข้ามาทางใต้ ก็คงตัดตรงจากเมืองราชบุรี ผ่านเมืองสมุทรสงครามเข้ามา เมืองสุพรรณจึงไม่อยู่ในเขตสนามรบในสมัยธนบุรีปรากฏว่ามีการรบกันประปรายในเขตเมืองสุพรรณบุรีเพียงครั้งเดียวเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๙ คือในคราวที่พม่ายกกองทัพมาทางเหนือ เมื่อความทราบถึงสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จึงเสด็จยกทัพหลวงขึ้นไปเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๓๑๙<sup>(</sup><sup>๑๗</sup><sup>)</sup> เพื่อขับไล่กองทัพพม่าซึ่งกำลังรบติดพันอยู่กับกองทัพไทยที่เมืองนครสวรรค์ ครั้นสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยกกองทัพไปถึงเมืองชัยนาท กองทัพพม่าทราบข่าวก็ตกใจละทิ้งค่ายที่เมืองนครสวรรค์หลบไปทางเมืองอุทัยธานีและเดินทัพเข้ามาทางเมืองสรรค์บุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงยกกองทัพติดตามตีกองทัพพม่าจนถึงทุ่งบ้านเดิมบางนางบวช เมืองสุพรรณบุรี และกองทัพทั้ง ๒ ฝ่าย ได้ต่อสู้กันเป็นสามารถที่ทุ่งนั้น ผลการรบครั้งนั้นกองทัพพม่าถูกตีแตกอย่างพ่ายยับเยินกระเจิดกระเจิงไป ต่อจากนั้นก็ไม่มีการรบกับพม่าในเขตเมืองสุพรรณบุรี อีกเลย <table cellspacing="0" cellpadding="0"><tbody> <tr> <td width="4"></td> </tr> <tr> <td></td> <td><a href="http://lh4.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGka0_zzAiI/AAAAAAAAASM/NgSK8Qk_HtA/s1600-h/clip_image0083.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image008" border="0" alt="clip_image008" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgMtGAAs6wkWXjiXXZW9zE1E1RlXFmltrCL6fEXWhTS2HDxzu_uY1QcED2nc-Ih1-4yfwAsNCPFOiup0IfpeMozrXvorX-g-9OTF9xFO68KUzdEwpBc6Pc1B5hLPQizETcLpUrVPbpe8kk/?imgmax=800" width="204" height="2" /></a></td> </tr> </tbody></table> </p> <p>(๑๖) ตรี อมาตยกุล เรื่องจังหวัดสุพรรณบุรี (ธนบุรี: เจริญรัตน์การพิมพ์ ๒๕๑๓)หน้า ๑๔-๑๕</p> <p>(๑๗) เสถียร พันธรังษี "ความเป็นมาเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาที่เมืองชัยนาท" บทความในการสัมมนาโบราณคดีที่จังหวัดชัยนาท จัดโดย</p> <p>กรมศิลปากร ๒๐-๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๑ (อัดสำเนา)</p> <p><b>สมัยรัตนโกสินทร์</b><b> </b><b>(</b><b>พ</b><b>.</b><b>ศ</b><b>. </b><b>๒๓๒๕</b><b> - </b><b>ปัจจุบัน</b><b>)</b></p> <p>ในตอนต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เข้าใจว่าเมืองสุพรรณบุรีได้ย้ายที่ตั้งเมืองมาตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกแม่น้ำท่าจีน จะย้ายมาแต่ พ.ศ. ใด ไม่สามารถหาหลักฐานได้แน่นอน เมืองที่ย้ายมาตั้งใหม่ในที่ตั้งปัจจุบันที่ไม่ได้ทำเป็นเมืองป้อม กล่าวคือ ไม่มีค่าย คู หอรบ เหมือนอย่างเมืองเก่า</p> <p>เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๘ เจ้าอนุเมืองเวียงจันทร์ลงมาเฝ้าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวช่วยในการพระบรมศพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ผู้คนลงมามาก จึงทรงพระราชดำริแล้วให้ขอแรงไพร่พลที่มาด้วยให้มาตัดต้นตาลที่เมืองสุพรรณบุรี ลากเข็นลงมาไม่กำหนดจำนวนจะไปใช้ที่เมืองสมุทรปราการเพื่อทำป้อมปืนใหญ่ เจ้าอนุได้ให้ราชวงศ์คุมคนมาดำเนินการ<sup>(</sup><sup>๑</sup><sup>)</sup></p> <p>ในรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ปรากฏว่าเมืองที่ย้ายมาตั้งใหม่นี้ยังคงเป็นป่าเปลี่ยวอยู่โดยมาก <sup>(</sup><sup>๒</sup><sup>)</sup> สุนทรภู่ได้เดินทางเรือผ่านมาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๙ แล้วได้เขียนในโครงการนิราศสุพรรณของท่านว่า</p> <p>ตวันเยนเห็นหาดหน้า ถ้ามี</p> <p>เมืองสุพรรณบุรีย รกร้าง</p> <p>ศาลตั้งฝั่งนที ที่หาด ลาดแฮ</p> <p>โรงเล่าเข้าต้มค้าง ของคุ้งหุงสุราฯ (๑๓๓)</p> <p>ผู่รั้งตั้งรั้วรอบ ขอบราย</p> <p>เปนหมู่ดูงัวควาย ไขว่บ้าน</p> <p>สาวสาวเหล่านุ่งลาย แล้วหม่อม มอมเอย</p> <p>จ้ำม่ำล่ำสันสอ้าน อาบน้ำปล้ำปลาฯ (๑๓๔)</p> <p>กรมการบ้านตั้งตลอด ตลิ่งเตียร</p> <p>ต่างต่อล้อเลื่อนเกียร เก็บไว้</p> <p>เรือริมหาดดาษเดียร รดะปัก หลักแฮ</p> <p>ของเหล่าเชาสวนใต้ แต่งตั้งนั่งซาย ฯ (๑๓๕)</p> <p>ฝั่งซ้ายฝ่ายฟากโพ้น พิสดาร</p> <p>มีวัดพระรูปบูราณ ท่านสร้าง</p> <p>ที่ถัดวัดประตูสาร สงสู่ อยู่เอย</p> <p>หย่อมย้านบ้านขุนช้าง ชิดข้างสวนบันลัง ฯ (๑๓๖)</p> <p><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh6rKz8OHHU-eEYohOwehdxnenQuKV16rQes4a_lnr5PzwPAkAncmbcZNOm2D8UjA_1XvxlLytvLBaTWPlZdjX0IcSvV36vgMaQ31n6gq80i6vdhBucV8ecRBfft4AIsjyVeUE39VCuqdQ/s1600-h/clip_image0093.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image009" border="0" alt="clip_image009" src="http://lh4.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGka6UeJyOI/AAAAAAAAASY/hcDmIf4oUe4/clip_image009_thumb.gif?imgmax=800" width="223" height="2" /></a></p> <p>(๑) กรมศิลปากร พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ฉบับหอสมุดแห่งชาติ(ธนบุรี คลังวิทยา ๒๕๐๖ หน้า ๒๙-๓๐ )รัชกาลที่ ๓ และที่ ๔</p> <p>ฉบับของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค)</p> <p>(๒) ตรี อมาตยกุล เรื่องจังหวัดสุพรรณบุรี (ธนบุรี เจริญรัตน์การพิมพ์ ๒๕๑๓)หน้า ๑๖</p> <p><b>การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล</b><b></b></p> <p>หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงปฏิรูปการปกครองแผ่นดินและได้ทรงจัดราชการบริหารส่วนกลางโดยมีกระทรวงมหาดไทยเป็นศูนย์กลางอำนวยการปกครองประเทศและต่อมาได้โปรดฯ ให้ควบคุมหัวเมืองทั่วประเทศแล้ว ต่อมาก็ได้จัดตั้งราชการบริหารส่วนภูมิภาค ซึ่งมีสภาพและฐานะเป็นตัวแทนหรือหน่วยงานประจำท้องที่ของกระทรวงมหาดไทยขึ้น ได้แก่ การจัดรูปการปกครองแบบเทศาภิบาล ซึ่งถือได้ว่าเป็นระบบการปกครองที่สำคัญยิ่งในการปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคชนิดหนึ่งที่รัฐบาลส่วนกลางจัดส่งข้าราชการจากส่วนกลางออกไปบริหารราชการในท้องที่ต่าง ๆ เป็นระบบการปกครองที่รวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และเปลี่ยนระบบการปกครองจากระบบกินเมืองซึ่งเป็นประเพณีปกครองดั้งเดิมให้หมดไป</p> <p>การจัดระบบการปกครองมณฑลเทศาภิบาลได้เริ่มอย่างแท้จริงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นต้นมาและได้จัดตั้งตามลำดับ ดังนี้ คือ</p> <p>พ.ศ. ๒๔๓๗ จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ๔ มณฑล คือ มณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีนบุรี มณฑลนครราชสีมา และมณฑลราชบุรี</p> <p>พ.ศ. ๒๔๓๘ จัดตั้งมณฑลนครชัยศรี มณฑลนครสวรรค์ มณฑลกรุงเก่า และมณฑลภูเก็ต</p> <p>พ.ศ. ๒๔๓๙ จัดตั้งมณฑลนครศรีธรรมราช และมณฑลชุมพร</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๐ จัดตั้งมณฑลไทรบุรีและมณฑลเพชรบูรณ์</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๓ เปลี่ยนแปลงสภาพมณฑลพายัพ มณฑลอุดร และมณฑลอีสาน ซึ่งเป็นมณฑลเก่าก่อนจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาล ให้เป็นมณฑลเทศาภิบาล</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๗ ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ เพื่อการประหยัด</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๙ จัดตั้งมณฑลปัตตานีและมณฑลจันทบุรี</p> <p>พ.ศ. ๒๔๕๐ จัดตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง</p> <p>พ.ศ. ๒๔๕๑ ประเทศไทยจำต้องยอมยกมณฑลไทยบุรี ให้แก่ ประเทศ อังกฤษ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการแก้ไขสัญญาค้าขาย และเพื่อจะกู้ยืมเงินประเทศอังกฤษมาสร้างทางรถไฟสายใต้</p> <p>พ.ศ. ๒๔๕๕ แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒ มณฑล คือ มณฑลอุบล และมณฑลร้อยเอ็ด</p> <p>พ.ศ. ๒๔๕๘ จัดตั้งมณฑลมหาราษฎร์ขึ้น โดยแยกออกจากมณฑลพายัพ</p> <p>สำหรับเมืองสุพรรณบุรี เป็นเมืองอยู่ในเขตมณฑลนครชัยศรี ซึ่งมณฑลนี้ประกอบไปด้วยเมืองนครชัยศรี ,เมืองสุพรรณบุรี และเมืองสมุทรสาคร</p> <p><b>การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน</b><b></b></p> <p>ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ ได้จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดไม่เป็นนิติบุคคล มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัด และได้ยุบเลิกมณฑล เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจเพิ่มมากขึ้น</p> <p>ต่อมา พ.ศ. ๒๔๙๕ ได้มีพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินบัญญัติให้ฐานะของจังหวัดเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม คือ</p> <p>๑. ฐานะเป็นนิติบุคคล</p> <p>๒. อำนาจบริหารในจังหวัด แต่เดิมตกอยู่แก่คณะกรรมการจังหวัดซึ่งเป็นคณะบุคคลเปลี่ยนแปลงมาอยู่กับผู้ว่าราชการจังหวัดเพียงคนเดียว</p> <p>๓. เปลี่ยนแปลงฐานะคณะกรรมการจังหวัด ซึ่งเดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดเป็นคณะที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด</p> <p>ต่อมาได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น</p> <p>๑. จังหวัด</p> <p>๒. อำเภอ</p> <p>สำหรับจังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลาย ๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด และมีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้งยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดให้ตราเป็นพระราชบัญญัติและให้มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น</p> <p>ปัจจุบันจังหวัดสุพรรณบุรี มี ๙ อำเภอ และ ๑ กิ่งอำเภอ คือ</p> <p>๑. อำเภอเมืองสุพรรณบุรี</p> <p>๒. อำเภอบางปลาม้า</p> <p>๓. อำเภอสองพี่น้อง</p> <p>๔. อำเภอเดิมบางนางบวช</p> <p>๕. อำเภอศรีประจันต์</p> <p>๖. อำเภอดอนเจดีย์</p> <p>๗. อำเภอสามชุก</p> <p>๘. อำเภอด่านช้าง</p> <p>๙. อำเภออู่ทอง</p> <p>๑๐. กิ่งอำเภอหนองหญ้าไซ</p> <p><a href="http://lh4.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGka8OCyAbI/AAAAAAAAASc/PxTyklHqrgE/s1600-h/clip_image0103.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image010" border="0" alt="clip_image010" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiYrNqPbLGqgY1186KaouocaxwLk7t4r2_yCYvotFLvx6kmZv2jeaq5Zlu-wDfO1djAwcrqg3R8T12BK3nGj5hjLwiQCWK6KLl_l_-R0RqAo2Dym798ek6aZTCGZbGrywnTep6qF3AVcN0/?imgmax=800" width="240" height="2" /></a></p> <p>ที่มา : <b>ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดสุพรรณบุรี</b> . สุพรรณบุรี : มนัสการพิมพ์ , ๒๕๒๘ .</p> ไม้ไผ่http://www.blogger.com/profile/13079736154779537493noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3975884513971132653.post-37179006674983149592010-08-16T03:59:00.001-07:002010-08-16T03:59:58.294-07:00อ่างทอง<p>ประวัติศาสตร์จังหวัดอ่างทอง</p> <h3>สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา</h3> <p>อ่างทองเป็นที่ราบลุ่มมีแม่น้ำไหลผ่านถึง ๒ สาย คือ แม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน้อย เป็นที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก ผู้คนจึงนิยมเข้าอยู่อาศัยทำมาหากิน ในสมัยโบราณก่อนกรุงศรี-อยุธยานับแต่สมัยทวารวดีเป็นต้นมา เข้าใจว่ามีคนอาศัยอยู่ในท้องที่ของอ่างทองแล้วและสร้างเป็นเมืองขึ้นด้วยแต่คงจะไม่ใช่เมืองใหญ่โตหรือเมืองสำคัญนักก็ได้ หลักฐานที่เหลือให้เห็นในปัจจุบันที่ส่อแสดงว่าท้องที่ของอ่างทองเคยเป็นเมืองโบราณในสมัยทวารวาดีก็คือคูเมืองที่มีลำคูล้อมรอบที่บ้านคูเมือง ตำบลห้วยไผ่ อำเภอแสวงหา ในปัจจุบันอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอไปทางเหนือประมาณ ๔ กิโลเมตร คูเมืองที่บ้านคูเมืองซึ่ง นายบาส เชอลีเย นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมศิลปากรได้สำรวจพบและสันนิษฐานว่าเป็นเมืองโบราณสมัยทวารวดี ล่วงมาในสมัยกรุงสุโขทัยก็เข้าใจว่ามีคนอาศัยอยู่มากเช่นกัน หลักฐานที่น่าจะยืนยันได้ก็คือวัดร้างที่มีอยู่มากมายในท้องที่ของอ่างทอง มีหลายวัดแสดงว่าเป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยสุโขทัยและจากการสังเกตลักษณะของพระพุทธรูปสำคัญ ๆ หลายองค์พบว่ามีลักษณะการสร้างแบบสุโขทัยด้วย เช่น พระพุทธไสยาสน์วัดขุนอินทประมูล อำเภอโพธิ์ทอง พระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมก อำเภอป่าโมก เป็นต้น นอกจากการสร้างวัดและศิลปะการสร้างพระพุทธรูปแล้ว ลำน้ำโบราณซึ่งปัจจุบันได้ตื้นเขินกลายเป็นลำคลอง ลำห้วย หลายแห่ง โดยมีวัดร้างตั้งอยู่ริมน้ำเก่านี้มากมาย ก็สันนิษฐานว่าจะต้องมีมาเก่าแก่ถึงสมัยสุโขทัยอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องราวเหตุการณ์สำคัญนั้นไม่มีหลักฐานที่ปรากฏชัด</p> <h3>สมัยกรุงศรีอยุธยา</h3> <p>เนื่องจากอ่างทองเป็นเขตติดต่อกับกรุงศรีอยุธยา จึงมีเรื่องราวที่กล่าวถึงท้องที่ในอ่างทองหลายตอนด้วยกัน แต่สมัยอยุธยาตอนต้นนั้นยังไม่ปรากฏชื่อเมืองนี้ เข้าใจว่าจะเป็นเพียงชายเขตแขวงพระนครเท่านั้น แม้กระทั่งแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ก็ยังไม่ปรากฏว่ามีชื่อเมืองในท้องที่ของอ่างทองเลย หนังสือพระราชพงศาวดารกล่าวไว้ว่า เมื่อคราวพม่ายกทัพมาประชิดพระนครในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดินั้น ได้มีการเกณฑ์ทัพเพื่อรักษาพระนครจากเมืองใกล้เคียง โดยกล่าวชื่อเมืองใกล้เคียงพระนครหลายเมือง เช่น เมืองสิงห์บุรี เมืองพรหมบุรี เมืองอินทร์บุรี เมืองสุพรรณบุรี เมืองชัยนาท เมืองลพบุรี เมืองนครนายก เป็นต้น ไม่เคยกล่าวถึงเมืองอ่างทองหรือชื่อเมืองวิเศษชัยชาญอันเป็นชื่อเก่าของเมืองอ่างทองเลย เพียงแต่กล่าวไว้ตอนที่พม่ายกทัพเข้ามาว่า “…พม่าก็ยกตามเข้ามาทาง ลำ สามโก้ ป่าโมก ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแถวบางโผงเผง เข้ามาชานพระนครทางทุ่งลุมพลีข้างด้านเหนือ” ลำสามโก้ปัจจุบันเป็นชื่อตำบลอยู่ในอำเภอสามโก้ ป่าโมกก็เป็นชื่อตำบลอยู่ในอำเภอป่าโมกเช่นกัน ส่วนบางโผงเผงนั้นอยู่ในท้องที่อำเภอป่าโมก พระราชพงศาวดารมิได้กล่าวว่าตำบลทั้งสามขึ้นกับเมืองใด สันนิษฐานว่าแต่ก่อนอาจจะรวมอยู่ในแขวงพระนครหลวง ยังไม่ยกฐานะเป็นเมือง เพราะอยู่ใกล้พระนครหลวงมาก</p> <p>ราว พ.ศ. ๒๑๒๒ ในแผ่นดินพระมหาธรรมราชา ท้องที่ของอ่างทองก็ถูกกล่าวไว้ในพงศาวดารอีกตอนหนึ่งว่า “ในปีนั้นเกิดกบฏญาณพิเชียรเป็นจลาจลในจังหวัดแขวงหลวง และญาณพิเชียรนั้นเรียนคุณโกหก กระทำการอัมพิปริตสำแดงแก่ชาวชนบทประเทศนั้น และซ่องสุมเอาเป็นพวกได้มาก ญาณพิเชียรก็ซ่องคนในตำบลบ้านยี่ล้น ขุนศรีมงคลแขวงส่งข่าวกบฏนั้นเข้ามาถวายถึงสมเด็จพระบรมบพิตร พระพุทธเจ้าหลวง ก็มีพระราชโองการ ตรัสใช้เจ้าพระยาจักรีให้ยกพลทหารออกไปจับญาณพิเชียรซึ่งเป็นกบฏ เจ้าพระยาจักรีและขุนหมื่นทั้งหลายยกออกไปตั้งทัพในตำบลบ้านมหาดไทย” ตำบลที่ถูกกล่าวถึงมี ๒ ตำบลคือ ตำบลบ้านยี่ล้น ปัจจุบันเป็นตำบลยี่ล้น ขึ้นกับอำเภอวิเศษชัยชาญ และตำบลบ้านมหาดไทยปัจจุบันเป็นตำบลมหาดไทย ขึ้นกับอำเภอเมืองอ่างทอง มีเขตติดต่อกับอำเภอวิเศษชัยชาญ ซึ่งสมัยนั้นก็ยังไม่ได้กล่าวอ้างว่าเป็นแขวงเมืองใด เป็นแต่กล่าวว่า “…ญาณพิเชียรเป็นจลาจลในจังหวัดแขวงหลวง…” จึงสันนิษฐานว่าท้องที่อ่างทองในขณะนั้นคงจะเป็นอาณาเขตที่ขึ้นกับพระนครหลวง</p> <p>ต่อมาราว พ.ศ. ๒๑๒๗ ในแผ่นดินสมเด็จพระมหาธรรมราชาเช่นกัน พระราชพงศาวดารได้กล่าวถึงชื่อเมืองวิเศษชัยชาญเป็นครั้งแรก เมื่อครั้งที่สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จยกกองทัพไปรบกับพระยาพะสิมที่เมืองสุพรรณ ซึ่งมีข้อความตอนหนึ่งปรากฏดังนี้ “…ครั้นถึงเดือนยี่ ขึ้น ๒ ค่ำ สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถก็เสด็จโดยกระบวนเรือจากกรุงศรีอยุธยาไปทำพิธีเหยียบชิงชัยภูมิ ฟันไม้ข่มนามที่ตำบลลุมพลี แล้วเสด็จไปประทับที่แขวงเมืองวิเศษชัยชาญอันเป็นที่ประชุมพล…” เมืองวิเศษชัยชาญก็คือเมืองอ่างทองเก่านั้นเอง ส่วนจะยกฐานะขึ้นเป็นเมืองวิเศษชัยชาญเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานในพระราชพงศาวดาร เข้าใจว่าจะต้องเป็นช่วงเวลาระยะ พ.ศ. ๒๑๒๒-๒๑๒๗ (น่าจะเป็นปี พ.ศ. ๒๑๒๗ หลังจากที่สมเด็จพระนเรศวรกลับจากประกาศอิสรภาพแล้ว พระมหาธรรมราชามอบหมายการป้องกันพระนครให้สมเด็จพระนเรศวร และยังได้อพยพครัวเรือนจากเมืองพิษณุโลกเข้ามาในพระนคร และได้ตั้งเมืองวิเศษชัยชาญขึ้นเพื่อเป็นจุดรวมกำลังเสบียงอาหาร และเป็นเมืองหน้าด่านของพระนคร)</p> <p>นับแต่เริ่มปรากฏชื่อเมืองวิเศษชัยชาญในพระราชพงศาวดารแต่นั้นเป็นต้นมา เมืองวิเศษชัยชาญและท้องที่อ่างทองที่ขึ้นกับแขวงวิเศษชัยชาญในสมัยนั้น ก็ถูกกล่าวในพระราชพงศาวดารบ่อยครั้ง เช่น ป่าโมก ชะไว สระเกษ บางแก้ว เอกราช ฯลฯ ซึ่งจะกล่าวโดยลำดับไปดังนี้</p> <p>พ.ศ. ๒๑๒๗ ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับคราวที่รบกับพระยาพะสิมที่เมืองสุพรรณบุรีนั้น สมเด็จพระนเรศวรทรงทราบว่ากองทัพพระเจ้าเชียงใหม่ยกลงมาก็เสด็จยกกองทัพหลวงไปกับสมเด็จพระเอกา-ทศรถ ไปตั้งทัพหลวงอยู่ที่บ้านชะไว แขวงเมืองวิเศษชัยชาญ ปัจจุบันบ้านชะไวเป็นตำบลชะไว ขึ้นกับอำเภอไชโย</p> <p>พ.ศ. ๒๑๒๘ พระเจ้าเชียงใหม่ยกกองทัพมาแก้แค้น ยกทัพมาตั้งอยู่ที่บ้านสระเกษในแขวงเมืองวิเศษชัยชาญ สมเด็จพระนเรศวรกับพระเอกาทศรถยกทัพไปถึงตำบลป่าโมก ก็พบกับกองทัพพม่าซึ่งลงมาเที่ยวรังแกราษฎรทางเมืองวิเศษชัยชาญ จึงได้เข้าโจมตีจนทัพพม่าล่าถอยไป พระเจ้าเชียงใหม่จึงจัดกองทัพยกลงมาอีก สมเด็จพระนเรศวรจึงดำรัสสั่งให้พระราชมนูคุมกองทัพขึ้นไปลาดตระเวนดูก่อน กองทัพพระราชมนูไปปะทะกับพม่าที่บ้านบางแก้ว สมเด็จพระนเรศวรเสด็จขึ้นไปถึงบ้านแห จึงมีดำรัสให้ข้าหลวงขึ้นไปสั่งพระราชมนูให้ทำเป็นล่าทัพกลับถอยลงมา แล้วพระองค์กับพระอนุชาก็รุกไล่ตีทัพพม่าแตกพ่ายทั้งทัพหน้าและทัพหลวง จนถึงค่ายที่ตั้งทัพของพระเจ้าเชียงใหม่ที่บ้านสระเกษ ทัพของพระเจ้าเชียงใหม่จึงแตกกระจัดกระจายไป ปัจจุบันนี้บ้านสระเกษ เปลี่ยนเป็นตำบลไชยภูมิ ขึ้นอยู่กับอำเภอไชโย สำหรับบ้านบางแก้วและบ้านแห ก็เป็นตำบลในอำเภอเมืองอ่างทอง</p> <p>พ.ศ. ๒๑๓๐ ท้องที่อำเภอป่าโมกก็เป็นสนามรบในคราวที่พระเจ้ากรุงหงสาวดีล้อมกรุงศรีอยุธยา คราวนี้ทัพไทยเอาปืนใหญ่ลงในเรือสำเภาขึ้นไประดมยิงค่ายหลวงพระเจ้าหงสาวดี พระเจ้าหง -สาวดีทนอยู่ไม่ได้ก็ต้องรีบถอยทัพหลวงกลับขึ้นไปตั้งอยู่ที่ป่าโมก สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอ- กาทศรถเสด็จโดยขบวนทัพเรือ ตีตามกองทัพหลวงของพระเจ้าหงสาวดีไปจนถึงป่าโมกจนพม่าเลิกทัพกลับไป</p> <p>พ.ศ. ๒๑๓๕ คราวสมเด็จพระนเรศวรกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จยกทัพจากกรุงศรอยุธยาไปตั้งอยู่ที่ทุ่งป่าโมก แล้วเสด็จไปเมืองสุพรรณบุรีผ่านบ้านสามโก้ ไปกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา ที่ตำบลกะพังตรุ จังหวัดสุพรรณบุรี จนมีชัยชนะในครั้งนั้น</p> <p>พ.ศ. ๒๑๔๗ สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จยกทัพไปตีเมืองอังวะ ก็เสด็จพักพลที่ป่าโมกอีก ตามพระราชพงศาวดารตอนหนึ่งว่า “…ก็มีพระราชโองการตรัสให้แต่งตำหนักในตำบลป่าโมก ครั้นเสร็จก็เสด็จด้วยพระชลวิมานโดยทางชลมารค เสด็จเข้าพักพลในตำหนักป่าโมกนั้น พระบาทสมเด็จพระบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ก็เสด็จกลับพยุหยาตรา จากตำบล ป่าโมกเสด็จโดยชลมารคขึ้นเหยียบชัยภูมิในตำบลเอกราช ให้ขุนแผนสะท้านฟันไม้ข่มนามโดยการพิธีพิชัยสงคราม…” (ปัจจุบันนี้ตำบลเอกราชเป็นตำบลหนึ่งขึ้นกับอำเภอป่าโมก และมีเขตติดต่อกับตำบลป่าโมก) สำหรับการสงครามครั้งนี้เป็นครั้งหลังสุดของสมเด็จพระนเรศวร เพราะพระองค์ได้สวรรคตเสียที่เมืองหาง หรือเมืองห้างหลวง ยังมิทันเสด็จถึงเมืองอังวะ สมเด็จพระเอกาทศรถได้เชิญพระบรมศพกลับคืนมายังพระนครศรีอยุธยา</p> <p>ในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๘ (พระเจ้าเสือ) พระเจ้าเสือได้เสด็จปลอมพระองค์ไปกับมหาดเล็กเที่ยวในงานฉลองพระอาราม และได้ทรงชกมวยกับนักมวยได้ชัยชนะถึง ๒ คน ที่ที่เสด็จไปคือบ้านประจันตชนบทแขวงเมืองวิเศษชัยชาญ ดังข้อความในพระราชพงศาวดารตอนหนึ่งว่า “…ขณะนั้นข้าราชการผู้มีชื่อคนหนึ่งกราบทูลพระกรุณาว่า ข้าพระพุทธเจ้าได้ทราบเกล้าว่า ณ บ้านประจันตชนบท แขวงเมืองวิเศษชัยชาญ เพลาพรุ่งนี้ชาวบ้านจะทำการฉลองพระอาราม มีมหรสพงานใหญ่…” และอีกตอนหนึ่งว่า “…ครั้งรุ่งขึ้นจึงเสด็จพระชลพาหนะแวดล้อมไปด้วยข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งปวงไปตามลำดับชลมารค ถึงตำบลบ้านตลาดกรวดจึงหยุดประทับเรือพระที่นั่งเสด็จขึ้นบกในที่นั้น…” ปัจจุบันตำบลบ้านตลาดกรวดก็คือ ตำบลตลาดกรวด อำเภอเมืองอ่างทอง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนบ้านประจันตชนบท แขวงเมืองวิเศษชัยชาญนั้น ก็คือหมู่บ้านชนบทที่อยู่นอกพระนครหลวงนั่นเอง มีผู้ให้ความเห็นว่าวัดที่เป็นพระอารามซึ่งมีการมหรสพในสมัยนั้นอาจจะเป็นวัดโพธิ์ถนน หรือวัดถนนก็ได้ ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นวัดร้างอยู่ในตำบลตลาดกรวดนั่นเอง</p> <p>ในแผ่นดินของสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๙ (พระเจ้าท้ายสระ) ปี พ.ศ. ๒๒๖๙ พระเจ้า ท้ายสระได้เสด็จไปควบคุมการชะลอพระพุทธไสยาสน์ ณ วัดป่าโมก ตำบลป่าโมก เพราะเหตุว่าน้ำกัดเซาะตลิ่งพังเข้าไปถึงพระวิหาร ถ้าไม่ย้ายที่แล้วอาจพังลงน้ำก็ได้ เมื่อชะลอพระพุทธไสยาสน์เสร็จแล้ว พระเจ้าท้ายสระได้ทรงสร้างพระวิหาร อุโบสถ พระเจดีย์ หอไตร โดยปฏิสังขรณ์พร้อมกับสร้างขึ้นใหม่ด้วย</p> <p>ในแผ่นดินของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ (พระเจ้าบรมโกศ) ก่อนที่พระเจ้าบรมโกศจะได้ครองราชสมบัตินั้น พระเจ้าท้ายสระได้มอบราชสมบัติให้แก่เจ้าฟ้าอภัย พระเจ้าบรมโกศไม่เต็มพระทัยให้ราชสมบัติแก่เจ้าฟ้าอภัย เมื่อพระเจ้าท้ายสระสวรรคต พระเจ้าบรมโกศกับเจ้าฟ้าอภัยจึงรบกันกลางพระนคร เจ้าฟ้าอภัยแพ้จึงหนีไปกับเจ้าฟ้าปรเมศร์ โดยลงเรือพระที่นั่งไปทางป่าโมก ครั้นถึงบ้านเลน จึงเสด็จขึ้นเรือหนีไปทางบกจนถึงบ้านเอกราช ผลสุดท้ายถูกจับที่บ้านเอกราชและถูกประหารชีวิตทั้ง ๒ พระองค์ และขณะที่เสวยราชสมบัติอยู่ในเวลาต่อมายังได้เคยเสด็จไปฉลองวัดป่าโมก และขึ้นไปนมัสการพระพุทธไสยาสน์ พระนอนจักรสีห์ จังหวัดสิงห์บุรี และวัดขุนอินทประมูล ซึ่งปัจจุบันอยู่ในอำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทองด้วย</p> <p>ต่อมาราว พ.ศ. ๒๒๘๗ สมเด็จพระเจ้าบรมโกศได้มีพระราชดำรัสให้นิมนต์พระอาจารย์วัดพันทาบ แขวงเมืองวิเศษชัยชาญ ให้เข้านั่งสมาธิช่วยห้ามฝนตก สำหรับวัดพันทาบนั้นในปัจจุบันนี้ยังสำรวจไม่พบว่าอยู่ ณ ที่ใด ได้ดูจากรายชื่อวัดในหนังสือแถลงการณ์คณะสงฆ์เล่มที่ ๒๒ ภาคพิเศษก็ไม่มีชื่อวัดนี้ และดูจากบัญชีวัดร้างในจังหวัดอ่างทองจากหนังสือทำเนียบวัดในราชอาณาจักรไทยฉบับกรมการศาสนา พ.ศ. ๒๔๘๖ ก็ไม่มีชื่อวัดนี้เช่นกัน อาจจะตกสำรวจหรืออาจจะเปลี่ยนชื่อวัดเสียแล้วก็ได้</p> <p>ในแผ่นดินพระที่นั่งสุริยามรินทร์ เจ้าฟ้าอุทุมพร หรือ กรมขุนพรพินิต หรือเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่าขุนหลวงหาวัด ซึ่งเป็นพระอนุชาของสมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์ ได้เสด็จออกทรงผนวช ณ วัดโพธิ์ทอง ตำบลคำหยาด และทรงสร้างตึกประทับร้อนเรียกว่า ตึกคำหยาดขึ้นด้วย ปัจจุบันวัดโพธิ์ทองและตึกคำหยาด ก็ยังมีอยู่ในท้องที่ตำบลคำหยาด อำเภอโพธิ์ทอง</p> <p>และในแผ่นดินของสมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์นี้เอง กรุงศรีอยุธยาก็เสียแก่พม่า ก่อนที่จะเสียกรุงแก่พม่านั้น พม่าได้ยกทัพมาตั้งค่าย ณ แขวงเมืองวิเศษชัยชาญด้วย ซ้ำพม่ายังเที่ยวค้นทรัพย์จับผู้คนของเมืองวิเศษชัยชาญอีก และตอนนั้นเองที่เกิดมีวีรบุรุษที่เป็นคนในท้องที่ของอ่างทองหลายคน เช่น นายแท่น นายโชติ นายอิน นายเมือง ทั้ง ๔ คนนี้เป็นชาวบ้านสีบัวทอง (ในพระราชพงศาวดารกล่าวว่าบ้านสีบัวทองนั้นขึ้นกับแขวงเมืองสิงห์ แต่ปัจจุบันนี้ บ้านสีทองเป็นตำบลหนึ่งขึ้นกับอำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง) และมีนายดอก ชาวบ้านกลับ นายทองแก้ว ชาวบ้านโพธิทะเล ทั้งสองคนเป็นชาวเมืองวิเศษชัยชาญได้ร่วมกับชายฉกรรจ์กว่า ๔๐๐ คน ตั้งค่ายบางระจันขึ้นเพื่อต่อสู้พม่า และมีหัวหน้าอีก ๕ คน คือ ขุนสรรค์ พันเรือง นายทองเหม็น นายจันทร์หนวดเขี้ยว และนายทองแสงใหญ่ โดยมีพระอาจารย์ธรรมโชติมาอยู่เป็นกำลังใจและให้การคุ้มครองด้วย การต่อสู้กับพม่าในครั้งนั้นได้ต่อสู้กันถึง ๘ ครั้ง เนื่องจากกำลังของทางฝ่ายไทยน้อยกว่า ค่ายบางระจันจึงแตก และสนามรบที่ต่อสู้กันส่วนใหญ่ก็คือท้องที่อำเภอแสวงหาในปัจจุบันนั่นเอง วีรกรรมของคนไทย ครั้งนี้เป็นที่เลื่องลือและเป็นสิ่งเตือนใจคนรุ่นหลังอยู่เสมอว่าคนไทยนั้นกล้าหาญเด็ดเดี่ยว เมื่อถึงคราวคับขันไม่เอาตัวรอด ยอมสละแม้ชีวิตเพื่อชาติพลี ดังนั้นชื่อเสียงและเกียรติคุณของบุคคลดังกล่าวจึงได้ถูกจดจำและกล่าวขวัญกันอยู่เสมอ และคนรุ่นหลังได้สร้างอนุสาวรีย์ผู้กล้าหาญดังกล่าวเป็นสิ่งเตือนใจไว้ในค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี และอนุสาวรีย์นายดอก นายทองแก้ว วีรชนของเมืองวิเศษชัยชาญไว้ที่หน้าโรงเรียนวัดวิเศษชัยชาญ อำเภอวิเศษชัยชาญในปัจจุบัน</p> <h3>สมัยกรุงธนบุรี</h3> <p>เข้าใจว่าในตอนปลายสมัยกรุงธนบุรีนี้เอง ที่ได้มีการย้ายเมืองวิเศษชัยชาญมาตั้งใหม่ที่ตำบลบ้านแห ตรงวัดไชยสงคราม (วัดกะเชา) ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งอยู่ในท้องที่อำเภอเมืองในปัจจุบันนี้และการย้ายเมืองครั้งนั้นก็เปลี่ยนชื่อจากเมืองวิเศษชัยชาญมาตั้งชื่อใหม่ว่า “เมืองอ่างทอง” สาเหตุที่ย้ายเข้าใจว่าเมืองวิเศษชัยชาญเดิมนั้นตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำน้อย ในขณะนั้นแม่น้ำน้อยคงตื้นเขิน ฤดูแล้งเรือเดินไม่ได้ จึงย้ายมาตั้งที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา</p> <p>อย่างไรก็ตาม หลักฐานในพระราชพงศาวดารก็ไม่ได้กล่าวไว้เลยว่า การย้ายเมืองวิเศษ ชัยชาญมาตั้งใหม่และเปลี่ยนชื่อใหม่นั้นเมื่อใดตอนไหน แต่ในสมัยกรุงธนบุรีนี้ก็มีข้อความเกี่ยวกับเมืองวิศษชัยชาญอยู่ตอนหนึ่งในราว พ.ศ. ๒๓๑๗ เมื่อคราวรบพม่าที่บางแก้ว เมืองราชบุรี คือ ก่อนสิ้น รัชสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ๘ ปี พระยาอินทรวิชิต เจ้าเมืองวิเศษชัยชาญ ได้คุมกองทัพไปช่วยพระยา ยมราชรบกับพม่าที่แขวงเมืองราชบุรี มีผู้ให้ความเห็นว่าการย้ายเมืองครั้งนั้นน่าจะเกี่ยวข้องด้วยในระหว่างระยะเวลาที่กล่าวนั้น และเพื่อความสะดวกสบายในการส่งกำลังรบจากพระนครขึ้นไปยังเมืองฝ่ายเหนือการใช้เรือลำเลียงทางแม่น้ำน้อยอาจขลุกขลักในฤดูแล้งความสะดวกสู้ทางแม่น้ำเจ้าพระยาไม่ได้ จึงได้ย้ายเมืองเสีย แต่ถ้าหากไม่ใช่ย้ายตอนปลายสมัยกรุงธนบุรีก็คงจะย้ายตอนต้นสมัยกรุงรัตน-โกสินทร์ คือช่วงระยะเวลาจาก พ.ศ. ๒๓๑๗ (ซึ่งได้กล่าวถึงเมืองวิเศษชัยชาญเป็นครั้งสุดท้ายในพระราชพงศาวดาร) จนถึง พ.ศ. ๒๓๕๖ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เพราะตอนนี้พระราชพงศาวดารได้กล่าวถึงการทำทำนบกั้นน้ำที่เมืองอ่างทอง (เป็นการกล่าวชื่อเมืองอ่างทองครั้งแรกในตอนนี้) และก็ยังมีผู้รู้สันนิษฐานกันอีกว่า การย้ายเมืองนั้นอาจจะย้ายคราวเดียวกับเมืองสิงห์บุรีก็ได้</p> <p>สำหรับการตั้งชื่อใหม่ว่า “เมืองอ่างทอง” โดยเปลี่ยนชื่อจากเมืองวิเศษชัยชาญนั้น พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เตชะคุปต์) สมุหเทศาภิบาลมณฑลอยุธยา ได้ให้คำอธิบายเกี่ยวกับชื่อเมือง ไว้ว่า</p> <p>“ข้อที่จังหวัดนี้เดิมชื่อเมืองอ่างทองนั้น เห็นด้วยเกล้าฯ ว่าน่าจะมาจากชื่อบางทองคำด้วยมีคำโคลงนิราศตอนนี้ว่า</p> <p>ลุถึงบางน้ำชื่อ คำทอง</p> <p>น้ำป่วนบึงเป็นฟอง กว่างกว้าง</p> <p>แลลาญรำจวนสยอง พึงพิศ</p> <p>เร่งรีบพายพลกว้าง แม่น้ำ ฟองสินธุ์</p> <p>(นิราศนี้แต่งตั้งแต่ครั้งกรุงเก่าว่าด้วยตามเสด็จพระราชดำเนินเมืองนครสวรรค์)</p> <p>อนึ่ง ทางที่แยกแม่น้ำสายหลังศาลากลางนั้น ราษฎรก็ยังเรียกว่าปากแม่น้ำประคำทอง ส่วนในเข้าไปเรียกแม่น้ำสายทองจนทุกวันนี้ แต่ว่าน้ำตื้นเขินใช้การไม่ได้แล้ว”</p> <p>อีกกระแสหนึ่ง ตามคำบอกเล่าของผู้รู้บางท่านเล่าว่า ที่ตั้งชื่อว่าเมืองอ่างทองนั้น เพราะเป็นเมืองอยู่ในที่ลุ่ม เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ สมัยโบราณถือกันว่าดินแดนใดก็ดี ถ้าอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพรรณธัญญาหารก็เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ ถือกันว่าเป็นเมืองเงินเมืองทอง ดังนั้นชื่อจังหวัดอ่างทองก็คืออ่างที่เต็มไปด้วยทองนั่นเอง นับว่ามีเหตุมีผลน่าฟังอยู่</p> <h3>สมัยกรุงรัตนโกสินทร์</h3> <h4>ในสมัยนี้มีเรื่องเกี่ยวข้องกับเมืองอ่างทองหลายตอนด้วยกันกล่าวคือ</h4> <p>ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๖ โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยายมราช เป็นแม่กองเกณฑ์คนเมืองนครราชสีมา ตลอดจนเมืองเวียงจันทน์ และหัวเมืองฝ่ายตะวันออกนอกเหนือนครราชสีมาออกไป เข้ามาระดมกันทำทำนบกั้นลำน้ำที่เมืองอ่างทองเพื่อจะให้สายน้ำไหลเข้าทางคลองบางแก้วซึ่งตื้นเขินขึ้น ให้กลับใช้เรือเดินได้ตลอดปีดังแต่ก่อน แต่ทำนบต้องพังทลายลงเพราะทานกำลังน้ำไม่ไหว เมื่อทำไม่สำเร็จจึงได้ย้ายตัวเมืองอีกครั้งหนึ่งจากตำบลบ้านแห ที่วัดไชยมงคล ไปตั้งที่ตำบลบางแก้ว ใต้ปากคลองบางแก้วฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาจนถึงทุกวันนี้ คลองบางแก้วที่กล่าวถึงนี้เป็นคลองที่แยกจากแม่น้ำเจ้าพระยา อยู่เหนือศาลากลางจังหวัดอ่างทอง ประมาณ ๑ กิโลเมตรเศษ กล่าวกันว่าเดิมเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อขุดคลองหน้าเมืองอ่างทองที่กลายเป็นแม่น้ำในขณะนี้ขึ้นในรัชกาลสมัยสมเด็จพระเจ้าท้ายสระไปบรรจบลำแม่น้ำน้อยทางทิศตะวันออกของวัดป่าโมก อำเภอป่าโมก เนื่องจากป้องกันน้ำเซาะองค์พระพุทธไสยาสน์ วัดป่าโมกเป็นมูลเดิมแล้ว แม่น้ำเจ้าพระยาตอนนี้ตื้นเขินกลายสภาพเป็นคลองบางแก้วไป </p> <p>เรื่องปิดลำน้ำและคลองบางแก้วนี้ มีปรากฏในหนังสือพระราชพงศาวดาร รัชกาลที่ ๒ พระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ<a href="#_ftn1_9309" name="_ftnref1_9309">๑</a> พระองค์ท่านทรงอธิบายไว้ดังนี้</p> <p>“เนื้อความที่กล่าวในพระราชพงศาวดารตรงนี้ผู้ที่ไม่ได้ทราบเรื่องทางน้ำในประเทศนี้แต่โบราณมา แม้จะไปดูที่คลองบางแก้วในเวลานี้น่าจะประหลาดใจว่า ทำไมจึงเกณฑ์คนเข้ามาทำทำนบปิดลำแม่น้ำเจ้าพระยาในครั้งนั้น อันความจริงที่เป็นมาแต่เดิมนั้น ลำแม่น้ำเจ้าพระยาไม่ได้ลงมาทางหน้าเมืองอ่างทองทุกวันนี้ ลำน้ำเข้าทางบางแก้ว มาทางคลองเมืองกรุงเก่าลงมาทางวัดพุทไธสวรรย์มาออกตรงป้อมเพชร แม่น้ำตอนใต้คลองบางแก้วเดิมเป็นคลองขุดมาต่อลำแม่น้ำน้อย แต่สายน้ำมาเดินเสียทางคลองขุดนี้ กัดแผ่นดินกว้างลึกออกไปเป็นลำแม่น้ำ ทางบางแก้วจึงตื้นเขินขึ้นทุกที จนใช้เรือไม่ได้ในฤดูแล้งด้วย เหตุนี้จึงไปทำนบปิดทางใหม่ซึ่งน้ำกัดประสงค์จะให้สายน้ำกลับไปเดินทางบางแก้วซึ่งเป็นลำแม่น้ำเดิม แต่ทำนบที่ทำเมื่อปีระกา เบญจศกนั้นทานน้ำไม่อยู่ ถึงฤดูน้ำเหนือหลากทำนบก็พังไม่ได้ประโยชน์ดังคาด สายน้ำลำแม่น้ำเจ้าพระยาจึงลงทางเมืองอ่างทองมาจนตราบเท่าทุกวันนี้”</p> <p>เฉพาะที่ตำบลบางแก้วตอนเหนือศาลากลางจังหวัดขึ้นไปเล็กน้อยตรงที่ทำทำนบนั้นยังมีหมู่บ้าน ๆ หนึ่งเรียกว่า “บ้านรอ” จนทุกวันนี้ ผู้รู้กล่าวกันว่าน้ำเบญจสุทธคงคาในแม่น้ำสำคัญทั้ง ๕ ในราชอาณาจักรไทย ซึ่งแต่งเป็นน้ำสรงพระมรุธาภิเษกสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชเป็นพระราชประเพณีมาแต่โบราณนั้น น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งตักที่ “ตำบลบางแก้ว” ก็เป็นน้ำเบญจสุทธคงคาในแม่น้ำสำคัญทั้ง ๕ ในราชอาณาจักรไทยด้วยแห่งหนึ่ง</p> <p>ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพมหานคร ก็ได้สร้างพระโตขึ้นที่วัดไชโยวรวิหาร อำเภอไชโย และได้รับการปฏิสังขรณ์ในเวลาต่อมา พระที่สร้างนั้นมีชื่อเสียงมากเรียกว่า หลวงพ่อโต หรือพระมหาพุทธพิมพ์</p> <p>ในรัชกาลสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์มีพระราชอัธยาศัยโปรดฯ ในการเสด็จประพาส และได้เคบเสด็จเมืองอ่างทองและท้องที่ของอ่างทองหลายแห่ง ดังนี้</p> <p>พ.ศ. ๒๔๒๑ เมื่อคราวเสด็จประพาสมณฑลอยุธยา ได้เสด็จวัดไชโย อำเภอไชโย วัดขุน- อินทประมูล อำเภอโพธิ์ทอง และวัดป่าโมก อำเภอป่าโมก</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๔ คราวเสด็จเลียบมณฑลฝ่ายเหนือ ได้เสด็จเมืองอ่างทอง ซึ่งมีข้อความตามพระราชหัตถเลขาตอนหนึ่งว่า “…จนถึงพรหมแดนเมืองอ่างทอง พระวิเศษชัยชาญ ผู้ว่าราชการเมือง นำดอกไม้ธูปเทียนมาต้อนรับ เปลี่ยนลงเรือมาด้วยจนถึงพลับพลาเหนือเมืองเลี้ยวหนึ่งประมาณบ่าย ๔ โมง ได้ขึ้นไปยังโรงพิธีซึ่งมีพระสงฆ์ ข้าราชการ และราษฎรคอยพร้อมอยู่ในที่นั้น ผู้ว่าราชการเมืองอ่านคำต้อนรับฉันได้มอบพระแสงราชาวุธเสร็จแล้ว…” วันรุ่งขึ้นเสด็จถึงวัดไชโย และต่อไปยังเมืองสิงห์บุรี ตอนเสด็จกลับก็ผ่านเมืองอ่างทองได้มนัสการพระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมกด้วย</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๙ ในการเสด็จประพาสต้นครั้งที่ ๒ ได้นมัสการพระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมก รุ่งขึ้นเสด็จเมืองอ่างทอง และเสด็จต่อไปถึงวัดไชโยในวันเดียวกัน</p> <p>พ.ศ. ๒๔๕๑ คราวเสด็จประพาสลำน้ำมะขามเฒ่า ได้เสด็จไปอำเภอวิเศษชัยชาญ ตึกคำหยาดและวัดขุนอินทประมูลด้วย</p> <p>ในสมัยรัชกาลที่ ๖ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๙ ได้เสด็จประพาสลำแม่น้ำน้อยและลำแม่น้ำใหญ่ คราวนี้พระองค์ผ่านปลายเขตอำเภอป่าโมก ประทับร้อนที่วัดท่าสุวรรณ (วัดวิเศษชัยชาญในปัจจุบัน) ซึ่งอยู่ใต้ที่ว่าการอำเภอวิเศษชัยชาญเดิมแล้วเสร็จขึ้นไปประทับแรมที่พลับพลาหน้าวัดเกาะ หน้าที่ว่าการอำเภอโพธิ์ทอง (เดิม) รุ่งขึ้น เสด็จประพาสบ้านโพธิ์ทอง แล้วเสด็จกลับประทับแรมพลับพลาหน้าวัดเกาะอีกจากนั้นได้เสด็จต่อไปยังสิงห์บุรีและชัยนาท เที่ยวกลับได้เสด็จล่องทางแม่น้ำเจ้าพระยาทรงประทับร้อนวัดไชโยแล้วเสด็จมาประทับแรมพลับพลาหน้าศาลากลางจังหวัดอ่างทอง</p> <p>สำหรับการจัดระเบียบการปกครองนั้น ในราว พ.ศ. ๒๔๓๙ ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการจัดระเบียบการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาล เมืองอ่างทองได้ขึ้นอยู่ในปกครองของข้าหลวงเทศาภิบาลอยุธยา ซึ่งมีเมืองต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับมณฑลอยุธยาถึง ๘ เมืองด้วยกัน ขณะนั้นเมืองอ่างทองแบ่งการปกครองเป็นอำเภอมี ๔ อำเภอด้วยกันคือ อำเภอเมือง อำเภอไชโย อำเภอไผ่จำศีล และอำเภอโพธิ์ทอง (ส่วนอำเภอป่าโมกนั้น ยังไม่จัดเป็นอำเภอแต่รวมอยู่กับอำเภอเมืองอ่างทอง และอำเภอไผ่จำศีลนั้นก็คืออำเภอวิเศษชัยชาญนั่นเอง) ต่อมาปี พ.ศ. ๒๔๔๕ ได้ตั้งอำเภอป่าโมกขึ้นโดยแยกไปจากอำเภอเมืองอ่างทอง และปี พ.ศ. ๒๔๕๑ ได้เปลี่ยนชื่ออำเภอไผ่จำศีล เป็นอำเภอวิเศษชัยชาญ ตามชื่อแขวงเมืองวิเศษชัยชาญเดิม</p> <p>ต่อมา พ.ศ. ๒๔๗๖ ได้มีการยุบเลิกมณฑล เมืองอ่างทองก็เปลี่ยนเป็นจังหวัดอ่างทอง ไม่ขึ้นกับมณฑลอยุธยาอีกต่อไป</p> <p>พ.ศ. ๒๔๙๑ ประกาศตั้งกิ่งอำเภอแสวงหา และยกฐานะเป็นอำเภอแสวงหา เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๙</p> <p>พ.ศ. ๒๕๐๕ ประกาศตั้งกิ่งอำเภอสามโก้ และยกฐานะเป็นอำเภอสามโก้ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๘</p> <p>ดังนั้นจังหวัดอ่างทองจึงมีอำเภอ ๗ อำเภอตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน</p> <p>หวน พินธุพันธุ์ ได้เขียนไว้ในหนังสืออ่างทองของเราตอนหนึ่งว่า “เป็นที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งก็คือว่า ชื่อหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และรวมไปถึงวัดในจังหวัดอ่างทองปัจจุบันนี้ หลายชื่อมีคำว่า “ชัย” หรือ “ไชย” อยู่ด้วย ก็แสดงว่าท้องที่นั้น ๆ จะต้องมีความหมายเกี่ยวกับชัยชนะจากการสงครามอย่างแน่นอนเพราะท้องที่ของอ่างทองเคยเป็นสนามรบในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีบ่อยครั้งที่สุด ผู้ที่ตั้งชื่อขึ้นมาจะต้องเอาความหมายจากชัยชนะอย่างไม่มีปัญหา ชื่อที่มีคำว่า “ชัย” หรือ “ไชย” อยู่ด้วยนั้น เป็นอำเภออยู่ ๒ ชื่อ คือ อำเภอไชโย และอำเภอวิเศษชัยชาญ เป็นตำบล ๓ ชื่อ คือ ตำบลไชโย ตำบลไชยภูมิ และตำบลชัยฤทธิ์ ซึ่งทั้ง ๓ ตำบลนี้อยู่ในท้องที่อำเภอไชโยทั้งสิ้น และยังมีวัดอยู่อีก ๓ วัด คือ วัดไชยสงคราม วัดไชยมงคล วัดสนามชัย ทั้ง ๓ วัดนี้อยู่ใกล้ ๆ กัน ซึ่งขึ้นกับอำเภอเมืองอ่างทอง นอกจากนี้ยังมีตำบลหนึ่งชื่อตำบลตรีณรงค์ ขึ้นกับอำเภอไชโยมีความหมายเกี่ยวกับสงครามเช่นกัน”</p> <p>นอกจากนี้แล้ว ชื่อตำบล หมู่บ้าน ในจังหวัดอ่างทอง ยังไปปรากฏอยู่ในหนังสือวรรณคดีมีชื่อของเมืองไทยเล่มหนึ่ง นั้นคือ เสภาขุนช้างขุนแผน ซึ่งแต่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๒ และรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในตอนที่ ๔๓ ของบทเสภาซึ่งตอนท้ายสุดกล่าวถึงจระเข้เถรกวาด ตามตำนานเสภาว่าเป็นบทแต่งแทรกในรัชกาลที่ ๓ ผู้แต่งคือครูแจ้งได้แต่งเกี่ยวกับเรื่องเถรกวาดคิดจะแก้แค้นพลายชุมพล ที่กรุงศรีอยุธยา จึงได้แปลงร่างเป็นแร้งบินจากเชียงใหม่มาถึงอ่างทองแล้วแปลงร่างเป็นจระเข้เที่ยวจับคนตามตำบลหมู่บ้านต่าง ๆ ในท้องที่ไชโย อ่างทอง และป่าโมก ดังบทเสภา ดังนี้</p> <h5>“โผลงตรงลงเหนือเมืองอ่างทอง</h5> <p>พอเยื้องคลองบางแมวเป็นแนวป่า</p> <p>แร้งหายกลายรูปเป็นหลวงตา</p> <p>ลงนั่งนิ่งภาวนาร้อยแปดที</p> <p>เสกไม้เท้าต่อหางที่กลางตัว</p> <p>แล้วเอาบาตรสวมหัวเข้าเร็วรี่</p> <p>เผ่นโผนโจนผางกลางนที</p> <p>ก็กลายเป็นกุมภีล์มหึมา</p> <p>เขี้ยวขาวยาวออกนอกปากโง้ง</p> <p>ฟาดโผงร้องเพียงเสียงฟ้าผ่า</p> <p>โตใหญ่ตัวยาวสักเก้าวา</p> <p>ขึ้นวิ่งร่าหลังน้ำด้วยลำพอง</p> <p>ท่านผู้ฟังถ้วนหน้าอย่าสงสัย</p> <p>เดิมจะได้ตั้งย่านเป็นบ้านช่อง</p> <p>เพราะเถรกวาดแปลงกายร้ายคะนอง</p> <p>จึงเรียกบ้านจระเข้ร้องแต่นั้นมา</p> <p>เดี๋ยวนี้มีหลักแหล่งแขวงอ่างทอง</p> <p>บ้านช่องปึกแผ่นยังแน่นหนา</p> <p>ตั้งนามตามนิทานเพราะขรัวตา</p> <p>จึงได้ปรากฏตำบลจนทุกวัน”</p> <p>ในปัจจุบันบ้านจระเข้ร้องเป็นตำบลจรเข้ร้อง ขึ้นกับอำเภอไชโยและเป็นตำบลที่ตั้งที่ว่าการอำเภอไชโยด้วย</p> <p>อีกตอนหนึ่งของเสภามีว่า</p> <p>“พ้นบ้านตลาดกรวดรวดเร็วมา</p> <p>ควายช้างขวางหน้าเข้าไม่ได้</p> <p>ฟาดฟันกัดตายก่ายกันไป</p> <p>เลยไล่ล่องน้ำร่ำลงมา</p> <p>ครู่หนึ่งถึงหน้าเมืองอ่างทอง</p> <p>โบกหางครางร้องคะนองร่า</p> <p>พอชาวบ้านลงตะพานมาล้างปลา</p> <p>เข้าคาบคร่าลงน้ำแล้วดำทวน”</p> <p>บ้านตลาดกรวดนั้นปัจจุบันเป็นตำบลตลาดกรวดขึ้นอยู่กับอำเภอเมืองอ่างทองอีกตอนหนึ่งของเสภากล่าวว่า</p> <p>“ถึงบ้านแหแร่ร้องก้องกระหึม</p> <p>รางควานพึมพูดกันสนั่นอื้อ</p> <p>ครั้นมาถึงหัวย่านบ้านสะตือ</p> <p>ก็มุดน้ำดำทื่ออยู่ใต้น้ำ”</p> <p>ในปัจจุบันนี้ บ้านแหเป็นตำบลบ้านแห อยู่ในท้องที่อำเภอเมืองอ่างทอง และบ้านสะตือเป็นหมู่บ้านในอำเภอเมืองอ่างทอง เสภาตอนต่อมาก็กล่าวถึงท้องที่ของอ่างทองอีก เช่น</p> <h5>“ เที่ยวท่องล่องโร่มาโพธิสระ</h5> <p>ปะหลวงตาบิณฑบาตฟาดดังผึง</p> <p>ขบกัดสะบัดเถรขึ้นเลนตึง</p> <p>บนตลิ่งวิ่งอึงทั้งหญิงชาย</p> <p>เรือแพใหญ่น้อยถอยเข้าคลอง</p> <p>ไม่อาจล่องลอยน้ำระส่ำระสาย</p> <p>พ่วงกันพันพัวด้วยกลัวตาย</p> <p>จระเข้ร้ายถึงย่านบ้านระกำ”</p> <p>ปัจจุบันบ้านโพธิสระคือตำบลโพสะ อยู่ในเขตอำเภอเมืองอ่างทอง ส่วนบ้านระกำเป็นหมู่บ้านอยู่ในอำเภอป่าโมก</p> <p>อีกตอนหนึ่งของเสภากล่าวว่า</p> <p>“มาถึงบางเทวาท้ายป่าโมก</p> <p>จระเข้โบกหางหันเข้าแฝงฝั่ง</p> <p>ที่นั่นน้ำลึกนักตระพักพัง</p> <p>เข้าเฟือยฟังแยบคายอยู่ท้ายวัด”</p> <p>วัดที่กล่าวถึงเข้าใจว่าจะเป็นวัดป่าโมก ซึ่งตั้งอยู่ริมน้ำเจ้าพระยา หน้าวัดน้ำลึกและตลิ่งพังอยู่เสมอ เพราะน้ำไหลพุ่งเข้าหาตลิ่งอยู่ตลอดเวลา</p> <p>สันนิษฐานว่าผู้แต่งเสภาขุนช้างขุนแผนตอนนี้คงจะคุ้นเคยกับสภาพเมืองอ่างทอง อาจจะเป็นคนแถบนี้หรือเคยเดินทางผ่านบ่อย ๆ ก็เป็นได้</p> <p>ได้กล่าวแล้วว่า เนื่องจากอ่างทองเป็นเมืองที่อยู่ใกล้พระนครหลวงในสมัยกรุงศรีอยุธยา จึงมีเรื่องราวที่เกี่ยวพันอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะการศึกษาสงครามป้องกันพระนคร พระเจ้าแผ่นดินของไทยหลายพระองค์ได้เคยเสด็จอ่างทองเพื่อทรงประกอบพระราชภารกิจต่าง ๆ แม้ว่าปัจจุบันจะได้ย้ายราชธานีไปอยู่ที่กรุงเทพมหานครแล้วก็ตาม จังหวัดอ่างทองก็ยังถือว่าเป็นจังหวัดที่อยู่ไกลจากเมืองหลวงนัก พระมหากษัตริย์ไทยหลายพระองค์ในราชวงศ์จักรีก็ได้เคยเสด็จอ่างทองเช่นกัน โดยเฉพาะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอทุกพระองค์ได้เสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรในเขตจังหวัดอ่างทอง และเสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพระราชภารกิจ ทั้งทางราชการและส่วนพระองค์ในวาระต่าง ๆ บ่อยครั้ง อาทิ เสด็จพระราชดำเนินมาถวายผ้าพระกฐินเป็นการส่วนพระองค์ที่วัดศีลขันธาราม อำเภอโพธิ์ทอง วัดเขียน อำเภอวิเศษชัยชาญ วัดขุนอินทประมูล อำเภอโพธิ์ทอง เสด็จนมัสการหลวงพ่อโต วัดไชโยวรวิหาร อำเภอไชโย เสด็จเยี่ยมสถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้าวัดสระแก้ว อำเภอป่าโมก ฯลฯ เป็นเหตุให้ข้าราชการ พ่อค้า ประชา-ชนในจังหวัดอ่างทองปลาบปลื้มใจและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น</p> <h3>การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล</h3> <p>ระบบการปกครองส่วนภูมิภาคของเมืองไทยก่อนหน้าที่จะวิวัฒนาการในรูปของจังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ได้มีการเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคมาหลายยุคหลายสมัยหลายขั้นตอนด้วยกัน นับตั้งแต่สมัยสุโขทัยซึ่งจัดระเบียบการปกครองหัวเมืองทั้งหลายออกเป็นเมืองราชธานี เมืองลูกหลวง (หรือเมืองหน้าด่านรอบราชธานีทั้ง ๔ ด้าน) เมืองพระยามหานคร (หัวเมืองชั้นนอก) และเมืองประเทศราช โดยเมืองแต่ละประเภทจะมีลักษณะความสัมพันธ์และระดับความใกล้ชิดกับเมืองแม่หรือราชธานีมากน้อยลดหลั่นกันไปตามระยะทางจากเมืองหลวง ตลอดจนความคล้ายคลึงทางภาษาและวัฒนธรรมอย่างในกรณีของเมืองประเทศราชเป็นต้น ครั้นถึงต้นสมัยกรุงศรี อยุธยาเป็นราชธานีในสมัยพระเจ้าอู่ทอง ก็ยังมิได้ทรงเปลี่ยนแปลงระเบียบการปกครองหัวเมืองต่าง ๆ เท่าใดนัก การปกครองอาณาเขตก็ใช้ทำนองเดียวกันกับครั้งสมัยกรุงสุโขทัย โดยแบ่งเป็นราชธานีมีเมืองหน้าด่านชั้นในสำหรับป้องกันราชธานีทั้ง ๔ ทิศ เรียกว่า เมืองป้อมปราการ นอกจากนั้นก็เป็นหัวเมืองชั้นใน เมืองพระยามหานคร และเมืองประเทศราช เช่นเดียวกับสมัยกรุงสุโขทัย การจัดระเบียบการ ปกครองหัวเมืองของกรุงศรีอยุธยาเป็นดังที่กล่าวมานี้จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๑๙๙๑ ซึ่งเป็นปีที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถขึ้นครองราชย์ จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขปรับปรุงหลายประการด้วยกัน</p> <p>การปรับปรุงระเบียบการปกครองที่สำคัญในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ คือ การแยกการทหาร และการพลเรือนออกจากกัน ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารว่า “ทรงตั้งตำแหน่งเสนาบดีเอาทหารเป็นกลาโหม เอาพลเรือนเป็นสมุหนายก” งานจตุสดมภ์ คือ เวียง วัง คลัง นา ซึ่งถือว่าเป็นงานฝ่ายพลเรือน มีสมุหนายกเป็นผู้รับผิดชอบเหนือจตุสดมภ์อีกชั้นหนึ่ง เทียบได้กับอัครมหาเสนาบดี ส่วนการงานที่เกี่ยวกับการทหารหรือการป้องกันประเทศ เช่น กรมม้า กรมช้าง และกรมทหารราบก็มีสมุหกลาโหมเป็นผู้รับผิดชอบ การจัดระเบียบการปกครองหัวเมืองในสมัยนี้ มีลักษณะของการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง คือ ราชธานีเพิ่มมากขึ้น โดยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้ทรงวางหลักการปกครองหัวเมืองให้เป็นแบบเดียวกันกับราชธานี คือ ทรงให้ใช้วิธีการปกครองฝ่ายพลเรือนที่เรียกว่า จตุสดมภ์ ตามหัวเมืองด้วย ส่วนฝ่ายทหารนั้น มีอำนาจครอบคลุมกิจการทหารทั่วราชอาณาจักรอยู่แล้ว ในด้านการปรับปรุงหัวเมืองที่อยู่รายรอบ อันได้แก่ บรรดาหัวเมืองชั้นในแต่เดิม นอกจากนั้นไปก็เป็นเมืองพระยามหานคร ซึ่งกำหนดเป็นเมืองชั้นเอก โท ตรี โดยลำดับกันตามความสำคัญของเมือง ผู้ ปกครองเมืองจะได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ตามแต่จะทรงเห็นสมควร ส่วนเมืองประเทศราชนั้นยังคงให้เจ้านายชนชาตินั้นปกครองตามจารีตประเพณี กรุงศรีอยุธยามิได้ควบคุมการบริหารโดยตรง เป็นแต่ว่าต้องส่งเครื่องราชบรรณาการ และถ้าผู้ใดจะเป็นเจ้าเมืองจะต้องทูลขอให้พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาทรงแต่งตั้ง</p> <p>การจัดระเบียบการปกครองราชธานีและหัวเมืองในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถนี้ เป็นหลักในการปกครองประเทศสืบต่อมาตลอดสมัยกรุงศรีอยุธยา มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งได้ทรงแบ่งหัวเมืองออกเป็น ๒ ภาค คือ หัวเมืองทางภาคเหนือ มอบให้สมุหนายกว่าการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ส่วนหัวเมืองทางภาคใต้มอบให้สมุหกลา-โหมดูแลทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนเช่นกัน เว้นแต่หัวเมืองที่อยู่ตามปากอ่าวมอบให้อยู่ในหน้าที่ของกรมคลัง เพราะเกี่ยวกับการค้าขายต่างประเทศ</p> <p>วิธีจัดการปกครองส่วนภูมิภาคปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาได้ใช้กันต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี (พ.ศ. ๒๓๑๐-๒๓๒๕) และสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น พ.ศ. ๒๓๒๕ จนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ โดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในส่วนที่สำคัญแต่อย่างใด เว้นแต่ในปี พ.ศ. ๒๔๑๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ได้ทรงแบ่งหัวเมืองเสียให้เป็น ๓ ประเภท คือ หัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นกลาง และหัวเมืองชั้นนอก ตามระยะทางใกล้ไกลจากกรุงเทพฯ หัวเมืองแต่ละประเภทในแต่ละภาคยังคงอยู่ในความควบคุมดูแลของสมุหนายก สมุหกลาโหม และเสนาบดีคลังเช่นเดิม</p> <h4>การปฏิรูปการจัดระเบียบการปกครองในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระลจอมเกล้าฯ</h4> <p>ในสมัยรัชกาลที่ ๕ นี้ ประเทศไทยมีการติดต่อกับชาวต่างประเทศมากยิ่งขึ้น วัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวต่างประเทศทางตะวันตกกำลังหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทย และอิทธิพลในการแสวงหาเมืองขึ้นของชาติตะวันตกก็กำลังแพร่มาถึงชาวเอเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งได้ขยายอำนาจคุกคามเอกราชและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทยอย่างรุนแรง เหตุการณ์ในระยะนั้นเป็นพลังผลักดันให้เกิดความคิดที่จะแก้ไขปรับปรุงการปกครองประเทศเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารงานหัวเมืองและสร้างความมั่นคงให้กับประเทศชาติให้เพียงพอที่จะต้านทานการคุกคามของมหาอำนาจชาติตะวันตกได้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ จึงทรงเริ่มปรับปรุงระบบการปกครองประเทศให้ทันสมัย พระองค์ทรงดำริว่า “ จะนิ่งอยู่โดดเดี่ยวเช่นที่เป็นมาแล้วแต่โบราณหาได้ไม่เพราะเป็นสมัยของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงเข้ายุคใหม่ จะต้องเผชิญกับชาวต่างประเทศที่เขาเจริญแล้วที่อาณานิคมอยู่ใกล้ชิดติดกับประเทศไทย และเขากำลังแสดงและจัดการปกครองอาณานิคมให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้น ฉะนั้นประเทศไทยจะต้องเร่งรีบลงมือจัดการทะนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญทัดเทียมกับกาลสมัย จึงจะรักษาเอกราชไว้ได้” โดยเหตุนี้ต่อมาจึงมีพระบรมราชโองการยกเลิกระเบียบการปกครองแต่เดิม และประกาศตั้งกระทรวงแบบใหม่ขึ้น ๑๒ กระทรวง เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๕ โดยจัดสรรอำนาจและหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละกระทรวงให้เป็นสัดส่วน อาทิเช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตราธิการ กระทรวงการคลัง กระทรวงยุติธรรม เป็นต้น บรรดาหัวเมืองที่แบ่งเป็นฝ่ายเหนือ ฝ่ายใต้ ก็ให้อยู่ในบังคับบัญชาตราพระราชสีห์ของกระทรวงมหาดไทยทั้งหมด ตามประกาศพระบรมราชโองการ ลงวันที่ ๒๒ ธันวาคม ร.ศ. ๑๑๓ (พ.ศ. ๒๔๓๗)</p> <p>เมื่องานปกครองหัวเมืองที่เคยแยกไปอยู่ในอำนาจของกระทรวงกลาโหมก็ดี กระทรวงการต่างประเทศหรือกรมท่าก็ดี ไปขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทยเพียงกระทรวงเดียว กระทรวงมหาดไทยจึงมีฐานะเป็นศูนย์กลางบัญชีการงานปฏิรูปการปกครองให้ทันสมัยไปโดยปริยาย สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยครั้งแรกที่เสด็จไปตรวจราชการหัวเมืองได้ทรงพบข้อขัดข้องหลายประการในการปกครองหัวเมือง ประการแรก คือ มีหัวเมืองมากเกินไป แม้แต่หัวเมืองชั้นในก็หลายสิบเมือง ทางคมนาคมกับกรุงเทพฯ จะไปถึงก็ล่าช้า เช่นจะไปเมืองพิษณุโลกต้องเดินทางไปกว่า ๑๐ วันจึงจะถึง หัวเมืองก็อยู่หลายทิศทาง จะจัดการอันใดก็พ้นวิสัยที่เสนาบดีจะออกไปจัดหรือตรวจการได้เอง ได้แต่มีห้องตราสั่งข้อบังคับและแบบแผนส่งออกไปในแผ่นกระดาษให้เจ้าเมืองจัดการ เจ้าเมืองก็มีหลายสิบคนด้วยกันจะเข้าใจคำสั่งต่างกันอย่างไร และใครจะทำการซึ่งสั่งไปนั้นอย่างไรก็ยากที่จะรู้ ในที่สุดพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ กับสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ จึงทรงดำริจัดตั้งระเบียบการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลขึ้น</p> <p>การจัดระเบียบการปกครองหัวเมืองแบบมณฑลเทศาภิบาลนี้เป็นการจัดตั้งหน่วย ราชบริหารส่วนภูมิภาค ซึ่งมีสภาพและฐานะเป็นตัวแทนประจำท้องที่ของกระทรวงมหาดไทยอย่างแท้จริง เพื่อความเข้าใจในเรื่องนี้ จึงขอนำคำจำกัดความของ “เทศาภิบาล” ซึ่งพระยาราชเสนา (ศิริ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) อดีตปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทย มากล่าวไว้ ณ ที่นี้</p> <p>“…การเทศาภิบาล คือ การปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการอันประกอบด้วยตำแหน่งข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาลของพระองค์ รับแบ่งภาระของรัฐบาลซึ่งประจำอยู่แต่เฉพาะในราชธานีนั้น ออกไปดำเนินการในส่วนภูมิภาคของประเทศ ซึ่งอยู่ห่างไกลจากรัฐบาล ซึ่งอยู่ในราชธานีให้ได้ใกล้ชิดกับอาณาประชากรเพื่อให้เขาได้รับความร่มเย็นเป็นสุขและเกิดความเจริญทั่วถึงกัน โดยมีระเบียบแบบแผนอันเป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติฯ จึงแบ่งเขตการปกครองโดยขนาดลดหลั่นกันเป็นชั้นอันดับกันดังนี้คือ ส่วนใหญ่เป็นมณฑล รองถัดลงไปเป็นเมือง คือ จังหวัด รองไปอีกเป็นอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน จัดแบ่งหน้าที่ราชการเป็นส่วนสัดแผนกงานให้สอดคล้องกับทำนองการของกระทรวง ทบวง กรม ในราชธานี และจัดสรรข้าราชการที่มีความรู้สติปัญญาความประพฤติดีให้ไปประจำทำงานตามตำแหน่งหน้าที่ มิให้มีการก้าวก่ายสับสนกันดังที่เป็นมาแต่ก่อน…"</p> <p>การปกครองหัวเมืองในสมัยก่อนใช้ระบบเทศาภิบาลนั้น อำนาจปกครองบังคับบัญชามีความหมายแตกต่างกันออกไปตามความใกล้ไกลของท้องถิ่น หัวเมือง หรือประเทศราช ยิ่งไกลจากกรุงเทพฯ เท่าใด ก็ยิ่งมีอิสระมากขึ้นเท่านั้น หัวเมืองที่รัฐบาลปกครองบังคับบัญชาได้โดยตรงก็มีแต่หัว-เมืองใกล้ ๆ ส่วนหัวเมืองอื่นที่ไกลออกไปมักจะมีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครองแบบกินเมือง และมีอำนาจอย่างกว้างขวาง สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพจึงทรงพยายามที่จะจัดให้อำนาจการปกครองเข้ามารวมอยู่ยังจุดเดียวกัน โดยจัดตั้งระบบเทศาภิบาลซึ่งเป็นระบบที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการไปบริหารราชการในท้องที่ต่าง ๆ แทนที่ส่วนภูมิภาคจะจัดการปกครองกันเองเช่นแต่ก่อน อันเป็นระบบกินเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลจึงเป็นระบบการปกครองที่รวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางและริดรอนอำนาจเจ้าเมืองตามระบบเดิมลงอย่างสิ้นเชิง และเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมหัว-เมืองให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นตลอดจนเป็นการแบ่งเบาภาระหน้าที่ของเสนาบดี จึงได้รวมหัวเมืองเข้าเป็นแบบมณฑล ๆ ละ ๕ เมืองหรือ ๖ เมือง ในขนาดท้องที่ที่ผู้บังคับบัญชาการมณฑลอาจจะจัดการและตรวจตราได้เองตลอดอาณาเขตเรียกว่า “มณฑลเทศาภิบาล” มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชา หัวเมืองทั้งปวงในเขตมณฑลของตน</p> <p>การจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลนี้รัฐบาลมิได้ดำเนินการในทีเดียวทั้งประเทศ แต่ได้จัดตั้งเป็นระยะ ๆ ไป โดยเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๓๗ ภายหลังการปฏิรูปการบริหารส่วนกลาง ทั้งนี้ถือลำน้ำซึ่งเป็นทางคมนาคมหลักในสมัยนั้นเป็นเครื่องกำหนดเขตมณฑล มณฑลเทศาภิบาลที่จัดตั้งขึ้นในคราวแรกมี ๓ มณฑล คือ มณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีน และมณฑลนครราชสีมา ต่อมาเมื่อมีการโอนหัวเมือง ทั้งหมดซึ่งเคยอยู่ในกระทรวงกลาโหมมาขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียวแล้ว จึงได้รวมหัวเมืองฝ่ายใต้จัดเป็นมณฑลราชบุรีขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง จากนั้นมาในปี พ.ศ. ๒๔๓๘ ถึง ๒๔๕๘ ก็ได้มีการจัดตั้งยุบเลิกและเปลี่ยนเขตการปกครองมณฑลเทศาภิบาลอยู่ตลอดเวลาตามความเหมาะสม</p> <p>จังหวัดอ่างทองนั้นถูกรวมอยู่ในมณฑลเทศาภิบาลกรุงเก่าซึ่งจัดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๓๘ โดยรวมกรุงศรีอยุธยา เมืองอ่างทอง ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี พรหมบุรี และอินทบุรีเข้าด้วยกัน โดยมีพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนมรุพงศ์ศิริพัฒน์ (พระองค์เจ้าวัฒนานุวงศ์ ต้นราชสกุล วัฒนวงศ์) ทรงเป็นข้าหลวงเทศาภิบาลคนแรกของมณฑลนี้ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลอยุธยาและยุบเลิกไปภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕</p> <h3>การจัดรูปการปกครองของมณฑลเทศาภิบาล</h3> <p>ดังที่กล่าวมาแล้วว่ามณฑลเทศาภิบาลมีลักษณะเป็นหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาคที่ใหญ่ที่สุด โดยมีอาณาเขตรวมหลาย ๆ เมืองเข้าด้วยกันมากบ้างน้อยบ้างตามความเหมาะสม ในมณฑลเทศาภิบาลแต่ละมณฑลมีข้าราชการคณะหนึ่งประกอบด้วยข้าหลวงเทศาภิบาล ข้าหลวงมหาดไทย ข้าหลวงยุติธรรม ข้าหลวงคลัง เลขานุการข้าหลวงเทศาภิบาล และแพทย์ประจำมณฑล ข้าราชการบริหารมณฑลจำนวนนี้เรียกว่า “กองมณฑล” เจ้าหน้าที่ ๖ ตำแหน่งดังกล่าวนี้เป็นเจ้าหน้าที่ที่กระทรวงมหาดไทยได้จัดให้มีขึ้นสำหรับบริหารงานมณฑล ๆ ละ ๑ กอง เป็นข้าราชการที่สังกัดกระทรวงมหาดไทยทั้งสิ้น กระทรวงคลังข้าราชการในตำแหน่งยุติธรรมและการคลังของมณฑล จึงเปลี่ยนไปสังกัดกระทรวง ทบวง กรมตามสายงานของตน</p> <p>ข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้รับผิดชอบปกครองมณฑลมีอำนาจสูงสุดในมณฑลเหนือ ข้าราชการพนักงานทั้งปวง มีฐานะเป็นข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณของพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้ทรงมอบความไว้วางพระราชหฤทัยโดยคัดเลือกจากขุนนางผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ออกไปปฏิบัติราชการมณฑลละ ๑ คน หน่วยปกครองมณฑลเทศาภิบาลนี้ทำหน้าที่เสมือนสื่อกลางเชื่อมโยงรัฐบาลกลางกับหน่วยราชการส่วนภูมิภาคหน่วยอื่น ๆ เข้าด้วยกัน ข้าหลวงมณฑลเทศาภิบาลมีอำนาจที่ใช้ดุลพินิจวินิจฉัยสั่งการได้เอง ยกเว้นเรื่องสำคัญซึ่งจะต้องขอความเห็นมายังกระทรวงมหาดไทยเท่านั้น เป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยเป็นอันมาก มณฑลเทศาภิบาลนับว่าเป็นวิธีการ ปกครองที่ทำให้รัฐบาลสามารถดึงเอาหัวเมืองต่าง ๆ เข้ามาอยู่ภายใต้อำนาจของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ อย่างแท้จริงผู้ว่าราชการเมืองของแต่ละเมืองในมณฑลต้องอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของข้าหลวงเทศาภิบาลอีกชั้นหนึ่ง โดยมิได้ขึ้นตรงต่อเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยโดยตรง ต่อมากระทรวงมหาดไทยยังได้เพิ่มตำแหน่งข้าราชการมณฑลขึ้นอีก เพื่อแบ่งเบาภาระข้าหลวงเทศาภิบาลเช่น ตำแหน่งปลัดมณฑล มีอำนาจหน้าที่รองจากข้าหลวงเทศาภิบาล เสมียนตรามณฑลเป็นเจ้าพนักงานการเงินรักษาพัสดุและดูแลรักษาการปฏิบัติราชการมณฑล และมหาดเล็กรายงานมีหน้าที่ออกตรวจราชการตามเมืองและอำเภอต่าง ๆ ตลอดมณฑล เป็นต้น </p> <p><b>การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน</b><b></b></p> <p>วิวัฒนาการของการจัดระเบียบการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในส่วนปลีกย่อยเป็นครั้งคราวอาทิเช่น ข้าหลวงเทศาภิบาล บางครั้งก็เรียกว่า สมุห-เทศาภิบาล มณฑลบางแห่งก็ถูกยุบเลิก บางแห่งก็ถูกจัดตั้งเป็นเขตการปกครองพิเศษ เช่น มณฑลกรุงเทพฯ มณฑลตะวันตกเฉียงเหนือ และมณฑลนครศรีธรรมราช ซึ่งรวมบริเวณ ๗ หัวเมืองอิสลามปักษ์ใต้เข้าไว้ ฯลฯ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๖ ก็ได้มีการปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมกับกาลสมัยและความจำเป็นในทางปกครองหลายประการด้วยกัน อาทิเช่น การประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๔๕๗ แทนพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๖ และมีการรวมมณฑลหลายมณฑลเข้าเป็นภาค และมีอุปราชเป็นหัวเมืองปกครองภาค ในปี พ.ศ. ๒๔๕๘ ทำให้ภาคเป็นหน่วยการ ปกครองใหญ่เหนือมณฑลขึ้นไปอีก ตลอดจนให้เปลี่ยนชื่อที่ใช้เรียกหน่วยการปกครองระดับต่ำจากมณฑล จาก “เมือง” เป็น "จังหวัด” โดยประกาศของกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๙</p> <p>วันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ “คณะราษฎร์” ประกอบด้วย ทหาร ตำรวจ และพลเรือนทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบราชาธิปไตยหรือสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ จากผลของการเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งนี้ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงการจัดระเบียบการปกครองหรือการบริหารราชการส่วนภูมิภาคใหม่ โดยมีการตราพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ ซึ่งแบ่งหน่วยการปกครองส่วนภูมิภาคเป็น จังหวัด และอำเภอ โดยมิได้บัญญัติให้มีมณฑล ตามนัยดังกล่าวจึงเท่ากับเป็นการยกเลิกมณฑลไปโดยปริยาย แต่ได้จัดแบ่ง “ภาค” ขึ้นใหม่และให้มีข้าหลวงตรวจการสำหรับทำหน้าที่ตรวจ ควบคุม แนะนำ ชี้แจง ข้อราชการแก่หน่วยราชการส่วนภูมิภาคเท่านั้น โดยมิได้มีหน้าที่บริหารราชการทั่วไปเหมือนอย่างมณฑลเทศาภิบาล ดังนั้นจังหวัดกับส่วนกลางจึงสามารถติดต่อกันได้โดยตรงมิต้องผ่านภาคแต่อย่างใด</p> <p>ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลก็ได้ประกาศพระราชบัญญัติบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๔๙๕ ยกเลิกพระราชบัญญัติเดิม ปี พ.ศ. ๒๔๗๖ เสีย และจัดระเบียบการปกครองส่วนภูมิภาคเป็นภาค จังหวัดและอำเภอ โดยให้มีผู้ว่าราชการภาคคนหนึ่งเป็นหัวหน้าปกครองบังคับบัญชาราชการบริหารส่วนภูมิภาคภายในเขต มีอำนาจหน้าที่คล้ายคลึงสมุหเทศาภิบาลในสมัยก่อน ครั้นต่อมาก็ได้มีการยกเลิกภาคอีกโดยสิ้นเชิงตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๔๙๙ เหลือแต่เพียงหน่วยการปกครองจังหวัด และอำเภอ ตามเดิม</p> <p>พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๔๙๕ และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๔๙๙ ได้ใช้มาอีกเป็นเวลานาน จนกระทั่งถูกยกเลิกโดยประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ซึ่งให้เริ่มใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๑๕๑๕ เป็นต้นไป ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑๘ จึงเป็นกฎหมายในการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคมาจนถึงทุกวันนี้</p> <p>พิจารณาตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ประกอบกับพระราชบัญญัติลักษณะ ปกครองท้องที่ พ.ศ. ๑๔๕๗ แล้ว หน่วยการบริหารราชการส่วนภูมิภาคของไทยจะแบ่งออกได้ ดังนี้</p> <p>๑. จังหวัด</p> <p>๒. อำเภอ (และกิ่งอำเภอ)</p> <p>๓. ตำบล</p> <p>๔. หมู่บ้าน</p> <p>จังหวัดเป็นหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาคที่ใหญ่ที่สุด แต่ละจังหวัดแบ่งเขตการ ปกครองหรือการบริหารราชการออกเป็นอำเภอ อำเภอแบ่งออกเป็นกิ่งอำเภอถ้ามีความจำเป็นในการ ปกครองแต่ตามปกติอำเภอแบ่งออกเป็นตำบลเลยทีเดียว และตำบลแบ่งออกเป็นหมู่บ้านซึ่งเป็นหน่วยการปกครองที่เล็กที่สุดในราชการบริหารส่วนภูมิภาค</p> <p>จังหวัดตั้งโดยพระราชบัญญัติซึ่งเป็นกฎหมายที่ต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา ในการบริหารราชการของจังหวัดหนึ่ง ๆ นั้น มีผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นข้าราชการสังกัดกระทรวงมหาดไทยคนหนึ่งเป็นผู้รับนโยบายและคำสั่งจากนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม มาปฏิบัติการให้เหมาะสมกับท้องที่และประชาชน และเป็นหัวหน้าบังคับบัญชาบรรดา ข้าราชการฝ่ายบริหารส่วนภูมิภาคในเขตจังหวัด และรับผิดชอบในราชการจังหวัดและอำเภอ ผู้ว่าราช-การจังหวัดมีรองผู้ว่าราชการจังหวัด และปลัดจังหวัดเป็นผู้ช่วยปฏิบัติราชการ และมีคณะกรมการจังหวัด ซึ่งประกอบด้วยหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัดจากกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น</p> <p>อำเภอจัดตั้งโดยพระราชกฤษฎีกา ในอำเภอหนึ่งให้มีนายอำเภอเป็นหัวหน้าปกครองบังคับบัญชา มีปลัดอำเภอ และหัวหน้าส่วนราชการซึ่งกระทรวง ทบวง กรม ต่าง ๆ ส่งมาประจำ ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเหลือนายอำเภอในการปฏิบัติราชการแผ่นดิน ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑๘ มิได้กำหนดให้หัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ ซึ่งประจำอยู่ในอำเภอเป็นกรมการอำเภอเหมือนในระดับจังหวัด ดังนั้นนายอำเภอจึงมีอิสระในการที่จะใช้ดุลพินิจตัดสินปัญหาเรื่องราวต่าง ๆ แต่ขณะเดียวกันก็จะต้องรับผิดชอบในผลดีผลเสียอันเกิดจาการกระทำของตนเป็นเงาตามตัวด้วย</p> <p>จังหวัดอ่างทอง ซึ่งเดิมเป็นเมืองอ่างทองอยู่ในมณฑลเทศาภิบาลกรุงเก่า และต่อมาภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลอยุธยา ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเรียกเป็นทางการจากเมืองอ่างทองมาเป็นจังหวัดอ่างทอง โดยประกาศกระทรวงมหาดไทยลงวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๙ ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ปัจจุบันนี้แบ่งเขตการปกครองเป็น ๗ อำเภอด้วยกัน คือ อำเภอเมืองอ่างทอง อำเภอวิเศษชัยชาญ อำเภอป่าโมก อำเภอโพธิ์ทอง อำเภอไชโย อำเภอสามโก้ และอำเภอแสวงหา</p> <p><a href="http://lh5.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkaDnRRnlI/AAAAAAAAARM/Sno3-T4-s6g/s1600-h/clip_image0013.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image001" border="0" alt="clip_image001" src="http://lh5.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkaHFjX86I/AAAAAAAAARQ/XN1eHyYUgco/clip_image001_thumb.gif?imgmax=800" width="240" height="2" /></a></p> <p>ที่มา : <b>ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดอ่างทอง</b>. สระบุรี : อมรินทร์การพิมพ์, ๒๔๒๗.</p> <hr align="left" size="1" width="33%" /> <p><a href="#_ftnref1_9309" name="_ftn1_9309">๑</a> สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ <b>พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒</b> ฉบับพิมพ์ในงานฌาปนกิจศพ หม่อมแก้ว ทินกร และนายฤทธิสำแดง (เปลี่ยน ฐิตะรัต) ๓๑ มกราคม ๒๔๙๘, หน้า ๒๐๙-๒๑๐</p> ไม้ไผ่http://www.blogger.com/profile/13079736154779537493noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3975884513971132653.post-17367018588630579092010-08-16T03:22:00.001-07:002010-08-16T03:22:26.174-07:00พระนครศรีอยุธยา<h5>ประวัติศาสตร์จังหวัดพระนครศรีอยุธยา</h5> <h4></h4> <p>จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ซึ่งเป็นแหล่ง ชุมชนที่มีคนอยู่อาศัยมาหลายยุคหลายสมัย และเคยเป็นที่ตั้งเมืองหลวงของราชอาณาจักรกรุง- ศรีอยุธยานานถึง ๔๑๗ ปี (ระหว่าง พ.ศ. ๑๘๙๓ - ๒๓๑๐) ก่อนหน้านั้นดินแดนนี้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรทวารวดี และอาณาจักรโบราณที่นักวิชาการส่วนมากเรียกว่าอโยธยาตามลำดับ ถึงแม้ว่าเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ ดินแดนนี้ก็ยังมีประชาชนอาศัยอยู่เรื่อยมา จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ดังน้น ขอกล่าวประวัติความเป็นมาเป็น ๔ ระยะคือ ก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยธนบุรี และสมัยรัตนโกสินทร์</p> <p>สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา</p> <p>บริเวณนี้อยู่ในอาณาจักรทวารวดีระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๖ ต่อมาในพุทธ-ศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๘ ก็ตกอยู่ใต้อิทธิพลของขอม โดยมีเมืองละโว้ (ลพบุรี) เป็นเมืองหน้าด่าน ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๘ บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาก็เป็นอิสระจากอิทธิพลของขอม ในช่วงนี้ได้เกิดอาณา-จักรใหม่ๆ อีกหลายรัฐ เช่น สุโขทัย ลานนา และล้านช้าง และก็เกิดรัฐที่พัฒนาจากอาณาจักรเดิม เช่น อโยธยา<a href="#_ftn1_9168" name="_ftnref1_9168">๑</a> สุพรรณภูมิ (สุพรรณบุรี) และนครศรีธรรมราช เป็นต้น</p> <p>หากจะกำหนดเรียกดินแดนบริเวณภาคกลางของประเทศไทยในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๘ ซึ่งตกอยู่ใต้อิทธิพลของขอมว่า แค้วนละโว้ แล้ว ก็อาจกล่าวตามข้อเสนอของนักวิชาการกลุ่มหนึ่งว่า “แคว้นละโว้ (อโยธยา) พัฒนาขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเมืองของแคว้นละโว้ (ทวารวดี)”<a href="#_ftn2_9168" name="_ftnref2_9168">๒</a> เดิมดินแดนบริเวณนี้ มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่ปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ซึ่งพงศาวดารเหนือกล่าวไว้ว่าในปี พ.ศ. ๑๕๘๗ พระเจ้าสายน้ำผึ้งได้พระราชทานพระเพลิงศพพระนางสร้อยดอกหมาก พระมเหสีซึ่งเป็นพระราชธิดาของพระเจ้ากรุงจีน ที่บางกะจะ<a href="#_ftn3_9168" name="_ftnref3_9168">๓</a> และทรงสถาปนา บริเวณนั้นเป็นพระอาราม ให้ชื่อว่า วัดพระเจ้านางเชิง<a href="#_ftn4_9168" name="_ftnref4_9168">๔</a></p> <p>นักวิชาการกลุ่มนี้ได้เสนออีกว่า “ในพุทธศตวรรษที่ ๑๗ - ๑๘ เมืองอโยธยาคงเป็นเมืองขึ้นของแคว้นละโว้ จนกระทั่งพุทธศตวรรษที่ ๑๘ จึงมีการย้ายเมืองสำคัญมาอยู่แถวปากน้ำแม่เบี้ย ในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยา”<a href="#_ftn5_9168" name="_ftnref5_9168">๕</a> และก็คงมีบทบาทแทนที่เมืองละโว้ (ลพบุรี) อย่างไรก็ตามเมืองละโว้ (ลพบุรี) ก็ยังคงครองความเป็นศูนย์กลางทางอารยธรรมอยู่จนกระทั่งต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ดังจะเห็นได้จากการที่มีเจ้านายไทย ๓ พระองค์ คือ พ่อขุนรามคำแหง พ่อขุนมังราย และพ่อขุนงำเมือง ขณะยังทรงพระเยาว์อยู่ได้เสด็จมาศึกษาเล่าเรียน ที่เขาสมอคอน<a href="#_ftn6_9168" name="_ftnref6_9168">๖</a> ในเมืองละโว้ (ลพบุรี)</p> <p>การย้ายเมืองหลวงจากเมืองละโว้มาอยู่ที่เมืองอโยธยา คงเป็นด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญเพราะในขณะนั้นการค้าต่างประเทศโดยเฉพาะกับจีนกำลังมีบทบาทสำคัญ นโยบายของจีนในขณะนั้นส่งเสริมให้คนจีนออกมาค้าขาย ดังนั้นตำแหน่งที่ตั้งของเมืองอโยธยาซึ่งอยู่ใกล้ทางออกทะเล และยังเป็นชุมทางของแม่น้ำใหญ่ ๓ สาย คือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำลพบุรี และแม่น้ำป่าสัก จึงสามารถควบคุมเส้นทางคมนาคมในบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งหมด จากเหตุผลดังกล่าว เมืองอโยธยาจึงมีที่ตั้งเหมาะกว่าเมืองละโว้ (ลพบุรี)</p> <p>เมืองอโยธยาอยู่ที่ไหน ในเรื่องนี้พระเจ้าโบราณราชธานินทร์ ข้าหลวงมหาดไทยและเทศาภิบาล มณฑลอยุธยา ได้กล่าวไว้ในรายงานผลการขุดแต่งพระราชวังหลวงกรุงศรีอยุธยาว่า มีเมืองเก่าอยู่ทางฟากตะวันออกของเกาะเมือง แถวที่วัดสมณโกษ วัดกุฎีดาวและวัดศรีอโยธยา<a href="#_ftn7_9168" name="_ftnref7_9168">๗</a> ต่อมาสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้กล่าวเพิ่มเติมว่า เมืองอโยธยาเป็นเมืองที่ขอมตั้งขึ้นเมื่อปกครองที่เมืองลพบุรี ในบริเวณที่แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำลพบุรี และแม่น้ำเจ้าพระยามาบรรจบกัน เมืองนี้ในระยะแรกพื้นที่ยังลุ่มไม่เหมาะในการทำไร่นา จังเป็นเพียงเมืองหน้าด่านของเมืองลพบุรี ต่อมาเมื่อพื้นที่ค่อยดอนขึ้นจึงมีคนมาตั้งถิ่นฐานทำไร่นากลายเป็นชุมชนใหญ่แห่งหนึ่ง<a href="#_ftn8_9168" name="_ftnref8_9168">๘</a></p> <h3>รายละเอียดเกี่ยวกับที่ตั้งเมืองอโยธยาได้รับการขยายเพิ่มเติมขึ้น โดยนายศรีศักร วัลลิ-โภดม “เมืองอโยธยาตั้งอยู่ทางตะวันออกของเมืองอยุธยา ตัวเมืองมีลำน้ำตามธรรมชาติล้อมเป็นคูเมือง ๓ ด้าน คือ ด้านเหนือ ตะวันออก และด้านใต้ ลำน้ำนี้คือ ลำน้ำป่าสักเดิม แต่เรียกชื่อแตกต่างกันออกไป ตอนที่ไหลผ่านด้านเหนือและตะวันออก เรียกแม่น้ำหันตราและคลองโพธิ์ ส่วนตอนที่หักมุมมาเป็นคูเมืองด้านใต้เรียก ลำน้ำแม่เบี้ย มาออกปากน้ำเจ้าพระยาที่ปากน้ำแม่เบี้ยตอนใต้วัดพนัญเชิงลงมา ส่วนคูเมืองด้านตะวันตกนั้นขุดขึ้นคือ ลำคูขื่อหน้า<a href="#_ftn9_9168" name="_ftnref9_9168">๙</a>”</h3> <p>แคว้นละโว้ (อโยธยา) เจริญรุ่งเรืองมากในปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ดังปรากฏหลักฐานในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ ที่กล่าวถึงการสร้างพระพุทธไตร-รัตนนายกในปี พ.ศ. ๑๘๖๗ ก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยาถึง ๒๖ ปี<a href="#_ftn10_9168" name="_ftnref10_9168">๑๐</a> พระพุทธรูปองค์นี้มีขนาดใหญ่โตและสวยงามมาก ย่อมเป็นประจักษ์พยานให้เห็นว่าบริเวณนี้ต้องเป็นแหล่งชุมชนขนาดใหญ่ที่มีพลังทางเศรษฐกิจด้วยจึงสามารถสร้างได้ แต่อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ. ๑๘๙๓ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ได้ย้ายมาสร้างเมืองหลวงใหม่ในบริเวณใกล้เคียงแสดงว่าคงจะเกิดอะไรขึ้นในบริเวณเมืองอโยธยา ซึ่งจะต้องค้นคว้ากันต่อไป</p> <h4>สมัยกรุงศรีอยุธยา</h4> <p>สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ได้สถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีใน วันศุกร์ เดือน ๕ ขึ้น ๖ ค่ำ ปี พ.ศ. ๑๘๙๓ พระราชทานนามเมืองใหม่นี้ว่า “กรุงเทพมหานครบวรทวา-รวดีศรีอยุธยามหาดิลกภพนพรัตนราชธานีบุรีรมย์” การที่พระองค์สามารถรวบรวมกำลังไพร่พลตั้งเมืองใหม่โดยปราศจากการสู้รบใดๆ อีก ทั้งยังสามารถยกกองทัพไปตีนครธม เป็นการท้าทายอำนาจของเขมร นอกจากนี้ยังโปรดให้ขุนหลวงพงั่ว พี่มเหสียกกองทัพไปตีอาณาจักรสุโขทัยได้ด้วย ดังนั้นปัญหาที่น่าสนใจก็คือ พระองค์เป็นใครมาจากไหน เพราะเหตุใดจึงได้สร้างอาณาจักรใหม่ได้ โดยที่ผู้นำท้องถิ่นเดิมยอมรับให้พระองค์เป็นผู้นำต่อไป</p> <p>ในพุทธศตวรรษที่ ๑๙ นี้ บริเวณที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน ประกอบด้วยอาณาจักรต่างๆ หลายอาณาจักร คือ ทางตอนเหนือ มีอาณาจักรลานนา ต่ำลงมาก็เป็นอาณาจักรสุโขทัย ส่วนทางภาคใต้ก็เป็นอาณาจักรนครศรีธรรมราช ส่วนตอนกลางของประเทศนั้น มีอาณาจักรที่สำคัญ ๒ อาณา-จักร คือ ทางด้านตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นอาณาจักรสุพรรณภูมิ ส่วนทางด้านตะวันออกเป็นอาณาจักรละโว้ (อโยธยา) หรืออาณาจักรอโยธยา</p> <p>อาณาจักรสุพรรณภูมิ มีบ้านเรือนกระจายอยู่ตามลุ่มแม่น้ำท่าจีน แม่กลอง และเพชรบุรี มีเมืองสำคัญ คือ เมืองสุพรรณบุรี เมืองแพรกศรีราชา (ในจังหวัดชัยนาท) เมืองราชบุรี เพชรบุรี สิงห์บุรี ตามหลักฐานจากศิลาจารึกหลักที่ ๑ กลุ่มเมืองในอาณาจักรสุพรรณภูมินี้เคยอยู่ใต้อำนาจของพ่อขุน-รามคำแหง แต่เนื่องจากกลุ่มนี้มีประชากรอยู่อย่างหนาแน่น และคงมีอำนาจทางทะเลด้วยจึงอยู่ใต้อิทธิ-พลของอาณาจักรสุโขทัยไม่นาน อย่างนานที่สุดก็คงภายหลังจากพ่อขุนรามคำแหงสวรรคต อาณาจักรสุพรรณภูมิคงพยายามสลัดอำนาจของสุโขทัย และสร้างความเป็นใหญ่ให้กับตน โดยการไปเป็น พันธมิตรกับอาณาจักรละโว้ (อโยธยา)</p> <p>อาณาจักรละโว้ (อโยธยา) เป็นอาณาจักรเก่าแก่ เคยเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมทวารวดี และขอม อาณาจักรนี้มิได้อยู่ใต้อิทธิพลของอาณาจักรสุโขทัย เพราะมิได้ปรากฏชื่อเมืองทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง แต่ก็คงเป็นเครือญาติกับทางสุโขทัย<a href="#_ftn11_9168" name="_ftnref11_9168">๑๑</a> เมืองที่สำคัญของอาณาจักรละโว้ ก็คือ เมืองละโว้ เมืองอโยธยา</p> <p>สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ผู้สถาปนากรุงศรีอยุธยานั้น พระองค์จะต้องมีความสัมพันธ์กับศูนย์อำนาจที่สำคัญในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา คือ อาณาจักรสุพรรณภูมิ และอาณาจักรละโว้ (อโยธยา) เป็นแน่ เพราะจะเห็นได้จากการที่ เมื่อพระองค์ได้สถาปนากรุงศรีอยุธยาแล้ว พระองค์ได้โปรดให้พระราเมศวร พระราชโอรสไปปกครองเมืองละโว้ (ลพบุรี) และให้ขุนหลวงพงั่ว พี่มเหสีไป ปกครองเมืองสุพรรณบุรี ถ้าพระองค์มิได้มีความเกี่ยวข้องกับอาณาจักรทั้งสองแล้ว ผู้นำเดิมคงไม่ยินยอมแน่ๆ ดังนั้นพระองค์คงจะเป็นราชโอรสของอาณาจักรละโว้ (อโยธยา) ได้อภิเษกกับเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรสุพรรณภูมิ ได้เสด็จมาครองเมืองเพชร<a href="#_ftn12_9168" name="_ftnref12_9168">๑๒</a> ในฐานะเมืองลูกหลวง ก่อนมาสร้างกรุงศรีอยุธยา เมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้วพระองค์ได้เสวยราชสมบัติในแคว้นละโว้ หลังจากนั้นได้เสด็จมาประทับ อยู่แถบในเมืองอโยธยา<a href="#_ftn13_9168" name="_ftnref13_9168">๑๓</a> ระยะหนึ่ง แล้วก็สถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ของราช-อาณาจักร<a href="#_ftn14_9168" name="_ftnref14_9168">๑๔</a></p> <p>สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ทรงทำให้กรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางอันศักดิ์สิทธิ์ของราชอาณาจักรใหม่ พระองค์ทรงรับเอาความเชื่อเรื่องพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทวราชาจากเขมร โดยสถาปนาพระนามของกษัตริย์ตามแบบเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ ทรงประกอบพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์-สัตยาตามแบบเขมร แต่อย่างไรก็ตามภายหลังจากรัลกาลของพระองค์แล้ว ก็เกิดการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างราชวงศ์สุพรรณภูมิและราชวงศ์อู่ทอง แต่การแย่งชิงเป็นการเข้ามามีอำนาจในกรุงศรีอยุธยา มิใช่เพื่อแยกตัวออกไปจากอาณาจักร</p> <p>กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีของไทยนานถึง ๔๑๗ ปี ซึ่งเป็นเมืองหลวงที่มีอายุนานที่สุดในปัจจุบัน (พ.ศ. ๒๕๒๕) ทั้งนี้เป็นเพราะกรุงศรีอยุธยาตั้งอยู่ในชัยภูมิที่ดีทั้งทางด้านยุทธศาสตร์ ด้านเศรษฐกิจ และการเมือง ทางด้านยุทธศาสตร์ กรุงศรีอยุธยามีลักษณะเป็นเกาะมีแม่น้ำล้อมรอบ ทางด้านเหนือคือแม่น้ำลพบุรีเก่า ทางด้านตะวันตกและด้านใต้คือแม่น้ำเจ้าพระยาและทางด้านตะวันออกคือแม่น้ำป่าสัก ลักษณะเช่นนี้เป็นเกราะป้องกันศัตรูได้ดี ส่วนรอบนอกเกาะเมืองมีลักษณะเป็นที่ ราบลุ่ม น้ำท่วมในฤดูน้ำหลากซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการตั้งทัพของศัตรู ทางด้านเศรษฐกิจ กรุงศรีอยุธยาตั้งอยู่บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ อันเกิดจากการทับถมของตะกอน ทำให้บริเวณนี้เหมาะแก่การเพาะปลูก นอกจากนี้ที่ตั้งของกรุงศรีอยุธยายังเป็นที่รวมของแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก และ แม่น้ำลพบุรี ซึ่งเป็นผลให้ชาวอยุธยาสามารถติดต่อค้าขายกับหัวเมืองในภาคกลาง และภาคเหนือได้สะดวก อีกทั้งยังอยู่ใกล้อ่าวไทย จึงทำให้กรุงศรีอยุธยากลายเป็นเมืองที่ควบคุมการค้าต่างประเทศ เพราะกรุงศรีอยุธยาเป็นที่รวมของสินค้าของป่าจากเมืองต่างๆ จากการที่อยู่ใกล้อ่าวไทยยังทำให้กรุง-ศรีอยุธยาสามารถควบคุมการติดต่อระหว่างหัวเมืองภายในทวีปกับต่างประเทศด้วย</p> <p>ถึงแม้ว่าที่ตั้งของกรุงศรีอยุธยาจะดีเพียงใดก็ตาม ตลอดระยะเวลาสี่ร้อยกว่าปีกรุงศรี-อยุธยาต้องเผชิญกับการทำสงครามหลายครั้ง สงครามที่ประชิดกรุงครั้งสำคัญที่สุดในปี พ.ศ. ๒๑๑๒ ในรัชกาลสมเด็จพระมหินทราธิราช เป็นผลให้กรุงศรีอยุธยาต้องตกเป็นเมืองขึ้นของพม่านานถึง ๑๕ ปี จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๑๒๗ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจึงสามารถประกาศอิสรภาพได้และมีกษัตริย์สืบต่อกันมาอีก ๑๘๓ ปี จนถึงรัชกาลสมเด็จพระเอกทัศน์ กรุงศรีอยุธยาต้องตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า อีกครั้งในวันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๓๑๐ ซึ่งเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่กรุงศรีอยุธยาไม่สามารถธำรงความเป็นเอกราชอีกต่อไป</p> <p><b>พระมหากษัตริย์สมัยกรุงศรีอยุธยา</b><b></b></p> <p>เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ สถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีแล้ว มีกษัตริย์สืบต่อกันมา ๓๓ พระองค์ พระมหากษัตริย์ได้ประกอบพระราชกรณียกิจต่างๆ กัน ทั้งทางด้านการป้องกันประเทศให้พ้นภัยจากอริราชศัตรู การปกครองบ้านเมือง การรักษาไว้ซึ่งความยุติธรรมและความสงบสุขในสังคม การทำนุบำรุงศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปกรรมต่างๆ จนกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติไทย เป็นมรดกตกทอดมายังอนุชนในรุ่นปัจจุบัน อาทิ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ทรงพระปรีชาสามารถมองการณ์ไกลในการเลือกทำเลที่ตั้งเมืองหลวง และสามารถสร้างความเชื่อเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ให้มั่นคง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงเป็นกษัตริย์นักปกครองที่วางรากฐานรูปแบบการปกครองอาณาจักรให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง ใช้ติดต่อกันมาถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า-อยู่หัว สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเป็นกษัตริย์นักรบที่หาผู้ใดเทียบได้ยาก ทรงกล้าหาญในการประกาศอิสรภาพและยังนำกองทัพไปรบถึงดินแดนพม่า เป็นต้น</p> <p>พระมหากษัตริย์ทั้ง ๓๓ พระองค์นี้ ทรงปกครองอาณาจักรสืบต่อกันมา ๔๑๗ ปี คิดเฉลี่ยแล้วแต่ละพระองค์ปกครองประมาณ ๑๒ - ๑๓ ปี แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า กษัตริย์ที่ปกครองต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยมี ๑๖ พระองค์ ในจำนวนนี้ที่ปกครองระยะสั้นที่สุด คือ สมเด็จเจ้าฟ้าไชย ปกครองเพียง ๓ - ๔ วัน เท่านั้นก็ถูกยึดอำนาจ และมีพระมหากษัตริย์ที่ปกครองไม่ครบ ๑ ปี ถึง ๖ พระองค์ พระมหากษัตริย์ที่ถูกยึดอำนาจเหล่านี้สืบเนื่องจากขึ้นครองราชย์ในขณะทรงพระเยาว์บางพระองค์ไม่มีฐานอำนาจที่มั่นคงพอ ไม่มีความสามารถพอในการรบจึงไม่เป็นที่นับถือศรัทธาของเหล่าขุนนาง ส่วนพระมหากษัตริย์ที่ ปกครองนานเกินเกณฑ์เฉลี่ยมี ๑๗ พระองค์ ในจำนวนนี้ที่ปกครองนานเกิน ๒๕ ปี ซึ่งสามารถทำให้พระมหากษัตริย์มีฐานอำนาจที่มั่นคงสามารถประกอบกรณียกิจต่างๆ ในการทำนุบำรุงราชอาณาจักร มีเพียง ๕ พระองค์ คือ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ และสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง</p> <p><b>สมัยกรุงธนบุรี</b><b></b></p> <p>เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ แล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ประกาศอิสรภาพและขับไล่พม่าออกไปจากแผ่นดินไทย ทรงย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่กรุงธนบุรี แล้วโปรดให้กวาดต้อนชาวอยุธยาไปเป็นกำลังสำคัญที่กรุงธนบุรี<a href="#_ftn15_9168" name="_ftnref15_9168">๑๕</a> กรุงศรีอยุธยาที่เคยรุ่งเรืองบัดนี้ถูกปล่อยให้รกร้าง แต่อย่างไรก็ตามในระยะต่อมาสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็โปรดให้มีการประมูลค้นหาทรัพย์สมบัติที่ชาวอยุธยาฝังไว้ก่อนกรุงแตก เป็นผลให้ชาวอยุธยาได้หนีออกจากป่ามาตั้งบ้านเรือนรอบๆ เกาะเมือง ในขณะเดียวกันก็ทำให้โบราณสถานถูกรื้อทำลาย</p> <p><b></b></p> <p><b>สมัยรัตนโกสินทร์</b><b></b></p> <p>เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกขึ้นครองราชย์ใน พ.ศ. ๒๓๒๕ แล้ว ได้โปรดให้รื้ออิฐจากกำแพงเมือง เชิงเทินป้อมปราการต่างๆ ที่กรุงเก่าไปสร้างพระราชวังใหม่เพราะขณะนั้นทรงรีบเร่งในการสร้างเมืองใหม่ จึงไม่สามารถเผาอิฐได้ทันใช้งาน ประกอบกับเพื่อเป็นการทำลายป้อมปราการเมืองเก่าไม่ให้เป็นประโยชน์แก่ข้าศึกที่ยกมาตีกรุงเทพฯ การรื้ออิฐในครั้งนั้นจึงเป็นการทำลายซากกำแพงเมือง ป้อมปราการต่างๆ ประกอบกับการที่ประชาชนอพยพไปสู่เมืองหลวงใหม่ จึงทำให้กรุงศรีอยุธยาถูกทอดทิ้งแต่อย่างไรก็ตามคนไทยในยุคนั้น ยังมีความรู้สึกเสียดายความรุ่งเรืองของกรุงศรีอยุธยา ดังจะเห็นได้จากบทพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท สมเด็จพระอนุชาธิราชในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ที่กล่าวไว้ว่า “…<i>อันถนนหนทางมรรคา คิดมาก็เสียดายทุกสิ่งอัน ร้านเรียบเปนรเบียบด้วยรุกขา ขายของนานาทุกสิ่งสรรพ์ ทั้งพิธีปีเดือนคืนวัน สารพันจะมีอยู่อัตรา รดูใดก็ได้เล่นกระเษมสุข แสนสนุกทั่วเมืองหรรษา ตั้งแต่นี้แลหนา อกอา อยุธยา จะสาบสูญไป จะหาไหนได้เหมือนกรุงแล้ว ดังดวงแก้วอันสิ้นแสงใส นับวันแต่จะยับนับไป ที่ไหนจะคืนคงมา</i>…”<a href="#_ftn16_9168" name="_ftnref16_9168">๑๖</a></p> <p>เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสร้าง “กรุงเทพพระมหานครอมรรัตนโกสินทร์” เป็นเมืองหลวง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระนครศรีอยุธยาก็เป็นเพียงเมืองจัตวาเมืองหนึ่งขึ้นกับกรุงเทพฯ และในเวลาต่อมาเรียกกันว่า “เมืองกรุงเก่า”</p> <p>ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้รื้อศิลาแลงตามวัดร้างไปสร้างพระอารามใหม่ที่กรุงเทพฯ พระนครศรีอยุธยาจึงถูกทำลายอีกครั้ง</p> <p>ดังนั้นสภาพเกาะเมืองที่เคยเต็มไปด้วยปราสาทราชวัง วัดวาอาราม บ้านเรือนประชาชน จึงถูกทอดทิ้งให้เป็นป่ารกร้าง ดังที่บาทหลวงปาลเลกัวซ์ ได้บันทึกการเดินทางผ่านอยุธยาในสมัย รัชกาลที่ ๓ โดยสรุปว่า เมื่อไปถึงอยุธยาจะเห็นเจดีย์สีคร่ำคร่าไปตามกาลเวลาชูยอดแหลม ต้นไม้อายุด้วยร้อยๆ ปี แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมโบราณสถาน เมื่อใกล้อยุธยาแม่น้ำแบ่งเป็นสายๆ เป็นคลองหลายคลอง ตัวนครจึงเป็นเกาะคล้ายถุงเงินจีน โบราณสถานที่น่าอัศจรรย์ก็คือ พระบรมมหาราชวังและวัดหลวง โบราณสถานต่างๆ ถูกต้นไม้ปกคลุมหมดจนกลายเป็นที่อยู่ของนกเค้าแมว แร้ง เป็นที่ฝังมหาสมบัติเมื่อคราวอยุธยาแตก มีการขุดค้นอยู่เนืองๆ <a href="#_ftn17_9168" name="_ftnref17_9168">๑๗</a></p> <p>ตัวเมืองกรุงเก่าในขณะนั้นตั้งอยู่โดยรอบเกาะเมือง มีพลเมืองทั้งคนไทย จีน ลาว มลายู ประมาณ ๔๐,๐๐๐ คน<a href="#_ftn18_9168" name="_ftnref18_9168">๑๘</a> พลเมืองเหล่านี้ตั้งบ้านเรือนอยู่ทั้งสองฝั่งแม่น้ำรอบเกาะเมืองเพื่อสะดวกในการดำรงชีวิตทั้งการอุปโภคและบริโภค การคมนาคม การเกษตรกรรม ตลอดจนกระทั่งการระบายสิ่งโสโครก ส่วนทางด้านชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน วัดยังคงเป็นศูนย์กลางชุมนุมกันทางสังคม ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและประเพณีที่สำคัญ เป็นศูนย์กลางการศึกษา วัดที่สำคัญในระยะแรก เช่น วัดพนัญเชิง วัดสุวรรณดาราราม<a href="#_ftn19_9168" name="_ftnref19_9168">๑๙</a> วัดกษัตราธิราช วัดเชิงท่า วัดแม่นางปลื้ม<a href="#_ftn20_9168" name="_ftnref20_9168">๒๐</a> และวัดรอบนอกเกาะเมืองที่ไม่ถูกพม่าทำลาย</p> <p>ถึงแม้ว่ากรุงศรีอยุธยาจะเป็นกรุงเก่าไปแล้ว แต่ชาวเมืองหลวงตลอดจนพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ในพระบรมราชวงศ์จักรียังรำลึกถึงกรุงเก่าอยู่เสมอ ในทุกๆ ปี พระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์จะเสด็จมาทอดกฐิน นอกจากนี้จากจดหมายเหตุปรากฏว่าราชกาลที่ ๔ โปรดให้เกณฑ์ไพร่ไปขุดดินเหนียวที่บางขวดเพื่อนำไปปั้นรูปเทวดา พระอินทร์ ครุฑ ในงานบำเพ็ญพระราชกุศล งานพระศพ เป็นต้น</p> <p>กรุงเก่าได้รับความสนใจในการบูรณะ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยโปรดให้บูรณะพระราชวังใหม่ พระราชทานนามว่า วังจันทรเกษม เพื่อเป็นที่ประทับเวลาแปร พระราชฐานเสด็จประพาสกรุงเก่า<a href="#_ftn21_9168" name="_ftnref21_9168">๒๑</a></p> <p>กรุงเก่าในสมัยเป็นมณฑล กรุงเก่าได้กลายเป็นเมืองสำคัญอีกครั้งหนึ่งในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงจัดการปกครองหัวเมืองแบบมณฑลเทศาภิบาล ในปี พ.ศ. ๒๔๓๘ พระองค์ทรงจัดตั้ง “มณฑลกรุงเก่า” โดยรวมหัวเมือง ๘ เมือง เข้าด้วยกัน อันมีเมืองกรุงเก่า เมืองอ่างทอง เมืองสระบุรี เมืองลพบุรี เมืองพระพุทธบาท เมืองพรหมบุรี เมืองอินทบุรี และเมืองสิงห์บุรี <a href="#_ftn22_9168" name="_ftnref22_9168">๒๒</a> โดยตังสถานที่ทำการของมณฑลกรุงเก่าที่เมืองกรุงเก่า ในระยะเวลานี้ได้มีการบูรณะหลายด้านจนเป็นผลให้มีประชาชนอาศัยหนาแน่นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง</p> <p>รัชกาลที่ ๕ โปรดให้บูรณะพระราชวังจันทรเกษมเป็นสถานที่ราชการ โดยจัดให้พระที่นั่งพิมานรัถยา เป็นศาลาว่าการข้าหลวงเทศาภิบาล พลับพลาจตุรมุข เป็นศาลาว่าการเมือง ตึกใหญ่มุมกำแพงด้านเหนือ เป็นศาลาว่าการอำเภอรอบกรุง ทรงซ่อมโรงช้างให้เป็นที่คุมขังนักโทษ โรงละครหน้าพลับพลาจตุรมุขเป็นที่ทำการศาลมณฑล ส่วนตึกหน้าพระที่นั่งพิมานรัถยาเป็นศาลเมืองและคลังเก็บราชพัสดุ<a href="#_ftn23_9168" name="_ftnref23_9168">๒๓</a> นอกจากนี้ในรัชกาลต่อๆ มายังได้ตั้งหอทะเบียน ไปรษณีย์ สถานีตำรวจภูธร ในบริเวณด้านใต้ถัดจากพระราชวังจันทรเกษมลงมา</p> <p>ชีวิตชาวกรุงเก่าในสมัยพระพุทธเจ้าหลวง ได้อาศัยตั้งบ้านเรือนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำตามเรือนแพ หรือมิฉะนั้นก็อยู่ในเรือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่เรียกว่า “หัวรอ” เป็นบริเวณที่แม่น้ำป่าสักและแม่น้ำลพบุรีมาประสบกัน บริเวณหัวรอเป็นเสมือนหัวใจของชาวกรุงเก่า เป็นทั้งที่อยู่อาศัย ชุมทางการค้าขาย สถานที่ราชการ และวัดหลายวัด เป็นต้น นอกจากนี้กรุงเก่ายังอาศัยอยู่บริเวณวัดพนัญเชิงด้วย</p> <p>ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นจังหวัด ดังนั้น ในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๙ เมืองกรุงเก่า จึงเปลี่ยนเป็น “จังหวัดกรุงเก่า” ซึ่งใช้เรียกเช่นนี้เรื่อยมาจนกระทั่งในรัชกาลที่ ๗ จึงเปลี่ยนชื่อมณฑลกรุงเก่าเป็น “มณฑลอยุธยา” เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ และเปลี่ยนชื่อจังหวัดกรุงเก่าเป็น “จังหวัดพระนครศรีอยุธยา” ส่วนชื่อกรุงเก่า คงเป็นชื่อเรียกอำเภอว่า อำเภอกรุงเก่า จนกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เมื่อมีการบูรณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเพื่อเตรียมต้อนรับอูนุ นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งสหภาพพม่า จึงได้มีการเปลี่ยนชื่ออำเภอกรุงเก่า เป็นอำเภอพระนครศรีอยุธยา ซึ่งใช้เรียกกันมาจนทุกวันนี้</p> <p>ดังนั้นจะเห็นได้ว่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นจังหวัดที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันยาวนาน เป็นทั้งที่ตั้งของเมืองหลวงของแคว้นอโยธยา เป็นที่ตั้งเมืองหลวงของราชอาณาจักรกรุง- ศรีอยุธยาถึง ๔๑๗ ปี หลังจากนั้นแม้ว่ากรุงจะแตก เมืองหลวงจะย้ายไปอยู่ที่อื่น กรุงศรีอยุธยาจะกลายเป็นกรุงเก่า และเป็นจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในปัจจุบันก็ตาม แต่ก็ยังคงมีความสำคัญอยู่ในความทรงจำของคนไทยตลอดกาล</p> <h5>การจัดรูปการปกครองในสมัยรัชการที่ ๕</h5> <p><b>๑</b><b>. </b><b>มูลเหตุของการปฏิรูปการปกครองส่วนภูมิภาค</b><b> </b></p> <p>การเปลี่ยนแปลงการปกครองในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นับว่าเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินการปฏิรูปการปกครองให้เป็นสมัยใหม่อย่างอารยประเทศทางตะวันตก ทั้งนี้ เนื่องจากทรงเล็งเห็นว่าระบบการปกครองของไทยในขณะนั้นขาดบูรณาการแห่งชาติ ไม่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นอกจากนี้ นโยบาย “ขอให้อยู่รอด” ที่ไทยใช้มาตลอดตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเพียงประการเดียว ไม่สามารถนำมาใช้ได้กับสภาพการเมืองการปกครองได้อีกต่อไป ในท่ามกลางภัยอันคุกคามของประเทศมหาอำนาจทางตะวันตก และในสภาวการณ์ขณะนั้นต้องการระบอบการปกครองที่มีประสิทธิภาพในการที่จะควบคุมหัวเมืองที่อยู่ห่างไกลให้ได้ผลอย่างแท้จริง โดยรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง</p> <p>ความยากลำบากในการคมนาคมก็เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญในการถ่วงรั้งมิให้พระมหา-กษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจในการปกครองทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคอย่างแท้จริง ดังนั้น ลักษณะการเมืองการปกครองจึงเป็นการแบ่งสรรอำนาจกันระหว่างเจ้ากับขุนนาง ในปี พ.ศ. ๒๔๓๕ สภาพการเมืองการปกครองแบบดั้งเดิมได้มาสะดุดหยุดลงเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงดำเนินการปฏิรูปการปกครองเสียใหม่ โดยได้ทรงดำเนินงานเป็นลำดับขั้น ดังนี้</p> <p>๑. ทรงศึกษาแบบแผนการจัดรูปการปกครองแบบประเทศตะวันตก</p> <p>๒. ดำเนินการจัดตั้งกระทรวง</p> <p>๓. จัดตั้งผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยคนแรก</p> <p>พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเห็นว่า เสนาบดีเจ้ากระทรวงแบบเก่าไม่มีความเหมาะสมกับลักษณะงานในขณะนั้น ก็ได้ทรงประกาศจัดตั้งกระทรวงขึ้น ๑๒ กระทรวงในปี พ.ศ. ๒๔๓๕ และให้มีเสนาบดีทั้ง ๑๒ กระทรวง และแต่ละกระทรวงก็มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบ ซึ่งสรุปได้ดังนี้ คือ</p> <p>๑. กระทรวงมหาดไทย บังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือและเมืองลาวประเทศราช</p> <p>๒. กระทรวงกลาโหม บังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายใต้ ฝ่ายตะวันตก ฝ่ายตะวันออก และเมืองมลายูและประเทศราช</p> <p>๓. กระทรวงต่างประเทศ ว่าการเฉพาะต่างประเทศอย่างเดียว</p> <p>๔. กระทรวงวัง ว่าการในพระราชวังและกรม ซึ่งใกล้เคียงกับราชการในพระองค์ของพระ-บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว</p> <p>๕. กระทรวงเมือง (ภายหลังเรียกว่ากระทรวงนครบาล) ว่าการโปลิศ และการบัญชีคน คือกรมพระสุรัสวดี และรักษาคนโทษ ต่อมาจึงให้เป็นกระทรวงบังคับบัญชาภายในเขตกรุงเทพมหานคร</p> <p>๖. กระทรวงเกษตราธิการ ว่าการเพาะปลูก การค้าขาย การป่าไม้ และการบ่อแร่</p> <p>๗. กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ว่าการบรรดาภาษีอากรและเงินที่จะรับและจ่ายในแผ่น- ดิน</p> <p>๘. กระทรวงยุติธรรม บังคับศาลที่จะชำระความร่วมกันทั้งแพ่ง อาญา และอุทธรณ์ทั้งแผ่นดิน</p> <p>๙. กรมยุทธนาธิการ เป็นพนักงานสำหรับที่จะได้ตรวจตราจัดการในกรมทหารบก ทหาร- เรือ ซึ่งจะมีผู้บัญชาการทหารบก ทหารเรือ ต่างหากอีกตำแหน่งหนึ่ง</p> <p>๑๐. กระทรวงธรรมการ เป็นพนักงานที่จะบังคับเกี่ยวกับพระสงฆ์ ผู้บังคับการโรงเรียนและโรงพยาบาลทั่วทั้งราชอาณาเขต</p> <p>๑๑. กระทรวงโยธาธิการ เป็นพนักงานที่จะตรวจตราการก่อสร้าง ทำถนน ขุดคลอง และการช่างทั่วไป ทั้งการไปรษณีย์โทรเลข และรถไฟ</p> <p>๑๒. กระทรวงมุรธาธิการ เป็นพนักงานที่จะรักษาพระราชลัญจกร รักษาพระราชกำหนดกฎหมายและหนังสือราชการทั้งปวง</p> <p>ในปี พ.ศ. ๒๔๓๗ ได้ประกาศให้กระทรวงมหาดไทยมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบบังคับบัญชาและปกครองหัวเมืองทั้งหมดในประเทศ (ซึ่งแต่เดิมกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงกลาโหมมีหน้าที่ในการบังคับบัญชาและปกครองหัวเมืองเหมือนกัน) ส่วนกระทรวงกลาโหมมีหน้าที่ในการรักษาความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร</p> <p>โดยที่กิจการด้านการปกครองเป็นปัจจัยสำคัญของการปฏิรูปการปกครองในครั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยจึงเป็นกระทรวงที่มีความสำคัญที่สุดมากกว่ากระทรวงอื่นๆ</p> <p>สำหรับแนวความคิดในการดำเนินการปฏิรูปการปกครองได้คำนึงถึงว่า หากการปก-ครองได้มีการวางระเบียบแบบแผนอันดีแล้ว ก็จะเป็นช่องทางให้การบริหารงานในด้านอื่นๆ ของรัฐดำเนินการไปได้อย่างมีประสิทธิภาพสมความมุ่งหมายของการปฏิรูปการปกครอง จึงได้มีความรอบคอบเป็นพิเศษนับตั้งแต่การเริ่มงานเป็นต้นมา</p> <p>ในการจัดหาผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยคนแรก พระบาทสมเด็จ-พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเห็นว่า สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นผู้ที่มีความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ทั้งนี้เนื่องจากเสด็จในกรมเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ ได้เคยปฏิบัติงานด้านการศึกษาได้ผลดีและเคยได้ดูงานแบบใหม่จากยุโรป</p> <p><b>นโยบายของกระทรวงมหาดไทย</b><b></b></p> <p><b></b>การกำหนดนโยบายของกระทรวงมหาดไทย อันถือเป็นจุดหมายปลายทางในการปฏิรูปการปกครองหัวเมืองตามที่บรรยายไว้ในหนังสือเทศาภิบาลพอสรุปได้ดังนี้</p> <p>๑. เปลี่ยนลักษณะการปกครองประเทศแบบราชาธิราช (Empire) เป็นอย่างพระราชอาณาเขต (Kingdom) ประเทศไทยรวมกัน เลิกประเพณีที่มีเมืองประเทศราช</p> <p>๒. จะรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองซึ่งเคยแยกกันอยู่ ๓ กรม คือ มหาดไทย กลาโหม และกรมท่าให้มารวมกันอยู่ในกระทรวงมหาดไทยแต่กระทรวงเดียว</p> <p>๓. จะรวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลตามสมควรแก่ภูมิลำเนาให้สะดวกแก่การปกครองและมีสมุหเทศาภิบาลบังคับทุกมณฑล</p> <p>๔. การเปลี่ยนแปลงตามนโยบายนี้จะค่อยๆ จัดเป็นชั้นๆ มิให้เกิดความยุ่งเหยิงในการเปลี่ยนแปลง</p> <p>นโยบายของกระทรวงมหาดไทย จะเห็นได้ว่ามีความประสงค์ที่จะยุบประเทศราชและให้รวมมาเป็นหัวเมืองราชอาณาจักร ก็เพื่อต้องการเสริมสร้างความเป็นเอกภาพของชาติให้มั่นคงโดยมีความมุ่งหมายที่จะขจัดการแตกแยกของชนชาติต่างๆ ภายในพระราชอาณาจักรให้หมดสิ้นไปและมีความประสงค์ที่จะรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองมาไว้ที่กระทรวงมหาดไทยแต่กระทรวงเดียว</p> <p>นอกจากต้องการจะจัดระเบียบการปกครองประเทศให้เป็นระบบรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลางอันเป็นการสร้างความมั่นคงให้เกิดเอกภาพของชาติตามประการแรกแล้ว ยังมุ่งที่จะจัดสรรราช-การให้มีเอกภาพในการบังคับบัญชาอีกด้วย เพื่อให้กิจการทั้งปวงในด้านการปกครองเป็นไปอย่างมีระเบียบแบบแผนและมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งเป็นการขจัดความสิ้นเปลืองและความล่าช้าในการปฏิบัติงาน พร้อมทั้งแก้ข้อขัดแย้งในการจัดการปกครองแต่เดิมด้วย ในการจัดรูปการปกครองแบบรวมอำนาจ จำเป็นต้องใช้รูปการปกครองส่วนภูมิภาค พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเลือกระบบการเทศาภิบาล ซึ่งเป็นแบบแผนของการปกครองที่อังกฤษกำลังใช้ในประเทศพม่าและมลายูในขณะนั้น เพื่อที่จะได้เป็นเครื่องมืออันมีประสิทธิภาพในการควบคุมหัวเมืองต่างๆ ให้ได้ผล</p> <p>ดังนั้น แนวความคิดในการปฏิรูปการปกครองส่วนภูมิภาคเพื่อที่จะสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประเทศ และเพื่อที่จะให้เป็นปัจจัยสำคัญในการขยายราชการบริหารไปยังส่วน ภูมิภาคนั้นได้นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ ดังนี้ คือ</p> <p>๑. ระบบการปกครองแบบจตุสดมภ์ ซึ่งใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้สิ้นสุดลง</p> <p>๒. เกิดการแบ่งแยกความรับผิดชอบระหว่างกรมต่อกรมอย่างชัดเจน</p> <p>๓. สร้างเอกภาพทางการปกครองของประเทศชาติให้เกิดขึ้น</p> <h5>๒. การจัดรูปการปกครองหัวเมืองก่อนการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาล</h5> <p><b></b>การจัดรูปการปกครองสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นก่อนการปฏิรูปการปกครองได้แบ่งรูปการปกครองเป็นการบริหารราชการส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค</p> <p><b>๒</b><b>.</b><b>๑</b> <b>การบริหารราชการส่วนกลาง</b><b></b></p> <p>ได้จัดรูปการปกครองแบบ “จตุสดมภ์” มีอัครมหาเสนาบดี สมุหกลาโหม สมุหนายก และจตุสดมภ์ทั้งสี่ ได้แก่ กรมเวียง กรมวัง กรมคลัง กรมนา</p> <h6><a href="http://lh6.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkPqftnebI/AAAAAAAAAO8/CnxxdAEuZiI/s1600-h/clip_image0013.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image001" border="0" alt="clip_image001" src="http://lh4.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkPuOQSziI/AAAAAAAAAPA/AWcXxH851lo/clip_image001_thumb.gif?imgmax=800" width="2" height="40" /></a><b>รูปแบบการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง</b><b></b></h6> <p>อัครมหาเสนาบดี <table cellspacing="0" cellpadding="0"><tbody> <tr> <td width="167"></td> </tr> <tr> <td></td> <td><a href="http://lh3.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkPwiGzrII/AAAAAAAAAPE/WW2tKKNbn78/s1600-h/clip_image0023.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image002" border="0" alt="clip_image002" src="http://lh3.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkPy1rOJpI/AAAAAAAAAPI/bvaUB0hEjq0/clip_image002_thumb.gif?imgmax=800" width="240" height="71" /></a></td> </tr> </tbody></table> </p> <h6>สมุหนายก สมุหกลาโหม</h6> <p><a href="http://lh5.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkP0gC5oeI/AAAAAAAAAPM/PuoSayj2m0I/s1600-h/clip_image0033.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image003" border="0" alt="clip_image003" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhebLkKCR6zs2XN9RQAiWxrmmduu69Qjdpe_IPrM9iyOAzWq_AAAqVRlHQKK2ouf99N47QUtiOjkb5FM-ewUI2fGIZsfElkdfkAIrx9s0MXzHd7yDeutjFfCRUbmQ-orPvG82QSw21NUww/?imgmax=800" width="2" height="22" /></a>เสนาบดีจตุสดมภ์ <table cellspacing="0" cellpadding="0"><tbody> <tr> <td width="109"></td> </tr> <tr> <td></td> <td><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgU1rdQc5KtjDq5HRTJM3r0bmMY7szo3sqCNwCF7HiCwxfVDJjM2qa0Fuk0FaH8YTd2zJiI_rE3k0ocCDEfA27SzcDHFoOHMYfs_nBAD1dNQN5Q-EuS2l1_jmLnVqWewAot1uE6L2uwqGE/s1600-h/clip_image0043.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image004" border="0" alt="clip_image004" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjluukmK14IiHFgdc5MS8PzYVIfxdoq5cdeJV2VJDM2g5f9QiOIWyANHbzbTM3EgguDFS1lm_RTEKUsBqtRyczpSwbu8wxb6L1no1t5HEC3m1CwRDhTpKTXuPpzTmcZgP6sxD3yuzv21U8/?imgmax=800" width="240" height="13" /></a></td> </tr> </tbody></table> </p> <p>เสนาบดีกรมเมือง เสนาบดีกรมวัง เสนาบดีกรมคลัง เสนาบดีกรมนา</p> <p><b></b></p> <p>แม้ว่าจะได้มีการวางระเบียบแบบแผนในการปกครองไว้ แต่ในทางปฏิบัติงานของฝ่ายต่างๆ ยังคาบเกี่ยวและซ้ำซ้อนกันอยู่ เช่น สมุหนายก นาอจากจะรับผิดชอบหัวเมืองทางภาคเหนือของประเทศแล้วยังรับผิดชอบในการเก็บภาษีอีกด้วย ส่วนสมุหกลาโหมก็เช่นกัน นอกจากจะรับผิดชอบหัวเมืองทางใต้ก็มีหน้าที่เก็บภาษีไปด้วย และกรมท่าซึ่งควรรับผิดชอบเฉพาะการคลังกลับต้องควบคุมหัวเมืองชายทะเลตะวันออก นอกจากนี้การแบ่งงานของกรมต่างๆ ก็มิได้ขึ้นอยู่กับจตุสดมภ์และจตุสดมภ์ก็มิได้อยู่ใต้บังคับบัญชาของอัครมหาเสนาบดี จากลักษณะการปกครองดังกล่าว มีผลทำให้การบริหารงานขาดประสิทธิภาพ ขาดเอกภาพในการปกครอง</p> <p><b>๒</b><b>.</b><b>๒</b> <b>การบริหารราชการส่วนภูมิภาค</b><b> </b></p> <p>แบ่งเป็นหัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอก และเมืองประเทศราช</p> <p><a href="http://lh3.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkP_Ozp2dI/AAAAAAAAAPc/TV-hrohHni0/s1600-h/clip_image0053.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image005" border="0" alt="clip_image005" src="http://lh6.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkQCktej0I/AAAAAAAAAPg/y_yE6I6eBQ4/clip_image005_thumb.gif?imgmax=800" width="2" height="69" /></a><b>รูปแบบการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค</b><b></b> <table cellspacing="0" cellpadding="0"><tbody> <tr> <td width="148"></td> </tr> <tr> <td></td> <td><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjgFbpQPQ46Se4skR4qoklUn_ISt-kewUuLHuLjd0M5pTxVTfzhbNg3jM0WC0Pi9SCGZF1u5neS2D9C1yvsrdwB-rXG7Na6G0w5Dyh8_hzYYz09aj1aJ73snoXYIfluEX1Gwuv-jNwVtLw/s1600-h/clip_image0063.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image006" border="0" alt="clip_image006" src="http://lh5.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkQHGpPT8I/AAAAAAAAAPo/kikwB0PH6tI/clip_image006_thumb.gif?imgmax=800" width="240" height="18" /></a></td> </tr> </tbody></table> </p> <p><a href="http://lh5.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkQJJLHYTI/AAAAAAAAAPs/jtIEjT8wmqM/s1600-h/clip_image0073.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image007" border="0" alt="clip_image007" src="http://lh3.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkQLrnHDqI/AAAAAAAAAPw/7P4Xl3cKerU/clip_image007_thumb.gif?imgmax=800" width="2" height="35" /></a>หัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอก เมืองประเทศราช <table cellspacing="0" cellpadding="0"><tbody> <tr> <td width="148"></td> </tr> <tr> <td></td> <td><a href="http://lh6.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkQN4et3_I/AAAAAAAAAP0/axJbOo_2O30/s1600-h/clip_image0083.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image008" border="0" alt="clip_image008" src="http://lh6.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkQQs6WgUI/AAAAAAAAAP4/32y1U6SmoNk/clip_image008_thumb.gif?imgmax=800" width="240" height="16" /></a></td> </tr> </tbody></table> </p> <p>เมืองเอก เมืองโท เมืองตรี</p> <p>ในการบริหารราชการส่วนภูมิภาค รัฐบาลกลางสามารถควบคุมดูแลได้แต่หัวเมืองชั้นในเท่านั้น หัวเมืองชั้นนอกต้องใช้การปกครองแบบ “กินเมือง” ฝ่ายที่รับผิดชอบในการบังคับบัญชาปก- ครองหัวเมืองโดยตรงได้แก่ ฝ่ายมหาดไทย ฝ่ายกลาโหม และกรมท่า</p> <p><b>๑</b><b>) </b><b>หัวเมืองชั้นในและวังราชธานี</b><b></b></p> <p>ตามกฎหมายในรัชสมัยรัชกาลที่ ๑ ได้กำหนดให้มหาดไทย กลาโหม และกรมท่า มีหน้าที่แต่งตั้งเจ้าเมืองผู้รั้งเมือง ปลัด รองปลัด สัสดี เจ้าหน้าที่ภาษีอากรตามหัวเมืองโดยรัฐบาลกลางมีหน้าที่แต่งตั้งเจ้าเมืองประเทศราช แต่ในทางปฏิบัติแล้ว รัฐบาลกลางปกครองหัวเมืองโดยตรงได้เพียงไม่กี่หัวเมือง ซึ่งได้แก่ รอบๆ พระนครบริเวณที่เรียกว่า “วังราชธานี”</p> <p>หัวเมืองชั้นในและวังราชธานี เป็นเขตการปกครองที่มีความสำคัญมากที่สุดของประเทศซึ่งได้แก่เมืองอันเป็นที่ตั้งราชธานี คือ กรุงเทพฯ และหัวเมืองชั้นในซึ่งตั้งเรียงรายล้อมรอบอยู่โดยตลอด<a href="#_ftn24_9168" name="_ftnref24_9168">๒๔</a></p> <p><b>๒</b><b>) </b><b>หัวเมืองชั้นนอก</b><b> </b></p> <p>ได้แก่หัวเมืองที่อยู่ถัดออกไปจากหัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอกมีฐานะเป็นเมืองเอกบ้าง เมืองโทบ้าง หรือเมืองตรีบ้าง ตามขนาดเล็กใหญ่ และความสำคัญของเมืองนั้นๆ หัวเมืองชั้นนอกมีหน้าที่สำคัญในการควบคุมกำลังทหารและรักษาชายแดนของประเทศ การบังคับบัญชาก่อนที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพจะเสด็จมาทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๕ คำว่า “บังคับบัญชา” นั้น มีความหมายแตกต่างกันไปตามความใกล้ไกลของท้องถิ่น หัวเมืองหรือประเทศราชยิ่งไกลไปจากกรุงเทพฯ เท่าใด ก็ยิ่งมีอิสรภาพมากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากการคมนาคมลำบากมาก หัวเมืองที่รัฐบาลบังคับบัญชาโดยตรงมีแต่หัวเมืองจัตวาใกล้ๆ อยู่บริเวณวังราชธานี<a href="#_ftn25_9168" name="_ftnref25_9168">๒๕</a></p> <p>ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกลางกับหัวเมืองชั้นนอกยิ่งห่างออกไปรัฐบาลก็มิได้มีสิทธิ์ในการแต่งตั้งเจ้าเมือง หากเป็นเพียงการยอมรับอำนาจเจ้าเมืองเหล่านั้น หรือแม้แต่การแต่งตั้งข้าราชการในหัวเมืองก็ต้องแต่งตั้งตามข้อเสนอของเจ้าเมือง ด้วยเหตุนี้ในทางปฏิบัติ เจ้าเมืองเหล่านี้มีอำนาจมาก สามารถปฏิบัติหน้าที่ในเมืองของตนอย่างเป็นอิสระ ด้วยเหตุนี้ ความเป็นเอกภาพของชาติก็ต้องอยู่บนรากฐานอันคลอนแคลน เจ้าเมืองยอมรับอำนาจของส่วนกลางแต่เพียงผิวเผินเท่านั้น และเมื่อมีโอกาสจะตั้งตนเป็นกบฏกับรัฐบาลกลางทันที<a href="#_ftn26_9168" name="_ftnref26_9168">๒๖</a></p> <p>การปกครองหัวเมืองชั้นนอกสมัยนั้นเรียกว่า "กินเมือง" วิธีการปกครองที่เรียกว่ากินเมืองนั้นมีหลักอยู่ว่า ผู้เป็นเจ้าเมืองต้องละทิ้งกิจธุระของตนมาประจำทำการปกครองบ้านเมืองให้ราษฎรหรืออีกนัยหนึ่งประชาชนได้รับการดูแลเกี่ยวกับสวัสดิภาพ ความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์ เมื่อราษฎรอยู่เย็นเป็นสุขปราศจากภัยอันตราย และในขณะเดียวกันราษฎรก็ต้องตอบแทนคุณเจ้าเมืองด้วยการออกแรงช่วยในการทำงานและแบ่งสิ่งของต่างๆ ให้ เช่น ข้าว ปลา อาหาร ให้เป็นกำนัล อันเป็นอุปการะมิให้เจ้าเมืองต้องเป็นห่วงในการหาเลี้ยงชีพ ตำแหน่งนี้เรียกว่า "ผู้กินเมือง" รัฐบาลไม่มีเงินเดือนให้แก่ผู้กินเมือง จึงให้เพียงค่าธรรมเนียมในการต่างๆ ที่ทำในหน้าที่เป็นตัวเงินสำหรับใช้สอย ส่วนกรมการเมืองซึ่งเป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าเมืองก็ได้รับผลประโยชน์ทำนองเดียวกัน หากแต่ลดหลั่นตามศักดิ์</p> <p>แต่เมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไป ผลประโยชน์ที่เจ้าเมืองและกรมการได้รับอย่างแต่ก่อนไม่เพียงพอเลี้ยงชีพ เจ้าเมืองก็ต้องหันมาทำไร่ทำนาค้าขาย และเนื่องจากเจ้าเมืองและกรมการมีอำนาจในการบังคับบัญชา และเคยได้รับอุปการะจากราษฎรมาแล้ว เมื่อมาทำมาหากินก็อาศัยตำแหน่งในราชการเป็นหนทางให้ได้รับผลประโยชน์สะดวกกว่าบุคคลอื่นๆ ดังเช่น การ "ทำนา" ก็ได้อาศัย "บอกแขก" ขอแรงราษฎรมาช่วยหรือในการมาติดต่อการงานต่างๆ ถ้าเจ้าเมืองและกรมการให้ความร่วมมือด้วย ก็ยิ่งทำให้งานสำเร็จลุล่วงด้วย จึงเกิดประเพณีหากินโดยอาศัยตำแหน่งในราชการขึ้น</p> <p>เมื่อการปกครองหัวเมืองเป็นเช่นนี้ก็เหมือนเป็นดาบสองคม กล่าวคือ ถ้าผู้กินเมืองเป็นผู้ทรงคุณธรรมราษฎรก็ได้รับความสุข แต่ถ้าผู้กินเมืองเป็นคนโลภ เห็นแก่ได้ ราษฎรก็ได้รับความทุกข์เดือดร้อน ดังนั้น ในการปกครองระบบกินเมืองจึงมีทั้งข้อดีและข้อเสีย</p> <p>นอกจากนี้ การปกครองหัวเมืองสมัยก่อนยังไม่มีตำรวจภูธรที่เป็นพนักงานสำหรับจับผู้ร้าย การแต่งตั้งกรมการเจ้าเมืองก็คิดหานักเลงโตที่มีพรรคพวกตั้งเป็นกรมการไว้สำหรับปราบโจรผู้ร้าย ซึ่งเรียกว่า "วิธีเลี้ยงขโมยไว้จับขโมย" ซึ่งพลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมขุนมรุพงศ์สิริพัฒน์ ได้ทรงให้เลิกวิธีการดังกล่าวเมื่อได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาล</p> <p><b>๓</b><b>) </b><b>การปกครองหัวเมืองประเทศราช</b><b> </b></p> <p>นับว่ามีความลำบาก เนื่องจากมีความแตกต่างในด้านเชื้อชาติ ภาษา และวัฒน-ธรรม และพวกนี้เคยมีอิสรภาพมาก่อน เช่น เจ้าเมืองเชียงใหม่ ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู เขมร เป็นต้น</p> <p>นอกจากนี้ หากระบบการปกครองที่ไม่มีประสิทธิภาพ ก็ยิ่งเป็นการส่งเสริมให้มีการแบ่งแยกเป็นก๊ก เป็นเหล่ามากยิ่งขึ้น จึงกล่าวได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับหัวเมืองประเทศราชยิ่งหละหลวมกว่าความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับหัวเมืองชั้นนอกและชั้นใน เมื่อรัฐบาลกลางไม่สามารถควบคุมบังคับบัญชาอย่างใกล้ชิดและมีประสิทธิภาพได้ ประชาชนในประเทศเหล่านั้นก็มิได้รู้สึกว่าตนเองอยู่ใต้การปกครองของไทย การปกครองหัวเมืองประเทศราชได้สิ้นสุดลงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๙</p> <h5>๓. การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล</h5> <p>ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นยุคของการปฏิรูปหรือยุคของการทำประเทศให้ทันสมัย ซึ่งมูลเหตุสำคัญของการปฏิรูปในรัชสมัยของพระองค์สืบเนื่องมาจากปัจจัยสำคัญ ๒ ประการ คือ สภาพการเมืองการปกครองในประเทศแบบเดิมที่ล้าสมัย ไม่เหมาะสมต่อสภาว-การณ์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงและการคุกคามของมหาอำนาจตะวันตกในต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ-จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กล่าวคือ อังกฤษได้เข้าประชิดพรมแดนไทยด้านตะวันตกและด้านใต้ ส่วน ฝรั่งเศสเข้าประชิดพรมแดนไทยด้านตะวันออก ปัจจัยดังกล่าวได้เร่งเร้าให้เกิดการปฏิรูปการปกครองครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. ๒๔๓๕ และดำเนินการปกครองหัวเมืองต่างๆ แบบเทศาภิบาล จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๓๗ เพื่อสร้างเอกภาพทางการปกครองและรักษาเอกราชของประเทศให้พ้นจากภัยคุกคามของมหาอำนาจตะวันตก โดยจัดให้มีการวางแผนการปกครองทั่วราชอาณาจักรอย่างสืบเนื่องกันจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่ห้วก็ได้มีการยุบเลิก<a href="#_ftn27_9168" name="_ftnref27_9168">๒๗</a> แต่หลักการปกครองหัวเมืองบางประการก็ยังคงอยู่ ดังนั้น การปกครองมณฑลเทศาภิบาลจึงนับได้ว่ามีความสำคัญต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน</p> <p>การจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลถือได้ว่าเป็นกระบวนการรวมชาติ รวมประเทศ และเป็นกระบวนการรักษาอธิปไตยของไทยในท่ามกลางการคุกคามของมหาอำนาจตะวันตกอย่างชัดเจน</p> <p>หลังจากจัดหน่วยราชการบริหารส่วนกลางโดยมีกระทรวงมหาดไทยในฐานะเป็นส่วนราช-การที่เป็นศูนย์กลางดำเนินการปกครองประเทศและควบคุมหัวเมืองทั่วประเทศแล้ว ก็ได้มีการจัดตั้งหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาค ซึ่งมีสภาพและฐานะเป็นตัวแทนหรือหน่วยงานประจำท้องที่ของกระทรวงมหาดไทย อันได้แก่ การจัดรูปการปกครองระบอบเทศาภิบาล ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรง- ราชานุภาพ ทรงนำมาใช้ในการปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคในสมัยรัชกาลที่ ๕</p> <p><b>๓</b><b>.</b><b>๑</b> <b>ลักษณะการปกครองระบอบเทศาภิบาล</b><b></b></p> <p>การเทศาภิบาลคือการปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการอันประกอบด้วยตำแหน่งข้าราชการต่างพระเนตรกระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ไว้ใจของรัฐบาล รับแบ่งภาระของรัฐบาลกลางซึ่งประจำอยู่แต่เฉพาะในราชธานีนั้น ออกไปดำเนินการในส่วนภูมิภาค อันเป็นที่ใกล้ชิดต่ออาณาประชาราษฎร์ เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่อาณาประชาราษฎร์อย่างทั่วถึงกัน ทั้งนี้โดยให้มีระเบียบแบบแผนที่เป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศด้วย จึงได้แบ่งการปก-ครองให้มีลักษณะเป็นลำดับชั้น กล่าวคือเป็นมณฑล จังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน และแบ่งหน้าที่ราชการเป็นสัดส่วนโดยให้มีลักษณะคล้ายกับกระทรวงในราชธานี อันจะนำมาซึ่งความเป็นระเบียบเรียบร้อย รวดเร็วในการระงับทุกข์บำรุงสุขด้วยความเที่ยงธรรมแก่อาณาประชาราษฎร์</p> <h6></h6> <h6><a href="http://lh4.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkQSGKqnUI/AAAAAAAAAP8/nqRsynAZgu4/s1600-h/clip_image0097.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image009" border="0" alt="clip_image009" src="http://lh3.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkQUSmQs8I/AAAAAAAAAQA/cr4ZMS1bwuI/clip_image009_thumb.gif?imgmax=800" width="2" height="31" /></a>รูปแบบการปกครองระบอบเทศาภิบาล</h6> <p><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiYO1GaLz2RoEexzE-e4yCjTwcWkgiy-S1-fgOelFcVZhFZY5Ak5hsnU-mb0IG_CBadFHlGQVw5luN86mqh1uI5ghCF9CKUxN-D-QbdG7LjfOllvKhfTnclVMoUqKAfko_bdnmiHZ46UNs/s1600-h/clip_image0106.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image010" border="0" alt="clip_image010" src="http://lh4.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkQYyL_YeI/AAAAAAAAAQI/P0qjk9kzqYc/clip_image010_thumb.gif?imgmax=800" width="2" height="21" /></a><i>มณฑล</i><i></i></p> <p><a href="http://lh6.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkQasaaQOI/AAAAAAAAAQM/KAX6IauGABU/s1600-h/clip_image00912.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image009[1]" border="0" alt="clip_image009[1]" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj5EiwX3q-5a8rXlAdvIJSGRJI5u4efXV83CuKNTRlvBCYDoycu2SrxRE7zIu3tND6-OGkX5OKsAvcw6jXbD2_fmdA03lWZUBsV4S1qtmTtc_n_NkNbbY349W_MCTyJCnHnzopcyup8THo/?imgmax=800" width="2" height="31" /></a>จังหวัด</p> <p><a href="http://lh5.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkQfUKKKsI/AAAAAAAAAQU/4h0ig56sUxE/s1600-h/clip_image0116.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image011" border="0" alt="clip_image011" src="http://lh5.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkQiJJ3n4I/AAAAAAAAAQY/BguQWg1tBh8/clip_image011_thumb.gif?imgmax=800" width="2" height="21" /></a><i>อำเภอ</i><i></i></p> <p><a href="http://lh6.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkQmxdV2mI/AAAAAAAAAQc/_3BUMUuknoE/s1600-h/clip_image00922.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image009[2]" border="0" alt="clip_image009[2]" src="http://lh5.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkQ0AsP1AI/AAAAAAAAAQg/PmpYUpchEGE/clip_image0092_thumb.gif?imgmax=800" width="2" height="31" /></a>ตำบล</p> <p><i>หมู่บ้าน</i><i></i></p> <p>มณฑล คือ การรวมเขตจังหวัดตั้งแต่สองจังหวัดขึ้นไป อาจจะมากบ้างน้อยบ้าง สุดแต่ความสะดวกในการปกครองบังคับบัญชาของสมุหเทศาภิบาล จัดเป็นมณฑลหนึ่ง<a href="#_ftn28_9168" name="_ftnref28_9168">๒๘</a> มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นข้าราชการสูงสุดในมณฑล ฐานันดรของสมุหเทศาภิบาลเป็นตำแหน่งรองจากเสนาบดีเจ้ากระทรวง และเหนือกว่าผู้ว่าราชการจังหวัด และข้าราชการเจ้าพนักงานทั้งปวงในมณฑล</p> <p>สำหรับอำนาจหน้าที่ของสมุหเทศาภิบาลก็คือ เป็นผู้บัญชาการและตรวจตราเหตุ-การณ์ทั้งหมดและราชการในมณฑลที่เกี่ยวกับบทบัญญัติของรัฐบาล มอบให้เป็นหน้าที่ของเทศาภิบาล รับข้อเสนอและสั่งราชการแก่ผู้ว่าราชการจังหวัด อันเป็นผลทำให้การบริหารราชการเป็นไปด้วยความรวดเร็วกว่าแต่ก่อนเป็นอันมาก กล่าวคือ เป็นผลเร็วกว่าที่จังหวัดจะติดต่อไปยังกระทรวงและคอยฟังคำสั่งจากส่วนกลางดังแต่ก่อนเป็นอันมาก นอกจากเป็นเรื่องที่เกินอำนาจหน้าที่ของมณฑล หรือเป็นปัญหา เทศาภิบาลจึงบอกเข้ามายังกระทรวงและเจ้ากระทรวงจะรับพิจารณาและบัญชาการไปยังสมุห-เทศาภิบาล หรือจะนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาแล้วแต่กรณี ราชการที่มณฑลติดต่อกับกระทรวงย่อมมีน้อยกว่าที่จังหวัดติดต่อโดยตรงกับกระทรวงเป็นรายจังหวัดดังแต่ก่อน การดำเนินการเช่นนี้นับว่าเป็นคุณประโยชน์แก่ประชาชนที่มาติดต่อราชการให้ได้รับความสะดวกและรวดเร็วกว่าครั้งที่ยังไม่ได้มีการจัดตั้งเป็นมณฑลเทศาภิบาล และฝ่ายกระทรวงในกรุงเทพฯ ก็ไม่ต้องมีภาระที่ต้องรับข้อเสนอจากจังหวัด ซึ่งมีมากกว่ามณฑลหลายเท่า อันเป็นเหตุให้เกิดผลล่าช้าต่อราชการและยังมีผลกระทบต่อราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อน และต้องการความช่วยเหลือจากราชการ</p> <p>ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงปรากฏว่าการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล ได้แบ่งเบาภาระจากกระทรวงได้อย่างมาก อีกทั้งเป็นการช่วยเหลือประชาชนซึ่งต้องพึ่งราชการให้ได้รับความสะดวกและรวดเร็ว</p> <p>จังหวัด แต่ก่อนเรียกว่า “เมือง” รวมอำเภอตั้งแต่สองอำเภอขึ้นไปถึงหลายอำเภอก็ได้จัดเป็นจังหวัดหนึ่ง รองถัดจากมณฑลลงมา โดยมีอาณาเขตพอสมควรแก่ความเจริญและความสะดวกในการตรวจตราปกครองของผู้ว่าราชการเมือง จังหวัดหนึ่งมีข้าราชการผู้ใหญ่เป็นตำแหน่งผู้ว่า-ราชการเมือง และมีกรมการจังหวัดคณะหนึ่ง</p> <p>อำเภอ กิ่งอำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ซึ่งเป็นส่วนรองถัดจากจังหวัดลงมาตามลำดับ</p> <p>นโยบายในการปกครองหัวเมือง ในสมัยที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยได้ยึดหลักที่ว่า อำนาจของการปกครองควรจะเข้ามารวมอยู่จุดเดียวกันหมด ซึ่งหมายความว่า รัฐบาลกลางจะไม่ให้การบังคับบัญชาหัวเมืองกระจัดกระจายไปอยู่กับกระทรวง ๓ กระทรวงดังแต่ก่อนคือ ฝ่ายมหาดไทย ฝ่ายกลาโหม และกรมท่า และจะไม่ยอมให้หัวเมืองต่างๆ มีอธิปไตยอย่างเช่นแต่ก่อน ระบบการปกครองแบบ “เทศาภิบาล” จึงได้ถูกจัดตั้งขึ้น หลักของการปกครองแบบเทศาภิบาลได้ระบุไว้ในประกาศจัดปันหน้าที่ระหว่างกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย ร.ศ. ๑๑๓<a href="#_ftn29_9168" name="_ftnref29_9168">๒๙</a> ซึ่งรวมหัวเมืองทั้งหมดมาไว้ใต้การบังคับบัญชาของกระทรวงมหาดไทย พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๖<a href="#_ftn30_9168" name="_ftnref30_9168">๓๐</a> และข้อบังคับลักษณะปกครองหัวเมือง ร.ศ. ๑๑๗<a href="#_ftn31_9168" name="_ftnref31_9168">๓๑</a> ตามกฎหมายเหล่านี้รัฐบาลจะจัดการปกครองหัวเมืองตั้งแต่ชั้นต่ำสุดจนถึงสูงที่สุด เริ่มต้นด้วยพลเมืองมีสิทธิจะเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านของราวๆ ๑๐ หมู่บ้านมีสิทธิเลือกตั้งกำนันของตำบล และตำบลหลายๆ ตำบลมีพลเมืองประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน รวมเป็นอำเภอ หลายๆ อำเภอรวมกันเป็นเมือง หลายๆ เมืองรวมกันเป็นมณฑล</p> <p><b>การดำเนินการจัดตั้งมณฑล</b></p> <p>ในการดำเนินการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่-หัว มิได้ทรงดำเนินการจัดตั้งมณฑลในคราวเดียวกันทั่วพระราชอาณาจักร ทั้งนี้เนื่องจากหาตัวบุคคลที่จะไปเป็นข้าหลวงเทศาภิบาลที่จะดำเนินการตามแบบแผนสมัยใหม่ไม่ได้เพียงพอกับความต้องการ และอีกประการหนึ่งขาดงบประมาณที่จะดำเนินการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลให้ได้หมดในคราวเดียวกัน</p> <p>เพื่อให้เห็นการจัดมณฑลอย่างต่อเนื่องกันนั้นควรที่จะได้ทราบว่าก่อน พ.ศ. ๒๔๓๗ ได้มีมณฑลอยู่ก่อนแล้ว ๖ มณฑล ได้แก่</p> <p>๑. มณฑลลาวเฉียง (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลพายัพ) ประกอบด้วย ๖ เมือง ได้แก่ นครเชียงใหม่ นครลำปาง นครลำพูน นครน่าน แพร่ เถิน</p> <p>๒. มณฑลลาวพวน (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลอุดร) ประกอบด้วย ๖ เมือง ได้แก่ อุดรธานี ขอนแก่น นครพนม สกลนคร เลย หนองคาย </p> <p>๓. มณฑลลาวกาว (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลอีสาน) ประกอบด้วย ๗ เมือง ได้แก่ อุบลราชธานี นครจำปาศักดิ์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม กาฬสินธุ์</p> <p>๔. มณฑลเขมร (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลบูรพา) ประกอบด้วย ๔ เมือง ได้แก่ พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ เมืองพนมศก</p> <p>๕. มณฑลลาวกลาง (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลนครราชสีมา) ประกอบด้วย ๓ เมือง ได้แก่ นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์</p> <p>๖. มณฑลภูเก็ต แต่ก่อนเรียก “หัวเมืองฝ่ายทะเลตะวันตก” ประกอบด้วย ๖ เมือง คือ ภูเก็ต กระบี่ ตรัง ตะกั่วป่า พังงา ระนอง</p> <p>มณฑลทั้ง ๖ นี้ มีลักษณะเพียงแต่รวมเขตหัวเมืองเข้าเป็นมณฑล และมีข้าหลวงใหญ่ไปประจำบัญชาการ แต่ยังมิได้มีฐานะเหมือนมณฑลเทศาภิบาล การปกครองระบอบมณฑลเทศาภิบาลได้เริ่มอย่างแท้จริงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นต้นมา</p> <p>พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นปีแรกที่ได้มีการวางแผนการจัดระเบียบการบริหารมณฑลแบบใหม่ โดยได้จัดมณฑลเทศาภิบาลขึ้นใหม่ ๓ มณฑล และแก้ไขการปกครองมณฑลที่มีอยู่ก่อนแล้วให้เป็นลักษณะมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ๑ มณฑล รวมเป็น ๔ มณฑลด้วยกัน คือ</p> <p>๑. มณฑลพิษณุโลก มี ๕ เมือง ได้แก่ พิษณุโลก พิจิตร พิชัย (เมืองอุตรดิตถ์) สวรรคโลก สุโขทัย มีที่ตั้งบัญชาการมณฑลที่เมืองพิษณุโลก</p> <p>๒. มณฑลปราจีน มี ๔ เมือง ได้แก่ ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา นครนายก พนมสารคาม มีที่ตั้งบัญชาการมณฑลที่เมืองปราจีนบุรี</p> <p>๓. มณฑลราชบุรี ได้รวมหัวเมืองซึ่งเคยขึ้นแก่กระทรวงกลาโหมและกรมท่า เมื่อได้มีประกาศพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ยกราชการฝ่ายพลเรือนในหัวเมืองเหล่านั้นมาขึ้นแก่กระทรวงมหาดไทยแต่กระทรวงเดียว จึงได้จัดตั้งมณฑลราชบุรีขึ้น มี ๕ เมือง ได้แก่ ราชบุรี กาญจนบุรี ปราณบุรี เพชรบุรี สมุทรสงคราม มีที่บัญชาการตั้งอยู่ที่เมืองราชบุรี</p> <p>๔. มณฑลนครราชสีมา มณฑลนี้มีอยู่ก่อน พ.ศ. ๒๔๓๗ แล้วแต่ได้มาแก้ไขการปกครองให้เป็นแบบมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๑ มณฑล</p> <p>พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้จัดตั้งมณฑลขึ้นใหม่อีก ๓ มณฑล และแก้ไขการปกครองมณฑลที่มีอยู่ก่อนแล้วให้เป็นแบบเทศาภิบาลขึ้นอีก ๑ มณฑล คือ</p> <p>๑. มณฑลนครชัยศรี มี ๓ เมือง ได้แก่ นครชัยศรี สมุทรสาคร สุพรรณบุรี ที่บัญชาการมณฑลตั้งอยู่ที่เมืองนครชัยศรี</p> <p>๒. มณฑลนครสวรรค์ มี ๘ เมือง ได้แก่ นครสวรรค์ กำแพงเพชร ชัยนาท ตาก อุทัยธานี พยุหคีรี มโนรมย์ สรรคบุรี มีที่ตั้งบัญชาการอยู่ที่เมืองนครสวรรค์</p> <p>๓. มณฑลกรุงเก่า (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลอยุธยา ) มี ๘ เมือง ได้แก่ กรุง-เก่า พระพุทธบาท พรหมบุรี ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง และอินทบุรี มีที่ตั้งบัญชาการอยู่ที่เมืองกรุงเก่า คือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาในปัจจุบันนี้</p> <p>๔. มณฑลภูเก็ต มณฑลนี้ได้มีอยู่ก่อน พ.ศ. ๒๔๓๗ และได้แก้ไขให้มีลักษณะการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล เมื่อได้โอนหัวเมืองซึ่งขึ้นกับกระทรวงกลาโหมมาขึ้นกระทรวงมหาดไทยใน พ.ศ. ๒๔๓๘ มี ๖ เมือง ได้แก่ ภูเก็ต กระบี่ ตรัง ตะกั่วป่า พังงา และระนอง มีที่ตั้งบัญชาการอยู่ที่เมืองภูเก็ต</p> <p>พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้จัดตั้งมณฑลขึ้นอีก ๒ มณฑล และได้จัดการมณฑลที่ตั้งไว้ก่อนแล้วให้เป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๑ มณฑล คือ</p> <p>๑. มณฑลนครศรีธรรมราช มี ๑๐ เมือง ได้แก่ นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา ยะหริ่ง ระแงะ ราห์มัน สายบุรี หนองจิก มีที่ตั้งบัญชาการอยู่ที่เมืองสงขลา</p> <p>๒. มณฑลชุมพร (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลสุราษฎร์) มี ๔ เมือง คือ ชุมพร ไชยา หลังสวน กาญจนดิฐ มีที่ตั้งบัญชาการมณฑลอยู่ที่เมืองชุมพร</p> <p>๓. มณฑลบูรพา แต่ก่อนเรียกว่ามณฑลเขมร มณฑลนี้มีอยู่ก่อน พ.ศ. ๒๔๓๗ และได้แก้ไขลักษณะการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาล เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๙ มี ๔ เมืองตามเดิม</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้จัดตั้งมณฑลไทรบุรีเป็นหัวเมืองไทยปนมลายูฝ่ายตะวันตก และเป็นประเทศราชมี ๓ เมือง ได้แก่ ไทรบุรี ปลิส สตูล ที่ตั้งบัญชาการมณฑลอยู่ที่เมืองไทรบุรี</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๒ ได้จัดตั้งมณฑลเพชรบูรณ์มี ๒ เมือง ได้แก่ เพชรบูรณ์ หล่มศักดิ์ ที่ตั้งบัญชาการมณฑลอยู่ที่เมืองเพชรบูรณ์</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้แก้ไขการปกครองมณฑลที่มีอยู่แล้วก่อน พ.ศ. ๒๔๓๗ ให้เป็นลักษณะเทศาภิบาลขึ้นอีก ๓ มณฑล คือ</p> <p>๑. มณฑลพายัพ ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อมาจาก “มณฑลตะวันตกเฉียงเหนือ” มณฑลนี้เป็นเมืองประเทศราชมี ๖ เมือง ได้แก่ นครเชียงใหม่ นครลำปาง นครลำพูน นครน่าน เมืองแพร่ และเมืองเถิน มีที่ตั้งบัญชาการที่นครเชียงใหม่</p> <p>๒. มณฑลอีสาน ซึ่งแต่ก่อนเรียกว่า “มณฑลตะวันออกเฉียงเหนือ” ได้แก้ไขเป็นมณฑลเทศาภิบาล รวมหัวเมืองเป็นบริเวณ มี ๕ บริเวณ ได้แก่ อุบลราชธานี จำปาศักดิ์ ขุขันธ์ สุรินทร์ และร้อยเอ็ด</p> <p>๓. มณฑลอุดร ซึ่งแต่ก่อนเรียกว่า “มณฑลฝ่ายเหนือ” ได้แก้ไขให้เป็นมณฑลเทศาภิบาล รวมหัวเมืองเข้าเป็น ๕ บริเวณ คือ อุดรธานี ธาตุพนม เลย ขอนแก่น และสกลนคร</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๙ ได้ตั้งมณฑลขึ้นอีก ๒ มณฑล คือ</p> <p>๑. มณฑลจันทบุรี มี ๓ เมือง คือ จันทบุรี ตราด ระยอง มีที่ตั้งบัญชาการมณฑลอยู่ที่เมืองจันทบุรี</p> <p>๒. มณฑลปัตตานี แบ่งการปกครองจากหัวเมืองในมณฑลนครศรีธรรมราช มี ๓ เมือง ได้แก่ ปัตตานี ยะลา ระแงะ ซึ่งภายหลังรวมกับอำเภอบางนราเปลี่ยนชื่อเป็น “นราธิวาส” ด้วย ที่ตั้งบัญชาการมณฑลอยู่ที่เมืองปัตตานี</p> <p>พ.ศ. ๒๔๕๕ แยกมณฑลอีสานเป็น ๒ มณฑล ได้แก่</p> <p>๑. มณฑลร้อยเอ็ด มี ๓ เมือง ได้แก่ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม กาฬสินธุ์ มีที่ตั้งบัญชาการมณฑลอยู่ที่ศาลารัฐบาลมณฑลร้อยเอ็ด<a href="#_ftn32_9168" name="_ftnref32_9168">๓๒</a></p> <p>๒. มณฑลอุบล มี ๓ เมือง ได้แก่ อุบลราชธานี ขุขันธ์ (ศรีสะเกษ) และสุรินทร์ มีที่ตั้งบัญชาการมณฑลอยู่ที่ศาลารัฐบาลมณฑลอุบล</p> <p>พ.ศ. ๒๔๕๘ ได้แยกมณฑลพายัพ เป็น ๒ มณฑล คือ</p> <p>๑. มณฑลมหาราษฎร์ มี ๓ จังหวัด คือ ลำปาง น่าน และแพร่ มีที่ตั้งศาลารัฐบาลมณฑลอยู่ที่จังหวัดลำปาง</p> <p>๒. มณฑลพายัพ มี ๔ จังหวัด คือ เชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย และแม่ฮ่องสอน</p> <p>การจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลได้เริ่มจัดตั้งมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๗ จนถึง พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงได้สำเร็จ (สำหรับมณฑลที่จัดตั้งขึ้นภายหลังก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขตามสถานการณ์และยกเลิกใน พ.ศ. ๒๔๗๕)</p> <p><b>๓</b><b>.</b><b>๒</b> <b>ลักษณะการปกครองมณฑลเทศาภิบาล</b><b> </b><b>: </b><b>มณฑลอยุธยา</b><b></b></p> <p>ดินแดนที่เรียกว่า มณฑลกรุงเก่า หรือมณฑลอยุธยาประกอบด้วย อยุธยา ลพบุรี สระบุรี อ่างทอง และสิงห์บุรี โดยมีอยุธยาเป็นศูนย์กลาง อยุธยาเป็นเมืองที่มีความสำคัญยิ่งในทางประวัติศาสตร์ไทยเพราะเคยเป็นราชธานีเก่าของไทยมานานถึง ๔๑๗ ปี มีพระมหากษัตริย์ปกครอง ๓๓ พระองค์ อยุธยาได้รับการสถาปนาเป็นราชธานีเมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๓ ภายหลังที่กรุงสุโขทัยหมดอำนาจลง อยุธยาได้กลายเป็นศูนย์กลางการปกครองของอาณาจักรไทยทั้งหมด</p> <p>ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๔๑๑ - ๒๔๕๓) ได้จัดให้มีการปกครองแบบเทศาภิบาลขึ้น สำหรับมณฑลกรุงเก่าได้จัดตั้งขึ้นเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๓๘ (ร.ศ. ๑๑๔) โดยได้รวมเอา ๗ หัวเมือง คือ กรุงเก่า อ่างทอง สระบุรี ลพบุรี อินทบุรี (ปัจจุบันคืออำเภออินทร์บุรี อยู่ในจังหวัดสิงห์บุรี) พรหมบุรี (ปัจจุบันคืออำเภอพรหมบุรีอยู่ในจังหวัดสิงห์บุรี) และสิงห์บุรีเข้าเป็นมณฑล และตั้งที่ว่าการมณฑลที่มณฑลกรุงเก่า<a href="#_ftn33_9168" name="_ftnref33_9168">๓๓</a> ต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมเมืองอินทบุรีและพรหมบุรีเข้ากับเมืองสิงห์บุรี<a href="#_ftn34_9168" name="_ftnref34_9168">๓๔</a> ผู้ที่ดำรงตำแหน่งข้าหลวงเทศาภิบาลของมณฑลกรุงเก่าคนแรก คือ พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนมรุพงศ์สิริพัฒน์</p> <p>มณฑลกรุงเก่าเป็นมณฑลภายใน ปราศจากการคุกคามและรุกรานจากภายนอก ดังนั้น สาเหตุในการจัดการปกครองจึงเป็นไปเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและมีแบบแผนอย่างเดียวกัน เพราะการปกครองไทยที่เป็นมาแต่สมัยโบราณ หัวเมืองต่างๆ ได้แยกขึ้นกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย และกรมท่า (กระทรวงต่างประเทศ) ทำให้การบริหารไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อรัชกาลที่ ๕ ได้ทำการปฏิรูปการปกครอง พระองค์จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้รวมหัวเมืองต่างๆ มาขึ้นกับกระทรวงมหาดไทยทั้งหมด และจัดการปกครองเป็นแบบเทศาภิบาล โดยรวมหัวเมืองที่มีอาณาเขตใกล้เคียงกันตั้งแต่ ๒ เมืองขึ้นไปเข้าเป็นมณฑล</p> <p>สาเหตุเฉพาะของการปฏิรูปการปกครองมณฑลอยุธยา</p> <p>สาเหตุเฉพาะของการปฏิรูปการปกครองมณฑลอยุธยา ทั้งนี้เนื่องจาก</p> <p>๑. ปัญหาทางด้านการปกครอง เป็นผลมาจากระบบการปกครองในขณะนั้นยังไม่รัดกุมและไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ ทำให้ไม่สามารถปกครองดูแลราษฎรให้มีความเป็นอยู่อย่างมีความสุขได้อย่างทั่วถึง กล่าวคือ เจ้าเมืองคิดจะปราบปรามโจรผู้ร้ายก็จะใช้บุคคลที่มีอิทธิพลสำหรับปราบปรามโจรผู้ร้าย ทำให้ไม่กล้าปล้นสะดม และสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน วิธีการดังกล่าวเรียกว่า “เลี้ยงขโมยไว้จับขโมย” แต่วิธีการดังกล่าวได้ก่อให้เกิดปัญหายุ่งยากมาก เพราะบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรมการเมืองมักจะประพฤติตนไปในทางทุจริตเสียเอง ด้วยการเป็นหัวหน้าซ่องโจร ปัญหากรมการเมืองประพฤติตนทุจริตนั้นเมื่อได้จัดการปกครองแบบเทศาภิบาลแล้ว ได้จัดให้มีกรมการอำเภอ และตำรวจภูธร ประจำอยู่ตามท้องถิ่นจึงไม่ต้องอาศัยกรมการในท้องถิ่นนั้นเหมือนอย่างแต่ก่อน</p> <p>นอกจากนี้ มณฑลอยุธยายังมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องที่ผู้ว่าราชการเมือง และกรมการเมืองเบียดบังเงินผลประโยชน์ของทางราชการไว้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการปกครองแบบเก่าไม่รัดกุมพอเปิดช่องทางให้ผู้ว่าราชการเมือง และกรมการเมืองทุจริต เบียดบังเงินภาษีอากรได้ และการที่เจ้าเมืองไม่มีเงินเดือนทำให้เจ้าเมืองคิดหาผลประโยชน์ในทางไม่ชอบ ก็เป็นสาเหตุประการหนึ่งที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวคิดปรับปรุงการปกครองเป็นแบบเทศาภิบาล มีข้าหลวงเทศาภิบาล ปกครองดูแลหัวเมืองต่างๆ ได้อย่างทั่วถึงกัน</p> <p>๒. ปัญหาด้านการศาลปรากฏว่า หัวเมืองแถบมณฑลอยุธยามีคดีต่างๆ คั่งค้างมากมาย ราษฎรที่ถูกจับขังอยู่ในคุกเป็นเวลานานเพราะไม่ได้มีการพิจารณาคดีให้เสร็จสิ้น เป็นการเสียเวลาทำมาหากินของราษฎร บางครั้งผู้ว่าราชการเมืองและกรมการเมืองก็หาประโยชน์โดยเรียกทรัพย์สินจาก ผู้ร้ายที่จับตัวได้แล้วก็ปล่อยตัวไป ในเรื่องที่ผู้ว่าราชการเมืองและกรมการเมืองทุจริตต่อหน้าที่ราชการ หาผลประโยชน์ให้แก่ตนเองเช่นนี้ ก็เพราะเจ้าหน้าที่เหล่านี้ไม่มีเงินเดือนประจำจึงต้องหาผลประโยชน์ในทางที่มิชอบ อันเป็นผลเสียหายแก่ทางราชการ ทำให้ราษฎรมองภาพพจน์เจ้าหน้าที่ไปในทางที่ไม่ดี แต่เมื่อได้จัดเป็นมณฑลเทศาภิบาล มีข้าหลวงควบคุมอย่างใกล้ชิด ทำให้ปัญหาในเรื่องนี้ทุเลาเบาบางลงไปได้</p> <p>ส่วนในเรื่องคดีคั่งค้างอยู่มากมายนั้น เมื่อได้จัดการปรับปรุงการปกครองเป็นแบบเทศาภิบาลแล้ว มณฑลอยุธยาเป็นมณฑลแรกที่ได้มีพระบรมราชโองการตั้งข้าหลวงพิเศษสำหรับการจัดการเรื่องศาลหัวเมืองโดยมีพระราชบัญญัติลงวันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๓๙ ตั้งข้าหลวงพิเศษ ๓ นาย คือ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ ขุนหลวงพระไกรสีห์สุภาศักดิ์ และมิสเตอร์อาเยเกิดปาตริก ได้ช่วยกันชำระความสะสางคดีที่คั่งค้างอยู่ให้ลดเหลือน้อยลง<a href="#_ftn35_9168" name="_ftnref35_9168">๓๕</a></p> <p>๓. ปัญหาโจรผู้ร้าย หัวเมืองในเขตมณฑลอยุธยานั้นปรากฏว่ามีโจรผู้ร้ายทำการก่อกวนความสงบสุขของราษฎรอยู่เสมอ ต้องผลัดเปลี่ยนตัวผู้ว่าราชการเมืองอยู่เสมอ และการเลือกสรรข้าราช-การในกรุงเทพฯ ที่มีกำลังและความสามารถออกไปรับราชการ</p> <p>เหตุที่มีโจรผู้ร้ายชุกชุมเนื่องมาจากสาเหตุดังนี้ คือ</p> <p>๓.๑ หัวเมืองในมณฑลอยุธยาเป็นดินแดนที่มีอาณาเขตกว้างขวางและมีอาณาเขตติดต่อกับเมืองสุพรรณบุรี เมืองนครชัยศรี ซึ่งระหว่างเขตแดนติดต่อกันนี้เป็นป่าดง เหมาะในการหลบซ่อนตัวของโจรผู้ร้ายจึงทำให้มีโจรผู้ร้ายชุกชุม และโดยมากโจรผู้ร้ายจะชอบขโมยสัตว์พาหนะ วัว ควาย การที่มีโจรผู้ร้ายชุกชุมเช่นนี้ทำให้ราษฎรไม่เป็นอันทำมาหากิน</p> <p>๓.๒ การตั้งร้านจำหน่ายสุรายาฝิ่น ซึ่งเดิมนายอากรพอใจจะตั้งขายที่ใดก็ได้ บางทีก็เข้าไปขายในวัดร้าง และตำบลที่ไม่มีบ้านเรือนผู้คน อันเป็นช่องทางให้โจรผู้ร้ายเข้าประชุมพักอาศัย เมื่อปล้นได้ของกลางก็เอามาซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน และนายอากรบางคนก็รับซื้อของโจร กรมการเมืองก็ไม่สามารถตรวจตราได้ จึงทำให้เกิดโจรผู้ร้ายชุกชุม<a href="#_ftn36_9168" name="_ftnref36_9168">๓๖</a></p> <p>๓.๓ การที่มีโจรผู้ร้ายลอบลักสัตว์พาหนะ ยานพาหนะมาก เพราะจะมีซ่องตั้งกองรับซื้อของโจร และมีการตั้งโรงรับจำนำในตลาดหรือตามโรงบ่อน อันเป็นช่องทางทำให้เกิดโจรผู้ร้ายลักลอบขโมยทรัพย์สินของราษฎรแล้วมาจำนำ ทำให้ท้องที่ที่มีโรงจำนำมีคดีความเกิดขึ้นมากมาย</p> <p>๓.๔ เนื่องจากเจ้าเมืองและกรมการเมืองแถบนี้มักจะรู้เห็นเป็นใจกับโจรผู้ร้าย หรือเลี้ยงโจรผู้ร้ายไว้เพื่อผลประโยชน์ของตน และในบางครั้งถึงกับประพฤติตนเป็นโจรเสียเอง ทำให้มณฑลอยุธยาก่อนที่จะจัดตั้งเป็นมณฑลเทศาภิบาลมีโจรผู้ร้ายชุกชุมมาก และคดีความโจรผู้ร้ายในเขตมณฑลอยุธยาก็มีมากมายเกินความสามารถของผู้ว่าราชการเมืองและกรมการเมืองจะปราบปรามได้ จนกระทั่งเมื่อได้มีการปรับปรุงการปกครอง โดยจัดการปกครองหัวเมืองเป็นมณฑลมีข้าหลวงเทศาภิบาลดูแลต่างพระเนตรพระกรรณ สามารถดูแลการปกครองได้อย่างทั่วถึง ราษฎรมีความเป็นอยู่อย่างสงบสุขกว่าแต่ก่อน</p> <p>หัวเมืองต่างๆ ในแถบมณฑลอยุธยาเป็นหัวเมืองที่มีปัญหาหลายประการ ปัญหาที่เด่นชัดคือ ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องโจรผู้ร้ายชุกชุมจนราษฎรไม่เป็นอันทำมาหากิน ปัญหาเกี่ยวกับคดีความที่ค้างศาลมากทำให้เสียเวลาทำมาหากินของราษฎรและปัญหาเกี่ยวกับเจ้านายทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ดังนั้นเพื่อให้เกิดความสงบสุขแก่ราษฎรและเพื่อให้การปกครองเป็นระเบียบแบบแผนเดียวกัน รัฐบาลจึงได้รวมเขตเมืองจัดตั้งเป็นมณฑลอยุธยาในปี พ.ศ. ๒๔๓๘ เนื่องจากมณฑลอยุธยาไม่มีปัญหาการรุกรานจากต่างชาติอันเป็นปัญหาร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับมณฑลชายแดน ฉะนั้นมณฑลอยุธยาจึงได้รับเลือกเป็นแหล่งสำหรับทดลองโครงการใหม่ๆ ที่ได้ริเริ่มขึ้น</p> <p>ขั้นตอนการดำเนินงานปฏิรูปการปกครองมณฑลอยุธยา</p> <p>มณฑลอยุธยาได้จัดตั้งขึ้นในเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๓๘ (ร.ศ. ๑๑๔) ผู้ที่ดำรงตำแหน่งข้าหลวงเทศาภิบาลของมณฑลอยุธยาคนแรก คือ พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมขุนมรุพงศ์สิริพัฒน์ พระองค์ได้ดำรงตำแหน่งข้าหลวงเทศาภิบาลอยู่ในช่วง พ.ศ. ๒๔๓๘ - ๒๔๔๖ และผู้ที่มาดำรงตำแหน่งข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลอยุธยาต่อมา คือ พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) ซึ่งได้เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลอยุธยาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๔๖ - ๒๔๗๒<a href="#_ftn37_9168" name="_ftnref37_9168">๓๗</a></p> <p>ในสมัยที่พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมขุมมรุพงศ์สิริพัฒน์เป็ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลอยุธยาในระยะแรก พระองค์ได้ปรับปรุงด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านการปกครองและด้านการศาล ซึ่งมีผลต่อความสงบสุขของราษฎร</p> <p><b>การปรับปรุงด้านการปกครองและด้านการศาล</b> ในสมัยพลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมขุนมรุพงศ์สิริพัฒน์ และพระยาโบราณราชธานินทร์ ซึ่งดำรงตำแหน่งข้าหลวงเทศาภิบาล ได้ปรับปรุงด้านการปกครองและด้านการศาลไว้ดังนี้ คือ</p> <p><b>๑</b><b>. </b><b>การปกครอง</b> ในการปรับปรุงด้านการปกครองซึ่งถือว่าเป็นงานสำคัญอันดับแรกที่จะต้องดำเนินงานเพื่อให้สอดคล้องกับการปกครองส่วนกลาง การปรับปรุงด้านการปกครองแบ่งได้เป็น ๓ ลักษณะใหม่ๆ คือ</p> <p>- การปรับปรุงแบบแผนการปกครองในมณฑล</p> <p>- การสรรหาตัวบุคคลเข้ามารับราชการ</p> <p>- การป้องกันรักษาความสงบสุขของประชาชน</p> <p><b>๑</b><b>.</b><b>๑</b><b> </b><b>การปรับปรุงแบบแผนการปกครอง</b></p> <p>ได้จัดรูปหน่วยการปกครองใหม่ดังนี้ คือ</p> <p>๑.๑.๑ การจัดรูปการปกครองในมณฑลอยุธยา จัดรูปหน่วยงานและตำแหน่งทางราชการไว้ดังนี้</p> <p>๑.๑.๑.๑ กองบัญชาการมณฑล มีตำแหน่งข้าราชการคือข้าหลวงเทศา ภิบาล เสมียนตรา และเลขานุการมียศเป็น “ขุน” <a href="#_ftn38_9168" name="_ftnref38_9168">๓๘</a></p> <h3>๑.๑.๑.๒ กองข้าหลวงมหาดไทย มีตำแหน่งข้าราชการคือข้าหลวงมหาดไทยและพนักงานตรวจการ ๓ นาย</h3> <p>๑.๑.๑.๓ กองข้าหลวงคลัง มีตำแหน่งข้าหลวงคลังและผู้ช่วยข้าหลวง</p> <p>คลัง</p> <p>๑.๑.๑.๔ กองข้าหลวงยุติธรรม มีตำแหน่งข้าหลวงยุติธรรมและผู้ช่วยข้าหลวงยุติธรรม<a href="#_ftn39_9168" name="_ftnref39_9168">๓๙</a></p> <h3></h3> <h3><a href="http://lh3.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkQ3nsD0tI/AAAAAAAAAQk/4nsvqJ6KwdY/s1600-h/clip_image00932.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image009[3]" border="0" alt="clip_image009[3]" src="http://lh3.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkQ7WB0wEI/AAAAAAAAAQo/PGbwIFfTDIk/clip_image0093_thumb.gif?imgmax=800" width="2" height="31" /></a><b>รูปแบบการจัดหน่วยงานการปกครองมณฑลอยุธยา</b><b></b></h3> <h3> <table cellspacing="0" cellpadding="0"><tbody> <tr> <td width="61"></td> <td width="221"></td> <td width="2"></td> <td width="231"></td> </tr> <tr> <td></td> <td></td> <td valign="top"><a href="http://lh6.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkQ9k32EoI/AAAAAAAAAQs/Nwu5AARm_W4/s1600-h/clip_image0128.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image012" border="0" alt="clip_image012" src="http://lh4.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkQ_mwgR9I/AAAAAAAAAQw/biMv0FjUkJs/clip_image012_thumb.gif?imgmax=800" width="2" height="2" /></a></td> </tr> <tr> <td></td> </tr> <tr> <td></td> <td valign="top"><a href="http://lh3.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkRBtrnQkI/AAAAAAAAAQ0/Pn03lQ5LwJE/s1600-h/clip_image0133.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image013" border="0" alt="clip_image013" src="http://lh6.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkRExzxl8I/AAAAAAAAAQ4/ZSTFzBgMEsk/clip_image013_thumb.gif?imgmax=800" width="240" height="6" /></a></td> </tr> </tbody></table> </h3> <h3>กองบัญชาการมณฑล กองข้าหลวงมหาดไทย กองข้าหลวงคลัง กองข้าหลวงยุติธรรม</h3> <h3></h3> <h3><b>๑</b><b>.</b><b>๒</b><b> </b><b>การจัดรูปการปกครองเมือง</b></h3> <h3>พ.ศ. ๒๔๔๑ มณฑลอยุธยาได้ประกาศใช้ “ข้อบังคับลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๗" ได้มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองบางคน โดยยึดเอาความรู้ความสามารถเป็นเกณฑ์ และตำแหน่งกรมการเมืองอันเป็นตำแหน่งข้าราชการอันดับรองมาจากผู้ว่าราชการเมือง แบ่งออกเป็น ๒ คณะ คือ</h3> <p>๑.๒.๑ กรมการเมืองในทำเนียบ ได้แก่ข้าราชการประจำมีตำแหน่งปลัดเมืองยกกระบัตร และผู้ช่วยข้าราชการทั้ง ๓ ตำแหน่งนี้เป็นกรมการเมืองชั้นผู้ใหญ่ ส่วนกรมการเมืองชั้น ผู้น้อยซึ่งเป็นข้าราชการชั้นรองมี ๕ คน คือ จ่าเมือง สัสดี แพ่ง ศุภมาตรา และสารเลข นอกจากนี้ยังมีตำแหน่งโยธาธิการ และพะทำมะรง<a href="#_ftn40_9168" name="_ftnref40_9168">๔๐</a></p> <p>๑.๒.๒ กรมการเมืองนอกทำเนียบ เป็นตำแหน่งที่แต่งตั้งจากบุคคลผู้ทรง-คุณวุฒิคฤหบดีที่ได้ตั้งบ้านเรือนในเมืองนับมีจำนวน ๑๐ คน เป็นตำแหน่งประจำ ๕ คน ตำแหน่งไม่ประจำ ๕ คน อยู่ในตำแหน่งคราวละ ๕ ปี กรมการเมืองนอกทำเนียบนี้เป็นตำแหน่งที่ตั้งขึ้นใหม่โดยรัฐบาลมีจุดประสงค์จะทำให้ประชาชนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการปกครองรัฐบาลไม่ต้องจ่ายเงินเดือนให้เพราะบุคคลเหล่านี้มีฐานะดีอยู่แล้ว กรมการเมืองนอกทำเนียบเป็นเพียงผู้ให้คำปรึกษาหารือแก่ผู้ว่าราชการเมือง</p> <p><b>๑</b><b>.</b><b>๓</b><b> </b><b>การจัดรูปการปกครองแขวงหรืออำเภอ</b><b></b></p> <p>หน่วยราชการในมณฑลระดับถัดลงไปจากเมืองคือแขวงหรืออำเภอ กระทรวงมหาดไทยได้วางเขตอำเภอตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๖ ฉะนั้นมณฑลอยุธยาจึงได้แบ่งเขตอำเภอใหม่ คือ เมืองอยุธยามี ๑๑ อำเภอ เมืองลพบุรีมี ๔ อำเภอ เมืองอ่างทองมี ๔ อำเภอ เมืองสระบุรีมี ๕ อำเภอ เมืองสิงห์บุรีมี ๔ อำเภอ</p> <p>ตำแหน่งข้าราชการในอำเภอ มีทั้งข้าราชการที่เป็นกรมการอำเภอและข้าราช-การที่ไม่ใช่กรมการอำเภอ กรมการอำเภอประกอบด้วยนายอำเภอ ปลัดอำเภอ และสมุหบัญชีอำเภอ ส่วนข้าราชการที่ไม่ใช่กรมการอำเภอ ได้แก่ เสมียนพนักงานจำนวนหนึ่งตามสมควรแก่ทางราชการ<a href="#_ftn41_9168" name="_ftnref41_9168">๔๑</a></p> <p><b>๑</b><b>.</b><b>๔</b><b> </b><b>การจัดรูปการปกครองตำบลและหมู่บ้าน</b><b></b></p> <p>การจัดรูปแบบของหน่วยการปกครองตำบล มีตำแหน่งกำนันหรือผู้ใหญ่บ้านเป็นหัวหน้าหน่วยการปกครอง วิธีการจัดตั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ก่อนสมัยรัชกาลที่ ๕ ให้จัดตั้งจากบุคคลที่มีความซื่อสัตย์มั่นคงดีเป็นผู้ใหญ่บ้านที่พอจะว่ากล่าวบังคับราษฎรได้ แต่ต่อมาไม่มีการเลือกผู้ใหญ่บ้าน คงมีแต่กำนัน ทำให้การปฏิบัติหน้าที่ของกำนันบกพร่องไปด้วย เนื่องจากขาดผู้ช่วยคอยดูแลทุกข์สุขของราษฎรในท้องที่ และเขตท้องที่ภายในตำบลหนึ่งๆ ก็กว้างขวางมากเกินกำลังคนคนเดียวที่จะ ปกครอง<a href="#_ftn42_9168" name="_ftnref42_9168">๔๒</a> ข้อบกพร่องดังกล่าวได้รับการแก้ไขในสมัยรัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระราชดำริเห็นควรที่จะเริ่มจัดการให้มีการทดลองจัดตั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านขึ้นเป็นตัวอย่าง โดยให้ประชาชนเป็นผู้เลือกกำนัน ผู้ใหญ่บ้านเอง โดยได้ทรงมอบหมายให้หลวงเทศาจิตวิจารณ์ (เส็ง วิริยศิริ) ไปทดลองเลือกตั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านที่เกาะบางปะอินเป็นการทดลองก่อน</p> <p>สำหรับวิธีการดำเนินการเลือกตั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านที่เกาะบางปะอิน ในขั้นแรกหลวงเทศาจิตวิจารณ์ได้จัดให้มีการเลือกผู้ใหญ่บ้านโดยให้จัดทำบัญชีสำมะโนครัวที่จะจัดเป็น หมู่บ้าน ดังนี้คือ ให้จัดรวมเจ้าของบ้านที่อยู่ใกล้ชิดติดต่อกันราว ๑๐ เจ้าของบ้าน ซึ่งเจ้าของหนึ่งจะมีเรือนกี่หลังก็ตามรวมเข้าเป็นหมู่บ้านและเชิญเจ้าของบ้านมาประชุมในวัดพร้อมด้วยราษฎรอื่นๆ แล้วให้เจ้าของบ้านเลือกผู้ใหญ่บ้านกันในหมู่ของพวกเขาว่าใครจะได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้าน</p> <p>เมื่อได้ดำเนินการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านขึ้นแล้ว หลวงเทศาจิตวิจารณ์ก็ได้ดำเนินการจัดให้มีการเลือกตั้งกำนัน โดยได้จัดประชุมที่ศาลาวัด ให้ราษฎรในท้องที่นั้นเลือกผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งในหมู่ของพวกเขาว่าใครควรที่จะได้รับเลือกให้เป็นกำนัน</p> <p>ผลของการทดลองเลือกกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ที่บางประอินนับว่าประสบความสำเร็จเป็นส่วนใหญ่จึงเป็นการเร่งเร้าพระราชประสงค์ที่จะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ขึ้นทั่วพระราชอาณาจักร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้มณฑลต่างๆ ได้ดำเนินการเลือกตั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตามแบบที่ได้ทดลองที่บางประอิน คือให้ราษฎรชายหญิงซึ่งตั้งบ้านเรือนประจำอยู่ในหมู่บ้านประชุมกันเลือกเอาบุคคลในท้องที่ที่มีคุณงามความดีเป็นที่นิยมของราษฎรเป็นผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่ง วิธีการเลือกตั้งอาจเปิดเผยหรือลับก็ได้ ให้นายอำเภอเป็นประธาน ผู้ได้รับคะแนนนิยมมากให้นายอำเภอเข้าไปขอรับหมายตั้งจากผู้ว่าราชการเมือง ส่วนการเลือกตั้งกำนันให้ผู้ใหญ่บ้านในตำบลเดียวกันเลือกกันเองในระหว่างกลุ่มผู้ใหญ่บ้านยกขึ้นเป็นกำนันโดยมีนายอำเภอเป็นประธาน และผู้ว่าราชการเมืองเป็นผู้ออกหมายตั้งให้เช่นเดียวกัน<a href="#_ftn43_9168" name="_ftnref43_9168">๔๓</a></p> <p>การเลือกตั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านนี้ นับว่าเป็นความก้าวหน้าในการปกครองท้อง-ถิ่นอย่างยิ่งเพราะราษฎรมีโอกาสที่จะพิจารณาเลือกคนที่ตนเห็นวาเหมาะสมและอาจนำความสุขความเจริญมาสู่ตนได้ และมีสิทธิที่จะไม่เลือกผู้ที่ประพฤติเป็นพาลเกเรได้ ทำให้คนดีมีความสามารถใน หมู่บ้านมีโอกาสเข้ามาปกครองสร้างความสุขความเจริญให้แก่ตำบลและหมู่บ้าน นอกจากนี้การจัดตั้งกำนันและผู้ใหญ่บ้านยังมีประโยชน์ต่อทางราชการมากคือ จะเป็นผู้ดูแลทุกข์สุขและควบคุมความประพฤติของลูกบ้านให้ประพฤติตัวดี ขยันทำมาหากิน ไม่ทะเลาะวิวาท นอกจากนี้ยังช่วยเหลือทางราชการในการสืบจับโจรผู้ร้าย ซึ่งแต่เดิมมณฑลอยุธยามีโจรผู้ร้ายชุกชุมมักจะปล้นฝูงวัวควายไปรายละมากๆ แต่เมื่อได้จัดตั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านแล้ว กำนันและผู้ใหญ่บ้านคอยตรวจตราทำให้โจรผู้ร้ายไม่กล้าจี้ปล้นอย่างแต่ก่อน เมื่อเกิดมีโจรผู้ร้ายปล้นที่ใดแล้ว กำนันผู้ใหญ่บ้านมักจะติดตามได้ตัวผู้ร้ายและของกลางคืนมาแทบทุกราย รวมทั้งทำหน้าที่เป็นปากเสียงให้ราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อนโดยรายงานให้นายอำเภอและผู้ว่าราชการเมืองทราบ</p> <p><b>๒</b><b>. </b><b>การปรับปรุงด้านการศาล</b><b></b></p> <p>เนื่องจากมณฑลอยุธยามีคดีความคั่งค้างโรงศาลเป็นจำนวนมาก พระบาทสมเด็จ-พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกองข้าหลวงพิเศษออกไปชำระความที่มณฑลอยุธยาเป็นแห่งแรก การชำระคดีความของกองข้าหลวงนับว่าเป็นประโยชน์ต่อชาวอยุธยามาก เพราะเป็นไปด้วยความรวดเร็วประชาชนไม่เสียเวลาในการทำมาหากิน กล่าวคือ วิธีการชำระความของกองข้าหลวงพิเศษ เมื่อไต่สวนได้ความว่าทำผิดจริงและจำเลยยอมรับสารภาพ ก็จะอ่านคำฟ้องและคำ ตัดสินให้จำเลยฟัง และในกรณีที่จำเลยคนใดถูกขังมานานพอแก่โทษก็ให้สั่งปล่อยไป</p> <p>ปรากฏว่าวิธีการชำระสะสางคดีความที่มณฑลอยุธยา พระบาทสมเด็จพระ-จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวถือว่าเป็นตัวอย่างอันดีสมควรที่มณฑลอื่นจะได้เอาเป็นตัวอย่างในการจัดศาลยุติ-ธรรมในหัวเมืองต่อไป<a href="#_ftn44_9168" name="_ftnref44_9168">๔๔</a></p> <p>การจัดตั้งศาลในมณฑลอยุธยาได้แบ่งออกเป็น ๓ ประเภท คือ</p> <p>๑. ศาลแขวง บังคับคดีในเขตแขวง</p> <p>๒. ศาลเมือง บังคับคดีในเขตเมือง</p> <p>๓. ศาลมณฑล บังคับคดีในเขตมณฑลอยุธยา</p> <h5>ผลของการปฏิรูปการปกครองมณฑลอยุธยา</h5> <p>มณฑลอยุธยาเป็นมณฑลที่ตั้งอยู่ในภาคกลางของประเทศ และเป็นมณฑลชั้นในที่ไม่มีปัญหาจากการรุกรานของต่างชาติ ฉะนั้น การปฏิรูปการปกครองจึงเป็นไปเพื่อให้บ้านเมืองมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยและทำให้อยู่เย็นเป็นสุข ในเรื่องนี้ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเห็นว่า ความมุ่งหมายในการปกครองแบบใหม่และแบบเก่าก็ยึดหลัก “บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข” ด้วยกัน แต่คำว่า “อยู่เย็นเป็นสุข” นั้น มีความหมายผิดกัน การปกครองแบบเก่าถ้าบ้านเมืองปราศจากภัยต่างๆ เช่น โจรผู้ร้าย “ก็เป็นสุข” จะเห็นได้จากกฎหมายปกครองในสมัยโบราณมักอ้างเหตุที่เกิดโจรผู้ร้ายชุกชุมแทบทั้งนั้น ดังนั้น ตามหัวเมืองเจ้าเมืองกรมการก็มุ่งหมายจะรักษาความสงบเรียบร้อยไม่ให้มีโจรผู้ร้าย เมื่อรัฐบาลเห็นว่าเมืองใดสงบเรียบร้อย ไม่มีโจรผู้ร้ายก็จะยกย่องว่าปกครองดี แต่ถ้าเมืองใดโจรผู้ร้ายชุกชุมก็ให้บ้าหลวงออกไประงับเหตุ ในกรณีเกิดสงครามเสนาบดีก็จะออกไปเอง จึงไม่มีการตรวจหัวเมืองในเวลาปกติ ความคิดที่จะให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุขก็ต้องทำนุบำรุงในเวลาบ้านเมืองปกติด้วย แนวความคิดดังกล่าวได้เริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและถือเป็นรัฏฐาภิปาลโนบายสืบมา</p> <p>ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลอยุธยาที่มีความสามารถในการบริหารมณฑลอยุธยา ได้แก่ พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมขุนมรุพงศ์สิริพัฒน์ ดำรงตำแหน่งข้าหลวงเทศาภิบาลระหว่าง พ.ศ. ๒๔๔๐ - ๒๔๔๖ และผู้ดำรงตำแหน่งคนต่อมาคือ พระยาโบราณราชธานินทร์ ซึ่งข้าหลวงเทศาภิบาลทั้งสองคนได้จัดการแก้ไขและปรับปรุงด้านการปกครองจนทำให้มณฑลอยุธยามีความสงบสุข เป็นระเบียบเรียบร้อยดังจะเห็นได้ถึงผลของการปฏิรูปมณฑลอยุธยา ดังนี้</p> <p><b></b><b>๑</b><b>. </b><b>ด้านการปกครอง</b><b> </b></p> <p>ได้จัดรูปการปกครองในมณฑล เมือง อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ไว้อย่างเป็นระเบียบแบบแผนที่ดี นอกจากนี้ มณฑลอยุธยา เป็นมณฑลแรกที่ได้จัดการทดลองเลือกกำนันและผู้ใหญ่บ้านในด้านการป้องกันรักษาความสงบสุขของราษฎร ข้าหลวงเทศาภิบาลทั้งสองคน ต่างก็พยายามหาวิธีการแก้ไขปัญหาเรื่องโจรผู้ร้าย จนมณฑลอยุธยาเป็นมณฑลที่มีความสงบสุข นอกจากนี้ มณฑลอยุธยายังเป็นแหล่งผลิตกรมการอำเภอป้อนมณฑลอื่นๆ ในสมัยพระยาโบราณราชธานินทร์ มณฑลอยุธยาเป็นแหล่งแรกที่คิดฝึกหัดข้าราชการแบบใหม่ได้ผลดี จนกระทรวงมหาดไทยถือเป็นหลักปฏิบัติต่อมา โดยนำมาปรับปรุงวิธีการให้ดีขึ้นในการนำมาฝึกข้าราชการแผนกต่างๆ</p> <p><b>๒</b><b>. </b><b>ด้านการศาล</b><b></b></p> <p>มณฑลอยุธยาได้มีกองข้าหลวงอันมีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ เป็นประธาน ได้จัดตั้งศาลมณฑลและศาลเมืองขึ้นในมณฑลอยุธยา ทำให้การพิจารณาดคีความในมณฑลเป็นระเบียบเรียบร้อยจนได้รับคำชมจากพระบาทสมเด็จ-พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และให้มณฑลอื่นเอาเป็นแบบอย่างในการจัดด้านศาลด้วย</p> <h4>๔. การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน</h4> <p>หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้มีการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็นจังหวัดและอำเภอ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแห่งอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ กำหนดให้จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร และให้ยกเลิกมณฑลเทศาภิบาลเสีย ทั้งนี้อาจเนื่องจาก</p> <p>๑. การคมนาคมสื่อสารสะดวกและรวดเร็วกว่าแต่ก่อน ทำให้สามารถสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้อย่างทั่วถึง</p> <p>๒. เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณของประเทศ</p> <p>๓. เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด กล่าวคือ จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล มณฑลรายงานต่อกระทรวง เป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น</p> <p>๔. ในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ รัฐบาลมีนโยบายที่กระจายอำนาจให้แก่ส่วนภูมิภาคมากขึ้น และการยุบมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจในการปกครองแทนมณฑลนั่นเอง</p> <p>สำหรับการบริหารราชการแผ่นดินองไทยที่ใช้อยู่ในปัจจุบันตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ได้จัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ดังนี้คือ</p> <p>๑. ระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง</p> <p>๒. ระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค</p> <p>๓. ระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น</p> <p>การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินดังกล่าวได้ใช้หลักการรวมอำนาจ การแบ่งอำนาจ และการกระจายอำนาจ กล่าวคือ การบริหารราชการส่วนกลางใช้หลักการรวมอำนาจ โดยจัดเป็นกระทรวง ทบวง กรม และทบวงการเมืองที่มีฐานะเทียบเท่ากรม การบริหารราชการส่วนภูมิภาคใช้หลักการแบ่งอำนาจ โดยส่วนกลางได้แบ่งอำนาจให้แก่จังหวัดและอำเภอเป็นผู้ทำแทนในนามของส่วนกลาง โดยมีเจ้าหน้าที่ของราชการบริหารส่วนกลาง ซึ่งเป็นผู้แทนกระทรวง ทบวง กรม ในส่วนกลางไปประจำตามภูมิภาคเหล่านั้น ส่วนการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นใช้หลักการกระจายอำนาจโดยมอบอำนาจในการจัดการเกี่ยวกับการปกครองและการบริหารงานในท้องถิ่น ให้ราษฎรในท้องถิ่นไปจัดทำเองโดยราษฎรเลือกตัวแทนซึ่งเป็นบุคคลในท้องถิ่นนั้นๆ เข้าไปบริหารกิจการต่างๆ ในท้องถิ่น</p> <p><b>การจัดรูปองค์การบริหารราชการส่วนกลาง</b><b> </b><b>ประกอบด้วย</b></p> <p>๑. สำนักนายกรัฐมนตรี มีฐานะเทียบเท่ากระทรวง</p> <p>๒. กระทรวง ซึ่งประกอบด้วยกรมและส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเทียบเท่ากรม</p> <p>๓. ทบวง ซึ่งอาจสังกัดหรือไม่สังกัด สำนักนายกรัฐมนตรีหรือกระทรวงก็ได้</p> <p>๔. กรม หรือส่วนราชการอื่นที่เรียกชื่ออย่างอื่น และมีฐานะเป็นกรม ซึ่งอาจสังกัดหรือไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง ก็ได้</p> <p>ราชการบริหารราชการส่วนกลางประกอบด้วย นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดินตามกฎหมายระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน</p> <h6> </h6> <p>การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค</p> <p>การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคในปัจจุบัน ตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ และพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๔๗๕ กล่าวคือ ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑๘ ข้อ ๔๗ ได้จัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น</p> <p>๑. จังหวัด</p> <p>๒. อำเภอ</p> <p>สำหรับหน่วยการปกครองท้องที่รองลงมาจากอำเภอ แบ่งออกเป็น</p> <p>๑. กิ่งอำเภอ</p> <p>๒. ตำบล</p> <p>๓. หมู่บ้าน</p> <p>ทั้ง ๓ หน่วยการปกครองนี้ ถือเป็นการปกครองท้องที่ตามข้อ ๖๓ ของประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑๘ ซึ่งถือว่าเป็นกฎหมายระเบียบบริหารราชการแผ่นดินปัจจุบัน ได้กล่าวถึงการ ปกครองอำเภอว่า “การจัดการปกครองอำเภอ นอกจากที่ได้บัญญัติไวัในประกาศของคณะปฏิวัติให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการปกครองท้องที่”</p> <h5>จังหวัด</h5> <p>ตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดินปัจจุบัน จังหวัดหมายถึงหน่วยการปกครองส่วนภูมิ-ภาคที่รวมท้องที่หลายๆ อำเภอเข้าด้วยกัน ตั้งขึ้นเป็นจังหวัด จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้ง ยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ</p> <p><i>การจัดระเบียบบริหารราชการของจังหวัด</i> จัดระเบียบบริหารราชการออกเป็น ๒ ส่วน คือ</p> <p>๑. สำนักงานจังหวัด มีหน้าที่เกี่ยวกับราชการทั่วไปของจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาข้าราชการและรับผิดชอบ</p> <p>๒. ส่วนราชการต่างๆ ซึ่งกระทรวง ทบวง กรม ได้ตั้งขึ้นมีหน้าที่เกี่ยวกับราชการของกระทรวง ทบวง กรม นั้นๆ โดยมีหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัดนั้นๆ เป็นผู้ปกครองบังคับบัญชา รับผิดชอบ</p> <p>ในจังหวัดหนึ่งๆ มีผู้ว่าราชการจังหวัดคนหนึ่งเป็นผู้รับนโยบายและคำสั่งจากนายกรัฐ-มนตรี คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม มาปฏิบัติการให้เหมาะสมกับท้องที่และประชาชน และเป็นหัวหน้าบังคับบัญชาข้าราชการส่วนภูมิภาคในเขตจังหวัด โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ช่วย ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นผู้ช่วยปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัด</p> <p>ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้ช่วยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นข้าราชการสังกัดกระทรวงมหาดไทย</p> <p><i>หัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด</i></p> <p>ในจังหวัดหนึ่งๆ จะมีหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด ซึ่งกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ส่งมาปฏิบัติหน้าที่ราชการที่เกี่ยวกับราชการของกระทรวง ทบวง กรมนั้นๆ และเป็นผู้บังคับบัญชา ข้าราชการส่วนภูมิภาคซึ่งกระทรวง ทบวง กรม นั้นๆ ส่งมาปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัด</p> <p><i>คณะกรมการจังหวัด</i></p> <p>ในจังหวัดหนึ่งๆ มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้นๆ คณะกรมการจังหวัดประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานโดยตำแหน่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัดซึ่งกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ส่งมาประจำ ฐานะของกรมการจังหวัดมีฐานะเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด </p> <h5>อำเภอ</h5> <p>อำเภอเป็นหน่วยการปกครองส่วนภูมิภาครองลงมาจากจังหวัดอยู่ในสายงานของจังหวัดแต่ไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคลเหมือนจังหวัด อำเภอหนึ่งๆ ประกอบด้วยเขตท้องที่ของหลายตำบลรวมกัน</p> <p>การจัดตั้ง ยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตอำเภอให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา การจัดระเบียบบริหารราชการอำเภอ แบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ </p> <p>๑. สำนักงานอำเภอ มีหน้าที่เกี่ยวกับราชการทั่วไปของอำเภอ มีนายอำเภอเป็นผู้ปก-ครองบังคับบัญชาและรับผิดชอบ</p> <p>๒. ส่วนต่างๆ ซึ่งกระทรวง ทบวง กรม ได้ตั้งขึ้นในอำเภอนั้น มีหน้าที่เกี่ยวกับราชการของกระทรวง ทบวง กรม นั้น มีหัวหน้าส่วนราชการประจำอำเภอนั้นเป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ</p> <p>นายอำเภอเป็นหัวหน้าปกครองบังคับบัญชาบรรดาข้าราชการในอำเภอและรับผิดชอบงานบริหารราชการอำเภอ โดยมีปลัดอำเภอและหัวหน้าส่วนราชการต่างๆ ในอำเภอเป็นผู้ช่วยเหลือนายอำเภอ ตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑๘ ได้กำหนดอำนาจและหน้าที่ของนายอำเภอว่า ให้บริหารราชการตามที่นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม มอบหมาย และบริหารราชการตามคำแนะนำและคำชี้แจงของผู้ว่าราชการจังหวัด รวมทั้งควบคุมการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น</p> <h5>กิ่งอำเภอ</h5> <p>กิ่งอำเภอเป็นหน่วยการปกครองท้องที่ซึ่งรวมหลายตำบล แต่ไม่มีลักษณะพอที่จะจัดตั้งเป็นอำเภอได้ การจัดตั้งกิ่งอำเภอ อำเภอหนึ่งๆ อาจจัดตั้งหลายกิ่งอำเภอก็ได้ เพื่อสะดวกในการ ปกครอง</p> <p>กิ่งอำเภอเป็นเขตการปกครองส่วนหนึ่ง ซึ่งรวมอยู่ในอำเภอ และหัวหน้าส่วนราชการของกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ ประจำกิ่งอำเภอก็คือ เจ้าหน้าที่ซึ่งแบ่งออกจากอำเภอให้มาประจำกิ่ง-อำเภอนั้นเอง</p> <h5>ตำบล</h5> <p>ตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๒๖ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ได้พิจารณาเห็นว่า ตำบลเป็นหน่วยการปกครองขั้นพื้นฐานของการปกครองส่วนภูมิภาค และเป็นหน่วยการปก-ครองที่มีความสำคัญเกี่ยวพันกับการปกครองส่วนภูมิภาคระดับอื่น จึงได้ประกาศแก้ไขการจัดระเบียบบริหารของตำบลเสียใหม่ตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๒๖</p> <p>ตำบลเป็นเขตการปกครองส่วนย่อยของอำเภอ หรือกิ่งอำเภอ การจัดตั้งตำบล กระทำได้เมื่อเข้าหลักเกณฑ์ที่กำหนดให้ กล่าวคือ เป็นท้องที่ๆ มีหมู่บ้านหลายๆ หมู่บ้านรวมกันรวม ๒๐ หมู่บ้าน การจัดตั้งตำบลทำโดยออกประกาศกระทรวงแล้วจึงประกาศในราชกิจจานุเบกษา</p> <p>การจัดระเบียบบริหารราชการตำบล ตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๒๖ ให้สภาตำบลประกอบด้วยคณะกรรมการสภาตำบล ซึ่งมีกำนันท้องที่เป็นประธานกรรมการสภาตำบล ผู้ใหญ่บ้านทุกหมู่บ้านในตำบลและแพทย์ประจำตำบลนั้น เป็นกรรมการสภาตำบลโดยตำแหน่ง และกรรมการสภาตำบลผู้ทรงคุณวุฒิหมู่บ้านละหนึ่งคน ซึ่งราษฎรในหมู่บ้านนั้นเป็นผู้เลือก</p> <p>ให้สภาตำบลมีที่ปรึกษาสภาตำบลหนึ่งคน ซึ่งแต่งตั้งจากปลัดอำเภอหรือพัฒนากรท้องที่ และมีเลขานุการสภาตำบลหนึ่งคน ซึ่งแต่งตั้งจากครูประชาบาลในตำบลนั้น</p> <p>ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๒๖ ได้กำหนดหน้าที่ของสภาตำบลให้บริหารงานตามที่ได้รับมอบหมายจากผู้ว่าราชการจังหวัด ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะปกครองท้องที่กำหนดไว้สำหรับคณะกรรมการตำบล รวมทั้งปฏิบัติหน้าที่ตามที่ทางราชการมอบหมายให้</p> <h5>หมู่บ้าน</h5> <p>หมู่บ้านเป็นเขตการปกครองท้องที่ๆ เล็กที่สุด การจัดตั้งหมู่บ้านกระทำโดยผู้ว่าราชการจังหวัดโดยรายงานไปยังกระทรวงมหาดไทยเพื่อขึ้นทะเบียนไว้ หมู่บ้านที่จะจัดตั้งอาจถือเอาจำนวนราษฎรหรือจำนวนบ้านเป็นเกณฑ์ กล่าวคือเป็นท้องที่ๆ มีราษฎรอยู่จำนวนประมาณ ๒๐๐ คน ก็จัดตั้งเป็นหมู่บ้านหนึ่งได้ หรือในกรณีท้องที่ใดจำนวนราษฎรไม่หนาแน่นและตั้งบ้านเรือนอยู่ห่างไกลกัน ถึงแม้ว่าจะมีราษฎรจำนวนน้อยก็ให้ถือจำนวนบ้านเป็นเกณฑ์ คือมีบ้านไม่ต่ำกว่า ๕ บ้าน ก็จัดตั้งเป็น หมู่บ้านหนึ่งได้</p> <p>การจัดระเบียบบริหารราชการของหมู่บ้านได้กำหนดให้หมู่บ้านหนึ่งมีผู้ใหญ่บ้านหนึ่งคน ซึ่งมาจากการที่ราษฎรเลือกตั้ง มาจากบุคคลในท้องถิ่นนั้นๆ ผู้ใหญ่บ้านจะมีอำนาจหน้าที่ปกครองราษฎรและรักษาความสงบเรียบร้อยในเขตหมู่บ้าน</p> <p>คณะกรรมการหมู่บ้านมีหน้าที่เสนอข้อแนะนำ และให้คำปรึกษาแก่ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้านจะประกอบด้วยผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ปลัดอำเภอฝ่ายปกครองเป็นกรรมการหมู่บ้านโดยตำแหน่งและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งราษฎรเลือกตั้งขึ้น มีจำนวนตามที่นายอำเภอเห็นสมควร แต่ต้องไม่น้อยกว่า ๒ คน</p> <p><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi4OBUpOWH2XpEcGeU4OFO-ehDbeeiwihCIBwOc6oy-rojB_ZHuVGIcsHcrN_ho6WEIEP5pAhyb-drcuzTGOddwgROduJhi7AJCKnxWBSC33lc2Ai_BcTqRHWl9pcbi1Qe8lRYfijuYYgY/s1600-h/clip_image0453.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image045" border="0" alt="clip_image045" src="http://lh4.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkRKE8OCUI/AAAAAAAAARA/0rx8Mip26U8/clip_image045_thumb.gif?imgmax=800" width="232" height="2" /></a><a href="http://lh4.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkRL5UT28I/AAAAAAAAARE/otM98pT_nOg/s1600-h/clip_image01252.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image012[5]" border="0" alt="clip_image012[5]" src="http://lh3.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkROStgnOI/AAAAAAAAARI/DMaRx7-Pk-s/clip_image0125_thumb.gif?imgmax=800" width="2" height="2" /></a></p> <p>ที่มา : <b>ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดพระนครศรีอยุธยา</b>. กรุงเทพฯ : อมรินทร์การพิมพ์,</p> <p>๒๕๒๖.</p> <hr align="left" size="1" width="33%" /> <p><a href="#_ftnref1_9168" name="_ftn1_9168">๑</a> แคว้นนี้นักวิชาการบางท่านเรียกแคว้นละโว้ บางท่านเรียกแคว้นอโยธยาและบางท่านเรียกแคว้นละโว้ - อโยธยา</p> <p><a href="#_ftnref2_9168" name="_ftn2_9168">๒</a> ศรีศักร วัลลิโภดม และคณะ, <b>ประวัติศาสตร์ไทยสมัยก่อนพุทธศตวรรษที่</b><b> </b><b>๒๐</b> (อัดสำเนา), หน้า ๒๑</p> <p><a href="#_ftnref3_9168" name="_ftn3_9168">๓</a> อยู่บริเวณทางตอนใต้ของเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา ที่แม่น้ำเจ้าพระยาประสบกับแม่น้ำป่าสัก แล้วลงสู่อ่าวไทย</p> <p><a href="#_ftnref4_9168" name="_ftn4_9168">๔</a> <b>ประชุมพงศาวดาร</b><b> </b><b>เล่ม</b><b> </b><b>๑</b> (คุรุสภา, ๒๕๐๖) หน้า ๕๓ - ๕๔</p> <p><a href="#_ftnref5_9168" name="_ftn5_9168">๕</a> ศรีศักร วัลลิโภดม และคณะ, เรื่องเดิม, หน้า ๒๑</p> <p><a href="#_ftnref6_9168" name="_ftn6_9168">๖</a> ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, “ชุมชนอโยธยา – อยุธยา – ปัญหาเรื่องวิวัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคม” <b>เอกสารสัมมนา</b><b></b></p> <p><b></b><b>ประวัติศาสตร์อยุธยา</b>, วิทยาลัยครูพระนครศรีอยุธยา, หน้า ๙</p> <p><a href="#_ftnref7_9168" name="_ftn7_9168">๗</a> พระยาโบราณราชธานินทร์, “เรื่องกรุงเก่า” <b>ประชุมพงศาวดารภาคที่</b><b> </b><b>๖๓</b> (คุรุสภา, ๒๕๑๒), หน้า ๒๖</p> <p><a href="#_ftnref8_9168" name="_ftn8_9168">๘</a> สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, <b>แสดงบรรยายพงศาวดารสยาม</b> (กรุงเทพฯ : ๒๔๖๗) หน้า ๔๒ - ๔๓</p> <p><a href="#_ftnref9_9168" name="_ftn9_9168">๙</a> ศรีศักร วัลลิโภดม, “กรุงอโยธยาในประวัติศาสตร์” <b>สังคมศาสตร์ปริทัศน์</b> ปีที่ ๔, ฉบับที่ ๙. ๒๕๑๐, หน้า ๗๗</p> <p><a href="#_ftnref10_9168" name="_ftn10_9168">๑๐</a> <b>พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา</b><b> </b><b>ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ</b> (คุรุสภา, ๒๕๑๕), หน้า ๔๔๓</p> <p><a href="#_ftnref11_9168" name="_ftn11_9168">๑๑</a> ในพงศาวดารโยนกกล่าวว่า เมื่อพระยามังราย เจ้าเมืองเชียงใหม่ ได้รับเชิญให้ตัดสินความขัดแย้งกันของพ่อขุน-</p> <p>รามคำแหงกับพระยางำเมือง เจ้าเมืองพระเยานั้น ทางลำบากพระทัยเป็นอย่างมาก เพราะพ่อขุนรามคำแหงทรง</p> <p>เป็นญาติกับพระยานครหลวง (กัมพูชา) พระยานครศรีธรรมราชและ พระยาศรีอยุธยา (พงศาวดารโยนก. คลัง-</p> <p>วิทยา : ๒๕๑๖ หน้า ๖๙)</p> <p><a href="#_ftnref12_9168" name="_ftn12_9168">๑๒</a> มีหลักฐานหลายฉบับ ที่กล่าวว่าพระเจ้าอู่ทองมาจากเมืองเพชรบุรี เช่น จดหมายเหตุลาลูแบร์ คำให้การชาว</p> <p>กรุงเก่า</p> <p><a href="#_ftnref13_9168" name="_ftn13_9168">๑๓</a> อาจจะมาสร้างวังอยู่ที่ตำบลเวียงเหล็ก (วัดพุทไธสวรรย์ปัจจุบันนี้) ซึ่งพระองค์ประทับอยู่ ๓ ปี จึงทรงย้ายมาสร้าง</p> <p>พระราชวังที่ตำบลหนองโสน (บึงพระราม) และสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี</p> <p><a href="#_ftnref14_9168" name="_ftn14_9168">๑๔</a> นิธิ เอียวศรีวงศ์, <b>อยุธยาตอนต้น</b><b> </b><b>รากฐานและความเป็นปึกแผ่น</b> (เอกสารอัดสำเนา), หน้า ๕</p> <p><a href="#_ftnref15_9168" name="_ftn15_9168">๑๕</a> สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, <b>พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาเล่ม</b><b> </b><b>๒</b> (กรุงเทพฯ : คลัง</p> <p>วิทยา, ๒๕๑๖) หน้า ๓๒๕</p> <p><a href="#_ftnref16_9168" name="_ftn16_9168">๑</a>๖ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท, <b>นิราศกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเสด็จไปตีเมืองพม่า</b><b> </b><b>พ</b><b>.</b><b>ศ</b><b>. </b></p> <p><b></b><b>๒๓๓๖</b> (โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๖๖), หน้า ๒๐</p> <p><a href="#_ftnref17_9168" name="_ftn17_9168">๑๗</a> มงเซเญอร์ ปาลเลกัวซ์, <b>เล่าเรื่องกรุงสยาม</b>. สันต์ ท.โกมลบุตร แปล (กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์ก้าวหน้า, ๒๕๒๐),</p> <p>หน้า ๗๙.</p> <p><a href="#_ftnref18_9168" name="_ftn18_9168">๑๘</a> เรื่องเดียวกัน, หน้า ๘๐.</p> <p><a href="#_ftnref19_9168" name="_ftn19_9168">๑๙</a> วัดสุวรรณดาราราม เดิมชื่อวัดทอง เป็นวัดโบราณที่สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกทรงสร้าง และพระบาทสมเด็จ-</p> <p>พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงปฏิสังขรณ์.</p> <p><a href="#_ftnref20_9168" name="_ftn20_9168">๒๐</a> เฉลิม สุขเกษม, “กรุศรีอยุธยา”<b> </b><b>อธิบายแผนที่พระนครศรีอยุธยากับคำวินิจฉัยของพระยาโบราณราช</b><b>-</b></p> <p><b></b><b>ธานินทร์เรื่องศิลปและภูมิสถานอยุธยา</b> พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพแม่แดง แขวัฒนะ (กรุงเทพฯ : </p> <p>โรงพิมพ์สามมิตร), หน้า ๑๒๑ - ๑๓๑</p> <p><a href="#_ftnref21_9168" name="_ftn21_9168">๒๑</a> พระยาโบราณราชธานินทร์, <b>ประชุมพงศาวดารภาคที่</b><b> </b><b>๖๓</b><b> </b><b>เรื่องกรุงเก่า</b>, หน้า ๑๗๗</p> <p><a href="#_ftnref22_9168" name="_ftn22_9168">๒๒</a> กองจดหมายเหตุแห่งชาติ, <b>เอกสารรัชกาลที่</b><b> </b><b>๕</b><b> </b><b>ม</b><b>.</b><b>๒๐</b><b>/</b><b>๒</b> “กรมหลวงดำรงราชานุภาพ กราบทูลพระบาทสมเด็จ-</p> <p>พระเจ้าอยู่หัว ลงวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ร.ศ. ๑๑๗“</p> <p><a href="#_ftnref23_9168" name="_ftn23_9168">๒๓</a> เรื่องเดียวกัน</p> <p><a href="#_ftnref24_9168" name="_ftn24_9168">๒๔</a> เดิมถือเป็นเกณฑ์ว่าหัวเมืองชั้นในต้องอยู่ภายในระยะเวลาที่ติดต่อกันได้ภายใน ๒ วัน</p> <p><a href="#_ftnref25_9168" name="_ftn25_9168">๒๕</a> สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, <b>เรื่องตำนานเมืองระนอง</b><b> </b><b>พ</b><b>.</b><b>ศ</b><b>. </b><b>๒๔๗๔</b>, หน้า ๑</p> <p><a href="#_ftnref26_9168" name="_ftn26_9168">๒๖</a> สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพและพระยาราชเสนา, <b>เทศาภิบาล</b>, หน้า ๗๖</p> <p><a href="#_ftnref27_9168" name="_ftn27_9168">๒๗</a> การปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลได้มีการยุบเลิกไปภายหลังเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕</p> <p><a href="#_ftnref28_9168" name="_ftn28_9168">๒๘</a> สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพและสมเด็จพระยาราชเสนา, <b>เทศาภิบาล</b>, หน้า ๕๒</p> <p><a href="#_ftnref29_9168" name="_ftn29_9168">๒๙</a> <b>ราชกิจจานุเบกษาเล่ม</b><b> </b><b>๑๑</b> วันที่ ๒๓ ธันวาคม ร.ศ. ๑๑๓. หน้า ๓๐๖ - ๓๐๗</p> <p><a href="#_ftnref30_9168" name="_ftn30_9168">๓๐</a> <b>ราชกิจจานุเบกษาเล่ม</b><b> </b><b>๑๔</b> วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๑๖. หน้า ๑๐๕ - ๑๒๕</p> <p><a href="#_ftnref31_9168" name="_ftn31_9168">๓๑</a> พระยาเกรียงไกรกระบวนยุทธ, <b>ตำราปกครอง</b><b> </b><b>๒๔๔๘</b>. หน้า ๑๔๗ - ๒๑๙</p> <p><a href="#_ftnref32_9168" name="_ftn32_9168">๓๒</a> ศาลารัฐบาลมณฑลก็คือ “ที่บัญชาการมณฑล”</p> <p><a href="#_ftnref33_9168" name="_ftn33_9168">๓๓</a> ในรัชการที่ ๗ ได้เปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลอยุธยาเมื่อ ๑๗ มีนาคม ๒๔๖๙</p> <p><a href="#_ftnref34_9168" name="_ftn34_9168">๓๔</a> กองจดหมายเหตุแห่งชาติ, <b>เอกสารรัชกาลที่</b><b> </b><b>๕</b><b> </b><b>ม</b><b>.</b><b>๒</b><b>/</b><b>๒๕</b> “เรื่องราชการเมืองสิงห์บุรีรวมเมืองพรหม ๑ เมือง</p> <p>อินทร ๑ เมือง เข้าเป็นเมืองสิงห์บุรี” (๒๘ สิงหาคม ร.ศ. ๑๑๕ - ๑๕ ธันวาคม ร.ศ. ๑๑๕) </p> <p><a href="#_ftnref35_9168" name="_ftn35_9168">๓๕</a> กองจดหมายเหตุแห่งชาติ, <b>เอกสารรัชกาลที่</b><b> </b><b>๕</b><b> </b><b>ย</b><b>.</b><b>๘</b><b>/</b><b>๑</b> “เรื่องประกาศตั้งกรมพิเศษชำระความหัวเมือง วันที่</p> <p>๒๑ กันยายน ร.ศ. ๑๑๕“</p> <p><a href="#_ftnref36_9168" name="_ftn36_9168">๓๖</a> กองจดหมายเหตุแห่งชาติ, <b>เอกสารรัชกาลที่</b><b> </b><b>๕</b><b> </b><b>ม</b><b>.</b><b>๔๐</b><b>/</b><b>๑</b> “เรื่องราชการมณฑลกรุงเก่า ๕ มิถุนายน ร.ศ. ๑๑๔“</p> <p><a href="#_ftnref37_9168" name="_ftn37_9168">๓๗</a> กระทรวงมหาดไทย, <b>ดำรงราชานุสรณ์</b>,หน้า ๒๙๙.</p> <p><a href="#_ftnref38_9168" name="_ftn38_9168">๓๘</a> สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพและพระยาราชเสนา, <b>เทศาภิบาล</b>, หน้า ๑๐๖</p> <p><a href="#_ftnref39_9168" name="_ftn39_9168">๓๙</a> กองจดหมายเหตุแห่งชาติ, <b>เอกสารรัชกาลที่</b><b> </b><b>๕</b><b> </b><b>ม</b><b>. </b><b>๔๐</b><b>/</b><b>๒</b> “มณฑลกรุงเก่า ๑๖ กันยายน ร.ศ. ๑๑๗“</p> <p><a href="#_ftnref40_9168" name="_ftn40_9168">๔๐</a> กองจดหมายเหตุแห่งชาติ, <b>เอกสารรัชกาลที่</b><b> </b><b>๕</b><b> </b><b>ม</b><b>. </b><b>๔๐</b><b>/</b><b>๒</b> “กรมหมื่นมรุพงศ์ศิริพัฒน์ ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑล</p> <p>กรุงเก่ารายงานราชการหัวเมืองในมณฑล ๑๖ กันยายน ร.ศ. ๑๑๗“</p> <p><a href="#_ftnref41_9168" name="_ftn41_9168">๔๑</a> พระยามหาอำมาตยาธิบดี (เส็ง วิริยศิริ), <b>การปกครองฝ่ายพลเรือน</b> หน้า ๙๙ - ๑๑๐</p> <p><a href="#_ftnref42_9168" name="_ftn42_9168">๔๒</a> ถวัลย์ วรเทพพุฒิพงษ์, <b>การเลือกตั้งกำนันผู้ใหญ่บ้าน</b>, หน้า ๑๕</p> <p><a href="#_ftnref43_9168" name="_ftn43_9168">๔๓</a> พิศาลสงคราม, “สำเนาตราพระราชสีห์น้อยเรื่องการปกครองท้องถิ่นของเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยถึงข้าหลวง</p> <p>เทศาภิบาล ลงวันที่ ๒๑ กันยายน ร.ศ. ๑๑๕“ <b>ตำราปกครอง</b><b> </b><b>เล่ม</b><b> </b><b>๑</b> หน้า ๙๕ - ๙๙</p> <p><a href="#_ftnref44_9168" name="_ftn44_9168">๔๔</a> กองจดหมายเหตุแห่งชาติ<b>, </b><b>เอกสารรัชกาลที่</b><b> </b><b>๕</b><b> </b><b>ย</b><b>.</b><b>๘</b><b>/</b><b>๕</b> “รายงานข้าหลวงพิเศษขำระความหัวเมือง” (๑๙ มกราคม</p> <p>ร.ศ. ๑๑๔ - ๑๗ มกราคม ร.ศ. ๑๑๗)</p> ไม้ไผ่http://www.blogger.com/profile/13079736154779537493noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3975884513971132653.post-35351489616517115282010-08-16T03:09:00.001-07:002010-08-16T03:09:57.435-07:00สระบุรี<p>ประวัติศาสตร์จังหวัดสระบุรี</p> <p>“สระบุรี” ตั้งอยู่ในภาคกลางของประเทศไทย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรง-ราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่า เมืองสระบุรีตั้งขึ้นประมาณ พ.ศ. ๒๐๙๒ ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักร-พรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยา คือหลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์แล้วปีเศษ (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๒๐๙๑–๒๑๑๑) </p> <h3>มูลเหตุตั้งเมืองสระบุรี</h3> <h4>ลักษณะการปกครองสมัยกรุงศรีอยุธยาระยะนั้น แบ่งการปกครองออกเป็นอย่างนี้</h4> <p>๑. หัวเมืองชั้นในและชานเมือง เรียกว่า มณฑลราชธานี ได้แก่ เมืองที่ตั้งอยู่ใกล้พระนคร ที่ปรากฏนามสำคัญคราวนั้น มี เมืองชลบุรี เมืองราชบุรี เมืองเพชรบุรีและเมืองชัยนาท เป็นต้น</p> <p>๒. หัวเมืองชานเมือง ได้แก่ เมืองลพบุรี เมืองสุพรรณบุรี เมืองนครนายก เป็นต้น</p> <p>๓. หัวเมืองฝ่ายเหนือ มีเมืองนครสวรรค์ เมืองสุโขทัย และเมืองพิษณุโลก เป็นต้น</p> <p>๔. หัวเมืองด้านตะวันออก มีเมืองนครราชสีมา เมืองเพชรบูรณ์ และเมืองจันทบุรี ตลอดจนเมืองปราจีนบุรี เป็นต้น</p> <p>๕. หัวเมืองด้านตะวันตก มีเมืองมะริด เมืองตะนาวศรี เป็นต้น</p> <p>๖. หัวเมืองปักษ์ใต้ มีเมืองนครศรีธรรมราช เมืองสุราษฎร์ธานี เป็นต้น</p> <p>การสำรวจสำมะโนครัวชายฉกรรจ์ หรือที่เรียกว่า “สักเลข” สมัยโน้น ได้แก่ การออกสำรวจชายหนุ่มรุ่นฉกรรจ์เข้ารับราชการทหารนั่นเอง สมัยนั้นผู้คนอยู่ส่วนเมืองใด ก็ให้สังกัดหัวเมืองนั้นๆ ยังไม่ได้เรียกเข้ามาร่วมกันกับมณฑลราชธานีแต่อย่างใด</p> <p>เนื่องจากมีความลักลั่นไม่เป็นระเบียบในการเกณฑ์ไพร่พลเช่นนี้ พอเกิดศึกสงครามมาประชิดติดพระนคร จึงไม่สามารถเรียกระดมพลได้เต็มที่ เนื่องจากเมืองไทยว่างเว้นศึกสงครามมาระยะหนึ่ง พอมีพม่าข้าศึกมา (พระเจ้าตะเบงชะเวตี้แห่งหงสาวดี) ยกทัพมาไทยเราก็พ่ายถึงกับต้องสูญเสียสมเด็จพระศรีสุริโยทัยอัครมเหสี ถูกพระเจ้าแปรแม่ทัพพม่าฟันสิ้นพระชนม์บนคอช้าง คราวที่ไสช้างออกไปกั้นช้างพระที่นั่งสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิมิให้เป็นอันตรายในสนามรบ (ทุ่งลุมพี ชานพระนครศรี-อยุธยา ด้านทิศเหนือ)</p> <p>ด้วยเหตุนี้เอง สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ จึงโปรดฯ ให้ตั้งเมืองใหม่ขึ้นอีก ๓ เมือง เพื่อให้สะดวกรวดเร็วและได้ผลทันต่อเหตุการณ์บ้านเมืองคราวเกิดศึกสงคราม คือ</p> <p>๑. ยกบ้านตลาดขวัญ ขึ้นเป็น เมืองนนทบุรี</p> <p>๒. ยกบ้านท่าจีน ขึ้นเป็น เมืองสาครบุรี (จังหวัดสมุทรสาคร)</p> <p>๓. แบ่งเอาเขตเมืองราชบุรี กับเขาเมืองสุพรรณบุรี มารวมกันตั้งขึ้นเป็น เมืองนครชัยศรี (อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม)</p> <p>ทั้งนี้จะสังเกตได้ว่า เมืองเดิมที่ตั้งอยู่ชานพระนครเคยมีอยู่เดิมแล้ว เช่น เมืองสุพรรณบุรี เมืองอินท์บุรี เมืองพรหมบุรี เมืองสิงห์บุรี และเมืองลพบุรี เมื่อตั้งเมืองเพิ่มเข้ามาอีก จึงสามารถจะติดต่อกันได้แต่ละหัวเมืองภายในหนึ่งวันเท่านั้น นี้เป็นมูลเหตุตั้งเมืองขยายออกไปรอบพระนครหลวง เพื่อรวบรวมไพร่พลไว้ต่อสู้ข้าศึก </p> <p>สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานไว้ว่า เมืองสระบุรี เมืองฉะเชิงเทรา คงจะถูกตั้งขึ้นด้วยกันคราวนั้นเป็นแน่แท้ จากพระราชพงศาวดารที่ปรากฏตอนหนึ่งว่า</p> <p>“ไพร่บ้านเมืองตรีจัตวา ปากใต้ฝ่ายเหนือ เข้าพระนครครั้งนี้น้อยนัก หนีออกอยู่ป่าห้วยเขา ต้อนไม่ได้เป็นอันมาก ให้เอาบ้านท่าจีน ตั้งเป็นเมืองสาครบุรี ให้เอาบ้านตลาดขวัญ ตั้งเป็นเมืองนนทบุรี ให้แบ่งเอาแขวงเมืองราชบุรี แขวงเมืองสุพรรณบุรี ตั้งเป็นเมืองนครชัยศรี แล้วปรึกษาว่า กำแพงลพบุรี (เมืองนครนายก เมืองสุพรรณบุรี) ๓ เมืองนี้ควรจะล้างเสียหรือจะเอาไว้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ พระราม-เมศวร พระมหินทราธิราช กับมุขมนตรีพร้อมกันปรึกษากราบทูลว่า จะให้ไปรับทัพหัวเมืองนั้น ถ้ารับได้ก็จะเป็นคุณ ถ้ารับมิได้ข้าศึก สังกัดสมสกรรจ์พันจะอาศัยให้รื้อกำแพงเสียดีกว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็บัญชาตาม แล้วให้ตั้งพิจารณาเลขลำเครื่อง ๒๐๐,๐๐๐ เศษ”<a href="#_ftn1_5308" name="_ftnref1_5308">๑</a></p> <p>อนึ่งเมืองสระบุรีนั้น ที่ตั้งตัวเมืองคราวแรก คงจะไม่ได้กำหนดเขตแดนไว้แน่นอนและยังไม่ปรากฏว่าเคยได้ตั้งผู้รั้งตำแหน่งเจ้าเมืองอย่างเป็นทางการ แต่อย่างใดไว้คงจะแบ่งเอาบางส่วนจากแขวงเมืองลพบุรี แขวงเมืองนครราชสีมา และแขวงเมืองนครนายก ตั้งขึ้นเป็นเมืองสระบุรี ในคราวเดียวกันนั้น ทั้งนี้เพราะเขตที่กันขึ้นเป็นเมืองสระบุรี เป็นเขตที่คลุมบางส่วนของลำแม่น้ำป่าสัก สะดวกต่อการเดินทัพขึ้นไปทางภาคตะวันออก - ตะวันออกเฉียงเหนือ และยังเคยเป็นเส้นทางที่พวกขอมสมัยโบราณเคยใช้เดินทางมาก่อนแล้วด้วย</p> <p>เส้นทางคมนาคมพวกขอมผ่านเมืองสระบุรีสมัยโบราณ (ก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา)</p> <p>ในหนังสือเรื่อง “เที่ยวตามทางรถไฟ” พระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงอธิบายแยกเรื่องความเป็นมาของสระบุรีไว้แต่ละยุคสมัย ดังนี้</p> <h6>สมัยกรุงละโว้ (ลพบุรี) ต่อมาถึงสมัยอโยธยา</h6> <p>“ท้องที่อันเป็นเขตจังหวัดสระบุรี แต่โบราณครั้งเมื่อพวกขอมยังเป็นใหญ่ในประเทศนี้ อยู่ในทางหลวงสายหนึ่ง ซึ่งพวกขอมไปมาติดต่อกับราชธานีที่นครหลวง (ซึ่งเรียกในภาษาขอมว่า นครธม) ยังมีเทวสถานซึ่งพวกขอมสร้างเป็นปรางค์หินไว้ตามที่ได้ตั้งเมืองปรากฏอยู่เป็นระยะมา คือในเขตจังหวัดปราจีนบุรี มีที่อำเภอวัฒนานครแห่ง ๑ ที่ดงศรีมหาโพธิ์แห่ง ๑ ต่อมาถึงเขตจังหวัดนครนายก มีที่ดงละครแห่ง ๑ แล้วมามีที่บางโขมด ทางขึ้นพระพุทธบาทอีกแห่ง ๑ ต่อไปก็ถึงลพบุรี ซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑลละโว้ ที่พวกขอมมาตั้งปกครอง แต่ที่ใกล้ลำน้ำป่าสักซึ่งตั้งจังหวัดสระบุรี หาปรากฏสิ่งสำคัญครั้งขอมอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ เพราะฉะนั้นเมืองสระบุรีเห็นจะเป็นเมืองตั้งขึ้นต่อเมื่อไทยได้ประเทศนี้จากขอมแล้ว ข้อนี้สมด้วยเค้าเงื่อนในพงศาวดาร ด้วยชื่อเมืองสระบุรีปรากฏในเรื่องพงศาวดารเป็นครั้งแรก เมื่อรัชกาลสมเด็จพระมหินทราธิราช…”</p> <h6>สมัยกรุงศรีอยุธยา</h6> <p><b></b>“เมื่อพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองยกกองทัพมาล้อมพระนครศรีอยุธยา พระไชยเชษฐาเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตยกกองทัพเมืองเวียงจันท์ลงมาช่วยไทย เดินกองทัพเลียบลำน้ำป่าสักลงมา พระเจ้า-หงสาวดีให้พระมหาอุปราชคุมกองทัพไปซุ่มดักทางอยู่ที่เมืองสระบุรีตีกองทัพกรุงศรีสัตนาคนหุตแตกกลับไป ดังนี้เป็นอันได้ความว่า เมืองสระบุรีตั้งมาก่อน พ.ศ. ๒๑๑๒ แต่จะตั้งเมื่อใดข้อนี้ได้แต่สันนิษฐานตามเค้าเงื่อนที่มีอยู่ คือเมื่อในแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระราชบิดาของสมเด็จพระมหินทราธิ-ราชนั้น พระเจ้าหงสาวดีตะเบงชะเวตี้ ยกกองทัพเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. ๒๐๙๑ ในสมัยนั้นมีเมืองป้อมปราการเป็นเขื่อนขัณฑ์กันราชธานีอยู่ทั้ง ๔ ทิศ คือเมืองสุพรรณบุรีอยู่ทางทิศตะวันตก เมืองลพบุรีอยู่ทางทิศเหนือ เมืองนครนายกอยู่ทางทิศตะวันออก และเมืองพระประแดงอยู่ทางทิศใต้ กองทัพพระเจ้าหงสาวดียกเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ ข้างทิศตะวันตก กองทัพไทยจึงไปตั้งต่อสู้อยู่ที่เมืองสุพรรณบุรีรับข้าศึกไม่อยู่ต้องถอยเข้ามาเอาพระนครศรีอยุธยาเป็นที่มั่น จึงได้ชัยชนะ เป็นเหตุให้เห็นว่าเป็นเมืองที่ตั้งเป็นเขื่อนขัณฑ์กันพระนครนั้น หาเป็นประโยชน์ดังที่คาดมาแต่ก่อนไม่ ที่สร้างป้อมปราการไว้ ถ้าข้าศึกเอาเป็นที่มั่นสำหรับทำการสงครามแรมปี ตีพระนคร ก็จะกลับเป็นประโยชน์แก่ข้าศึก จึงให้รื้อป้อมปราการเมืองสุพรรณบุรี เมืองลพบุรี และเมืองนครนายกเสียทั้ง ๓ เมือง คงไว้แต่ที่เมืองพระประแดง ซึ่งรักษาทางปากน้ำ อีกประการ ๑ เห็นว่า ที่รวบรวมผู้คนในเวลาเกณฑ์ทัพยังมีน้อยแห่งนัก จึงได้ตั้งตัวเมืองเพิ่มเติมขึ้นอีกหลายเมือง สำหรับเป็นที่รวบรวมผู้คนเพื่อจะได้เรียกระดมมารักษาพระนครได้ทันท่วงที ในเวลาการสงครามมีมาอีก เมืองที่ตั้งใหม่ครั้งนั้นระบุชื่อไว้ในหนังสือพระราชพงศาวดาร แต่ทางทิศใต้กับทางทิศตะวันตก คือ เมืองนนทบุรี ๑ เมือง สาครบุรี ๑ (สมุทรสาคร) เมือง ๑ และเมืองนครไชยศรีเมือง ๑ แต่ทางทิศอื่นหาได้กล่าวไม่ เมืองสระบุรี (และเมืองฉะเชิงเทรา) เห็นจะตั้งขึ้นในครั้งนี้นั่นเอง คือตั้งเมื่อราว พ.ศ. ๒๐๙๒ ก่อนปรากฏชื่อในพระราชพงศาวดารเพียง ๒๐ ปี เหล่าเมืองที่ตั้งครั้งนั้นเป็นแต่สำหรับรวบรวมผู้คนดังกล่าวมา จึงกำหนดแต่เขตแดนมิได้สร้างบริเวณเมือง ผู้รั้งตั้งจวน อยู่ที่ไหนก็ชื่อว่าเมืองอยู่ตรงนั้น ไม่เหมือนเมืองที่ตั้งมาแต่ก่อน เช่น เมืองราชบุรี และเมืองเพชรบุรี เป็นต้น เมืองตั้งสำหรับรวบรวมคนเช่นว่ามานี้ มีอีกหลายเมือง พึ่งมาตั้งบริเวณเมืองประจำที่ทั่วกันต่อเมื่อรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์”</p> <p>ดังกล่าวมานี้ เป็นประวัติความเป็นมาของเมืองสระบุรีโดยมีเค้าเงื่อนพอเชื่อถือได้ไม่น้อยเลย</p> <h5>นามเจ้าเมืองสระบุรีที่ปรากฏในพงศาวดาร</h5> <p>ตำแหน่งบรรดาศักดิ์เจ้าเมืองสระบุรี ปรากฏเด่นชัดในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๒๕ ก่อนที่พระองค์จะเสด็จยกทัพไทยไปตีเมืองเขมร แต่ไม่ทราบนามจริง คงทราบแต่ว่ามีบรรดาศักดิ์เป็น “พระสระบุรี” เท่านั้น ซึ่งเทียบเท่ากับเจ้าเมืองฉะเชิงเทรา ที่มีบรรดาศักดิ์เป็น “พระ” เช่นกัน ส่วนเจ้าเมืองนครนายกกับเจ้าเมืองปราจีนบุรี มีบรรดาศักดิ์เป็น “พระยา”</p> <p>เจ้าเมืองสระบุรีสมัยสมเด็จพระนเรศวรนั้น น่าจะยังเป็นคนไทยภาคกลางอยู่ มีหน้าที่คุมรักษาฉางข้าวไว้ให้กองทัพหลวง ครั้งยกไปตีเขมรคราวนั้น คงจะเป็นเพราะให้ชาวเมืองสระบุรี สมัยนั้นทำไร่ทำนาเก็บเกี่ยวข้าวไว้สำหรับทางราชการงานสงครามเมื่อต้องการ</p> <h6>สมัยกรุงรัตนโกสินทร์</h6> <p>จวบกระทั่งสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ตำแหน่งเจ้าเมืองสระบุรี ก็ยังมีบรรดาศักดิ์เป็นพระอยู่ถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) เจ้าเมืองสระบุรีมีบรรดาศักดิ์เป็น “พระยา-สุราราชวงศ์” ตามพระราชพงศาวดารว่าเป็นชนเผ่าลาวพุงดำ ซึ่งถูกเกณฑ์อพยพมาตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ยังเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพขึ้นไปตีนครเวียงจันทน์ (สมัยกรุงธนบุรี) แล้วมาตั้งรกราก ณ แขวงเมืองสระบุรี พ.ศ. ๒๓๒๔ แต่พระยาสุราราชวงศ์ เจ้าเมืองสระบุรีคนนี้ถูกเมืองขวาเชียงใต้ แม่ทัพเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ยกทัพลงมาต้อนครัวชาวสระบุรีขึ้นไปเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๙ คาดว่าคงจะเสียชีวิตคราวคุณหญิงโม (ท้าวสุรนารี) สู้กับไพร่พลลาวเวียงจันทน์ที่ทุ่งสัมฤทธิ์ เมืองพิมาย นครราชสีมา</p> <p>ล่วงมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) ระยะนั้นการปก-ครองหัวเมืองยังไม่เข้ารูปลักษณะการปกครองอย่างสมัยนี้ เจ้าเมืองสระบุรี ท่านผู้นี้คงจะเป็นลาวพุงดำเชื้อสายจากนครเวียงจันทน์ด้วย ทางการมีการแต่งชื่อเจ้าเมือง และกรมการเมืองใหม่กันอีก คือ</p> <p>เมืองลพบุรี เดิมนามว่า พระนครพราหมณ์ ตั้งใหม่เป็นพระยาสุจริตรักษาลพบุรานุรัก-พิทักษ์ทวีชาติภูมิ ตำแหน่งเจ้าเมือง ส่วนปลัดเมืองเดิมนามว่า ขุนบุรีราชรักษา ตั้งใหม่เป็นพระนครพราหมณ์</p> <p>เมืองพระพุทธบาท (แก้วประศักเมืองปรันตปะ) เดิมนามว่า ขุนอนันตคีรี ตั้งใหม่เป็นหลวงสัจจภัณฑคิรี ศรีรัตนไพรวัน เจติยาสันคามวาสีนพคูหาพนมโขลน</p> <p>เมืองสระบุรี เดิมนามว่า ขุนสรบุรีปลัด ตั้งใหม่เป็น พระสยามลาวบดีปลัด ตำแหน่งเจ้าเมือง</p> <h5>การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล</h5> <p>หลังจากจัดหน่วยราชการบริหารส่วนกลางโดยมีกระทรวงมหาดไทย ในฐานะเป็นส่วนราชการที่เป็นศูนย์กลางอำนวยการปกครองประเทศและควบคุมหัวเมืองทั่วประเทศแล้ว การจัดระเบียบการปกครองต่อมาก็มีการจัดตั้งหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาค มีสภาพและฐานะเป็นตัวแทนหรือหน่วยงานประจำท้องที่ของกระทรวงมหาดไทยขึ้น อันได้แก่ การจัดรูปการปกครองแบบเทศาภิบาล ซึ่งถือได้ว่า เป็นระบบการปกครองอันสำคัญยิ่งที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงนำมาใช้ปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคในสมัยนั้น การปกครองแบบเทศาภิบาล เป็นระบบการปกครองส่วนภูมิภาคที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการจากส่วนกลางออกไปบริหารราชการใน ท้องที่ต่างๆ เป็นการรวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางอย่างมีระเบียบ และเปลี่ยนระบบการปกครอง ประเพณีปกครองดั้งเดิมของไทย คือระบบกินเมือง ให้หมดไป</p> <p>การปกครองหัวเมืองก่อนวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๓๕ นั้น อำนาจปกครองบังคับบัญชามีความหมายแตกต่างกันออกไปตามความใกล้ไกลของท้องถิ่น หัวเมืองหรือประเทศราชยิ่งไกลไปจากกรุงเทพฯ เท่าใด ก็ยิ่งมีอิสระในการปกครองตนเองมากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากทางคมนาคมไปมาหาสู่ลำบาก หัวเมืองที่รัฐบาลปกครองบังคับบัญชาได้โดยตรงก็มีแต่หัวเมืองจัตวาใกล้ๆ ส่วนหัวเมืองอื่นๆ มีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครองแบบกินเมืองและมีอำนาจอย่างกว้างขวาง ในสมัยที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ดำรงตำแหน่งเสนาบดี พระองค์ได้จัดให้รวมอำนาจการปกครองเข้ามาอยู่ยังจุดเดียวกัน โดยจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวง ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลมิให้อำนาจการบังคับบัญชาหัวเมืองไปอยู่ที่เจ้าเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลเริ่มจัดตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๓๕ จนถึง พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงสำเร็จและเพื่อความเข้าใจเรื่องนี้เสียก่อนในเบื้องต้น จึงจะขอนำคำจำกัดความของ “การเทศาภิบาล” ซึ่งพระยาราชเสนา (สิริ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) อดีตปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทยตีพิมพ์ไว้ ซึ่งมีความว่า</p> <p>“การเทศาภิบาล คือ การปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการอันประกอบด้วยตำแหน่งข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาลของพระองค์ รับแบ่งภาระของรัฐบาลกลาง ซึ่งประจำอยู่แต่เฉพาะในราชธานีนั้น ออกไปดำเนินงานในส่วนภูมิภาค เป็นสื่อกลางระหว่างประชากรของประเทศซึ่งอยู่ห่างไกลจากรัฐบาลซึ่งอยู่ในราชธานี ให้ได้ใกล้ชิดกับอาณาประชากร เพื่อให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขและความเจริญทั่วถึงกัน โดยมีระเบียบแบบแผนอันเป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ ด้วย จึงแบ่งเขตการปกครองโดยขนาดลดหลั่นกันเป็นขั้นอันดับดังนี้คือ ส่วนใหญ่เป็นมณฑล รองถัดลงไปเป็นเมือง คือ จังหวัด รองไปอีกเป็นอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน จัดแบ่งหน้าที่ราชการเป็นส่วนสัดแผนกงานให้สอดคล้องกับทำนองการของกระทรวงทบวง กรม ในราชธานี และจัดสรรข้าราชการที่มีความรู้ สติปัญญา ความประพฤติดี ให้ไปประจำทำงานตามตำแหน่งหน้าที่มิให้มีการก้าวก่ายสับสนกันดังที่เป็นมาแต่ก่อน เพื่อนำมาซึ่งความเจริญเรียบร้อย และรวดเร็ว แก่ราชการและธุรกิจของประชาชน ซึ่งต้องอาศัยทางราชการเป็นที่พึ่งด้วย”</p> <p>จากคำจำกัดความดังกล่าวข้างต้น ควรทำความเข้าใจบางประการเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาล ดังนี้</p> <p>การเทศาภิบาล นั้น หมายความรวมว่า เป็น “ระบบ” การปกครองอาณาเขตชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า “การปกครองส่วนภูมิภาค” ส่วน “มณฑลเทศาภิบาล” นั้น คือ ส่วนหนึ่งของการปกครองชนิดนี้ และยังหมายความอีกว่า ระบบเทศาภิบาลเป็นระบบที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการส่วนกลางไปบริหารราชการในท้องที่ต่างๆ แทนที่ส่วนภูมิภาคจะจัดปกครองกันเอง เช่นที่เคยปฏิบัติมาแต่เดิม อันเป็นระบบกินเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลจึงเป็นระบบการปกครองซึ่งรวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลาง และริดรอนอำนาจของเจ้าเมืองตามระบบกินเมืองลงอย่างสิ้นเชิง</p> <p>นอกจากนี้ มีข้อที่ควรทำความเข้าใจอีกประการหนึ่ง คือ ก่อนการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาลนั้น ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก่อนปฏิรูปการปกครองก็มีการรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลเหมือนกัน แต่มณฑลสมัยนั้นหาใช่มณฑลเทศาภิบาลไม่ ดังจะอธิบายโดยย่อดังนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช ทรงพระราชดำริจะจัดการปกครองพระราชอาณาเขตให้มั่น-คงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทรงเห็นว่าหัวเมืองอันมีมาแต่เดิมแยกกันขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยบ้าง กระทรวงกลาโหมบ้าง และกรมท่าบ้าง การบังคับบัญชาหัวเมืองในสมัยนั้นแยกกันอยู่ถึง ๓ แห่ง ยากที่จะจัดระเบียบปกครองให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนกันได้ทั่วราชอาณาจักร ทรงพระราชดำริว่า ควรจะรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงให้ขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียว จึงได้มีพระ -</p> <p>บรมราชโองการแบ่งหน้าที่ระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงกลาโหมเสียใหม่ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๕ เมื่อได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยปกครองหัวเมืองทั้งปวงแล้ว จึงได้รวบรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลที่ข้าหลวงใหญ่เป็นผู้ปกครอง การจัดตั้งมณฑลในครั้งนั้นมีอยู่ทั้งสิ้น ๖ มณฑล คือ มณฑลลาวเฉียงหรือมณฑลพายัพ มณฑลลาวพวนหรือมณฑลอุดร มณฑลลาวกาวหรือมณฑลอีสาน มณฑลเขมรหรือมณฑลบูรพา และมณฑลนครราชสีมา ส่วนหัวเมืองทางฝั่งทะเลตะวันตกบัญชาการอยู่ที่เมืองภูเก็ต</p> <p>การจัดรวบรวมหัวเมืองเข้าเป็น ๖ มณฑล ดังกล่าวนี้ ยังมิได้มีฐานะเป็นมณฑลเทศาภิบาล การจัดระบบการปกครองมณฑลเทศาภิบาลได้เริ่มอย่างแท้จริงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นต้นมา และก็มิได้ดำเนินการจัดตั้งพร้อมกันทีเดียวทั่วราชอาณาจักร แต่ได้จัดตั้งเป็นลำดับดังนี้</p> <p>พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นปีแรกที่ได้วางแผนงานจัดระเบียบการบริหารมณฑลแบบใหม่เสร็จ กระทรวงมหาดไทยได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ๓ มณฑล คือมณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีนบุรี มณฑลนครราชสีมา ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากสภาพมณฑลแบบเก่ามาเป็นแบบใหม่ และในตอนปลายนี้ เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้โอนหัวเมืองทั้งปวงซึ่งเคยขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศมาขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียวแล้ว จึงได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลราชบุรีขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง</p> <p>พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๓ มณฑล คือ มณฑลนคร-ชัยศรี มณฑลนครสวรรค์ และมณฑลกรุงเก่า และได้แก้ไขระเบียบการจัดมณฑลฝ่ายทะเลตะวันตก คือ ตั้งเป็นมณฑลภูเก็ต ให้เข้ารูปลักษณะของมณฑลเทศาภิบาลอีกมณฑลหนึ่ง</p> <p>พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้รวมหัวเมืองมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๒ มณฑล คือ มณฑลนครศรีธรรมราช และมณฑลชุมพร</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้รวมหัวเมืองมลายูตะวันออกเป็นมณฑลไทรบุรี พ.ศ. ๒๔๔๒ ได้ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้เปลี่ยนแปลงสภาพของมณฑลเก่าๆ ที่เหลืออยู่อีก ๓ มณฑล คือ มณฑลพายัพ มณฑลอุดร และมณฑลอีสาน ให้เป็นมณฑลเทศาภิบาล</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๗ ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ เพราะเห็นว่ามีแต่จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๙ จัดตั้งมณฑลปัตตานีและมณฑลจันทบุรี</p> <p>พ.ศ. ๒๔๕๐ ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง</p> <p>พ.ศ. ๒๔๕๑ จำนวนมณฑลลดลง เพราะไทยต้องยอมยกมณฑลไทรบุรีให้แก่อังกฤษเพื่อแลกเปลี่ยนกับการแก้ไขสัญญาค้าขาย และเพื่อจะกู้ยืมเงินอังกฤษมาสร้างทางรถไฟสายใต้</p> <p>พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒ มณฑล มีชื่อใหม่ว่า มณฑลอุบลและมณฑลร้อยเอ็ด</p> <p>พ.ศ. ๒๔๕๘ จัดตั้งมณฑลมหาราษฎร์ขึ้น โดยแยกออกจากมณฑลพายัพ</p> <p>เมืองสระบุรี จึงพอทราบได้ว่า ที่ตั้งตัวเมืองดั้งเดิม ตั้งอยู่บริเวณบึงหนองโง้ง ใกล้วัดจันทบุรี ตำบลศาลารีลาว ซึ่งปัจจุบันเป็นตำบลเมืองเก่า อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี ในปี พ.ศ. ๒๔๓๓</p> <p>ต่อมา เมื่อเปลี่ยนแปลงตัวเจ้าเมืองคนใหม่ ก็ย้ายที่ทำการเจ้าเมืองต่อไปอยู่ที่บ้านไผ่ล้อมน้อย ตามบ้านเรือนที่เจ้าเมืองสร้างอยู่อาศัย แต่ก็คงยังอยู่ในเขตอำเภอเสาไห้นั่นเอง ศาลากลางเมืองสระบุรียังคงอยู่ตรงนั้นเรื่อยมาตราบเท่าสิ้นเจ้าเมืองที่ทางมณฑลกรุงเก่าส่งมาปกครอง เพราะเมืองสระบุรีสมัยนั้น สมัยแบ่งการปกครองเป็นมณฑล เมืองสระบุรีขึ้นอยู่กับมณฑลกรุงเก่า คือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปัจจุบัน</p> <p>เจ้าเมืองคนใหม่ที่ทางมณฑลแต่งตั้งมาปกครองเมืองสระบุรีระหว่างที่ศาลากลางเมืองอยู่บ้านไผ่ล้อมน้อยนั้น คือ พระยาพิชัยรณรงค์สงคราม (ดิศ) มาเป็นเจ้าเมืองตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๔๑ ถึง ๒๔๕๒</p> <p>ท่านเจ้าคุณพิชัยฯ เป็นเจ้าเมืองสระบุรีไม่นานนัก ก็พอดีในปี พ.ศ. ๒๔๓๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ได้โปรดให้สร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือขึ้นมาถึงเมืองสระบุรี ท่านเจ้าคุณพิชัยเห็นว่าตัวเมืองเดิมที่เสาไห้นั้น อยู่ห่างไกลจากทางรถไฟ ภูมิประเทศไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบันสมัยนั้น ยากแก่การขยายเมืองในอนาคต จึงได้ดำเนินการสร้างศาลากลางขึ้นใหม่ ณ บริเวณตำบลปากเพรียว การก่อสร้างได้ดำเนินการเรื่อยมาและสำเร็จสามารถโยกย้ายข้าราชการขึ้นทำงานบนศาลากลางได้ ก็เข้าถึงเจ้าเมืองสระบุรีคนที่ ๓ คือ พระยาบุรีสราธิการ (เป้า จารุเสถียร) บิดาของ จอมพลประภาส จารุเสถียร (ปี พ.ศ. ๒๔๕๖-๒๔๕๗)</p> <p>ศาลากลางหลังเก่าได้รับใช้ประชาชนเมืองสระบุรีมาจวบกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ทางการจึงใช้งบประมาณมาสร้างศาลากลางหลังใหม่ (ปัจจุบันนี้) ในสมัยของนายประพจน์ เรขะรุจิ ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี (พ.ศ. ๒๕๐๙-๒๕๑๓)</p> <p><b>การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน</b><b></b></p> <p>การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมืองเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบบประชาธิปไตยนั้น ปรากฏตามพระราชบัญญัติบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง นอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอแล้ว ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลอีกด้วย เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสีย เหตุที่ยกเลิกมณฑลน่าจะเนื่องจาก</p> <p>๑. การคมนาคมสื่อสารสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน สามารถที่จะสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง</p> <p>๒. เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศให้น้อยลง</p> <p>๓. เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล มณฑลรายงานต่อกระทรวง เป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น</p> <p>๔. รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆ มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วนภูมิภาคยิ่งขึ้น และการที่ยุบมณฑลก็เพื่อให้แต่ละจังหวัดมีอำนาจเท่าเทียมกันนั่นเอง</p> <p>ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินฉบับหนึ่ง ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดมีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนี้</p> <p>๑. จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่</p> <p>๒. อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคล ได้แก่ คณะกรรมการจังหวัด นั้น ได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่กับบุคคลคนเดียว คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด</p> <p>๓. ในฐานะของคณะกรรมการจังหวัด ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่น-ดินในจังหวัด ได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด</p> <p>ต่อมา ได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น</p> <p>๑. จังหวัด</p> <p>๒. อำเภอ</p> <p>จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลายๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้ง ยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้มีคณะกรรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของ ผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น</p> <p>จังหวัดสระบุรีปัจจุบันแบ่งการปกครองออกเป็น ๑๐ อำเภอ และ ๑ กิ่งอำเภอ คือ</p> <p>๑. อำเภอเมืองสระบุรี</p> <p>๒. อำเภอแก่งคอย</p> <p>๓. อำเภอหนองแค</p> <p>๔. อำเภอหนองแซง</p> <p>๕. อำเภอบ้านหมอ</p> <p>๖. อำเภอเสาไห้</p> <p>๗. อำเภอพระพุทธบาท</p> <p>๘. อำเภอวิหารแดง</p> <p>๙. อำเภอมวกเหล็ก</p> <p>๑๐. อำเภอหนองโดน</p> <p>๑๑. กิ่งอำเภอดอนพุด</p> <p>จังหวัดสระบุรีมีเขตการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ๑ เขต มีจำนวนผู้แทนราษฎร จำนวน ๓ คน ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี ๒๕๒๖ มีผู้สมัครได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดสระบุรี คือ</p> <p>๑. พลตรี ประมาณ อดิเรกสาร</p> <p>๒. นายเงิน บุญสุภา</p> <p>๓. นายปองพล อดิเรกสาร</p> <p>การปกครองส่วนภูมิภาค นอกจากอำเภอและกิ่งอำเภอแล้ว ยังมีหน่วยงานบริหารราชการส่วนภูมิภาคของหน่วยงานต่างๆ ที่ประจำในจังหวัดสระบุรี ดังนี้</p> <p>๑. สำนักงานจังหวัดสระบุรี</p> <p>๒. ที่ทำการปกครองจังหวัดสระบุรี</p> <p>๓. ที่ทำการอัยการจังหวัดสระบุรี</p> <p>๔. กองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดสระบุรี</p> <p>๕. เรือนจำจังหวัดสระบุรี</p> <p>๖. ที่ทำการพัฒนาชุมชนจังหวัดสระบุรี</p> <p>๗. สำนักงานที่ดินจังหวัดสระบุรี</p> <p>๘. ที่ทำการโยธาธิการจังหวัดสระบุรี</p> <p>๙. สำนักงานแรงงานจังหวัดสระบุรี</p> <p>๑๐. ที่ทำการประชาสงเคราะห์จังหวัดสระบุรี</p> <p>๑๑. ที่ทำการคลังจังหวัดสระบุรี</p> <p>๑๒. สำนักงานสรรพากรจังหวัดสระบุรี</p> <p>๑๓. สำนักงานสรรพสามิตจังหวัดสระบุรี</p> <p>๑๔. ที่ทำการราชพัสดุจังหวัดสระบุรี</p> <p>๑๕. สำนักงานเกษตรจังหวัดสระบุรี</p> <p>๑๖. สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดสระบุรี</p> <p>๑๗. สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี</p> <p>๑๘. สำนักงานป่าไม้จังหวัดสระบุรี</p> <p>๑๙. สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดสระบุรี</p> <p>๒๐. สำนักงานสหกรณ์จังหวัดสระบุรี</p> <p>๒๑. สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสระบุรี</p> <p>๒๒. สำนักงานขนส่งจังหวัดสระบุรี</p> <p>๒๓. สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสระบุรี</p> <p>๒๔. ที่ทำการสัสดีจังหวัดสระบุรี</p> <p>๒๕. สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสระบุรี</p> <p>๒๖. สำนักงานพาณิชย์จังหวัดสระบุรี</p> <p>๒๗. สำนักงานจัดรูปที่ดินจังหวัดสระบุรี</p> <p>การบริหารราชการส่วนกลาง มีหน่วยงานของส่วนกลางและรัฐวิสาหกิจ ที่มีที่ตั้งและพื้นที่ทำการในเขตจังหวัดสระบุรีอีก ดังนี้</p> <p>๑, ป่าไม้เขตสระบุรี</p> <p>๒. สถานีรถไฟจังหวัดสระบุรี</p> <p>๓. ที่ทำการสถานีไฟฟ้าย่อยสระบุรี</p> <p>๔. สถานีตำรวจทางหลวงหินกอง</p> <p>๕. สำนักงานพัฒนาชุมชนเขต ๑</p> <p>๖. ศูนย์มาลาเรียเขต ๑ พระพุทธบาท</p> <p>๗. ศูนย์กามโรคเขต ๑ พระพุทธบาท</p> <p>๘. ศูนย์วัณโรคเขต ๑๑ พระพุทธบาท</p> <p>๙. ศูนย์โภชนาการเขต ๑ พระพุทธบาท</p> <p>๑๐. ศูนย์สุขาภิบาลเขต ๑ พระพุทธบาท</p> <p>๑๑. ศูนย์ควบคุมโรคเรื้อนเขต ๑ สระบุรี</p> <p>๑๒. สำนักงานประปาชนบทที่ ๑</p> <p>๑๓. ไปรษณีย์โทรเลขสระบุรี</p> <p>๑๔. ไปรษณีย์โทรเลขปากเพรียว</p> <p>๑๕. ศูนย์โทรคมนาคม</p> <p>๑๖. โทรเลขสระบุรี</p> <p>๑๗. สวนพฤกษศาสตร์พุแค</p> <p>๑๘. สวนป่าพุแค</p> <p>๑๙. ศูนย์เพาะชำภาคกลาง (พุแค)</p> <p>๒๐. สถานีวนกรรมมวกเหล็ก</p> <p>๒๑. สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ทับกวาง</p> <p>๒๒. สถานีผสมเทียมสระบุรี</p> <p>๒๓. โครงการสูบน้ำและบำรุงรักษาเริงราง</p> <p>๒๔. โครงการสูบน้ำเสาไห้</p> <p>๒๕. ชลประทานท่าหลวง</p> <p>๒๖. นิคมสร้างตนเองพระพุทธบาท</p> <p>๒๗. นิคมสร้างตนเองเลี้ยงโคนมมวกเหล็ก</p> <p>๒๘. ศูนย์สาธิตและฝึกอบรมไทย – เยอรมัน</p> <p>๒๙. นิคมสร้างตนเองทับกวาง</p> <p>๓๐. หน่วยสหกรณ์นิคมหนองเสือ</p> <p>๓๑. สำนักงานช่างตวงวัดที่ ๑๓</p> <p>๓๒. โครงการสำรวจและพัฒนาน้ำบาดาล</p> <p>๓๓. อุทยานแห่งชาติน้ำตกสามหลั่น</p> <p>๓๔. สวนรุกขชาติมวกเหล็ก</p> <p>๓๕. องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย</p> <p>๓๖. สำนักงานการไฟฟ้าจังหวัดสระบุรี</p> <p>๓๗. สำนักงานชุมสายโทรศัพท์จังหวัดสระบุรี</p> <p>๓๘. ที่ทำการแขวงการทางสระบุรี</p> <p>๓๙. สำนักงานสถิติจังหวัดสระบุรี</p> <p>๔๐. สำนักงานชลประทานและบำรุงรักษาคลองเพรียว</p> <p>๔๑. สำนักงานออมสินจังหวัดสระบุรี</p> <p>๔๒. สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสระบุรี</p> <p><a href="http://lh5.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkOUmktf_I/AAAAAAAAAO0/KN3tiW-uoog/s1600-h/clip_image00142.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image001[4]" border="0" alt="clip_image001[4]" src="http://lh3.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkOYdgQyoI/AAAAAAAAAO4/Pxowtqit8UQ/clip_image0014_thumb.gif?imgmax=800" width="223" height="2" /></a></p> <p>ที่มา : <b>ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดสระบุรี</b>. สระบุรี : โรงพิมพ์ปากเพรียวการช่าง ๒, ๒๕๒๗ </p> <hr align="left" size="1" width="33%" /> <p><a href="#_ftnref1_5308" name="_ftn1_5308">๑</a> พระราชพงศาวดารกรุงสยาม (จากต้นฉบับของปริติรมิวเซียม) ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๐๗</p> ไม้ไผ่http://www.blogger.com/profile/13079736154779537493noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3975884513971132653.post-53627343430034946062010-08-16T02:56:00.001-07:002010-08-16T02:56:43.438-07:00ลพบุรี<p>ประวัติศาสตร์จังหวัดลพบุรี</p> <p><b>ลพบุรีสมัยก่อนประวัติศาสตร์</b><b></b></p> <p>ดินแดนซึ่งเป็นจังหวัดลพบุรีในปัจจุบันได้ค้นพบหลักฐานคือโครงกระดูก เครื่องมือ เครื่องใช้ และเครื่องประดับทำด้วยดินเผา หิน สัมฤทธิ์ เหล็ก ทองแดง กระดูกสัตว์ เปลือกหอย และแก้วของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในเขตอำเภอเมือง อำเภอโคกสำโรง อำเภอ ชัยบาดาล อำเภอพัฒนานิคม หลักฐานของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ดังกล่าวส่วนใหญ่พบอยู่ตามเนินดิน น้ำท่วมไม่ถึงอยู่ไม่ไกลจากภูเขา และมีทางน้ำไหลผ่านเฉพาะส่วนน้อยเท่านั้นที่พบอยู่ตามถ้ำในภูเขา</p> <p>สมัยก่อนประวัติศาสตร์มีผู้ให้คำจำกัดความว่าเป็นสมัยที่มนุษย์ยังไม่รู้จักประดิษฐ์อักษร ขึ้นใช้ ต่อเมื่อมนุษย์รู้จักประดิษฐ์อักษรขึ้นใช้แล้วจึงเรียกว่าเป็นสมัยประวัติศาสตร์ อายุสมัยก่อน ประวัติศาสตร์ในประเทศไทย ได้รับการศึกษาว่ามีอายุเก่าแก่ก่อน ๑๐,๐๐๐ ปีมาแล้ว จนถึงราว พ.ศ. ๑๐๐๐ ซึ่งเป็นสมัยที่อายุตัวอักษรแบบเก่าสุดได้ค้นพบในดินแดนนี้</p> <p>การศึกษาเรื่องก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทยเท่าที่เป็นมา ได้แบ่งออกเป็นยุคตามลักษณะเครื่องมือเครื่องใช้ที่พบ กล่าวคือ</p> <p>ยุคหินเก่า เป็นยุคเก่าสุด มนุษย์ใช้เครื่องมือขวานหินกะเทาะ</p> <p>ยุคหินกลาง มนุษย์รู้จักใช้ขวานหินกะเทาะที่ประณีตขึ้น</p> <p>ยุคหินใหม่ มีเครื่องมือทำด้วยหินที่ได้รับการขัดฝนเป็นอย่างดี</p> <p>ยุคโลหะ มีเครื่องมือเครื่องใช้ทำด้วยสัมฤทธิ์ เหล็ก และทองแดง</p> <p>ปัจจุบัน การศึกษาเรื่องสมัยก่อนประวัติศาสตร์ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากต่อลักษณะการดำรงชีพของมนุษย์ในสมัยนั้น จึงได้มีการแบ่งยุคออกเป็นสังคมก่อนเกษตรกรรม (Non-Agricultural Society) และสังคมเกษตรกรรม (Agricultural Society) ผลการขุดค้นทางโบราณคดีในประเทศไทยอาจจะสรุปในขั้นต้นนี้ได้ว่า ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์แต่ดั้งเดิมยุคหินเก่าและยุคหินกลางเป็นสังคมก่อนเกษตรกรรม ส่วนมนุษย์ยุคหินใหม่และยุคโลหะจัดเป็นพวกสังคมเกษตรกรรมรู้จักเพาะปลูก ทำภาชนะดินเผา ถลุงแร่และทอผ้า</p> <p>หลักฐานมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในจังหวัดลพบุรี ที่พบเก่าสุดได้แก่ขวานหินกะเทาะที่ศาสตราจารย์ ฟริทซ์ สารสิน นักโบราณคดีชาวสวิส ได้สำรวจพบจากถ้ำกระดำ (กระดาน) ตำบลเขาสนามแจง อำเภอบ้านหมี่ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ สันนิษฐานว่าเป็นเครื่องมือมนุษย์ยุคหินกลาง หลักฐานสมัยก่อนประวัติศาสตร์ยุคต่อมาคือยุคหินใหม่ได้ค้นพบเครื่องมือขวานหินขัดของมนุษย์ยุคหินใหม่มากมายกระจัดกระจายเกือบทุกอำเภอในจังหวัดลพบุรี และได้รับการขุดค้นแล้วนั้นคือที่ตำบลโคกเจริญ อำเภอโคกสำโรง ใน พ.ศ. ๒๕๐๙ และ พ.ศ. ๒๕๑๐ ที่สำคัญก็คือพบโครงกระดูกมนุษย์สมัยหินใหม่พร้อมเครื่องใช้และพบว่ามนุษย์ยุคหินใหม่ในแหล่งดังกล่าวรู้จักใช้ภาชนะดินเผาที่มีลักษณะคล้ายกับภาชนะดินเผาสมัยหินใหม่ที่พบที่จังหวัดขอนแก่นและจังหวัดกาญจนบุรี</p> <p>การขุดค้นอีกครั้งหนึ่งที่มีความสำคัญยิ่งสำหรับเรื่องสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในจังหวัดลพบุรีก็คือการค้นพบหลักฐาน มนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ยุคโลหะ พบกระจัดกระจายมากมาย ที่ได้รับการขุดค้นและกำหนดอายุได้นั้นคือการขุดค้นแหล่งก่อนประวัติศาสตร์ยุคโลหะในศูนย์การทหารปืนใหญ่ โดยกรมศิลปากรใน พ.ศ. ๒๕๐๗ - ๒๕๐๘ กำหนดอายุจากเศษเครื่องปั้นดินเผาได้ ๗๐๐ ปี ก่อน ค.ศ. ๑๖๖ มนุษย์พวกนี้รู้จักทอผ้าใช้มีเครื่องประดับกาย เช่น แหวน กำไล ลูกปัด ทำด้วยสัมฤทธิ์ แก้วและหินมีเทคโลโลยีสูงในเรื่องการโลหะกรรม</p> <p>หากกำหนดโดยลักษณะการดำรงชีพจะพบว่า มนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่อาศัยอยู่เขตจังหวัดลพบุรีจะมีทั้งเป็นพวกสังคมสมัยก่อนเกษตรกรรม คือ ยุคหินกลางและสังคมสมัยเกษตรกรรม คือยุคหินใหม่และยุคโลหะ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อยสำหรับจังหวัดลพบุรีที่ได้ค้นพบหลักฐานของการอยู่อาศัยของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ต่อเนื่องกันมาโดยตลอด</p> <p><b>ลพบุรีสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ </b><b>(ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๘)</b></p> <p>เมื่อเริ่มเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์ คือ มนุษย์รู้จักใช้ตัวอักษรนั้น ที่จังหวัดลพบุรีได้ค้นพบหลักฐานเป็นตัวอักษรชนิดที่เก่าสุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย เป็นจารึกอักษรปัลลวะ ภาษาบาลี ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๒ แต่หลักฐานซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เมืองลพบุรีตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๘ มีไม่มากพอต่อการคลี่คลายเหตุการณ์ทางด้านประวัติศาสตร์เมืองลพบุรีมากนัก และเป็นดังนี้จนถึงราวศตวรรษที่ ๑๙ เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ซึ่งพบว่าเมื่อเริ่มมีการใช้ตัวอักษรที่เมืองลพบุรี หรือปรากฏศิลปกรรมต่างๆ สะท้อนให้เห็นว่าสังคมเริ่มมีศาสนาอักษรศาสตร์ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ จนถึงช่วงแรกของพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ก่อนที่เมืองลพบุรีเป็นเมืองบริวารของอาณาจักรอยุธยา สมควรเรียกว่าเป็นสมัยกึ่งก่อนประวัติศาสตร์ (Pre to History) มีระยะเวลานานราว ๘ ศตวรรษ</p> <p>ในระยะ ๘ ศตวรรษของสมัยกึ่งก่อนประวัติศาสตร์สามารถแบ่งการศึกษาออกได้เป็นคาบต่างๆ โดยอาศัยข้อมูลทางด้านภาษา ศิลปกรรม ตำนาน และจดหมายเหตุจีนได้ ดังนี้</p> <p>ลพบุรีในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๕ มีหลักฐานไม่มากนักที่สามารถนำมาใช้เพื่อเพิ่มพูนความรู้เรื่องเมืองลพบุรีในระยะพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๕ กล่าวคือ พงศาวดารเหนือกล่าวถึงพระยากาฬวรรณดิศได้ให้พราหมณ์ยกพลสร้างเมืองละโว้ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๐๐๒ ปีที่พระองค์ครองราชย์ใช้เวลาสร้าง ๑๙ ปี แต่เรื่องดังกล่าวคงจะต้องหาหลักฐานอื่นมาสอบเทียบ เพราะพงศาวดารเหนือเขียนขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ห่างจากเหตุการณ์ที่เป็นจริงหลายศตวรรษ รวมทั้งข้อความในพงศาวดารส่วนใหญ่ค่อนข้างสับสน ทั้งศักราชก็คลาดเคลื่อนอยู่มาก นอกจากนี้ยังมีตำนานและภาษาบาลีเหนือเขียนขึ้นราว ๕๐๐ ปีเศษมาแล้ว เนื้อเรื่องไม่สับสน ศักราชเชื่อถือได้และถูกนำมาใช้อ้างอิงกันอย่างกว้างขวางคือตำนานชินกาลมาลีปกรณ์ กล่าวถึงฤษีวาสุเทพได้สร้างเมืองหริภุญไชย (ลำพูน) ใน พ.ศ. ๑๒๐๔ ต่อมาอีก ๒ ปี (พ.ศ. ๑๒๖๐) ได้ส่งทูตล่องไปตามแม่น้ำปิงไปเมืองลวปุระทูลขอเชื้อสายกษัตริย์ลวปุระให้มาปกครองกษัตริย์ลวปุระจึงได้พระราชทานพระนางจามเทวี พระราชธิดาให้ไปครองเมืองหริภุญไชย ชื่อเมืองลวปุระในตำนานชินกาลมาลีปกรณ์เป็นที่ยอมรับว่าคือเมืองลพบุรีในปัจจุบัน</p> <p>หลักฐานที่มีอายุในศตวรรษดังกล่าวที่เกี่ยวข้องกับเมืองลพบุรีอีกคือการค้นพบศิลาจารึกที่สำคัญ ๓ หลัก คือ</p> <p>๑. จารึกหลักที่ ๑๘ จารึกบนเสาแปดเหลี่ยมพบที่ศาลสูง (ศาลพระกาฬ) เป็นจารึกเนื่องในพุทธศาสนาภาษามอญโบราณ ลักษณะของเสาแปดเหลี่ยมเป็นศิลปกรรมที่ได้รับอิทธิพลศิลปะแบบหลังคุปตะของอินเดีย ศาสตราจาย์ยอร์ซ เซเดส์ นักปราชญ์ทางด้านความรู้เกี่ยวกับเอเซียตะวันออกเฉียงใต้กล่าวว่ามีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ หรือ ๑๔</p> <p>๒. จารึกหลักที่ ๑๖ จารึกบนฐานพระพุทธรูปยืนพบที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดลพบุรี ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ เป็นจารึกภาษาสันสกฤต กล่าวถึง “นายกอารุซวะ เป็นอธิบดีแก่ชาวเมืองตังคุร และเป็นโอรสของพระราชาแห่งศามพูกะ ได้สร้างรูปพระมุนีองค์นี้” เมืองตังคุรและเมืองศามพูกะนี้ยังไม่ทราบแน่นอนว่าอยู่ที่แห่งใด แต่คงอยู่ในที่ราบภาคกลางของประเทศไทยเพราะลักษณะพระพุทธรูปที่พบเป็นศิลปแบบที่ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นในภาคกลางของประเทศไทย</p> <p>๓. จารึกภาษาบาลีบนเสาแปดเหลี่ยมพบที่เมืองโบราณซับจำปา อำเภอชัยบาดาล มี ข้อความคัดลอกจากคัมภีร์พุทธสาสนา อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓</p> <p>สำหรับศิลปกรรมที่พบในจังหวัดลพบุรีที่มีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ - ๑๕ นั้น เป็นศิลปกรรมทางด้านพุทธศาสนาที่เก่าสุดแบบหนึ่งในประเทศไทย ซึ่งคงได้รับอิทธิพลศิลปกรรมอินเดียแบบคุปตะและแบบหลังคุปตะ (ศิลปะอินเดียวภาคกลางและภาคตะวันตก อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๙ - ๑๓) ชื่อเรียกศิลปกรรมแบบดังกล่าวได้เรียกว่าศิลปะแบบทวารวดี บัดนี้มีผู้เสนอให้เรียกว่า ศิลปมอญแบบภาคกลางประเทศไทย เพราะชาวมอญเป็นผู้กำเนิดเอกลักษณ์ผลงานศิลปะที่สร้างขึ้น ชนิดของศิลปกรรม ได้แก่ พระพุทธรูป พระธรรมจักรกวางหมอบ เศียรอสูร หรือเทวดา และปติมากรรมตกแต่งสถูป เท่าที่พบแกะสลักจากหินปูนและทำด้วยปูนปั้น</p> <p>จึงสรุปด้วยว่าเมื่อเข้าสู่สมัยทางประวัติศาสตร์ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๕ ลพบุรีคงเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่ง แว่นแคว้นอื่นจึงได้ยอมรับอำนาจและขอเชื้อสายไปปกครอง สังคมเดิมแบบก่อนประวัติศาสตร์คือสังคมเผ่าได้เปลี่ยนเป็นสังคมเมืองที่มีกษัตริย์ปกครอง มีภาษาที่ใช้คือภาษาสันสกฤต ภาษาบาลี และภาษามอญโบราณ ประชาชนนับถือพุทธศาสนา</p> <p><b>ลพบุรีในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ </b><b>- ๑๘</b></p> <p>ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๘ หลักฐานทางด้านประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเมืองลพบุรีมีมากขึ้นถ้าได้เปรียบเทียบกับใน ๕ ศตวรรษแรก หลักฐานที่สำคัญ ได้แก่ จารึกซึ่งค้นพบทั้งในประเทศไทย กัมพูชาประชาธิปไตย และหลักฐานที่ปรากฏในจดหมายเหตุจีน</p> <p>สำหรับหลักฐานทางด้านโบราณวัตถุสถานพบในเมืองลพบุรี ที่มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๘ มีความสำคัญช่วยสนับสนุนหลักฐานด้านประวัติศาสตร์ให้มั่นคงมากยิ่งขึ้น</p> <p>จากหลักฐานต่างๆ ที่ปรากฏอาจจะกล่าวได้ว่า ในระยะราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ -๑๘ ลพบุรีตกอยู่ภายใต้อำนาจทางการของอาณาจักรกัมพูชาเป็นครั้งคราว รวมทั้งได้ยอมรับเอาศิลปวัฒนธรรมของอาณาจักรกัมพูชาซึ่งมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่เมืองพระนคร กล่าวคือ</p> <p>ได้ค้นพบศิลาจารึกภาษาขอมที่เมืองลพบุรีที่สำคัญคือ จารึกหลักที่ ๑๙ พบที่ศาลสูง (ศาลพระกาฬ) ระบุศักราช ๙๔๔ ตรงกับ พ.ศ. ๑๕๖๕ มีข้อความกล่าวถึงพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ (ครองราชย์ พ.ศ. ๑๕๕๕ - ๑๕๙๓) มีประกาศให้บรรดานักบวชอุทิศกุศลแห่งการบำเพ็ญตะบะของตนถวายแด่ พระองค์ และออกพระราชกำหนดเพื่อป้องกันมิให้นักบวชเหล่านั้นถูกรบกวนภายในอาวาสของตน นอกจากนั้นพบจารึกหลักที่ ๒๑ ที่ศาลเจ้าลพบุรี ศาสตราจารย์ ยอร์ซ เซเดส์ กล่าวว่ามีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ เป็นจารึกภาษาเขมร จารึกขึ้นเพื่อให้ทราบถึงสิ่งของต่างๆ ที่อุทิศถวายแด่เทวรูปพระนารายณ์ในโอกาสที่มีการทำพิธีฉลองเทวรูป จารึกหลักนี้ออกชื่อเมือง “โลว” คือเมืองละโว้เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าที่เมืองละโว้มีผู้นับถือไวษณพนิกายของศาสนาฮินดูด้วย</p> <p>การตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเมืองของอาณาจักรกัมพูชาเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว จดหมายเหตุจีนระบุว่า พ.ศ. ๑๖๕๘ และ พ.ศ. ๑๖๙๘ ละโว้ส่งทูตไปจีน ศาสตราจารย์ ยอร์ซ เซเดส์ ให้ข้อสังเกตว่า พ.ศ. ๑๖๕๘ ปีที่ละโว้ส่งทูตไปจีนคราวแรก พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ แห่งอาณาจักรกัมพูชา (ครองราชย์ราว พ.ศ. ๑๖๕๖ - ราว ๑๖๙๓) เพิ่งครองราชย์ได้เพียง ๒ ปี คงจะเป็นสมัยที่พระองค์ยังไม่มีอำนาจมั่นคงนัก ลพบุรีจึงเป็นนครอิสระส่งทูตไปจีนได้ และใน พ.ศ. ๑๖๙๘ ปีที่ละโว้ส่งทูตไปจีนคราวหลังพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ สวรรคตแล้ว การส่งทูตไปเมืองจีนอาจจะเป็นความพยายามของละโว้ที่จะตัดความสัมพันธ์ฐานเป็นประเทศราชของอาณาจักรกัมพูชา</p> <p>เรื่องที่ละโว้ส่งทูตไปจีนนี้ได้รับการขยายความให้กระจ่างชัดมากยิ่งขึ้น เมื่อค้นพบศิลาจารึกที่ดงแม่นางเมืองที่จังหวัดนครสวรรค์ มีศักราชตรงกับ พ.ศ. ๑๗๑๐ ระบุเรื่องราวราชวงศ์ศรีธรรมา โศกราช ซึ่งมีนักประวัติศาสตร์บางกลุ่มกล่าวกันว่า เป็นราชวงศ์อิสระในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และลงความเห็นว่าคงเป็นราชวงศ์ปกครองเมืองลพบุรี จึงได้มีการสันนิษฐานว่าราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราชนั้นเองที่เป็นผู้พยายามแยกตัวเป็นอิสระจากอาณาจักรกัมพูชา</p> <p>หลักฐานอื่นๆ ที่แสดงให้เห็นอิทธิพลทางการเมืองของอาณาจักรกัมพูชาต่อเมืองลพบุรีอีกคือ ปรากฏภาพสลักนูนต่ำทหารละโว้บนผนังระเบียงปราสาทนครวัตซึ่งสร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้า สุริยวรมันที่ ๒ คู่กันกับภาพทหารสยาม โดยทหารละโว้มีนายทัพเป็นแม่ทัพขอม แสดงถึงอำนาจของอาณาจักรกัมพูชาที่มีเหนืออาณาจักรละโว้ในขณะนั้น จารึกปราสาทพระขรรค์ พ.ศ. ๑๗๓๔ ตรงกับ รัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ (ครองราชย์ พ.ศ. ๑๗๒๔ - ราว ๑๗๖๒) กล่าวถึงเมืองลโวทยะปุระซึ่งเป็นเมืองหนึ่งในจำนวน ๒๓ เมืองที่พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ได้พระราชทานพระชัยพุทธมหานาถ ซึ่งเป็น พระพุทธรูปฉลองพระองค์ไปประดิษฐาน นอกจากนั้นในจดหมายเหตุจีนของ เจา ซู กัว แต่งขึ้นใน พ.ศ. ๑๗๖๘ กล่าวว่า ละโว้เป็นประเทศราชประเทศหนึ่งของอาณาจักรกัมพูชา</p> <p>อิทธิพลทางการเมืองของอาณาจักรกัมพูชาต่อเมืองละโว้และประเทศราชอื่นๆ ลดน้อยลงหลังรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ศาสตราจารย์ ยอร์ซ เซเดส์ กล่าวว่า ในคริสศตวรรษที่ ๑๓ (ราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๘ กลางพุทธศตวรรษที่ ๑๙) กัมพูชาเริ่มประสบความลำบากเนื่องจากได้ขยายเขตออกไปมากเกินไปและโดยเฉพาะอย่างยิ่งได้มีภาระหนักในศตวรรษที่ ๑๒ (กลางพุทธศตวรรษที่ ๑๗ กลางพุทธศตวรรษที่ ๑๘) เพราะประชาชนถูกกษัตริย์ยิ่งใหญ่ ๒ พระองค์ ซึ่งเป็นทั้งนักรบและนัก ก่อสร้างเกณฑ์ไปใช้ กอปรกับได้ถูกพวกจับปารุกรานเมื่อ ค.ศ. ๑๑๗๗ (พ.ศ. ๑๗๒๐) กัมพูชาจึงอ่อนแอลงจนถึงกับเข้าสู่ยุคไม่มีขื่อไม่มีแป เมืองขึ้นและประเทศราชของกัมพูชาสามารถแข็งเมืองใน พ.ศ. ๑๘๓๙ โจว ตา กวน ทูตจีนได้ไปเยือนอาณาจักรกัมพูชาและได้เขียนหนังสือบทความเกี่ยวกับประเพณีของอาณาจักรกัมพูชชา มีข้อความหลายแห่งกล่าวถึงบทบาทของชาวสยามที่มีต่อาณาจักรกัมพูชา ทั้งทางด้านการทำสงครามศาสนาและเศรษฐกิจ</p> <p>หลักฐานทางด้านโบราณวัตถุสถานที่มีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๘ มีความสัมพันธ์กันเป็นอย่างดีกับหลักฐานทางด้านประวัติศาสตร์ กล่าวคือ ปรางค์แขกเป็นสถาปัตยกรรมแบบขอมได้รับการกำหนดอายุว่าอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๖ ต่อจากนั้นได้ค้นพบเศียรพระพุทธรูป พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเทวรูป ศิลปขอมแบบต่างๆ ที่เมืองลพบุรี มีอายุไล่เรี่ยกันมาคือ แบบบาปวน (อายุราว พ.ศ. ๑๕๕๓ - ๑๖๒๓) แบบนครวัต (อายุราว พ.ศ. ๑๖๔๓ - ๑๗๑๕) และแบบบายน (อายุราว พ.ศ. ๑๗๒๐ - ๑๗๗๓) พระปรางค์สามยอดศาสนสถานที่สำคัญและเป็นสัญญลักษณ์ของเมืองลพบุรีมีแบบและผังเป็นสถาปัตยกรรมขอมแบบบายน</p> <p>ศิลปกรรมแบบต่างๆ ที่พบแสดงให้เห็นว่ามีการนับถือพุทธศาสนาควบคู่กันไปกับศาสนาพราหมณ์ และที่สำคัญคือขอมคงนำพุทธศาสนาลัทธิมหายานมาฝังรากให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ในที่ราบภาคกลางประเทศไทยจึงได้ค้นพบประติมากรรมพระโพธิสัตว์หลายองค์ที่เป็นศิลปกรรมแบบขอม</p> <p><b>ลพบุรีในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ </b><b>- พ.ศ. ๑๘๙๓</b></p> <p>ตั้งแต่ปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เกิดความอ่อนแอภายในอาณาจักรกัมพูชาทำให้รัฐต่างๆ ที่เคยอยู่ภายใต้อำนาจปลีกตัวเป็นอิสระ ถึงแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานว่าละโว้ได้ต่อสู้เพื่อเป็นเอกราชตั้งแต่เมื่อใด ถ้าได้เปรียบเทียบกับสุโขทัยซึ่งมีหลักฐานว่าพ่อขุนผาเมืองและพ่อขุนบางกลางท่าวได้ร่วมมือกันขับไล่ “ขอมสมาดโขลญลำพง” ขุนนางขอมออกไปจากอาณาจักรได้ในราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ แต่ความอ่อนแอภายในของอาณาจักรกัมพูชาเอง จึงอาจจะกล่าวได้ว่าละโว้คงหลุดพ้นจากอิทธิพลทางการเมืองของอาณาจักรขอมในศตวรรษเดียวกับสุโขทัย</p> <p>เมื่ออิทธิพลทางการเมืองของอาณาจักรกัมพูชาหมดไป เกิดรัฐต่างๆ ที่มีบทบาทของตัวเองขึ้นทั่วไปในภาคเหนือและภาคกลางประเทศไทย ที่สำคัญคือรัฐพะเยา รัฐเชียงใหม่ รัฐสุโขทัย รัฐละโว้ รัฐต่างๆ เหล่านี้มีรูปการปกครองแบบนครรัฐ มีอาณาเขตในการปกครองไม่กว้างขวางมากนักและมีหลักฐานว่าได้เป็นไมตรีกันในระยะแรกๆ เช่น ตำนานทางภาคเหนือกล่าวถึงการร่วมปรึกษาหารือกันในการสร้างเมืองเชียงใหม่ ระหว่างผู้ปกครอง รัฐพะเยา รัฐสุโขทัย และรัฐเชียงใหม่ ในพงศาวดารโยนกกล่าวถึงพระยางำเมืองและพระร่วงเคยไปเรียนในสำนักพระสุกทันตฤษี ณ กรุงละโว้ เป็นต้น</p> <p>ลพบุรีในราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ เป็นรัฐอิสระเช่นเดียวกับเชียงใหม่และสุโขทัย ทั้งนี้มีหลักฐานที่สำคัญคือในศิลาจารึกสุโขทัย หลักที่ ๑ กล่าวถึงอาณาเขตสุโขทัยในรัชกาลพ่อขุนรามคำแหง (ครองราชย์ราว พ.ศ. ๑๘๒๒ - ราว ๑๘๔๒) ทางทิศใต้ว่ามีเมืองคณฑี (อยู่ใกล้กำแพงเพชร) เมืองพระบาง (นครสวรรค์) เมืองแพรก (สรรค์บุรี) เมืองสุพรรณภูมิ (สุพรรณบุรีหรืออ่างทอง) เมืองเพชรบุรี และเมืองนครศรีธรรมราช จะเห็นได้ว่าเว้นกล่าวถึงเมืองลพบุรีเมืองใหญ่ซึ่งอยู่ทางใต้ มีผู้สันนิษฐานว่าอาจจะมีการทำสัญญาเป็นมิตรกันระหว่างสุโขทัยกับลพบุรี เช่นเดียวกับสุโขทัยได้ทำกับเมืองน่านใน พ.ศ. ๑๘๓๐ นอกจากนี้ในจดหมายเหตุจีนกล่าวถึงละโว้ส่งทูตไปจีนใน พ.ศ. ๑๘๓๒ และ พ.ศ. ๑๘๔๒ เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นถึงความเป็นอิสระของรัฐลพบุรีในต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙</p> <p>ราชวงศ์หรือพระมหากษัตริย์พระองค์ใดเป็นผู้ปกครองเมืองลพบุรี ในต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ยังขาดหลักฐานที่หนักแน่นเพื่อไขความกระจ่างแจ้งอยู่มาก นอกจากในตำนานภาคเหนือกล่าวถึงพระรามาธิบดีผู้เป็นใหญ่ ในแคว้นกัมโพชและอโยชณปุระกับเรื่องพระรามาธิบดีกษัตริย์อโยชณปุระเสด็จมาจากกัมโพชทรงยึดเมืองชัยนาท เป็นที่ยอมรับกันว่าพระรามาธิบดีในตำนานภาคเหนือหมายถึงสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ผู้ทรงสถาปนาราชวงศ์ใหม่ขึ้นที่อยุธยาใน พ.ศ. ๑๘๙๓ แคว้นกัมโพช หมายถึงลพบุรีและอโยชณปุระหมายถึงอยุธยา จะเห็นได้ว่าตำนานภาคเหนือกล่าวถึงความเกี่ยวเนื่องระหว่างสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ เมืองลพบุรี และเมืองอยุธยา และทราบต่อมาว่าเมื่อสมเด็จพระรามา ธิบดีที่ ๑ ครองอยุธยาแล้ว ได้โปรดให้พระราชบุตรคือพระราเมศวรขึ้นไปครองเมืองลพบุรี อาจจะเป็นได้ว่าสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ครองเมืองลพบุรีมาก่อนแล้วจึงได้เสด็จย้ายไปครองเมืองอยุธยาและจึงให้พระราเมศวรครองเมืองลพบุรีแทน เรื่องดังกล่าวอาจจะสัมพันธ์กับข้อสังเกตของศาสตราจารย์ ยอร์ช เซเดส์ ทว่าอุดมการณ์ทางการเมืองของกษัตริย์อยุธยาตั้งแต่แรกเริ่มสถาปนาอาณาจักรต่างกับ อุดมการณ์ทางการเมืองของกษัตริย์สุโขทัย สำหรับกษัตริย์สุโขทัยโปรดให้ค้าขายได้โดยเสรีไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมภาษีเก็บพอประมาณ การเกณฑ์คนก็เป็นไปตามส่วนกำลังที่มีและไม่ใช้แรงคนชรา มรดกก็ยอมให้ตกทอดไปยังทายาทได้เต็มที่ ไม่มีการชักประโยชน์ไว้สำหรับกษัตริย์ แต่สำหรับกษัตริย์อยุธยาเป็นเทพเจ้าบนพิภพเช่นเดียวกับที่กัมพูชาหรือมิฉะนั้นอย่างน้อยก็เป็นเสมือนพระพุทธองค์ที่ยัง พระชนม์ชีพอยู่ ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ จึงสรุปไว้ว่าราชวงศ์สยามวงศ์ใหม่ (ราชวงศ์สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑) รับมรดกระบอบกษัตริย์จากนครวัตมาทั้งหมดน่าจะเป็นได้ว่าเพราะระบอบกษัตริย์ของสยามใหม่นี้ได้เกิดขึ้นในแวดวงที่ได้รับอารยธรรมเขมร เมืองที่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ได้รับมรดกระบอบกษัตริย์จากนครวัตอย่างเต็มที่นั้นควรจะเป็นที่เมืองลพบุรี</p> <p>การย้ายศูนย์กลางการปกครองจากเมืองลพบุรีไปอยุธยานั้นคงเกี่ยวเนื่องกับความ เหมาะสมของอยุธยาในทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ กล่าวคืออยุธยาตั้งอยู่ริมแม่น้ำใหญ่ เรือสินค้าขนาดใหญ่สามารถแล่นเข้าออกไปจนถึงเมือง นอกจากนั้นทำเลที่ตั้งอยุธยาอยู่ในจุดที่สามารถควบคุมเมืองใหญ่ใกล้เคียง เช่น เมืองสุพรรณบุรี เพชรบุรีได้ง่าย</p> <p>เมื่อมีการสถาปนาอยุธยาใน พ.ศ. ๑๘๙๓ แล้ว เมืองลพบุรีมีฐานะกลายเป็นเมืองลูกหลวงที่อุปราชปกครอง จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระราเมศวรซึ่งเปรียบได้กับตำแหน่งรัชทายาทขึ้นปกครอง</p> <p>จากการศึกษาเรื่องศิลปกรรมในเมืองลพบุรีทั้งทางด้านประติมากรรม และสถาปัตยกรรม ที่มีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๘ เป็นศิลปที่ได้รับอิทธิพลศิลปขอมแบบบายน และได้วิวัฒนาการจนมีลักษณะเฉพาะเรียกว่า ศิลปะแบบลพบุรีที่เห็นได้ชัดเจนคือปรางค์ประธานวัดพระศรีรัตนมหาธาตุลพบุรี ซึ่งสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ และคงเป็นต้นเค้าของบรรดาพระปรางค์ ทั้งหลายในประเทศไทยในศตวรรษต่อมา</p> <p><b>ลพบุรีในสมัยอยุธยา </b><b>(ระหว่าง พ.ศ. ๑๘๙๓ - ๒๓๑๐)</b></p> <p>เมืองสุโขทัยเสื่อมอำนาจลง คนไทยทางใต้ก็ตั้งแข็งเมืองไม่ยอมเป็นประเทศราช และ พระเจ้าอู่ทองก็สร้างพระนครศรีอยุธยาขึ้นในปี พ.ศ. ๑๘๙๓ และทรงประกาศอิสรภาพไม่ขึ้นต่อเมืองสุโขทัย ลพบุรีจึงกลายเป็นเมืองหน้าด่านที่คอยป้องกันพวกขอมทางตะวันออก และพวกสุโขทัยทางเหนือในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ก็ได้โปรดให้สมเด็จพระราเมศวรราชโอรสขึ้นไปครองเมืองลพบุรี ซึ่งอยู่ในฐานะเมืองลูกหลวงและใช้เป็นเครื่องถ่วงดุลย์อำนาจทางการเมืองกับสุพรรณบุรีซึ่งขุนหลวงพะงั่ว พี่ของพระมเหสีไปครองอยู่</p> <p>ต่อมาในสมัยของสมเด็จพระบรมราชาที่ ๑ (พ.ศ. ๑๙๒๑) อาณาจักรอยุธยาได้ขยายตัวออกไปกว้างขวางและรวมเอาสุโขทัยเป็นอาณาจักรเดียวกัน ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่เขมรอ่อนกำลังลงและได้ยกทัพไปตีเขมรถึงนครธมซึ่งเป็นราชธานีเขมร และเมื่อสมเด็จพระราเมศวรได้ครองราชย์เป็นครั้งที่ ๒ ก็ไม่ปรากฏว่าส่งพระราชโอรสขึ้นไปครองเมืองลพบุรี และในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้ทรงปรับปรุงการปกครอง โปรดให้ยกเลิกเมืองลูกหลวงทั้ง ๔ ด้านของราชธานีออก ลพบุรีจึงกลายเป็น หัวเมืองที่อยู่ในเขตราชธานีแต่นั้นมา</p> <p>ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โปรดให้สร้างเมืองลพบุรีเป็นราชธานีแห่งที่ ๒ รองจากพระนครศรีอยุธยา สถานที่สร้างพระราชวังนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชา-ภาพทรงสันนิษฐานว่า คงสร้างในที่ที่เป็นที่ประทับเดิมของสมเด็จพระราเมศวร สาเหตุที่สร้างเมืองลพบุรีเป็นราชธานีอีกแห่งหนึ่งก็เนื่องจากในปี พ.ศ. ๒๒๐๗ ได้เกิดวิกฤติการณ์ทางการค้ากับฮอลันดา พระองค์จึงหาทางป้องกันเหตุการณ์ต่างๆ อีกทั้งทรงเห็นว่าลพบุรีมีชัยภูมิเหมาะแก่การป้องกันตนเอง และลพบุรีมีแม่น้ำไหลผ่านแต่ไม่ลึกพอที่เรือขนาดใหญ่จะผ่านเข้าไปได้ สามารถติดต่อกับราชธานีสะดวก ซึ่งทำให้พระองค์สร้างลพบุรีเป็นเมืองสำคัญ พระองค์ทรงแปรพระราชฐานมาประทับที่เมืองลพบุรีเป็นเวลายาวนาน ในแต่ละปีเสด็จประทับยังพระนครศรีอยุธยาเพียงระยะเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคมเท่านั้น และได้พระราชทานวังที่เมืองลพบุรีเป็นที่ว่าราชการ รวมทั้งต้อนรับแขกต่างประเทศที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีอีกด้วย</p> <p>ตอนปลายสมัยของสมเด็จพระนารายณ์เมืองลพบุรีเกิดความวุ่นวายขึ้นเนื่องจากอิทธิพลของพวกขุนนางต่างชาติ ทำให้พระเพทราชาได้เข้ายึดอำนาจทางการปกครอง ในขณะที่สมเด็จพระนารายณ์ทรงประชวรหนัก และเสด็จสวรรคตไปท่ามกลางเหตุการณ์วุ่นวายในขณะนั้น เมื่อสิ้นรัชกาลของสมเด็จพระนารายณ์ เมืองลพบุรีจึงมีความสำคัญลดลงไม่มีความสำคัญทางการเมืองจนสิ้นสมัยอยุธยา</p> <p><b>ลพบุรีสมัยรัตนโกสินทร์</b><b></b></p> <p>ลพบุรีขาดความสำคัญลงมากตั้งแต่สิ้นรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ จนกระทั่งถึงรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งรัตนโกสินทร์ ซึ่งไทยเราได้ติดต่อกับต่างชาติมากขึ้น และชาติตะวันตกในยุคนั้นได้เข้ามาแสวงหาอาณานิคมรุกรานบ้านเมืองทางตะวันออก ใช้กำลังกับประเทศต่างๆ พระองค์ก็ได้ตระหนักถึงอันตรายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น จึงโปรดให้สถาปนาเมืองลพบุรีขึ้นเป็นที่ประทับอีกแห่งหนึ่ง โดยปฏิสังขรณ์พระราชวังเดิมของสมเด็จพระนารายณ์ที่ชำรุดทรุดโทรมให้กลับมีสภาพดีขึ้นดังเดิม และโปรดให้สร้างหมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฎขึ้นเป็นที่ประทับ และได้พระราชทานนามพระราชวังที่เมืองลพบุรีนี้ว่า “พระนารายณ์ราชนิเวศน์”</p> <p>จะเห็นได้ว่าจังหวัดลพบุรี มีความสำคัญติดต่อกันมานานนับพันปี คือตั้งแต่สมัยก่อน ประวัติศาสตร์และดำรงความเป็นเมืองสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน</p> <p><a href="#_edn1" name="_ednref1"></a></p> <hr align="left" size="1" width="33%" /> <p><a href="#_ednref1" name="_edn1"></a>ที่มา : <b>ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดลพบุรี.</b> นนทบุรี : โรงพิมพ์สถานสงเคราะห์หญิงปากเกร็ด,๒๕๒๗.</p> ไม้ไผ่http://www.blogger.com/profile/13079736154779537493noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3975884513971132653.post-78199433665317262932010-08-16T02:48:00.001-07:002010-08-16T02:48:12.173-07:00สิงห์บุรี<p>ประวัติศาสตร์จังหวัดสิงห์บุรี</p> <p><b></b></p> <h3>สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา</h3> <p>ประวัติของไทยนั้นเก่าแก่มาก จดหมายเหตุจีนเมื่อประมาณ ๓๐๐ ปีก่อนพุทธกาลกล่าวถึงภูมิลำเนาเดิมของไทยว่าอยู่ในลุ่มน้ำตอนกลางของแม่น้ำเหลือง ซึ่งอยู่ในท้องที่มณฑลฮูเป และ โฮนานในบัดนี้ ในสมัยเดียวกันนั้น จีนก็ได้มาตั้งภูมิลำเนาอยู่ตามที่ราบสูง ในลุ่มน้ำเหลืองตอนบน คือ มณฑลกังซูในบัดนี้ ซึ่งเห็นจะเป็นเพราะถูกพวกต้นตระกูลตาดรุกราน จึงได้ร่นลงมาและปะทะกับไทยเข้า ไทยมีจำนวนน้อยจำต้องร่นลงมาทางใต้หลายทิศหลายทาง</p> <p>พวกไทยส่วนมากร่นลงมาตามแม่น้ำแยงซีเข้าไปในยูนนาน ต่อสู้ชนะพวกพื้นเมืองเดิมและได้ตั้งอาณาจักรน่านเจ้า โดยมีตาลีฟูเป็นเมืองหลวง ต่อมาเมืองหลวงก็ได้ย้ายไปตั้งอยู่ ปูเออฟู อาณาจักรน่านเจ้าครอบครองท้องที่มณฑลยูนนานปัจจุบัน พม่าเหนือและภาคเหนือของสิบสองปันนาประวัติของไทยในสมัยที่กล่าวนี้ รุ่งเรืองที่สุดและอำนาจอยู่อย่างนี้ ๔ ศตวรรษ</p> <p>อย่างไรก็ดี เมื่อจีนรุกรานหนักเข้า ไทยก็จำต้องอพยพร่นลงมาอีก และกว่าจะต่อสู้เอา ชัยชนะขอมเจ้าของถิ่นเดิมได้ ก็เป็นเวลาตั้งหลายศตวรรษ แล้วจึงได้ตั้งอาณาจักรใหม่ ณ เชียงแสน บนฝั่งแม่น้ำโขง อาณาจักรใหม่นี้มีประวัติรุ่งเรืองเหมือนอาณาจักรเดิมต่อมานั้นได้ย้ายจากเชียงแสนไปทางตะวันตกเฉียงใต้ และตั้งอาณาจักรขึ้นใหม่ที่ลุ่มแม่น้ำสาลวิน มีภุกามเป็นเมืองหลวง แต่อาณาจักรนี้ไม่ยั่งยืนเพราะอยู่ใกล้ขอมมาก จึงถูกขอมขับกลับไปเลยไปสร้างเมืองเชียงใหม่เป็นเมืองหลวงใหม่ขึ้นที่ แม่น้ำปิง</p> <p>การอพยพลงมาทางใต้ยังคงดำเนินไปอยู่เรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเรียกกันว่าดินแดนแหลมทองหรือสุวรรณภูมิ อันเป็นที่ตั้งประเทศไทยปัจจุบันนี้ ได้มีชนชาติอื่นอาศัยอยู่ก่อนแล้ว ได้แก่พวกละว้า ซึ่งได้ตั้งภูมิลำเนาอยู่ ๓ แคว้นด้วยกัน คือ</p> <p><b>๑</b><b>. แคว้นโยนก</b> อยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย คือ ดินแดนที่เป็นมณฑลพายัพ และลานนาไทยปัจจุบัน มีอาณาเขตตั้งแต่เมืองเชลียง (สวรรคโลก) ขึ้นไปจนตลอดหัวเมืองลานนา และลานช้าง ได้ตั้งราชธานี อยู่ที่เมืองเงินยาง (เชียงแสน)</p> <p><b>๒</b><b>. แคว้นทวารวาดี</b> อยู่ตรงตอนกลางของประเทศไทย คือ ดินแดนบริเวณจังหวัดนครปฐม อยุธยา พิษณุโลก นครสวรรค์ ปราจีนบุรี รวมทั้งแหลมมลายู ตั้งราชธานีอยู่ที่นครปฐม</p> <p><b>๓</b><b>. แคว้นโคตรบูร</b> อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยปัจจุบัน มีราชธานีอยู่ที่สกลนคร</p> <p>สำหรับแคว้นทวารวดีนั้น ต่อมาได้ถูกพวกมอญขยายอาณาเขตเข้ามาทางแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าครอบครองกลายเป็นอาณาจักรหนึ่งของชนชาติมอญ สันนิษฐานว่า พวกมอญคงจะได้ตั้งอาณาจักรนี้ขึ้น เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐ และสิ้นสุดลงตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๖ เนื่องจากอำนาจของขอมได้แผ่เข้ามายังภาคกลางของประเทศไทย อาณาจักรทวารวดี ก็เปลี่ยนมาเป็นอาณาจักรของขอม ซึ่งเรียกเป็นเฉพาะว่าอาณาจักรลพบุรี</p> <p>สมัยทวารวดีนั้น มีศูนย์กลางอาณาจักรอยู่ที่นครปฐม ได้มีการขุดค้นพบหลักฐานต่าง ๆ แสดงให้เห็นถึงลักษณะของสถาปัตยกรรมแบบทวารวดีอย่างชัดเจน และได้มีการขุดค้นพบโบราณสถาน และหลักฐานต่าง ๆ สมัยทวารวดี ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยด้วยเช่นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ มหาสารคาม ชัยภูมิ และนครราชสีมา และทางภาคกลางของประเทศไทยเช่นที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี และบ้านโคกไม้เดน อำเภอพยุหคีรี จังหวัดนครสวรรค์ และที่บ้านคูเมือง อ.อินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี โดยเฉพาะที่อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ได้ค้นพบเหรียญเงินมีตัวอักษร ในพุทธศตวรรษที่ ๑๓ จารึก มีข้อความว่า “ศรีทวารวดีศวรปุณยะ” ซึ่งแปลว่า “บุญกุศลของพระราชาแห่งศรี-ทวารวดี” อันเป็นหลักฐานอย่างหนึ่งที่สนับสนุนคำว่า “ทวารวดี” มีจริงมิใช่เป็นการอ้างเลื่อนลอยโดยพบเหรียญที่มีข้อความดังกล่าวอีกหลายเหรียญ ณ ที่อื่น ๆ ก่อนหน้านี้แล้วจากการขุดค้นพบเมืองโบราณที่บ้านคูเมือง อ.อินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ทำให้ทราบว่าเมืองดังกล่าวได้สร้างขึ้นมา มีความเก่าแก่สมัยทวารวดีตอนต้นและตอนปลาย เรื่อยมาถึงอาณาจักรละโว้ ลักษณะรูปเมืองก็แสดงให้เห็นถึงลักษณะของเมืองสมัยทวารวดีเป็นอย่างดีแสดงให้เห็นว่าจังหวัดสิงห์บุรีมีชุมชนมาตั้งหลักปักฐานอยู่นานแล้ว ภายหลังกลายเป็นเมืองร้างด้วยสาเหตุใดไม่ปรากฏ สันนิษฐานกันว่า เนื่องมาจากเกิดโรคห่า</p> <p><b>นิยามปรัมปราเกี่ยวกับการสร้างเมืองสิงห์บุรี</b><b></b></p> <p>ว่ากันว่าพระเจ้าสิงหพาหุเป็นผู้สร้าง นามนี้ดูไปพ้องกับสีหพาหุกุมารในพงศาวดารลังกาที่กล่าวไว้ในหนังสือมหาวงศ์ว่า ในสมัยเมื่อร่วมพุทธกาล มีกษัตริย์ชาวอริยพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าพระเจ้าวังคราช ครองวังคนคร เป็นราชธานีอยู่ทางข้างเหนือเมืองกลิงคราษฎร์ได้ราชธิดาพระเจ้ากลิงค-ราษฎร์เป็นอัครมเหสี มีราชธิดานามว่านางสุปา นางสุปาถูกขับไล่จากเมืองไปเพราะมากด้วยกามกิเลส จึงเที่ยวซัดเซพเนจรไปในที่ต่าง ๆ ไปได้พระยาราชสีห์เป็นสามี มีบุตรชื่อสีหพาหุ เพราะมีกำลังวังชามาก เมื่อเติมใหญ่จึงพานางผู้เป็นมารดาหนีพระราชสีห์ กลับมาอยู่กับมนุษย์ฝ่ายข้างพระยาราชสีห์มีความอาลัยอยู่จึงออกติดตามเที่ยวขบกัดชาวเมืองวังคนครล้มตายลงเป็นอันมาก พระเจ้าวังคราชต้องประกาศปาวร้องหาผู้ที่จะรับอาสาฆ่าพระยาราชสีห์นั้น สีหพาหุกุมารจึงอาสาฆ่าพระยาราชสีห์นั้นตาย เพราะเหตุนี้จึงปรากฏนามต่อมาว่าสีหฬกุมาร หมายความว่า กุมารผู้ฆ่าราชสีห์ ต่อมาเมื่อพระเจ้า วังคราชสิ้นพระชนม์ไม่มีเชื้อพระวงศ์ ชาววังคนคร เห็นสีหฬกุมารมีอานุภาพมาก จึงพร้อมใจกันถวายราชสมบัติแก่สีหฬกุมาร สีหฬกุมารรับราชสมบัติแล้ว ไม่ปรารถนาจะอยู่ในวังคนครนั้น จึงได้มอบเมืองให้แก่อำมาตย์ ผู้เป็นสามีใหม่ของมารดา ส่วนตัวออกไปตั้งราชธานีใหม่ใช้ชื่อว่า สีหบุรีแล้วเสวยราชอยู่ ณ เมืองนั้น มีราชบุตรถึง ๓๐ องค์ องค์ใหญ่ทรงพระนามว่า วิชัยราชกุมาร (เรื่องนี้ได้มาจากเรื่องประดิษฐาน พระสงฆ์สยามวงศ์ในลงกาทวีปของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ) เมื่อสังเกตุตามนี้ เรื่องนี้อาจเป็นต้นเค้าของนิยายเกี่ยวกับสร้างพระพุทธไสยาสน์วัดนี้ก็ได้ เพราะนามผู้สร้างนี้ก็มีนามเดียวกันคือ ชื่อสีหพาหุ และก็ได้ฆ่าพ่อ คือ พระยาราชสีห์เหมือนกัน แต่ต่างกรรมต่างวาระกัน เรื่องของเราฆ่าพ่อเพราะรังเกียจเป็นสัตว์ ส่วนเรื่องนี้ที่ฆ่าเพราะรับอาสาฆ่าที่พ่อไปขบกัดคนตาย และชื่อเมืองที่ออกไปตั้งใหม่ที่ชื่อสีหบุรี เหมือนกับเมืองสิงห์บุรี เพราะคำว่าสีหกับสิงหก็เป็นคำเดียวกัน สีหเป็นบาลี สิงหเป็นสันสกฤต สีห แปลว่า ราชสีห์เหมือนกัน และพระพุทธไสยาสน์นี้ก็ตั้งอยู่ในจังหวัดสิงห์บุรีด้วย แต่ในเรื่องมหาวงศ์พงศาวดารลังกา มิได้กล่าวไว้ว่าพระเจ้าสีหพาหุเมื่อฆ่าพระยาราชสีห์ผู้เป็นพ่อแล้ว ได้สร้างอนุสาวรีย์อะไรเป็นหลักฐานเพื่อล้างบาปบ้าง ส่วนเรื่องของเราคงมากล่าวเสริมต่อขึ้นก็ได้หรืออาจได้สร้างจริง แต่มิได้อยู่ในลังกา แต่มาอยู่ในสิงห์บุรีเสียเรื่องจึงไม่ปรากฏในมหาวงศ์ แต่มาปรากฏทางของเรา</p> <p>จากตำนานอีกเรื่องกล่าวว่า สิงห์บุรีเป็นเมืองเก่าก่อนสมัยสุโขทัย ตัวเมืองเดิมตั้งอยู่ทางลำน้ำแม่น้ำจักรสีห์ ในท้องที่ตำบลจักรสีห์ อำเภอเมืองสิงห์บุรี ในปัจจุบันบริเวณใกล้วัดหน้าพระธาตุมีเมืองเก่าเรียกว่า “ บ้านหน้าพระลาน” ปรากฏอยู่ “สันนิษฐานว่า พระเจ้าไกรสรราช โอรสพระเจ้าพรหม (พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก) ครองเมืองชัยปราการ (ฝาง) โปรดให้สร้างขึ้นราว พ.ศ. ๑๖๕๐ ครั้งเสด็จพาไพร่พลมาครองเมืองลพบุรีตามรับสั่งพระราชบิดา ซึ่งเข้าใจว่า คงจะมาพักขึ้นบก ณ ที่ซึ่งเป็นที่ตั้งเมืองสิงห์เดิมนี้ เพื่อเดินทางไปลงเรือที่วัดปากน้ำ แม่น้ำลพบุรี เพราะสมัยนั้นลำแม่น้ำเจ้าพระยา หน้าอำเภอเมืองสิงห์บุรี และคลองบางพุทรายังไม่มี เมื่อเกิดแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นใหม่ทางหน้าจังหวัดสิงห์บุรีบัดนี้ จึงได้ย้ายเมืองไปตั้งทางแม่น้ำน้อย ตำบลโพสังโฆ ใต้วัดสิงห์ (ปัจจุบันอยู่ในท้องที่อำเภอค่ายบางระจัน) ลงมา ครั้ง พ.ศ. ๒๓๑๐ เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า เห็นกันว่าแม่น้ำใหม่เป็นทางคมนาคมสำคัญ จึงย้ายเมืองสิงห์บุรีมาตั้งทางแม่น้ำเจ้าพระยา ริมปากคลองนกกระทุ่ง ฝั่งใต้ที่ปากบางต้นโพธิ์ ตำบลบางมอญ (ปัจจุบันคือ ตำบลต้นโพธิ์ อำเภอเมืองสิงห์บุรี) การย้ายครั้งนี้น่าจะเป็นสมัยเดียวกับตั้งเมืองอ่างทองในสมัยกรุงธนบุรี ภายหลังจึงย้ายไปตั้งที่ตำบลบางพุทรา อำเภอเมืองสิงห์บุรี ปัจจุบัน ประมาณ พ.ศ. ๒๔๓๙-๒๔๔๐</p> <h3>สมัยกรุงศรีอยุธยา</h3> <p>ในขณะที่พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ทรงตั้งอาณาจักรสุโขทัยนั้น มีชนชาวไทยหลายพวกด้วยกันอพยพมาอยู่ในดินแดนตอนใต้ของคาบสมุทรอินโดจีน พวกที่มีกำลังเข้มแข็งก็ตั้งเป็นบ้านเมืองขึ้น พวกที่อ่อนแอไม่สามารถรวบรวมกันเป็นปึกแผ่นได้ก็เข้ามาอยู่ในความปกครองของชนเหล่าอื่น ระหว่างระยะเวลานี้ มีเจ้านายไทยองค์หนึ่ง ปรากฎพระนามตามที่เรียกกันเป็นสามัญว่า พระเจ้าอู่ทอง ซึ่งเป็นเชื้อสายของราชวงศ์ไชยปราการ สามารถตั้งตนเป็นใหญ่ในบริเวณภาคกลาง แถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา โดยตั้งราชธานีขึ้นที่กรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. ๑๘๙๓ ที่หนองโสน หรือบึงพระราม เพราะเห็นว่าอยู่ในทำเลที่เหมาะสมเป็นราชธานี ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ยุทธศาสตร์และการเมือง มีลำน้ำล้อมอยู่เป็นคูเมือง ได้แก่ลำน้ำป่าสัก ลำน้ำลพบุรี ลำน้ำเจ้าพระยา ลักษณะชัยภูมิดังกล่าวนี้มีความสำคัญยิ่งทางยุทธวิธีทำให้ปลอดภัยจากศัตรูผู้รุกราน สะดวกในการป้องกันเมืองและเหมาะสำหรับเป็นที่ตั้งมั่นรับข้าศึก เมื่อถึงฤดูน้ำหลากบริเวณนอกพระนครจะเจิ่งไปด้วยน้ำ ข้าศึกไม่สามารถจะตั้งทัพได้สะดวกต้องล่าถอยกลับไป</p> <p>สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) เมื่อขึ้นครองราชย์แล้วทรงตั้งพระราชโอรส (คือพระราเมศวร) ไปครองเมืองลพบุรีในฐานะเป็นเมืองลูกหลวง และเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญทางหนือ ในการที่จะคอยสดับตรับฟังข่าวคราวของอาณาจักรสุโขทัย และทรงตั้งขุนหลวงพะงั่ว (พี่มเหสี) เป็นพระบรมราชาให้ไปครองเมืองสุพรรณบุรี เมืองหน้าด่านทิศตะวันตก พระบรมราชาได้ยกกองทัพไปตีเมืองชัยนาท เป็นการขู่ขวัญฝ่ายสุโขทัยไว้ก่อน เหตุการณ์ช่วงนี้ แสดงให้เห็นว่าเมืองอินทร์ เมืองสิงห์บุรี เมืองพรหม ในสมัยนั้นอยู่ในความปกครองของกรุงศรีอยุธยาแล้ว</p> <p>ในปี พ.ศ. ๑๘๙๕ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ได้เสด็จยกทัพไปล้อมเมืองพระนครหลวง (นครธม) และได้ยึดเมืองพระนครหลวงได้ใน พ.ศ. ๑๘๙๖ ทำให้พระเดชานุภาพแพร่หลายทั่วไปเป็นผลให้เมืองต่าง ๆ เข้ามาสวามิภักดิ์เป็นเมืองขึ้นอีกเป็นส่วนมาก มีเมืองประเทศราช ๒๐ เมือง เมือง พระยามหานครถือน้ำพิพัฒสัตยา ๘ เมือง เมืองลูกหลวง ๕ เมือง เมืองหลานหลวง ๒ เมือง</p> <p>สมเด็จพระรามาธิบดี ๑ ทรงจัดการปกครองส่วนภูมิภาคตามแนวของกรุงสุโขทัย คือจัดเสมือนการจัดกองทัพเพื่อป้องกันข้าศึกศัตรู มีกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีอยู่กลาง เวลามีสงครามก็ระดมพลเมืองเข้าเป็นทัพหลวง มีกษัตริย์ผู้เป็นประมุขเป็นแม่ทัพใหญ่ และทรงจัดหัวเมืองหน้าด่านตามทิศ ทั้ง ๔ เป็นทัพหน้าทัพหลัง ปีกซ้ายและปีกขวา มีระยะทางเดินทัพติดต่อกับราชธานี ซึ่งเป็นทัพหลวงได้ภายในระยะเวลา ๒ วัน ดังปรากฏดังต่อไปนี้ คือ</p> <h4>๑) การปกครองหัวเมืองชั้นใน</h4> <p>๑. ทิศเหนือ มีเมืองลพบุรีเป็นเมืองหน้าด่าน</p> <p>๒. ทิศตะวันออก มีเมืองนครนายกเป็นเมืองหน้าด่าน</p> <p>๓. ทิศใต้ มีเมืองพระประแดงเป็นเมืองหน้าด่าน</p> <p>๔. ทิศตะวันออก มีเมืองสุพรรณบุรีเป็นเมืองหน้าด่าน</p> <p>เมืองรอบราชธานีทั้ง ๔ เมืองนี้ มีความสำคัญในการสงครามมาก จึงทรงพิจารณาตั้งราชโอรสเป็นเจ้าเมืองปกครอง จึงเรียกอีกนัยหนึ่งว่า เมืองลูกหลวง</p> <h4>นอกจากนี้ ยังมีหัวเมืองชั้นในเป็นรายทางออกไปทั้ง ๔ ทิศ มีดังนี้ คือ</h4> <p>ทิศเหนือ เมืองพรหม เมืองอินทร์ เมืองสิงห์ เมืองสรรค์</p> <p>ทิศตะวันออก เมืองปราจีนบุรี เมืองพนัสนิคม เมืองชลบุรี</p> <p>ทิศตะวันตก เมืองราชบุรี</p> <p><b>๒</b><b>) การปกครองหัวเมืองชั้นนอก</b></p> <p>การจัดการปกครองหัวเมือง ซึ่งไกลจากราชธานีออกไปมาก ทรงแต่งตั้งข้าราชการ ผู้ใหญ่ให้ออกไปเป็นเจ้าเมือง เรียกว่า เมืองพระยามหานคร มีหน้าที่จัดสรรระดมกำลังชายฉกรรจ์เป็นกองทัพมาสมทบกองทัพใหญ่ ได้แก่หัวเมืองเหล่านี้ คือ</p> <p>ทิศตะวันออก มีเมืองโครามปุระ (ภายหลังเรียกว่าเมืองนครราชสีมา เมืองนี้แต่เดิมมีเมืองอยู่ ๒ เมือง คือ เมืองโครามปุระเมืองหนึ่ง และเมืองสีมาอีกเมืองหนึ่ง ภายหลังได้สร้างเมืองขึ้นใหม่โดยรวมเมืองทั้งสองให้เป็นเมืองเดียวกัน และขนานนามว่า เมืองนครราชสีมา แต่สามัญชนยังคงเรียกกันชื่อเดิม ซึ่งเพี้ยนไปบ้างว่าโคราช) และเมืองจันทบุรี</p> <p>ทิศใต้ มีเมืองชัยยา เมืองนครศรีธรรมราช เมืองพัทลุง เมืองสงขลา และ เมืองถาง</p> <p>ทิศตะวันตก มีเมืองตะนาวศรี เมืองทะวาย เมืองเชียงกรานต์</p> <p>ภายในเขตเมืองหนึ่ง ๆ แบ่งออกเป็นแขวง มีหมื่นแขวงเป็นผู้ปกครองในแขวงหนึ่ง ๆ แบ่งออกเป็นตำบล มีกำนันเป็นผู้ปกครอง กำนันมักจะได้บรรดาศักดิ์เป็น “พัน” ในตำบลหนึ่งแบ่งเป็น “บ้าน” มี “ผู้ใหญ่บ้าน” เป็นผู้ปกครอง ซึ่งหัวหน้าปกครองหน่วยเหล่านี้เจ้าเมืองเป็นผู้แต่งตั้ง การแบ่งเขตปกครองท้องที่เป็นแขวง ตำบล และบ้าน เช่นนี้ เป็นแนวที่ในการต่อมาได้เปลี่ยนเป็นอำเภอ ตำบล และหมู่บ้านตามลำดับ</p> <p>สำหรับการปกครองภายในราชธานีนั้น สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ได้เริ่มนำการ ปกครองแบบจตุสดมภ์มาใช้ กล่าวคือ การดำเนินการปกครองภายในราชธานี ได้ดำเนินตามแบบสุโขทัยและเขมรผสมกันมาเป็นแบบที่เรียกว่า “จตุสดมภ์” คือ จัดหน่วยงานแบ่งออกเป็น ๔ หน่วยแต่ละหน่วยมีเสนาบดีเป็นผู้ควบคุมดูแลบริหารราชการ ลักษณะการจัดระเบียบเป็น ๔ แผนกนั้นสันนิษฐานว่าจะเป็นแบบที่นำมาจากอินเดีย เพราะประเทศอื่น ๆ เช่น พม่า เขมร ชวา มลายู ต่างมีระเบียบ การแบ่งหน่วยราชการเป็น ๔ แผนกเช่นกัน ส่วนของไทยได้รับสืบทอดมาจากเขมรอีกต่อหนึ่ง หน่วยงานทั้ง ๔ แผนกคือ</p> <p>๑. กรมเมือง มีขุนเมืองเป็นผู้บังคับบัญชา มีหน้าที่เกี่ยวกับการปกครองรักษาสันติสุขบังคับบัญชาบรรดาไพร่บ้านพลเมือง ซึ่งมีถิ่นฐานภูมิลำเนาอยู่ในเขตเมืองหลวง รวมทั้งมีหน้าที่ลงโทษ ผู้กระทำผิดทางอาญาในเขตเมืองหลวงด้วย</p> <p>๒. กรมวัง มีขุนวังเป็นผู้บังคับบัญชา มีหน้าที่ที่เกี่ยวกับราชสำนัก และพิพากษาคดีด้วยและสำหรับหัวเมืองต่าง ๆ ขุนวังมีอำนาจตั้งยกกระบัตรไปประจำตามเมือง ๆ ละคน ทำหน้าที่พิพากษาคดีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองนั้น ๆ ด้วย</p> <p>๓. กรมคลัง มีขุนคลังเป็นผู้บังคับบัญชา มีหน้าที่จ่าย และเก็บรักษาพระราชทรัพย์ตลอดจนการเงินของประเทศ</p> <p>๔. กรมนา มีขุนนางเป็นผู้บังคับบัญชา มีหน้าที่ควบคุมดูแลเกี่ยวกับเรือกสวนไร่นาและออกสิทธิที่นาซึ่งถือว่าเป็นงานสำคัญอย่างยิ่ง หน้าที่อีกอย่างหนึ่งคือ การเก็บ “หางข้าว” ขึ้นฉางหลวง (เพราะในสมัยโบราณยังไม่มีการเก็บเงินค่านา ใครทำนาได้ข้าวต้องแบ่งเอามาส่งขึ้นฉางหลวงไว้สำหรับใช้ในราชการเรียกว่า “หางข้าว”)</p> <p>จากหลักฐานการจัดการปกครองของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ที่ทรงจัดให้ เมืองพรหม เมืองอินทร์ เมืองสิงห์ เมืองสรรค์ เป็นหัวเมืองขึ้นในหน้าด่าน รายทางสำหรับทางทิศเหนือ โดยมีเมืองลพบุรีเป็นเมืองหน้าด่านหลักนั้น แสดงให้เห็นว่า เมืองพรหม เมืองอินทร์ เมืองสิงห์ ได้มีอยู่แล้วในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยถูกจัดให้เป็นหัวเมืองชั้นใน ก่อนหน้านั้นเมืองดังกล่าวทั้งสามนี้ อาจอยู่ในความ ปกครองของอาณาจักรสุโขทัยก็ได้ เพราะในช่วงที่อาณาจักรสุโขทัยรุ่งเรืองนั้น ได้มีอำนาจอิทธิพลแผ่ขยายครอบงำในบริเวณภาคกลางและลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยานี้ด้วย แต่ก็ไม่ปรากฏแน่ชัดว่า เมืองทั้งสามนี้ได้สร้างขึ้นในสมัยใน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่หลงเหลืออยู่ ก็ไม่มีพอที่จะให้ค้นคว้าได้ ชาวไทยมักจะรู้จักประวัติศาสตร์ของคนดีก็ในยุคของอาณาจักรสุโขทัยสมัยราชวงศ์พระร่วงเป็นต้นมา</p> <p>การปกครองกรุงศรีอยุธยามาแก้ไขมาก เมื่อรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเหตุด้วยเมื่อรัชกาลก่อน ได้อาณาเขตกรุงสุโขทัย ซึ่งได้ลดศักดิ์ลงเป็นประเทศราชอยู่นั้น มาเป็นเมืองขึ้น กรุงศรีอยุธยา และตีได้เมืองนครธม (พระนครหลวง) ซึ่งเป็นราชธานีของประเทศขอม เมื่อปีฉลู พ.ศ. ๑๙๗๖ ในสมัยนั้นได้ข้าราชการเมืองสุโขทัยและชาวกรุงกัมพูชา ทั้งพวกพราหมณ์ พวกเจ้านายท้าวพระยา ซึ่งชำนาญการปกครองมาไว้ในกรุงศรีอยุธยาเป็นอันมาก ได้ความรู้ขนบธรรมเนียมราชการงานเมืองทั้งทางกรุงสุโขทัยและกรุงกัมพูชาถ้วนถี่ดีกว่าที่เคยรู้มาแต่ก่อน จึงเป็นเหตุให้แก้ไขประเพณีการปกครอง เลือกทั้งแบบแผนในกรุงสุโขทัยและแบบแผนขอมในกรุงกัมพูชา มาปรับปรุงเป็นวิธีการปกครองกรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่ในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถและต่อมาในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีพระองค์ที่ ๒ ซึ่งเป็นราชโอรสสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ วิธีปกครองที่ปรับปรุงขึ้นเมื่อระหว่าง พ.ศ. ๑๙๙๑ จนถึง พ.ศ. ๒๐๗๒ ใน ๒ รัชกาลที่กล่าวมาจึงได้เป็นหลัก ของวิธีปกครองประเทศสยามสืบมา ถึงแก้ไขบ้างในบางสมัยก็เป็นแต่แก้พลความตัวหลัก วิธียังคงอยู่จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์นี้</p> <p>การปกครองตามแบบพระบรมไตรโลกนาถนั้น ทรงจัดการปกครองในลักษณะแบบการรวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง หลักใหญ่คือ แบ่งการปกครองออกเป็น ๓ ส่วน ได้แก่ ส่วนกลาง ส่วน ภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น กล่าวคือ การปกครองส่วนกลางได้แยกฝ่ายทหารกับพลเรือนออกจากกัน ฝ่ายทหารก็ให้มีหัวหน้าคนหนึ่ง คอยควบคุมดูแล มีบรรดาศักดิ์ เป็นสมุหกลาโหมดูแลราชการเกี่ยวกับการทหารทั้งหมด ฝ่ายพลเรือนก็มีสมุหนายกเป็นหัวหน้า และมีตำแหน่งรองลงไปคือจตุสดมภ์ และได้เปลี่ยนชื่อกรมเมือง เป็นนครบาล กรมวัง เป็นธรรมาธิการ กรมคลัง เป็นโกษาธิบดีและกรมนา เป็นเกษตราธิราช สำหรับการปกครองส่วนภูมิภาคให้เป็นแบบเดียวกันกับราชธานี โดยให้แต่ละเมืองใช้วิธีการปกครอง ฝ่ายพลเรือน คือ มีจตุสดมภ์ มีเวียง วัง คลัง นา ตามหัวเมืองนั้น ๆ ด้วย ได้กำหนดให้หัวเมืองชั้นในคือ บรรดาเมืองที่อยู่ใกล้ในวงราชธานีเป็นเมืองจัตวา หัวเมืองชั้นนอก ได้แก่หัวเมืองซึ่งอยู่นอกเขตวงราชธานีออกไป กำหนดฐานะเป็นหัวเมืองชั้นเอก โท ตรี โดยลำดับกันตามขนาดและความสำคัญของเมือง ส่วนการปกครองส่วนท้องถิ่น มีการแบ่งอาณาเขตการปกครองท้องที่ออกเป็นหน่วย ๆ เริ่มต้น “หมู่บ้าน” มีผู้ใหญ่บ้านซึ่งผู้ว่าราชการเมืองเป็นผู้แต่งตั้งขึ้นเป็นหัวหน้าปกครองหลายหมู่บ้านรวมตัวกันเป็น “ตำบล” กำนัน ซึ่งได้รับบรรดาศักดิ์ “พัน” เป็นหัวหน้าปกครองหลาย ๆ ตำบลรวมกันเป็น “แขวง” มีหมื่นแขวงเป็นผู้ปกครองหลาย ๆ แขวงรวมกันเป็นเมือง มีผู้รั้งเมืองหรือเจ้าเมืองเป็นผู้ ปกครอง</p> <p>ในยุคสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เมืองอินทร์ เมืองพรหม เมืองสิงห์ ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นหัวเมืองชั้นในก็ได้มีการปรับการปกครองให้เป็นไปตามรูปแบบที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถวางไว้ด้วย นั่นคือ ได้มีสภาพฐานะเป็นหัวเมืองจัตวา ผู้ว่าราชการเมืองเรียกว่า “ผู้รั้ง” ไม่เรียก เจ้าเมือง เพราะไม่มีอำนาจเด็ดขาดอย่างเจ้าเมือง ต้องปฏิบัติตามคำสั่งเจ้ากระทรวงในราชธานีพระมหากษัตริย์มักจะทรงแต่งตั้งขุนนางในกรุงศรีอยุธยาออกไปทำหน้าที่ดังกล่าว จึงอยู่ภายใต้การควบคุมของราชธานีอย่างใกล้ชิด</p> <p>ประวัติของนายอินทร์ เมืองพรหม เมืองสิงห์ ในสมัยอยุธยานั้น มีเรื่องราวเกี่ยวกับการศึกสงครามน้อยมาก สามารถกล่าวได้ว่าเป็นเมืองที่มีแต่ความสงบสุขสงครามที่เกิดขึ้น แทบจะทั้งหมดมีการรบพุ่งกันในที่อื่น โดยเฉพาะสงครามไทยกับพม่านั้น การสงครามจะมีทางภาคพายัพและภาคตะวันตกเป็นส่วนมาก มีการสงครามที่ทำในพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี เพียง ๒ ครั้ง เท่านั้น ในสมัยกรุงศรีอยุธยา</p> <p>ครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๒๗ เป็นระยะที่ไทยประกาศอิสรภาพใหม่ ๆ พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง ได้ยกกองทัพมาตีไทยหวังให้ยอมอยู่ภายใต้อำนาจพม่าต่อไปอีก เพราะเห็นว่าไทยเสียบ้านเมืองมาก่อนกำลังที่จะต่อสู้ย่อมมีน้อยกว่าแต่ก่อนจึงไม่จำเป็นต้องยกทัพหลวงเข้ามาเหมือนอย่างครั้งพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ก็คงจะตีกรุงศรีอยุธยาได้ พอถึงฤดูแล้วปลายปีนั้น จึงให้จัดทัพยกมาเป็น ๒ ทางพร้อมกันประสงค์จะให้ไทยละล้าละลังในการที่จะต่อสู้ในครั้งนั้น ให้เจ้าเมืองพสิมซึ่งเป็นพระเจ้าอาคุมกองทัพจำนวนพล ๓๐,๐๐๐ คนยกเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ทัพ ๑ ให้พระเจ้าเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพระอนุชายกกองทัพบกทัพเรือจากเชียงใหม่ จำนวนพล ๑๐๐,๐๐๐ คน ลงมาทางเมืองเหนืออีก ทาง ๆ ให้มาสมทบกันตีกรุงศรีอยุธยา</p> <p>ฝ่ายข้างกรุงศรีอยุธยานั้น สมเด็จพระนเรศวรทรงเตรียมการคอยท่าศึกอยู่แล้ว ให้กองสอดแนมออกไปคอยสืบสวนอยู่ทุกทางที่ข้าศึกจะยกมา ครั้งทรงทราบว่าข้าศึกจะยกมาเป็น ๒ ทางจึงให้ตระเตรียมการต่อสู้ ให้จัดพลอาสาชาวหัวเมืองเหนือเป็นทัพบกทัพ ๆ มีจำนวนพล ๑๐,๐๐๐ คนให้เจ้าพระยาสุโขทัยเป็นนายทัพ แล้วจัดพลอาสาชาวกรุงฯ เป็นกองทัพเรืออีกทัพ ๑ ให้พระยาจักรีเป็น นายทัพพระยาพระคลังเป็นยกกระบัตร และสั่งให้ขนย้ายเสบียงอาหารและพาหนะ ในหนทางที่ข้าศึกจะยกมาเสียให้พ้นมือข้าศึกทั้ง ๒ ทาง แล้วให้ต้อนคนเข้าอยู่ในพระนคร เตรียมรักษาป้อมปราการเป็นสามารถ</p> <p>กองทัพหงสาวดียกเข้ามาครั้งนี้จะเป็นด้วยคิดโดยเลินเล่อหรือเป็นด้วยเจ้าเมืองพสิมกับพระเจ้าเชียงใหม่เข้าใจผิดกันอย่างใดอย่างหนึ่ง ยกเข้ามาหาพร้อมกันไม่ พอถึงเดือนอ้าย กองทัพเจ้าเมืองพสิมก็ยกเข้ามาในแดนไทยทางเมืองกาญจนบุรีแต่ทัพเดียว สมเด็จพระนเรศวรทรงทราบก็เห็นได้ที แต่เวลานั้น น้ำลดยังไม่ถึงที่ น้ำในแม่น้ำลำคลองมีมาก แต่ทางบกแผ่นดินยังเปียก จะเดินกองทัพไม่สะดวก จึงมีรับสั่งให้พระยาจักรียกกองทัพเรือออกไปรักษาเมืองสุพรรณบุรี ต้านทานข้าศึกไว้พลางก่อน กองทัพเจ้าเมืองพสิมยกเข้ามาหมายจะเอาเมืองสุพรรณเป็นที่มั่น ถูกกองทัพเรือพระยาจักรีเอาปืนใหญ่ยิงทนอยู่ไม่ไหวก็ถอยกลับไปตั้งอยู่บนดอนที่เขาพระยาแมน คอยฟังข่าวกองทัพพระเจ้าเชียงใหม่อยู่ที่นั่น ครั้งถึงเดือนยี่ ขึ้น ๒ ค่ำ สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถก็เสด็จด้วยกระบวนเรือจากกรุงศรีอยุธยา ไปทำพิธีเหยียบชิงชัยภูมิ ฟันไม้ข่มนามที่ตำบลลุมพลี แล้วเสด็จไปประทับที่ (ตำบล ป่าโมก) แขวงเมืองวิเศษชัยชาญ อันเป็นที่ประชุมพล โปรดให้เจ้าพระยาสุโขทัยคุมกองทัพบกเมืองเหนือยกเป็นกองหน้าไปตีกองทัพเจ้าเมืองพสิม ซึ่งตั้งอยู่ที่เขาพระยาแมนแล้วเสด็จยกกองทัพหลวงตามไปตั้งอยู่ที่ตำบลสามขนอนแขวงเมืองสุพรรณบุรี เจ้าพระยาสุโขทัยยกไปถึงเขาพระยาแมนได้รบพุ่งกับกองทัพหน้าของเจ้าเมืองพสิมตีกองทัพพม่าแตกพ่ายไปฝ่ายเจ้าเมืองพสิมเวลานั้นเข้ามายึดเมืองไม่ได้หมายต้องออกไปตั้งอยู่กลางดอนขัดสนเสบียงอาหาร ฟังข่าวกองทัพพระเจ้าเชียงใหม่ก็ไม่ได้ความ ทำนองออกจะรวนเรอยู่แล้ว พอรู้ว่ากองทัพหน้าแตกก็ไม่ได้คิดจะต่อสู้ รีบถอยหนีกลับไป เจ้าพระยาสุโขทัยได้ทีก็รีบติดตามตีพม่าไปจนปลายแดนเมืองกาญจนบุรีจับได้ (นายกองชื่อ) ฉางชวีและช้างม้ามาถวายเป็นอันมาก</p> <p>กองทัพเจ้าเมืองพสิมหนีไปได้สัก ๑๕ วัน กองทัพพระเจ้าเชียงใหม่ก็ยกลงมาถึงปากน้ำโพ ในเดือนยี่นั้น ด้วยหัวเมืองเหนือเวลานั้นร้างอยู่ทุกเมืองดังกล่าวมาแล้ว ไม่มีผู้ใดต่อสู้ก็ยกลงมาได้ โดยสะดวกทั้งทัพบกทัพเรือ พระเจ้าเชียงใหม่มาตั้งอยู่ที่เมืองชัยนาท ไม่รู้ว่ากองทัพเจ้าเมืองพสิมถอนหนีไปเสียแล้ว จึงให้ไชยะกยอสูและนันทกยอทางยกกองทัพหน้า จำนวนพล ๑๕,๐๐๐ คน ลงมาตั้งที่ปากน้ำบางพุทราแขวงเมืองพรหม ให้มาสืบสวนนัดกำหนดกับเจ้าเมืองพสิมที่จะยกเข้ากรุงศรีอยุธยาให้พร้อมกัน</p> <p>สมเด็จพระนเรศวรทรงทราบว่า กองทัพพระเจ้าเชียงใหม่ยกลงมาทางข้างเหนือ ก็เสด็จยกกองทัพหลวงไปกับสมเด็จพระเอกาทศรถตั้งทัพหลวงที่บ้านชะไวแขวงเมืองวิเศษชัยชาญ แล้วให้พระราชมนูเป็นนายทัพ ขุนรามเดชะเป็นยกกระบัตรคุมกองทัพหน้ามีจำนวนทหารม้า ๒๐๐ พลราบ ๓,๐๐๐ คน ยกขึ้นไปตีกองทัพหน้าของข้าศึกที่ปากน้ำบางพุทรา พระราชมนูกับขุนรามเดชะยกขึ้นไปถึงเห็นว่าจำนวนพลในกองทัพของตนมีน้อยกว่าข้าศึกมากนัก จึงคิดเป็นกลอุบายซุ่มกองทัพไว้ในป่า แล้วแต่งกองโจรให้แยกย้ายกันดักฆ่าฟันข้าศึกที่เที่ยวลาดตระเวนหาเสบียงอาหาร และคอยแย่งช้างม้าพาหนะมิให้เอาไปเลี้ยงห่างค่ายใหญ่ได้ ถ้าข้าศึกตามจับเห็นมากก็หลบเลี่ยงไปเสีย ด้วยชำนาญท้องที่กว่าข้าศึก แต่พอเห็นข้าศึกเผลอก็เข้าปล้นทัพมิให้ข้าศึกอยู่เป็นปกติได้ ทัพหน้าข้าศึกตั้งอยู่ไม่ได้ ก็ต้องถอยกลับไปเมืองชัยนาท พระเจ้าเมืองเชียงใหม่ได้ข่าวว่า กองทัพเจ้าเมืองพสิม ซึ่งยกมาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ เสียทีไทยถอนหนีกลับไปเสียแล้ว เห็นจะตีพระนครศรีอยุธยาไม่สำเร็จก็เลิกทัพกลับไป</p> <p>ปัจจุบันบริเวณที่พม่าได้มาตั้งค่ายอยู่ที่เมืองพรหมนั้น ยังมีร่องรอยเป็นคูคันดินปรากฏอยู่ที่ตำบลบ้านแป้ง อำเภอพรหมบุรี ส่วนหนึ่งของคูนี้ถนนสายเอเซียได้ตัดผ่าน คูค่ายพม่ามีลักษณะเป็นคันดินยาวเป็นรูปปีกกา สูง ๔.๕๐ เมตร ฐานกว้างประมาณ ๕ เมตร ยาวประมาณ ๓๐๐ เมตร</p> <p>ครั้งที่สองในปี พ.ศ. ๒๓๐๘ พระเจ้ามังระได้ให้มังมหานรธายกทัพเจ้ามาทางเมืองมะริดส่วนทางเหนือให้เนเมียวสีหบดีเคลื่อนกองทัพออกจากเชียงใหม่ตีหัวเมืองต่าง ๆ เรื่อยมา ในระยะแรกที่ฝ่ายไทยได้ทราบข่าวศึกและเห็นว่าพม่าจะต้องยกมาตีไทยแน่นอน จึงได้เตรียมการต่อสู้พม่าเป็นขั้น ๆ พอสรุปได้ คือ</p> <p>ขั้นที่ ๑ ให้เกณฑ์ทหารออกไปรักษาด่าน แบ่งกองทัพเรือออกเป็น ๙ กอง ๆ ละ ๒๐ ลำ แต่ละกองมีกำลังทหารประจำกองละ ๑,๔๐๐ คนพร้อมด้วยเครื่องศาสตรวุธ เรือรบ ๑ ลำมีปืนใหญ่ ๑ กระบอก ปืนขนาดเล็ก ๑ กระบอก แล้วแบ่งไปประจำที่ต่าง ๆ ดังนี้</p> <p>๑. ให้พระราชสงกรานต์ ไปตั้งทางปากน้ำเจ้าพระยา</p> <p>๒. ให้หลวงหรทัยคุมออกไปตั้งรับพม่าทางปากน้ำลำทอง</p> <p>๓. ให้พระยาจุหล่า (แขก) ไปตั้งรับพม่าทางปากน้ำพระประแดง (พระมะดัง)</p> <p>๔. ให้ศรีวรข่าน ไปตั้งรับพม่าทางปากน้ำประสบ</p> <p>๕. ให้หลวงศรียุทธ ไปตั้งรับพม่าทางปากน้ำหิงสา</p> <p>๖. ให้หม่อมมหาดเล็กวังหน้า ไปตั้งรับพม่าทางแม่น้ำเมืองสิงห์บุรี</p> <p>๗. ให้หม่อมเทไพ ไปตั้งรับพม่าทางเมืองอินทร์บุรี</p> <p>๘. ให้หม่อมทิพยุพัน ไปตั้งรับพม่าทางแม่น้ำเมืองพรหมบุรี</p> <p>๙. ให้ศรีภูเบศร์ ไปตั้งรับพม่าทางแม่น้ำเมืองพรหมบุรี</p> <p>ชั้นที่ ๒ สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ทรงจัดทัพให้ไปตั้งรับพม่าห่างไกลออกไปตามจุด ต่าง ๆ ดังนี้</p> <p>กองทัพที่ ๑ ให้พระยาพิพัฒน์โกษา เป็นแม่ทัพใหญ่ใหญ่คุมกองทัพ ๑๓ กอง แต่ละกองมีกำลัง ๑,๐๐๐ คน มีช้างคลุมเกราะเหล็ก ๑๐ เชือก ช้างเชือกหนึ่งมีปืนใหญ่ขนาดเล็ก ๒ กระบอก มีควาญหัว ๑ คน กลาง ๑ คน ท้ายช้าง ๑ คน มีพลทหารถือทวนตามช้างอีกข้างละ ๑๐๐ คน ให้ไปตั้งรับทัพพม่าที่เมืองมะริด เมืองตะนาวศรี</p> <p>กองทัพที่ ๒ ให้พระยาเพชรบุรี เป็นแม่ทัพใหญ่ คุมกองทัพ ๑๑ กอง แต่ละกองจัดกำลังเหมือนกองทัพที่ ๑ ให้ไปตั้งรับพม่าทางเมืองสวรรคโลก</p> <p>กองทัพที่ ๓ ให้ศิริธรรมราชา เป็นปลัดทัพ ให้พระยาพิพัฒน์โกษาเป็นแม่ทัพคุมกองทัพ ๗ กองอีกทางหนึ่ง เพราะอยู่ในเขตใกล้เคียงกัน ให้ไปตั้งที่ตำบลท่ากระดาน เขตแดนเมืองกาญจนบุรี</p> <p>กองทัพที่ ๔ ให้เจ้าพระยากลาโหม คุมกองทัพ ๑๕ กอง การจัดกำลังทัพจัดแบบเดียวกับกองทัพที่ ๑ ให้ไปตั้งรับทัพพม่าทางเมืองราชบุรี</p> <p>กองทัพที่ ๕ ให้พระยาธิเบศร์เป็นแม่ทัพ คุมกองทัพ ๑๔ กอง การจัดกำลังกองทัพเหมือนกองทัพที่ ๑ ให้ไปตั้งรับพม่าทางเมืองราชบุรี</p> <p>การที่กรุงศรีอยุธยาได้จัดเตรียมการป้องกันพระนครและเตรียมสู้รบพม่า โดยจัดแบ่งออกเป็นกองย่อย ๆ มากมายและแยกไปตั้งอยู่ตามจุดต่าง ๆ โดยพม่ายกทัพมาจริง ๆ ยกมาเพียง ๒ ทางเท่านั้น ดังนั้น กองทัพไทยที่ไปอยู่อีกหลายจุด จึงไม่ได้สู้รบกับพม่าเลย ทำให้เสียกำลังทัพ ไม่ได้ใช้ประโยชน์เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ไทยต้องเสียกรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งที่สอง</p> <p>ในขณะที่พม่าตั้งค่ายขยายวงล้อมกรุงศรีอยุธยา โดยมีทัพของเนเมียวสีหบดี ตั้งค่ายทางเหนือของอยุธยาแถบบ้านประสบ (พระประสบ) เนเมียวสีหบดีได้ให้ทหารพม่าจำนวนหนึ่ง ไปเที่ยวค้นทรัพย์จับผู้คนทางเมืองวิเศษไชยชาญและได้ตั้งค่ายอยู่ที่เมืองวิเศษไชยชาญ ได้เกลี้ยกล่อมให้พวกราษฎรให้ยอมอยู่ในอำนาจเป็นพวกของพม่า ขณะนั้นราษฎรในเขตเมืองวิเศษไชยชาญ เมืองสิงห์บุรี เมืองสรรค์บุรี และเมืองสุพรรณบุรี ได้อพยพไปพึ่งอาจารย์ธรรมโชติ ที่บ้านบางระจัน ซึ่งอยู่ในท้องที่เมืองสิงห์บุรี พม่าได้ส่งคนไปเกลี้ยกล่อมให้เข้าเป็นพวกของพม่า แต่ชาวไทยกลุ่มนี้มีความรักชาติ ไม่ยอมเข้ากับพม่า ได้รวมกำลังกันต่อสู้กับพม่าและสามารถเอาชนะกองทหารพม่าถึง ๗ ครั้ง ในการรบครั้งที่ ๘ ชาวบ้านบางระจันจึงพ่ายแพ้พม่า เพราะไม่ได้รับกำลังช่วยเหลือจากทางกรุงศรีอยุธยา แม้ทางชาวบ้านบางระจันจะส่งคนมาขอปืนใหญ่จากรุงศรีอยุธยา ๒ กระบอกแต่ทางกรุงไม่ให้ เสนาบดีกราบทูลสมเด็จพระยาเอกทัศน์ว่า “…ถ้าค่ายบ้านบางระจันเสียแก่พม่า พม่าก็จะเอาปืนเข้ามารบกรุงจะให้ไปนั้นมิบังควร…” พระเจ้าแผ่นดินทรงเชื่อตามคำกราบทูล จึงไม่ทรงให้ปืนใหญ่แก่ชาวบ้านบางระจัน แต่ให้ได้พระยารัตนาธิเบศร์ออกไปหล่อปืนที่บ้านบางระจัน การหล่อปืนใหญ่จะต้องใช้เวลานานพอสมควร ชาวบางระจัน จึงถูกพม่าซึ่งนำโดยพระนายกองตีแตกชาวบ้านบางระจันได้ยืนหยัดต่อสู้พม่าเป็นเวลานานถึง ๕ เดือนจึงเศษจึงเสียทีแก่พม่า ชาวบ้านที่มีชีวิตอยู่รวมทั้งเด็กและสตรีถูกพม่าจับไปเป็นเชลยเป็นส่วนใหญ่ ที่หนีรอดไปได้นั้นมีน้อย ชาวบ้านบางระจัน เป็นตัวอย่างอันดีในการแสดงออก ซึ่งความรักชาติบ้านเมืองยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ </p> <h5>สมัยกรุงธนบุรี</h5> <p>หลังจากกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าข้าศึก เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ กล่าวได้ว่ากรุงศรีอยุธยาอยู่ในสภาพยับเยินเสียหายมาก ทั้งปราสาทราชวัง วัดวาอาราม และบ้านเรือนของประชาชนถูกเพลิงไหม้เสียหายเป็นส่วนใหญ่ บรรดาประชาชนถูกพม่ากวาดต้อนไปเป็นเชลยประมาณ ๑ แสนครอบครัวส่วนที่เหลืออยู่ ก็มีความทุกข์ยากลำบากล้มตายและฆ่าฟันกันเองทุกหนทุกแห่งเป็นสภาพที่นับว่าเสียหายมาก ซึ่งไม่เคยปรากฏผลความเสียหายเช่นนี้มาเลยในอดีต กรุงศรีอยุธยาซึ่งได้ดำรงปกครองตนเองมาเป็นเวลานานถึง ๔๑๗ ปี มีกษัตริย์ปกครองติดต่อกันมาถึง ๓๔ องค์ ก็ต้องถึงแก่กาลอวสานเสียบ้านเมืองให้แก่พม่า เพราะเหตุที่พระเจ้าแผ่นดินอ่อนแอและคนไทยแตกความสามัคคี แต่เมืองไทยก็ยังโชคดีที่มีคนดีมีความสามารถมากอบกู้ชนชาติไทยให้รวมกันเป็นปึกแผ่นได้อีกสมกับที่ว่ากรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี บุคคลผู้นั้นคือ “พระยาวชิระปราการ” หรือที่รู้จักกันในนามของ “พระยาตาก” ได้ทำสงครามขับไล่พม่าออกจากค่ายโพธิ์สามต้นแล้ว จึงเลือกเอากรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวงสืบต่อมา กรุงศรีอยุธยาจึงได้กลายเป็นอดีต “กรุงเก่า” ไป</p> <p>ภายหลังจากที่กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ แล้วปรากฏว่ามีหัวเมืองชั้นนอกหัวเมืองชั้นในไม่ว่าจะเป็นเมืองเอก เมืองโท หรือเมืองจัตวา และบรรดาเมืองประเทศราชทั้งหลายได้พากันตั้งตัวเป็นอิสระได้ตั้งตัวเป็นใหญ่ กลุ่มชนต่าง ๆ ก็ต้องรวมกันเพื่อป้องกันโจรภัยเพราะในระยะนี้ปรากฏมีโจรผู้ร้ายชุกชุม สภาพของเมืองไทยภายหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ แล้ว ปรากฎบ้านเมืองแตกแยกออกเป็นหลายกลุ่ม กลุ่มที่สำคัญ ๆ ได้แก่ กลุ่มเมืองธนบุรี กลุ่มเมืองพิษณุโลก กลุ่มเมืองนครศรีธรรมราช กลุ่มเมืองนครราชสีมา เมืองสรรคบุรี และยังมีกลุ่มเล็ก ๆ อีกมากมายที่มักก่อปัญหาความวุ่นวาย</p> <p>เมืองอินทร์ เมืองพรหม เมืองสิงห์ ได้เข้าอยู่ในกลุ่มเมืองธนบุรี ซึ่งมีพระเจ้าตากเป็นผู้นำกลุ่มมาตั้งแต่ต้น กลุ่มนี้มีที่ตั้งอยู่ที่เมืองธนบุรีมีเมืองที่อยู่ในอำนาจในส่วนกลางขึ้นมาถึงเมืองลพบุรีภายหลังได้รวบรวมกลุ่มต่าง ๆ ไว้ได้หมด และปรับปรุงฟื้นฟูบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่นมั่นคงถาวรขึ้นการ ปกครองส่วนใหญ่ในสมัยกรุงธนบุรียังใช้หลักการปกครอง ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มีการปรับปรุงบ้างในส่วนที่เกี่ยวกับการปกครองส่วนภูมิภาคก็คือการแต่งตั้งคนสนิทหรือบุคคลที่สวามิภักดิ์เป็นผู้ปกครองเมือง ให้เมืองใหญ่ช่วยควบคุมดูแลเมืองเล็กและตั้งนายทหารสำคัญไปครองเมือง จุดมุ่งหมายการปรับปรุงก็เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกันตนเองให้พ้นอันตรายจากการที่พม่าจะรุกรานเข้ามา</p> <p>ในยุคสมัยกรุงธนบุรี ตั้งแต่เสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าเป็นครั้งที่ ๒ ถึง พ.ศ. ๒๓๒๕ เมืองอินทร์ เมืองพรหม เมืองสิงห์ ก็ยังโชคดีมีแต่ความสงบสุข ไม่มีการรุกรานจากฝ่ายใด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไทยด้วยกันเองหรือพม่า</p> <h5>สมัยกรุงรัตนโกสินทร์</h5> <p>การปกครองในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นมีลักษณะคล้าย ๆ กับการปกครอง ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้างในส่วนที่เกี่ยวกับการ ปกครองในส่วนภูมิภาคที่สำคัญคือ ได้มีการจัดแบ่ง หัวเมืองขึ้นกลาโหม มหาดไทย และกรมท่าใหม่ กล่าวคือ รัชกาลที่ ๑ ทรงพระราชดำริว่า เมื่อครั้งกรุงเก่าเมืองปักษ์ใต้ยกมาขึ้นแก่กรมท่านั้น เพราะกลาโหมมีความผิด บัดนี้ เจ้าพระยามหาเสนา ที่สมุหกลาโหมมีความชอบมาก จึงให้แบ่งหัวเมืองปักษ์ใต้ ฝ่ายตะวันตกซึ่งขึ้นกรมท่า ๑๙ เมืองขึ้นมหาดไทย ๑ เมือง รวม ๒๐ เมือง ซึ่งต่อสมุหกลาโหมทำให้การบังคับบัญชาหัวเมืองในส่วนภูมิภาคอยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายต่าง ๆ ดังนี้</p> <p>ก. สมุหนายก มีอำนาจปกครองดูแลหัวเมืองทางฝ่ายอีสานและทางเหนือทั้งทางด้านการทหาร พลเรือน เศรษฐกิจ การศาล การยุติธรรม การป้องกันประเทศและด้านอื่น ๆ ทุกด้านหัวเมืองที่อยู่ในอำนาจได้แก่ เมืองพิษณุโลก เมืองสวรรคโลก เมืองสุโขทัย เมืองกำแพงเพชร เมืองพิชัย เมืองนครสวรรค์ เมืองพิจิตร เมืองมโนรมย์ เมืองชัยนาท เมืองอุทัยธานี เมืองอินทร์บุรี เมืองพรหมบุรี เมืองสิงห์บุรี เมืองสรรคบุรี เมืองลพบุรี เมืองสระบุรี เมืองวิเศษไชยชาญ กรุงเก่า เมืองนครนายก เมืองประจิม เมืองฉะเชิงเทรา เมืองสุพรรณบุรี เมืองนครชัยศรี เมืองราชบุรี เมืองกาญจนบุรี เมืองเพชรบูรณ์ เมืองท่าโรง เมืองบัวชุม เมืองชัยบาดาล เมืองกำพรานและเมืองนครศรีธรรมราช</p> <p>ข. สมุหกลาโหม มีอำนาจปกครองดูแลหัวเมืองปักษ์ใต้ทุก ๆ ด้านเช่นเดียวกับ สมุหนายก หัวเมืองที่อยู่ในอำนาจสมุหกลาโหมได้แก่ เมืองสงขลา เมืองพัทลุง เมืองนครศรีธรรมราช เมืองไชยา เมืองหลังสวน เมืองชุมพร เมืองประทิว เมืองคลองวาฬ เมืองกุย เมืองปราณ เมืองตะนาวศรี เมืองมะริด เมืองกระ เมืองตะกั่วป่า เมืองตะกั่วทุ่ง เมืองพังงา เมืองถลาง เมืองทวาย เมืองไทรโยค</p> <p>ค. กรมท่า มีอำนาจดูแลหัวเมืองชายทะเลตะวันออก ได้แก่เมืองจันทบุรี เมืองตราด เมืองระยอง เมืองบางละมุง เมืองนนทบุรี เมืองสมุทรปราการ เมืองสมุทรสงคราม และเมืองสาครบุรี</p> <h5>การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล</h5> <p>การจัดระเบียบการปกครองส่วนภูมิภาคในสมัยอยุธยาตอนต้นก่อนที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจะทรงปรับปรุงใหม่นั้น ได้แบ่งอำนาจการปกครองออกเป็นเขต ๆ คือ เขตราชธานี เมืองหน้าด่าน (เมืองลูกหลวง) จะมีเมืองพระยามหานครและประเทศราช แต่ละเขตราชธานีและเมืองหน้าด่าน (เมืองลูกหลวง) จะมีเมืองเอกบังคับบัญชา เมืองโท ตรี จัตวา ที่อยู่ในเขตนั้น ๆ มีรูปลักษณะอย่างเดียวกับการจัดมณฑลนั่นเอง ส่วนประเทศราชหรือเมืองพระยามหานครนั้น ได้จัดให้เมืองเล็กขึ้นกับเมืองใหญ่เป็น ๒ ชั้น เช่นกัน การจัดปกครองเช่นนั้น มีข้อบกพร่องสำคัญอยู่ที่รัฐบาลกลาง ไม่สามารถควบคุมการบริหารราชการของบรรดาหัวเมืองที่อยู่ห่างไกลออกไปจากราชธานีมาก ๆ ได้ ทั้งนี้เพราะการคมนาคมยังไม่เจริญ การเดินทางติดต่อประสานงานระหว่างเมืองจึงทำได้ยาก และเสียเวลามาก ทั้งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เจ้าเมืองมีอิสระในทางการปกครองมาก เพราะมีฐานะเป็นผู้ “กินเมือง” โดยสมบูรณ์แทบจะไม่ต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลกลางเลย</p> <p>โดยเหตุนี้ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ จึงทรงพยายามแก้ไขข้อบกพร่องนี้ โดยรวบอำนาจการปกครองเข้ามาไว้ในส่วนกลางให้มากที่สุด ด้วยการขยายอำนาจการปกครองของราชธานีออกไปครอบคลุมเอาเมืองหน้าด่านทั้งสี่ทิศเข้ามาไว้ในอำนาจ (เลิกเมืองหน้าด่านนั่นเอง) ให้หัวเมืองในเขตราชธานีหรือหัวเมืองชั้นในเหล่านั้นมีฐานะเป็นเมืองจัตวา ขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ เรียกผู้ปกครองว่า “ผู้รั้ง” ไม่ใช่ “เจ้าเมือง” อย่างเมื่อก่อน</p> <p>ความพยายามที่จะรวบอำนาจของการปกครอง ให้เข้ามาอยู่กับส่วนกลาง ได้ปฏิบัติสืบต่อกันเรื่อยมา จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น และเมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงให้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นมีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวง ซึ่งหมายความว่า รัฐบาลมิให้การบังคับบัญชาหัวเมืองไปอยู่ที่เจ้าเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลเริ่มจัดตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๗ จนถึง พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงสำเร็จและเพื่อความเข้าใจเรื่องนี้เสียก่อนในเบื้องต้น จึงจะขอนำคำจำกัดความของ “การเทศาภิบาล” ซึ่งพระยาราชเสนา (สิริ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) อดีตปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทยตีพิมพ์ไว้ ซึ่งมีความว่า</p> <p>“การเทศาภิบาล คือ การปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการอันประกอบด้วยตำแหน่งข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาลของพระองค์ รับแบ่งภาระของรัฐบาลกลาง ซึ่งประจำแต่เฉพาะในราชธานีนั้นออกไปดำเนินงานในส่วนภูมิภาค อันเป็นที่ใกล้ชิดติดต่ออาณาประชากร เพื่อให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขและความเจริญทั่วถึงกัน โดยมีระเบียบแบบแผนอันเป็นคุณประโยชน์แก่อาณาจักรด้วย ฯลฯ จึงได้แบ่งส่วนการปกครองโดยขนาดลดหลั่นกันเป็นขั้นอันดับดังนี้ คือ ส่วนใหญ่เป็นมณฑลรองถัดลงไปเป็นเมือง คือ จังหวัด รองไปอีกเป็นอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน จัดแบ่งหน้าที่ราชการเป็นส่วนสัดแผนกงานให้สอดคล้องกับทำนองการของกระทรวง ทบวง กรมในราชธานี และจัดสรรข้าราชการที่มีความรู้ สติปัญญา ความประพฤติดี ให้ไปประจำทำงานตามตำแหน่งหน้าที่มิให้มีการก้าวก่ายสับสนกันดังที่เป็นมาแต่ก่อน เพื่อนำมาซึ่งความเจริญเรียบร้อย รวดเร็ว แก่ราชการและธุรกิจของประชาชน ซึ่งต้องอาศัยทางราชการเป็นที่พึ่งด้วย</p> <p>จากคำจำกัดความดังกล่าวข้างต้น ควรทำความเข้าใจทางประการเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาล ดังนี้</p> <p>การเทศาภิบาลนั้น หมายความรวมว่า เป็น “ระบบ” การปกครองอาณาเขต ชนิดหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า “การปกครองส่วนภูมิภาค” ส่วน “มณฑลเทศาภิบาล” นั้น คือ ส่วนหนึ่งของการปกครองชนิดนี้ และยังหมายความอีกว่า ระบบเทศาภิบาลเป็นระบบที่รัฐบาลจัดส่งข้าราชการส่วนกลางไปบริหาร ราชการในท้องที่ต่าง ๆ แทนที่ส่วนภูมิภาคจะจัดปกครองกันเอง เช่นที่เคยปฏิบัติมาแต่เดิมอันเป็นระบบยกกินเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลจึงเป็นระบบการปกครอง ซึ่งรวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางและริดรอนอำนาจของเจ้าเมืองตามระบบกินเมืองลงอย่างสิ้นเชิง</p> <p>นอกจากนี้ มีข้อที่ควรทำความเข้าใจอีกประการหนึ่ง คือ ก่อนการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาลนั้น ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก่อนปฏิรูปการปกครองก็มีการรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลเหมือนกันแต่มณฑลสมัยนั้นหาใช้มณฑลเทศาภิบาลไม่ ดังจะอธิบายโดยย่อดังนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราชทรงพระราชดำริจะจัดการปกครองพระราชอาณาเขตให้มั่นคง และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทรงเห็นว่าหัวเมืองอันมีมาแต่เดิมแยกกันขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยบ้าง กระทรวงกลาโหมบ้าง และกรมท่าบ้าง การบังคับบัญชาหัวเมืองในสมัยนั้นแยกกันอยู่ถึง ๓ แห่ง ยากที่จะจัดระเบียบปกครองให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนกันได้ทั่วราชอาณาจักร ทรงพระราชดำริว่าควรจะรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงให้ขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียว จึงได้มีพระบรมราชโองการแบ่งหน้าที่ ระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงกลาโหมเสียใหม่ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๕ เมื่อได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยปกครองหัวเมืองทั้งปวงแล้ว จึงได้รวบรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑล มีข้าหลวงใหญ่เป็นผู้ปกครอง การจัดตั้งมณฑลในครั้งนั้นมีอยู่ทั้งสิ้น ๖ มณฑล คือ มณฑลลาวเฉียงเหนือ มณฑลพายัพ มณฑลลาวพวนหรือมณฑลอุดร มณฑลลาวกาว หรือ มณฑลอีสาน มณฑลเขมรหรือมณฑลบูรพา และมณฑลนครราชสีมา ส่วนหัวเมืองทางฝั่งทะเลตะวันตก บัญชาการอยู่ที่เมืองภูเก็ต</p> <p>การจัดรวบรวมหัวเมืองเข้าเป็น ๖ มณฑลดังกล่าวนี้ ยังมิได้มีฐานะเหมือนมณฑลเทศาภิบาลการจัดระบบการปกครองมณฑลเทศาภิบาลได้เริ่มอย่างแท้จริง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นต้นมาและก็มิได้ดำเนินการจัดตั้งพร้อมกันทีเดียวทั่วราชอาณาจักร แต่ได้จัดตั้งเป็นลำดับดังนี้</p> <p>พ.ศ. ๒๔๓๗ ได้ตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ๓ มณฑล คือ มณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีน มณฑลราชบุรี</p> <p>พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้ตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๔ มณฑล คือ มณฑลนครไชยศรี มณฑลนครสวรรค์ มณฑลกรุงเก่า (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลอยุธยาในรัชกาลที่ ๖) มณฑลกรุงเก่าประกอบด้วยเมือง ๘ เมือง คือ กรุงเก่า พระพุทธบาท พรหมบุรี ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง และอินทร์บุรี ข้าหลวงอยู่ที่กรุงเก่า</p> <p>(พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้ยุบเมืองพุทธบาทลงเป็นอำเภอขึ้นกับเมืองสระบุรี และยุบเมืองอินทร์บุรี และเมืองพรหมบุรี ลงเป็นอำเภอขึ้นกับเมืองสิงห์บุรี)</p> <p>พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้ตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๒ มณฑล คือ มณฑลนครศรีธรรมราชและมณฑลชุมพร</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้ตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๑ มณฑล คือ มณฑลไทรบุรี</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๒ ได้ตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๑ มณฑล คือ มณฑลเพชรบูรณ์</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๙ ได้ตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๒ มณฑล คือ มณฑลจันทบุรี และมณฑลปัตตานี</p> <p>พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้ตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๒ มณฑล คือ มณฑลร้อยเอ็ด และมณฑลอุบล</p> <p>พ.ศ. ๒๔๕๘ ได้ตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๑ มณฑล คือ มณฑลมหาราษฎร์</p> <p><b>การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน</b><b></b></p> <p>การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมือง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น ปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง นอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัด และอำเภอแล้ว ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลอีกด้วย เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสียเหตุที่ยกเลิกมณฑลน่าจะเนื่องจาก</p> <p>๑) การคมนาคมสื่อสารสะดวก และรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน สามารถที่จะสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง</p> <p>๒) เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศให้น้อยลง</p> <p>๓) เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล มณฑลรายงานต่อกระทรวง เป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น</p> <p>๔) รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ ๆ มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วน ภูมิภาคยิ่งขึ้นและการที่ยุบมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจนั่นเอง</p> <p>ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกฉบับหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดมีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนี้</p> <p>๑) จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่</p> <p>๒) อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคล ได้แก่ คณะกรมการจังหวัดนั้น ได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่กับบุคคลคนเดียว คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด</p> <p>๓) ในฐานะของคณะกรมการจังหวัด ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการ แผ่นดินในจังหวัดได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด</p> <p>ต่อมา ได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น</p> <p>๑) จังหวัด</p> <p>๒) อำเภอ</p> <p>จังหวัดนั้น ให้รวมท้องที่หลาย ๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้ง ยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้มีคณะกรรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น</p> <p><a href="http://lh5.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkJCnq5wiI/AAAAAAAAAOs/2AHma-Tp-Gg/s1600-h/clip_image0013.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image001" border="0" alt="clip_image001" src="http://lh4.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkJLBp2vxI/AAAAAAAAAOw/GESsRuRiQgY/clip_image001_thumb.gif?imgmax=800" width="240" height="2" /></a></p> <p>ที่มา : <b>ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดสิงห์บุรี</b>. สิงห์บุรี. หัตถโกศลการพิมพ์, ๒๕๓๗.</p> ไม้ไผ่http://www.blogger.com/profile/13079736154779537493noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3975884513971132653.post-85162206197146481162010-08-16T02:38:00.001-07:002010-08-16T02:38:40.922-07:00ชัยนาท<p><b>จังหวัดชัยนาท</b><b></b></p> <p><b>สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา</b><b></b></p> <p>เมืองชัยนาทเป็นเมืองโบราณ ตัวเมืองเดิมตั้งอยู่ตรงแยกฝั่งขวาของแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงที่ปากน้ำเมืองสรรค์ (ปากคลองแพรกศรีราชา-ปัจจุบันบริเวณดังกล่าวอยู่ใต้ปากลำน้ำเก่า) สมัยเมื่อลำน้ำเจ้าพระยาไหลแยกเดินลงมาทางอำเภอสรรพยา และอินทร์บุรี (ในปัจจุบันเป็นลำน้ำใหม่แล้ว) บางตำนานได้กล่าวว่า <b>"เมืองชัยนาท"</b> น่าจะปรากฏนามในราวๆ ปี พ.ศ. ๑๗๐๒ ว่า ขุนเสือฟ้า หรือ เจ้าคำฟ้า กษัตริย์เมืองเมา ได้ยกทัพมาทำสงครามกับเจ้าเมืองฟังคำแห่งอาณาจักรโยนก (ปัจจุบันเป็นอำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา) และได้ชัยชนะหลังจากเมืองแตกแล้ว เจ้าเมืองฟังคำได้อพยพผู้คนลงมาอยู่ที่เมืองแปป (กำแพงเพชร เดิม) แล้วมาสร้างเมืองไตรตรึงค์ ที่ตำบลแพรกศรีราชา และหลังจากนั้นคงจะสร้าง <b>"เมืองชัยนาทขึ้น เนื่องจากได้รบชัยชนะชนชาติท้องถิ่นเดิม"</b></p> <p>บางท่านได้สันนิษฐานว่า น่าจะสร้างในสมัยรัชกาลพญาเลอไทแห่งกรุงสุโขทัย ระหว่าง พ.ศ. ๑๘๖๐ - ๑๘๙๗ ซึ่งในหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงปรากฏแต่ชื่อ <b>"เมืองแพรก"</b> ในหนังสือจามเทวีวงศ์ได้กล่าวถึงเมืองทวีสาขนคร ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานไว้ว่าน่าจะเป็น <b>"เมืองแพรก"</b> หรือ <b>"เมืองสรรค์บุรี " </b>อันเป็นเมืองที่อยู่ใกล้ <b>"เมืองชัยนาท" </b>จนถึงกับจะเรียกว่าเป็นเมืองเดียวกันก็ได้ ส่วนหนังสือชินกาลมาลีนั้น มีข้อความกล่าวไว้ชัดเจนว่า <b>"ชยนาทปุรม ทุพภิกภย ชาต" </b>ซึ่งหมายถึง ทุพภิกขภัยได้บังเกิดมีในเมืองชัยนาทบุรี ซึ่งกล่าวว่าทางพระราชอาณาจักรอยุธยาได้ส่งอำมาตย์ หรือพระราชโอรสมีนามว่า <b>"เดชะ"</b> มาครอง<b> "เมืองชัยนาท"</b> ในรัชสมัยพระมหาธรรมราชา (ลิไท) แห่งอาณาจักรกรุงสุโขทัย ส่วนในตำนานพระพุทธสิหิงค์ ได้กล่าวถึงเมืองชัยนาทภายใต้การปกครองของกรุงสุโขทัย รัชสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท) นั้น ครั้งหนึ่งเกิดภาวะข้าวยากหมากแพง พระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ทรงออกอุบายนำข้าวมาขายที่เมืองชัยนาทแล้วยึดเมืองได้จึงโปรดให้อำมาตย์ชื่อ วัตติเดช (ขุนหลวงพะงั่ว) ปกครองเมืองชัยนาท ซึ่งตรงกันกับพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาได้กล่าวว่า <b>"เมืองชัยนาทบุรี" </b>ปรากฏชื่อในราวๆ รัชสมัยสมเด็จพระรามาธิ-บดีที่ ๑ แห่งกรุงศรีอยุธยาซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๑๘๙๗ เป็นที่พญาเลอไทสวรรคต กรุงสุโขทัยเกิดการแย่งชิงราชสมบัติ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ทรงเห็นโอกาสเหมาะ จึงโปรดให้ขุนหลวงพะงั่วซึ่งขณะนั้นครองเมืองสุพรรณบุรียกทัพขึ้นไปยึดครอง <b>"เมืองชัยนาทบุรี" </b>และอยู่รักษาเมืองไว้โดยขึ้นตรงต่อกรุงศรี-อยุธยา ต่อมากรุงสุโขทัยสงบลงแล้ว พญาลิไทขึ้นครองราชย์ ได้ส่งทูตมาเจรจาขอ <b>"เมืองชัยนาทบุรี" </b>คืนจากกรุงศรีอยุธยา โดยต่างฝ่ายจะเป็นอิสระ และมีความสัมพันธไมตรีอันดีต่อกัน ในที่สุดกรุงศรี-อยุธยาก็ได้คืน <b>"เมืองชัยนาทบุรี"</b> ให้แก่กรุงสุโขทัย ซึ่งนักประวัติศาสตร์ได้สันนิษฐานว่า ทางกรุงศรี-อยุธยาเกรงว่า ทางฝ่ายกรุงสุโขทัยจะชวนแคว้นกัมพุช (ลพบุรี) และอาณาจักรทางเหนือ ซึ่งเป็นมิตรกับกรุงสุโขทัยมาร่วมรบประกอบกับกรุงศรีอยุธยาเพิ่งจะสถาปนาได้ไม่นาน หากมีศึกกระหนาบข้างทั้งสองด้านจะสร้างปัญหาให้แก่กรุงศรีอยุธยาไม่น้อย ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้กรุงศรีอยุธยายอมคืน <b>"เมืองชัยนาทบุรี" </b>ให้แก่กรุงสุโขทัยโดยดี เมื่อพระมหาธรรมราชา ที่ ๑ (ลิไท) ทรงได้ <b>"เมืองชัยนาทบุรี "</b> คืนแล้ว ทรงโปรดให้พระกนิษฐภคินี ทรงพระนามว่า พระสุธรรมกัญญา ซึ่งทรงสถาปนาเป็นพระมหาเทวี ครองราชสมบัติในกรุงสุโขทัยแล้ว พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท) ทรงอัญเชิญ พระสิหล (พระพุทธสิหิงค์) พร้อมทั้งเสด็จมาครองเมืองชัยนาทจนกระทั่งสวรรคต ในปี พ.ศ. ๑๙๑๔ </p> <p>ม.ร.ว.ศึกฤทธิ์ ปราโมช ได้มาปาฐกถาที่วัดมหาธาตุ อำเภอสรรคบุรี เมื่อ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๐ ว่า ระบอบการปกครองและระบบเศรษฐกิจของ <b>"เมืองชัยนาทบุรี" </b>ในยุคนี้คล้ายคลึงกันกับกรุงสุโขทัย กษัตริย์ครองเมือง <b>"ชัยนาทบุรี" </b>ในฐานะพ่อเมืองปกครองแบบพ่อปกครองลูกบ้านอาศัยความเมตตากรุณาต่อกันเป็นหลักใหญ่ในการปกครอง ประชาชนที่อยู่ในเมือง มีเสรีภาพต่างๆ ฐานะความเป็นอยู่และเศรษฐกิจ เช่นเดียวกันกับที่ปรากฏในหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง เช่น มีสิทธิที่จะอยู่ได้อย่างเสรี ไม่มีทาส ประชาชนชาว <b>"เมืองชัยนาทบุรี" </b>ก็คงจะมีสิทธิที่จะทำมาหากินได้โดยเสรีเช่นเดียวกันกับที่เมืองสุโขทัย ทางผู้ปกครองแผ่นดินก็คงจะได้ส่งเสริมด้านเศรษฐกิจโดยการสร้างทางคมนาคมทั้งทางน้ำและทางบก และด้วยการสร้างระบบการชลประทานเพื่อให้ราษฎรทำไร่ไถ่นาให้ได้ผลดี ฐานะทางเศรษฐกิจของเมืองก็ย่อมดีขึ้นมาก ส่วนภาษีอากรนั้นย่อมมีบ้าง เพราะเมือง <b>"ชัยนาทบุรี" </b>มีฐานะเป็นเมืองขึ้นของกรุงสุโขทัย ฉะนั้น ก็จำต้องส่งส่วยอากรให้แก่กรุงสุโขทัยตามธรรมเนียม</p> <p><b></b></p> <p><b>สมัยกรุงศรีอยุธยา</b><b></b></p> <p>เมื่อกรุงศรีอยุธยาได้เข้มแข็งขึ้นเป็นอาณาจักรใหญ่ และกรุงสุโขทัยได้เสื่อมอำนาจลงและได้สิ้นสุดเมื่อ ราว ๆ ปี พ.ศ. ๑๙๒๑ โดยได้รวมตัวกับอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา <b>"เมืองชัยนาทบุรี" </b>ก็ต้องขึ้นอยู่กับกรุงศรีอยุธยาไปด้วย และได้รับการสถาปนาให้เป็นเมืองลูกหลวงของกรุงศรีอยุธยา กล่าวคือ ได้ปรากฏในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพระจักรพรรดิพงค (จาด) ซึ่งได้บันทึกในราวๆ สมัยสมเด็จพระนารายณ์ ได้กล่าวถึง <b>"เมืองชัยนาทบุรี" </b>ว่า ได้รับการสถาปนาให้เป็นเมืองลูกหลวงในรัช-สมัยสมเด็จพระอินทราชา กษัตริย์องค์ที่ ๖ แห่งกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. ๑๙๔๖ ) ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้สันนิษฐานว่า สาเหตุที่สถาปนาให้เมือง <b>"ชัยนาทบุรี" </b>เป็นเมืองลูกหลวงนั้น อาจจะเป็นเหตุผลทางทหารมากกว่าอย่างอื่น ชรอยจะยังทรงไม่ไว้วางพระราชหฤทัยในความปั่นป่วนทางการเมืองของราชอาณาจักรทางฝ่ายเหนือ ว่าจะสงบราบคาบลงได้อย่างแท้จริง เมื่อพระองค์ทรงมีพระราชโอรส ๓ พระองค์ จึงส่งให้ไปครองหัวเมืองรอบๆ กรุงศรีอยุธยา เพื่อคอยรับสถานะการณ์ความปั่นป่วนต่างๆ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ดังนี้</p> <p>๑. เจ้าอ้ายพญา ให้ไปครอง เมืองสุพรรณบุรี</p> <p>๒. เจ้ายี่พญา ให้ไปครอง เมืองสรรค์บุรี</p> <p>๓. เจ้าสามพญา ให้ไปครอง เมืองชัยนาทบุรี</p> <p>ครั้ง พ.ศ. ๑๙๖๑ สมเด็จพระอินทราชาเสด็จสวรรคต เจ้าอ้ายพญา และเจ้ายี่พญา ได้ยกทัพเข้ามาชิงราชสมบัติกัน โดยมาพบกัน ณ ตำบลป่าถ่าน แขวงกรุงเก่า โดยเจ้าอ้ายพญาตั้งทัพอยู่ที่ตำบลป่ามะพร้าว ส่วนเจ้ายี่พญายกทัพมาตั้ง ณ วัดไชยภูมิ ทางเข้าตลาดเจ้าพรหม ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน และได้กระทำการยุทธหัตถีที่เชิงสะพานป่าถ่าน ผลปรากฏว่า ทั้งสองพระองค์ถูกพระแสงของ้าวต้องพระศอขาดคอช้างสิ้นพระชนม์พร้อมๆ กัน มุขมนตรีจึงออกไปเฝ้าเจ้าสามพญาที่ <b>"เมืองชัยนาทบุรี" </b>แล้วทูลเรื่องราวพร้อมทั้งอัญเชิญเสด็จไปครองกรุงศรีอยุธยาทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ แล้วทรงโปรดให้ขุดพระศพของพระเชษฐาทั้งสองพระองค์ขึ้นมาถวายพระเพลิง ให้สถาปนาพระมหา-สถูปและพระวิหารเป็นพระอารามแล้วให้ชื่อว่า วัดราชบูรณะ ส่วนสถานที่ที่เจ้าอ้ายพญาและเจ้ายี่พญากระทำยุทธหัตถีกันนั้น ให้ก่อพระเจดีย์ ๒ องค์ไว้ที่เชิงสะพานป่าถ่าน</p> <p>ครั้งที่ พ.ศ. ๑๙๙๔ พระเจ้าติโลกราช กษัตริย์เมืองเชียงใหม่มีอำนาจมากขึ้นภายหลังจากที่ได้รวบรวมอาณาจักรทางเหนือไว้ในอำนาจแล้ว ก็ได้ยกทัพมาตีเมืองแปป (เมืองกำแพงเพชร) และได้กวาดต้อนผู้คนบริเวณรอบๆ จนถึงเขต <b>"เมืองชัยนาทบุรี" </b>ทำให้ <b>"เมืองชัยนาทบุรี" </b>กลายเป็นเมืองร้างตั้งแต่นั้นมา</p> <p>ต่อมา พ.ศ. ๒๐๗๒ ภายหลังขุนนางชั้นผู้ใหญ่ได้ปราบปรามเจ้าแม่ยั่วเมือง ท้าวศรีสุดาจันทร์ ซึ่งคบชู้กับขุนนางวรวงศาธิราช แล้วยึดอำนาจสถาปนาตนเป็นกษัตริย์ได้นาน ๕ เดือนแล้วอัญเชิญพระเฑียรราชา พระอนุชาของพระไชยราชาธิราช ซึ่งได้อุปสมบทขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ในรัชกาลของพระองค์มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเมืองชัยนาท ซึ่งปรากฏในพงศาวดารคือ ในปี พ.ศ. ๒๐๗๗ เดือนแปด ปีมะแม สมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้เสด็จไปกระทำพระราชพิธีมัธยมกรรม ที่ตำบล<b>"ชัยนาทบุรี"</b> (ซึ่งในขณะนั้นยังร้างอยู่) แล้วสถาปนาให้ตั้งเมือง<b>" ชัยนาท " </b>ขึ้นใหม่ ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งตรงข้ามกับเมืองร้างเดิม แต่เมือง <b>"ชัยนาท"</b> ก็ยังคงเป็นยุทธภูมิในการรบระหว่างไทย - พม่า กล่าวคือ</p> <p>ในปี พ.ศ ๒๐๘๖ พระเจ้ากรุงหงสาวดียกทัพพม่าเข้ามาทางด้านพระเจดีย์สามองค์ เข้าล้อมกรุงศรีอยุธยา พระมหาธรรมราชาผู้เป็นพระราชบุตรเขยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ซึ่งครองเมืองพิษณุโลก ได้เกณฑ์หัวเมืองฝ่ายเหนือได้แก่ สุโขทัย พิจิตร พิชัย รวมแล้วได้ไพร่พลประมาณห้าหมื่นคน ยกทัพมาตั้งค่ายที่ <b>"เมืองชัยนาท" </b>เพื่อคอยช่วยเหลือป้องกันกรุงศรีอยุธยา และได้ส่งทัพหน้าออกไปลาดตะเวนสืบข่าวความเคลื่อนไหวของทัพพม่า แต่พม่าได้ตีทัพหน้าของพระมหาธรรมราชาแตกพ่ายกลับค่ายที่ <b>"เมืองชัยนาท" </b>ต่อมาพระเจ้ากรุงหงสาวดีไม่สามารถตีกรุงศรีอยุธยาแตกได้ ก็เลิกทัพกลับ โดยเคลื่อนขบวนผ่านทาง <b>"เมืองชัยนาท" </b>พระมหาธรรมราชาเห็นว่า มีลี้พลน้อยกว่าและพม่าไม่สามารถตีกรุงศรีอยุธยาได้ เลยถอยทัพกลับทิ้งค่ายที่เมืองชัยนาทร้างไว้ พระเจ้ากรุงหงสาวดีก็เคลื่อนทัพเข้าตั้งที่ค่ายดังกล่าว ขณะเดียวกันที่พม่าถอยทัพนั้น พระราเมศวร และพระมหินทราธิราช พระราชโอรสของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ได้ยกทัพไทยเข้ามาตีกระหนาบท้ายโดยไม่รู้ว่าพระมหาธรรมราชาได้ถอยทัพกลับแล้ว จึงถูกพม่าตีแตกพ่ายกลับไปและพระราชโอรสทั้งสองพระองค์ถูกพม่าจับตัวไว้ แล้วนำมาคุมขังที่ค่ายพม่า ณ <b>"เมืองชัยนาท" </b>สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ</p> <p>จำต้องแต่งพระราชสารให้พระมหาราชครูปุโรหิต ขุนหลวงพระเกษมและขุนหลวงไกรศรี เป็นทูตไปเจรจาขอให้ส่งตัว พระราเมศวร และพระมหินทราธิราชคืนโดยพม่าขอแลกตัวกับช้างชนะงา ๒ เชือก คือ พลายศรีมงคล และพลายมงคลทวีป เมื่อไทยนำช้างทั้งสองเชือกส่งที่ค่ายพม่า ณ <b>"เมืองชัยนาท </b>" แล้ว ปรากฏว่าช้างทั้งสองเชือกเห็นหมอควาญชาวพม่าผิดเสียงก็อาละวาดไล่แทงช้าง แทงคน วุ่นวายทั้งกองทัพ พระเจ้ากรุงหงสาวดีจึงให้กรมช้างนำช้างทั้งสองเชือกดังกล่าวกลับคืนแก่กรุงศรีอยุธยาแล้วถอยทัพกลับสู่กรุงหงสาวดี</p> <p>ต่อมาใน ปี พ.ศ. ๒๑๑๑ รัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภายหลังได้ทรงประกาศ อิสรภาพ ณ แขวงเมืองแครง โดยหลั่งพระอุธาธกธาราต่อหน้าพระมหาเถรคันฉ่อง พระยาเกียรติ พระ-ยาราม แล้วเสด็จกลับกรุงศรีอยุธยาและเสริมสร้างปราการ คูรบให้แข็งแรง ฝ่ายพระเจ้ากรุงหงสาวดีก็เกณฑ์ทัพใหญ่มาตีกรุงศรีอยุธยาสองทาง คือ ทางด่านพระเจดีย์สามองค์ และทัพพระเจ้าเชียงใหม่ ซึ่งยกทัพมาทางเรือ มาตั้งค่ายที่เมืองนครสวรรค์ เมื่อสมเด็จพระนเรศวรฯ ทรงทราบข่าว ก็ยกทัพออกไปกระทำพิธีตัดไม้ข่มนาม ณ ตำบลลุมพลี แขวงเมืองวิเศษไชยชาญ แล้วยกทัพเข้าตีสกัดกองทัพพม่าของพญาพะสิม ทัพหน้าของพระเจ้ากรุงหงสาวดี ที่ยกทัพเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ แตกพ่ายกลับไปจนถึงทัพหลวง พระเจ้ากรุงหงสาวดีจึงสั่งให้เลิกทัพกลับไป ฝ่ายพระเจ้าเชียงใหม่ไม่ทราบว่า ทัพหลวงได้เลิกทัพกลับแล้ว ก็เคลื่อนทัพมาตั้งค่ายที่ <b>"เมืองชัยนาท" </b>แล้วส่งทัพหน้าซึ่งนำโดยไชย กะยอสู และ นันทะกะยอสู เป็นทัพหน้าลงมาตั้งทัพ ณ บ้านบางพุทรา และบางเกี่ยวหญ้า สมเด็จพระนเรศวรฯ จึงสั่งให้พระราชมนู และขุนรามเดชะ นำทัพหน้าเข้าโจมตีทัพหน้าของพระเจ้าเมืองเชียงใหม่แตกกลับไปยังทัพหลวงที่ <b>"เมืองชัยนาท" </b>พระเจ้าเชียงใหม่ทราบข่าวว่า กองทัพหลวงของพระเจ้า-กรุงหงสาวดียกทัพกลับแล้ว ก็เลิกทัพกลับเชียงใหม่โดยกวาดต้อนผู้คนแถบหัวเมือง <b>"ชัยนาท" </b>ไปด้วย</p> <p>สำหรับฐานะของ <b>"เมืองชัยนาท" </b>ในยุคกรุงศรีอยุธยานั้น ม.ร.ว.ศึกฤทธิ์ ปราโมช ได้ปาฐกถาว่า เมื่อเมืองชัยนาทตกมาขึ้นอยู่กับกรุงศรีอยุธยาใหม่ นั้น <b>"เมืองชัยนาท" </b>มีฐานะเป็นเมืองลูกหลวงดังที่ได้กล่าวมาแล้ว <b>"เมืองชัยนาท" </b>จะได้ดำรงตำแหน่งอันสำคัญนี้มาได้ช้านานเท่าไหร่ไม่ปรากฏแน่ชัด แต่ตามหลักฐานในพระราชบัญญัติศักดินาทหารหัวเมือง ซึ่งว่ากันว่าออกในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรฯ (พ.ศ. ๒๑๒๑ - ๒๑๓๖) นั้น <b>"เมืองชัยนาท" </b>ได้ลดฐานะลงไปเป็นเมืองจัตวา เพราะตามกฎหมายฯ นั้น เมืองเอกมีอยู่เพียงสองเมืองคือ เมืองพิษณุโลก ในภาคเหนือ และเมืองนครศรีธรรมราช ในภาคใต้ เมืองโทนั้น ได้แก่ สวรรคโลก สุโขทัย กำแพงเพชร เพชรบูรณ์ โคราช และตะนาวศรี ส่วนเมืองตรีนั้น ได้แก่ เมืองพิชัย พิจิตร นครสวรรค์ จันทรบูร ไชยา พัทลุง และชุมพร ในยุคนี้ <b>"เมืองชัยนาท" </b>ได้ขาดความสำคัญไปแล้ว ทั้งในด้านการทหาร และด้านเศรษฐกิจ ประกอบกับในยุคนั้นบ้านเมืองมีศึกสงครามหลายครั้งหลายครา พลเมืองที่ <b>"เมืองชัยนาท" </b>ก็คงจะร่อยหรอลงไปมาก เพราะชายฉกรรจ์คงจะถูกเกณฑ์ไปรักษาพระนครเหนือ ไปราชการทัพเสียเกือบหมด ที่เหลือก็คงจะหนีเข้าป่าไปพร้อมๆ กับครอบครัว ทำให้เมืองชัยนาทกลายเป็นเมืองเล็กๆ ที่เกือบจะไม่มีความสำคัญเหลืออยู่เลย นอกจากนั้น บริเวณเมือง <b>"ชัยนาท" </b>ได้กลายเป็นเขตยุทธภูมิแทบทุกครั้ง พลเมืองถูกกวาดต้อนไปยังบ้านเมืองของข้าศึกหลายครั้งอีกด้วย</p> <p><b>สมัยกรุงธนบุรี</b><b></b></p> <p>ภายหลังจากที่กรุงศรีอยุธยาได้แตกและเสียกรุงแก่พม่าในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ นั้น เมือง</p> <p><b>"ชัยนาท" </b>ยังคงเป็นเมืองสำคัญในยุทธภูมิ ซึ่งปรากฏตามหลักฐานของกรมศิลปากรว่า ในปี ๒๓๑๙ ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๙ (ตรงกับวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๓๑๙) พระเจ้ากรุงธนบุรีได้ยกทัพขึ้นมาตั้งค่ายที่ <b>"เมืองชัยนาท" </b>เพื่อขับไล่พม่า ซึ่งกำลังรบติดพันกับกองทัพไทยที่เขตเมืองนครสวรรค์ เมื่อพม่าทราบข่าว ก็ตกใจ จึงละทิ้งค่ายที่เมืองนครสวรรค์ หนีไปทางเมืองอุทัยธานี พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงยกทัพติดตามข้าศึกไปจนถึงบ้านเดิมบางนางบวช แขวงเมืองสุพรรณบุรีแล้วเข้าโจมตีข้าศึกแตกพ่ายยับเยิน ด้วยเหตุนี้ ทางจังหวัดชัยนาทจึงถือว่า วันที่ ๒๘ กรกฎาคม เป็นวันสถาปนาจังหวัด</p> <p><b>สมัยกรุงรัตนโกสินทร์</b><b></b></p> <p>ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ทางราชการได้สร้างศาลากลางจังหวัดขึ้นที่ตำบลบ้านกล้วย และใน รัชกาลที่ ๕ ได้จัดตั้งกองทหารราบที่ ๑๖ ขึ้นที่บริเวณที่ตั้งศาลากลางจังหวัดในปัจจุบัน (ซึ่งต่อมาได้ย้ายไปตั้งค่ายที่ค่ายจิระประวัติ จังหวัดนครสวรรค์ ) ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าทรงจัดตั้งการปกครองเป็นแบมณฑลเทศาภิบาล โดยให้ยุบและรวมหัวเมืองทางริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตอนเหนือขึ้นไปจนถึงแม่น้ำปิงคือ เมืองชัยนาท เมืองสรรค์บุรี เมืองมโนรมย์ เมืองพยุหคีรี เมืองนครสวรรค์ เมืองกำแพงเพชร เมืองตาก รวม ๘ หัวเมือง ขึ้นตรงต่อข้าหลวงเทศาภิบาลและตั้งที่ว่าการมณฑล ณ เมืองนครสวรรค์ เรียกว่า <b>"มณฑลนครสวรรค์" </b>โดยมีพระยาดัสกรปลาศ (อยู่) เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลคนแรก (ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็นตำแหน่ง <b>"สมุหเทศาภิบาล" </b>ในสมัยรัชการที่ ๖) </p> <p>ครั้นสมัยรัชกาลที่ ๘ ประเทศไทยเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ ๒ ในราวๆ ปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ประเทศไทยได้ประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร และเข้าร่วมรบกับญี่ปุ่น และยินยอมให้ญี่ปุ่นยกกองทัพผ่านประเทศไทยไปยังประเทศพม่า และยอมให้ญี่ปุ่นเสริมสร้างสนามบินตาคลีเดิม เพื่อใช้เป็นฐานบิน และกองทัพญี่ปุ่นได้ใช้ท่าเรือที่จังหวัด <b>"ชัยนาท" </b>เป็นเส้นทางขนส่งเสบียงสัมภาระไปยังฐานบินตาคลี นามเป็นเวลา ๔ ปีเศษ ขณะเดียวกันเมือง <b>"ชัยนาท"</b> ก็เป็นเขตปฏิบัติของหน่วยก่อวินาศ-กรรมสังกัดขบวนการเสรีไทย</p> <p><b>ในปัจจุบัน</b> จังหวัดชัยนาทได้เลือกบริเวณที่ตั้งค่ายทหารของกองทหารราบที่ ๑๖ เก่า เป็นที่ตั้งศาลากลางจังหวัดชัยนาท โดยได้ก่อสร้างอาคารที่ทำการเป็นตึกทรงไทย ๒ ชั้น และเปิดทำการในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ จนถึงปัจจุบัน</p> <p>เป็นที่น่าสังเกตว่า ถึงแม้ว่า <b>"เมืองชัยนาท" </b>เป็นเมืองเก่าแก่ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของภาคกลาง และตั้งอยู่ระหว่าง กรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา ยามใดที่กรุงสุโขทัยเรืองอำนาจก็จะยึดเอาเมือง <b>"ชัยนาท"</b> เป็นเมืองหน้าด่าน แต่ยามใดที่กรุงศรีอยุธยาเจริญรุ่งเรือง กรุงสุโขทัยเสื่อมอำนาจลง เมือง <b>"ชัยนาท" </b>ก็จะกลายเป็นเมืองลูกหลวง และเป็นเมืองที่ใช้ในการสะสมเสบียงอาหารและอาวุธยุทธภัณฑ์ในการรบระหว่าง ไทย-พม่า และยังเป็นสมรภูมิในสงครามทุกยุคทุกสมัยด้วยเหตุนี้ <b>"เมืองชัยนาท" </b>จึงได้รับความกระทบกระเทือนเสียหายเนื่องจากสงครามเป็นอย่างมากจึงไม่มีซากโบราณสถาน และศิลปกรรมมากมายนัก แต่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร</p> <p>ที่มา : <b>ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดชัยนาท</b>,ชัยนาท : อรุณการพิมพ์,๒๕๒๙.</p> ไม้ไผ่http://www.blogger.com/profile/13079736154779537493noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3975884513971132653.post-89815260806035352322010-08-16T02:35:00.001-07:002010-08-16T02:35:48.502-07:00อุทัยธานี<h3><b>ประวัติศาสตร์จังหวัดอุทัยธานี</b><b></b></h3> <h6>สมัยก่อนประวัติศาสตร์</h6> <p>กรมศิลปากร ได้สำรวจและขุดค้นพบหลักฐานทางโบราณคดี เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๑๒ ถึงวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๑๒ ที่บริเวณเชิงเขานาค ตำบลเขาขี้ฝอย อำเภอทัพทัน จังหวัดอุทัยธานี พบว่าดินแดนบางแห่งของจังหวัดอุทัยธานี เคยเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของมนุษย์ ก่อนประวัติศาสตร์ ยุคโลหะประมาณ ๓,๐๐๐ ปี – ๑,๕๐๐ ปีมาแล้ว</p> <p>บริเวณที่พบแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ยุคโลหะนั้น เป็นเนินดินอยู่ติดกับเชิงเขานาคและลาดลงสู่ลำน้ำตากแดดซึ่งไหลลงสู่แม่น้ำสะแกกรัง เขานาคเป็นเทือกเขายาวไปทางทิศเหนือและใต้สูงประมาณ ๑๐๐ เมตร หัวเขาด้านทิศเหนือจดลำตากแดด ในฤดูแล้งจะมีน้ำขังอยู่เป็นห้วง ๆ ที่เชิงเขานาคเป็นเนินดินเนื้อที่ประมาณ ๑๐ ไร่ ลาดลงสู่ลำน้ำตากแดด แหล่งโบราณคดีที่พบอยู่ทางฟากด้านทิศตะวันตก เป็นภูมิประเทศเหมาะสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ในสมัยโบราณ เนื่องจากเป็นเนินดินน้ำท่วมไม่ถึง อยู่ใกล้ลำน้ำและภูเขา เหมาะแก่การเพาะปลูกและล่าสัตว์ หาอาหาร ใกล้น้ำบริโภค</p> <p>อาจจะใช้ลำน้ำเป็นทางคมนาคมติดต่อกับชุมชนอื่นได้อีกด้วย</p> <p>การขุดตรวจในบริเวณที่ชาวบ้านเคยพบโครงกระดูกนั้น เป็นดินร่วนปนทรายลึกลงจากผิวดิน พบเศษเครื่องปั้นดินเผาเศษสำริด แต่มีจำนวนน้อย พบร่องรอยโครงกระดูกมนุษย์ ๑ โครง กระดูกป่นเป็นผงเหลือแต่ฟันรวมกันอยู่หลายซี่ ในระดับลึกประมาณ ๖๐ เซนติเมตร ลักษณะดินเป็นดินร่วนปนทรายสีน้ำตาลอ่อน และมีเศษหินผุปนรวมอยู่ด้วย ต่ำจากระดับลึก ๖๐ เซนติเมตร เป็นดินปนกรวดหินปูนก้อนเล็กๆ และไม่พบโบราณวัตถุอื่นๆ เลย ถัดจากหลุมนี้ไปทางทิศตะวันตกประมาณ ๕๐ เมตร ได้พบเครื่องปั้นดินเผาบนผิวดินจำนวนมาก ขุดพบโครงกระดูกมนุษย์ ในระดับลึกจากผิวดินประมาณ ๖๐ เซนติเมตร โครงแรกที่พบเป็นการฝั่งเดี่ยว นอนหงายเหยียดตรง แขนแนบลำตัว วางหันหัวไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ศีรษะเอียงไปทางขวา อยู่ในสภาพที่แตกเป็นชิ้นๆ เนื่องจากแรงกดของดิน ไม่มีเครื่องประดับหรืออาวุธฝั่งรวมอยู่ด้วย มีแต่กองเศษภาชนะดินเผาวางอยู่ข้างตัวตั้งแต่ไหล่ลงไปถึงปลายเท้า กระดูกอยู่ในสภาพค่อนข้างเปื่อย กระดูกสันหลัง ซี่โครง และเชิงกรานผุหมดยากต่อการสันนิษฐานว่าเป็นชายหรือหญิงฟันแข็งแรง แต่หน้าฟันลึกมาก อาจเป็นเพราะว่า กินอาหารที่ปนเศษกรวดทรายอันเกิดจากการใช้ฟันบดอาหารจำพวกแป้ง ฟันกรามใหญ่ซี่สุดท้ายยังอยู่ในที่ แสดงว่าผู้ตายมีอายุไม่ต่ำกว่า ๒๐ ปี และเสียชีวิตคงจะอายุไม่เกิน ๔๐ ปี โครงกระดูกสัดส่วนสูงโดยประมาณไม่เกิน ๑๖๐ เซนติเมตร</p> <p>อีกหลุมหนึ่งพบโครงกระดูกมนุษย์ฝังรวมกัน ประมาณ สี่โครง ซ้อนอยู่ในลักษณะนอนหงายเหยียดตรง แขนแนบลำตัววางหันหัวไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเช่นเดียวกัน โครงกระดูกทุกโครงในหลุมนี้ผุเปื่อยมาก ที่ยังคงรูปร่างอยู่แยกได้ ๔ โครง นอกนั้นเป็นกระดูกส่วนต่างๆ เช่น กะโหลก กระดูกแขนขา ชิ้นส่วนของกระโหลกศีรษะ ฝังรวมๆ กันอยู่แต่วางเรียงกันอยู่อย่างเป็นระเบียบนอกจากโครงกระดูกผู้ใหญ่แล้ว พบฟันน้ำนมอยู่รวมกันเป็นกลุ่มกับเศษกระโหลกบางๆ เข้าใจว่าเป็นศพเด็กเล็กๆ ฝังรวมอยู่ด้วย หลุมฝังศพนี้ไม่มีภาชนะดินเผาที่รวมอยู่เป็นกลุ่มเลย ภาชนะที่พบวางอยู่ทางด้านขวาของปลายเท้า เครื่องประดับที่พบมี กำไลสำริดสวมติดข้อมือซ้ายซ้อนกัน ๒ วง มีลวดลายคล้ายเชือกถักแบบถักเปีย และมีห่วงสำริดหรือแหวนสำริดกองอยู่ระหว่างกระดูกต้นขา นอกนี้ยังพบลูกปัดหินลายขาวดำ (Boudid Agate) และลูกปัดหินสีส้ม (Carnalian) ที่บริเวณคอลูกปัดแก้วสีแสดหรือแดงคล้ำ และลูกปัดแก้วสีน้ำเงินขนาดเล็กที่บริเวณข้อมือ นอกจากนี้ได้พบขวานเหล็กและเครื่องมือเหล็กฝังรวมอยู่หลายชิ้น ขวานเหล็กเล่มหนึ่งวางทับอยู่บนกระดูกต้นขาขวามีเศษผ้าเนื้อหยาบติดอยู่ใกล้กับคมขวานเหล็ก ลักษณะใยเส้นด้ายอาจจะทำด้วยเปลือกไม้ ขวานเหล็กอีกอันหนึ่งยังมีร่องรอยของด้ามไม้ติดอยู่ เนื้อไม้เป็นเส้นคล้ายไม้ไผ่ เข้าใจว่า มนุษย์สมัยนั้นอาจนำซอไม้รวกมาทำเป็นด้ามก็ได้เพราะซอไม้รวกแก่จัดจะมีความแข็งและเหนียวไม่แพ้ไม้เนื้อแข็งอื่นๆ เศษผ้าและไม้ที่ยังไม่ผุเปื่อยไปทั้งๆ ที่มีอายุนับพันปีนี้ก็เนื่องจาก มีสนิมเหล็กช่วยรักษาไว้สำหรับสิ่งของอื่นที่พบมี แร่ดินเผา ลูกกระสุนดินเผา เศษเครื่องประดับสำริด เศษเหล็กที่เหลือจากการหลอมก้อนแร่ เปลือกหอยกาบกระดูกและเขาสัตว์ โดยเฉพาะกระสุนดินเผามีเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ ๑.๐๐-๒.๐๐ เซนติเมตร กระดูกสัตว์ต่างๆ เป็นสัตว์หลายประเภท เช่น หมู เก้ง กวาง สัตว์ประเภทฟันแทะ (Rodent) วัวควาย กระดูกปลา กระดองเต่า เขาสัตว์ มีรอยตัดด้วยมีดคม</p> <p>วันที่ ๒๙ เมษายน – ๓๐ มิถุนายน ๒๕๑๓ ได้มีการขุดสำรวจเรื่องราว ของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ ที่เชิงเขานาคอีกครั้งหนึ่ง พบโครงกระดูกลึกจากผิวดินประมาณ ๔๐ เซนติเมตร ในลักษณะนอนหงายซ้อนกันเหยียดยาว แขนแนบลำตัวอยู่ในชั้นดินปนกรวด วางศีรษะไปทางทิศตะวัน-ตกเฉียงเหนือ มีภาชนะดินเผาวางเป็นกลุ่มอยู่ทางด้านซ้าย ส่วนหลักฐานที่พบเพิ่มเติมและแตกต่างจากครั้งที่แล้วมี ถ้วยสำริดที่มีสภาพเกือบสมบูรณ์ ตุ๊กตาดินเผาเป็นรูป สัตว์สี่เท้าบางจำพวก เช่น กบ เสือ และอื่นๆ ที่ชำรุด เสียมเหล็ก ขวานเหล็ก ที่มีรอยจักสาน ของภาชนะที่ใส่ติดอยู่พร้อมเมล็ดพืช กำไลสีเขียวลักษณะแบน มีรูสำหรับต่ออยู่ ๓ แห่ง อยู่ที่เดียวกับท่อนแขนที่มีกำไลสำริดสวมอยู่ ๘ อัน หัวลูกศรและปลายหอก ฉมวก ที่ทำด้วยโลหะ ขวานหินมีป่า ขวานหินขัดและขวานหินกระเทาะ ลูกกระพรวนสำริดที่มีสภาพสมบูรณ์ นอกนั้นก็เป็นเศษภาชนะดินเผาลูกปัดหินกำไล และแหวนสำริด เปลือกหอย เขาสัตว์ ตะกรัน เป็นต้น</p> <p>นอกจากนี้ยังได้มีการสำรวจพบแหล่งมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ ในท้องที่อื่นอีกหลายแห่ง คือ พบเครื่องมือหินกระเทาะสมัยหินเก่า ทำจากหินกรวด ที่นำมาจากเหมืองแค่ อำเภอบ้านไร่ พบภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์บนหน้าผาที่อยู่บนเทือกเขาปลาร้า เขตอำเภอลานสัก พบขวานหินขัด เศษภาชนะดินเผา และเครื่องมือเหล็กเป็นรูปคล้ายเคียวในถ้ำเขาฆ้องชัย อำเภอลานสัก พบขวานหินขัดที่ถ้ำเขาปฐวี อำเภอทัพทัน, พบขวานหินขัดรูปเหมือนปัจจุบันเศษภาชนะดินเผา และกระดูกสัตว์ ที่ถ้ำเขาตะพาบ ตำบลวังหิน อำเภอบ้านไร่ พบขวานหินขัดสมัยใหม่ ที่บริเวณถนนตรงหมู่บ้านชวนพลู หรือสวนพลู อำเภอบ้านไร่ เป็นจำนวนมาก พบโครงกระดูก เศษภาชนะดินเผา และลูกปัดหินสี แวดินเผาที่บ้านท่าทอง บ้านดงยางใต้ อำเภอเมืองอุทัยธานี โดยเฉพาะ ที่บ้านท่าทอง พบลูกปัดหุ้มด้วยทองคำเป็นต้น ซึ่งเกือบจะเรียกได้ว่า พื้นที่ทุกแห่งของจังหวัดอุทัยธานีเคยเป็นที่อยู่ หรือเส้นทางของมนุษย์ในสมัยโบราณมาก่อน พ.ศ. ๑๐๐๐</p> <p>เมื่อมีมนุษย์มาอาศัยอยู่ตั้งแต่สมัยโบราณ นิทานของพื้นบ้านของหมู่บ้านหนองเต่า อ.เมือง ก็ได้มีเล่าต่อสืบทอดกันมาว่าที่บริเวณเขานาคนั้น เดิมเป็นที่อยู่ของพวกพญานาค (เข้าใจว่าเป็นมนุษย์ชาวเขาเผ่านาคา) และห่างจากเขาไปทางทิศตะวันออกนั้น มีหนองน้ำขนาดใหญ่ เป็นที่อยู่อาศัยของเต่าทอง (เข้าใจว่าเป็นพวกหากินตามชายน้ำ) พญานาคซึ่งคงจะเป็นพวกนาคาที่มีความดุร้ายหรือมนุษย์ที่กินคน ก็พยายามที่จะจับเต่าทองไปเป็นอาหาร ส่วน เต่าทองนั้น ได้พยายามหลบหลีกและคบหา อยู่กับพวกเทวดา ซึ่งต้องเป็นคนที่มีวิชาความรู้มาก จนในที่สุดทนหนีพญานาคไม่ได้ ก็ไปขอร้องให้พวกเทวดาช่วยสาปแช่งให้พญานาคตายแข็งเป็นหินอยู่ที่เขา ส่วนพญานาคตนอื่นก็หนีไป ทิ้งไว้แต่พญานาคที่ดื้อกว่าให้ถูกสาปเป็นหิน เขาลูกนี้จึงชื่อว่าเขานาคส่วนหนองน้ำใหญ่นั้น เรียกว่าหนองเต่า เป็นหมู่บ้านใหญ่จนทุกวันนี้</p> <p>อีกเรื่องหนึ่งเล่าว่า พญานาค ตนหนึ่งเกิดไปชอบหญิงสาวคนหนึ่งเข้าก็เห็นจะชื่อนางเป็นคนอยู่ในหมู่บ้านเดียวกับเจ้าหลวงซึ่งชอบพออยู่กับเธอเหมือนกัน มาระยะหลัง เธอก็เกิดตัดสินใจไม่ถูกว่าจะอยู่ร่วมเรียงเคียงหมอนกับใครดี เมื่อเป็นอย่างนี้เจ้าหลวง กับพญานาค ก็ตกลงนัดพบกันอย่างลูกผู้ชาย เพื่อเจรจาความต่อหน้านางให้แตกหักเสร็จสิ้นกันไป ในที่สุดก็ตกลงใจกันไม่ได้ จึงเกิดการต่อสู้กันอย่างชนิดต้องใช้วิชาตัวเบาฝ่ามือพญามารเข้าต่อสู้กับขวานพยัคฆ์เหิรเจ็ดคาบสมุทร เสียงสนั่นหวั่นไหวจนพวก เทวดา ต้องเผ่นออกมาดูศึกหน้านาง ครั้งหนึ่งคมขวานจามไปถูกแผ่นดิน ถึงกับแยกเป็นลำน้ำตากแดดพวกเทวดา เห็นว่าไม่ได้เรื่อง จึงสาปให้เจ้าหลวงตายแข็งเป็นหินอยู่ที่ <b>เขาหลวง </b>ส่วนพญานาค ก็ให้กลายเป็นเขานาคตากแดดจนตาย สำหรับนางต้นเหตุให้เกิดวิวาทนั้นได้ตัดเนื้อนมขว้างไปให้ เจ้าหลวงข้างหนึ่ง กลายเป็น ภูเขานมนาง อยู่คนละฝั่งกับลำน้ำตากแดด เขตอำเภอโกรกพระ จังหวัดนครสวรรค์ ส่วนอีกข้าง ขว้างให้พญานาคออกไปเสียไกลเป็น ภูเขาแหลม อยู่ในท้องที่อำเภอทัพทัน ส่วนสถานที่ต่อสู้กันนั้น เรียกว่า วังรอจนทุกวันนี้ เป็นเรื่องเล่ากันสนุกๆ ไม่มีหลักฐานแน่ชัดทางโบราณคดีแต่อย่างใด นอกจากสถานที่ที่มีจริงตามเรื่องนี้</p> <p>บริเวณเชิงเขาซับฟ้าผ่า อยู่ในเขตรักษาพันธุ์ป่าห้วยขาแข้ง อำเภอลานสักซึ่งมีภูมิประเทศเป็นหมู่เขา อยู่ใกล้ห้วยน้ำซับ มีหินวงกลม อยู่รวมทั้งหมด ๖ วง ลักษณะเป็นหินอัคนี ขนาดต่างๆ เรียงซ้อนเป็นแนวคล้ายกองหินทำเป็นรูปวงกลมบางวงมีขนาดกว้าง ๒.๐๐-๒.๕๐ เมตร บางวงมีเส้นผ่าศูนย์กลางราว ๓๗ เมตร วงหินวงกรมเหล่านี้ เข้าใจว่ามีอายุในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ยุคหินใหม่ นอกจากนี้ ยังพบหินวงกลมในป่าเขตบ้านน้ำพุ ตำบลคอกควาย อำเภอบ้านไร่ อีกแห่งหนึ่งสอบถามได้ความว่า เป็นที่ฝังศพชาวละว้ามาแต่โบราณ หินวงกลมนี้ บางคนเรียกว่า "สังเวียนไก่" ในที่แห่งแรกเคยมีผู้พบเศษภาชนะดินเผาด้วย</p> <p>มนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ นิยมเขียนภาพไว้บนผนังถ้ำ หรือหน้าผาสูง เพื่อถ่ายทอดความคิดเห็น มักเป็นอิทธิพลที่ได้รับมาจากการจดจำหรืออาศัยเค้าโครงของสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว ในชีวิตประจำวัน รูปแบบและลักษณะของภาพมักจะออกมาตามความคิดฝันที่ติดหูติดตา ที่จังหวัดอุทัยธานีได้มีการสำรวจพบภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์ที่หน้าผา บนเทือกเขาปลาร้า ตำบลห้วยคต อำเภอ</p> <p>บ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งมีขนาดสูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ ๔๐๐-๕๐๐ เมตร หน้าผานี้อยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือเป็นหน้าผาขนาดใหญ่ และมีภาพเขียนรูปคน สัตว์ และรูปทรงเรขาคณิต อยู่บนหน้าผาหลายรูป</p> <p>ภาพเขียนสีรูปคนนั้น เขียนเป็นเส้นด้ายด้วยสีแดงคร่ำ บางรูปจางเป็นสีส้ม รูปคนเขียนลงสีทึบ ภายในสวมเครื่องประดับเป็นขนนกที่หัว ที่เอวมีเครื่องประดับห้อยอยู่ ดูเหมือนอวัยวะเพศ ที่มือสวมกำไลสี่เหลี่ยม บางรูปภายในเขียนเป็นเส้นตัดขวางเป็นก้างปลา สามารถแยกลักษณะการเขียนภาพคนได้ ๓ ชนิด คือ ภาพคนที่ลงสีทึบภายใน ภาพคนที่วาดเฉพาะเส้นรอบรูปภายในโปร่ง และภาพคนที่วาดเป็นเส้นรอบนอกของรูป ภายในเขียนแบบประจุดอยู่เต็มช่วงลำตัว เป็นลักษณะพิเศษมีอยู่ ๓ รูป คนละขนาดและยืนเรียงกันอยู่ด้านในสุดของหน้าผา รูปหนึ่งมีประจุดในลำตัว อีก ๒ เป็นเส้นตรงและเส้นตัดขวางอยู่ภายในลำตัวมือและเท้าไม่ได้วาดต่อให้ครบ ภาพคนบางรูปเขียนในท่าจูงวัว และบางรูปมือถือไม้อยู่กับสุนัข เป็นต้น</p> <p>ภาพเขียนสีรูปสัตว์ มีรูปวัวที่ภายในเขียนเป็นรูปตัดขวางในลำตัว บางรูปเขียนเป็นเส้นรอบรูป ส่วนภายในทาสีประกอบเป็นสีดำ แสดงให้เห็นด้านข้าง เห็นขา ๓-๔ ขา สัตว์บางตัวมีขนนกประดับที่หัวด้วย พื้นผนังหน้าผามีเส้นร่างสีดำเต็มไปหมด เข้าใจว่า เขียนภาพร่างก่อนที่จะลงสี รูปสัตว์ที่เขียนมีภาพ วัว ไก่ กบ เต่า ค่างหรือลิง สุนัข เป็นต้น สีที่เขียนเป็นสีแดงคร่ำ</p> <p>ภาพเขียนสีที่เป็นรูปทรงเรขาคณิตส่วนใหญ่เป็นเส้นร่างสีดำ ดูไม่ออก บางแห่งทาสีดำเป็นพืชคล้ายรูปสัตว์ บางรูปเป็นเส้นโค้งหลายเส้นกระจายออกจากจุดกลางวนไปทางซ้าย บางภาพเป็นรูปสัตว์แบบขาวดำ</p> <p>ภาพเขียนสีที่พบในจังหวัดอุทัยธานีนี้เป็นภาพเขียนที่เข้าใจว่า ผู้เขียนช่วยกันเขียนหลายคน จึงมีรูปแบบลักษณะของภาพแตกต่างกัน บางรูปเขียนทับซ้อนเส้นร่างเดิม บางรูปถูกน้ำฝนไหลชะ สีหลุดเห็นเป็นรูปเลือนลาง และเปลี่ยนสีแดงคร่ำเป็นสีส้มหรือแดง เดิมเข้าใจว่า คงมีภาพเขียนอยู่เต็มหน้าผาแห่งนี้ การเขียนนั้นผู้เขียนต้องตั้งร้านไม้สำหรับเขียนจึงจะสามารถเขียนภาพได้ สูงประมาณ </p> <p>๗-๘ เมตร ภาพเขียนที่พบบนยอดเขาปลาร้านี้ มีลักษณะพิเศษคือ รูปคนมีเครื่องประดับ ภาพคนเขียนไว้หลายแบบในที่เดียวกัน และเป็นภาพเขียนสีที่มีลักษณะชัดเจนและสมบูรณ์ที่สุด อายุประมาณสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ยุคโลหะ</p> <p>สรุปได้ว่า พื้นที่ของจังหวัดอุทัยธานีเดิมเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ มาตั้งแต่โบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งอาจจะเป็นมนุษย์ที่อพยพมาตั้งแต่สมัยหินเก่า จากจังหวัดกาญจนบุรีเข้ามาอาศัยอยู่ในเขตอำเภอบ้านไร่ แถบลำธารเก่าบริเวณทางเข้าเหมืองแร่ แล้วอพยพกระจัดกระจายไปอยู่ตามถ้ำตามชายน้ำ มีวัฒนธรรมเปลี่ยนแปลงเป็นสมัยหินใหม่ ซึ่งพบเครื่องมือหินขัดใกล้ลำธาร บ้านสวนพลู หรือบ้านชวนพลู ในเขตอำเภอบ้านไร่ ถ้ำเขาฆ้องชัย ในเขตอำเภอลานสักเป็นต้น จนอพยพเข้ามาถึงเชิงเขานาค ก็เปลี่ยนเป็นวัฒนธรรมสมัยโลหะ อยู่ร่วมกันเป็นหมู่บ้านชุมชนเล็กใกล้ลำน้ำตากแดด ทำการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ อาจมีพาหนะใช้ เช่นเลื่อนหรือล้อสำหรับทางน้ำอาจจะมีเรือขุดใช้ รู้จักถลุงแร่ เป็นช่างทำเครื่องเหล็ก และเครื่องสำริด ทอผ้าทำเครื่องนุ่งห่ม มีการแลกเปลี่ยนเครื่องมือ เครื่องใช้ระหว่างชุมชนใช้เครื่องประดับต่าง ๆ เช่น กำไล ลูกปัด ห่วงหู หรือห่วงจมูก แหวน เป็นต้น เครื่องมือที่ช่วยในการเพาะปลูก ทำด้วยเหล็ก มีรูปร่างคล้ายเสียมในสมัยปัจจุบันอาวุธของมนุษย์สมัยนี้ได้แก่ </p> <p>ใบหอก ขวาน และอาจจะใช้คันกระสุนสำหรับล่าสัตว์ขนาดเล็ก ภาชนะดินเผามีขนาด รูปร่าง และลวดลายต่างๆ กันส่วนมากค่อนข้างบางประดิษฐ์ด้วยฝีมือปราณีต ดินที่ใช้ปั้นเป็นดินปนทราย ประเพณีการฝังศพ นิยมวางหันหัวไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ไม่มีโลงใส่ และฝังเครื่องมือเครื่องใช้ของคนตายรวมไปกับศพมนุษย์สมัยนี้มีความสูงเฉลี่ยประมาณ ๑๖๐ เซนติเมตร มักเสียชีวิตในวัยฉกรรจ์ อายุไม่เกิน ๔๐ ปี มนุษย์สมัยโลหะที่อยู่ในจังหวัดอุทัยธานี พบว่า ได้ปั้นตุ๊กตาดินเผารูปสัตว์คล้ายกบ และสัตว์สี่เท้าบางจำพวก จะเป็นเครื่องเล่นของเด็ก หรือใช้สำหรับพิธีกรรมบางอย่าง ไม่สามารถสันนิษฐานได้ใกล้เคียง เพราะพบในสภาพที่ชำรุดไม่สมบูรณ์</p> <p>ส่วนชาวละว้า ลุ และกระเหรี่ยง นั้นเป็นชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามาแต่เดิม เมื่อได้รับการถ่ายทอดทางวัฒนธรรมและผสมเผ่าพันธุ์กับชาติอื่น ก็สืบทอดเชื้อชาติและเปลี่ยนแปลงตนเองให้เจริญ ถึงกับสามารถตั้งบ้านเมืองในสมัยทวาราวดี</p> <p><b>สมัยทวาราวดี</b><b></b></p> <p>ในพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๖ นั้น ได้มีการรวมตัวกันเป็นชุมชนเล็ก และรับเอาวัฒนธรรมจากอินเดียมาจัดตั้งเป็นบ้านเมืองบนดินแดนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ดังนั้นเมืองโบราณสมัยนี้จึงเกิดขึ้นในเขตจังหวัดนครสวรรค์ สุพรรณบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี และอุทัยธานี เป็นต้น ส่วนมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์สมัยโลหะตอนปลายก็ได้รับเอาความเจริญดังกล่าว และคงจะพากันอพยพ เข้ารวมกลุ่มในอารยะธรรมศิลปทวาราวดีบนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และมีบางส่วนที่อพยพเข้าไปอาศัยอยู่ในที่ห่างไกล</p> <p>จังหวัดอุทัยธานี ปรากฏว่าได้มีการสำรวจพบหลายแหล่งในท้องที่เขตอำเภอต่างๆ คือ</p> <p>๑. เมืองโบราณบ้านด้ายหรือบ้านใต้ อยู่ในท้องที่ตำบลทุ่งใหญ่ อำเภอเมือง อุทัยธานี ตัวเมืองตั้งอยู่ริมแควตากแดด ลักษณะตัวเมือง เกือบจะเป็นรูปวงรี ด้านทิศเหนือใช้ลำน้ำตากแดดเป็น</p> <p>คูเมือง ส่วนด้านอื่นๆ เป็นคูและกำแพงดิน ตัวคูเมืองกว้างประมาณ ๓๐ เมตร กำแพงดินหนาประมาณ ๒๐ เมตร สูงราว ๕ เมตร แนวโบราณสถานรอบยาว ๘๖๕ เมตร ส่วนรอบนอกยาว ๑,๒๗๐ เมตร วัดตั้งแต่ลำน้ำตากแดดเข้าไป แล้วอ้อมออกลำน้ำตากแดดตอนล่างแนวโบราณสถานนี้ กว้าง ๑๗๐ เมตร ห่างด้านละประมาณ ๒๐ เมตร กำแพงดินส่วนที่ใกล้ลำน้ำถูกตัดเป็นทางเดินมีเศษภาชนะดินเผาติดปะปนอยู่ในเนื้อดิน กลางเมืองมีสระน้ำขนาดกว้าง ๘๗ เมตร ยาว ๑๑๐ เมตร ลึกเข้าไปด้านละประมาณ ๒๐ เมตร จะเป็นตัวสระรูปวงรี เนื้อที่ของเมืองโบราณแห่งนี้มีประมาณ ๑๐๐ ไร่ ๙๙ ตารางวา มีซากโบราณสถานอยู่ ๑ แห่ง ที่เชิงเขานาคนอกคูเมืองด้านทิศตะวันตกทางทิศใต้ของกำแพงดิน มีซากเจดีย์ รูปสี่เหลี่ยมขนาด ๓๓ เมตร ฐานก่อด้วยอิฐขนาดใหญ่ ส่วนบนถูกทำลายหักพังไม่เป็นชิ้นดี มุมกำแพงด้านทิศเหนือ พบระฆังหินสีเทากว้าง ๗๘ เซนติเมตร ยาว ๑๕๐ เซนติเมตร หักเป็นสองท่อน กับมีผู้เคยพบพระพุทธรูปสำริดฝังอยู่ริมลำน้ำตากแดด พระพิมพ์ดินเผาปางสมาธิ ฐานเป็นรูปบัว เศียรหักไปส่วนหนึ่ง ตุ้มหูสำริด กำไลหิน เป็นต้น</p> <p>๒. เมืองโบราณบ้านคูเมือง อยู่ในท้องที่ตำบลดงขวาง อำเภอหนองขาหย่าง ตัวเมืองถูกแปรสภาพเป็นไร่นา ลักษณะตัวเมือง เป็นรูปวงกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๘๐๐ เมตร คูเมืองกว้างประมาณ ๓๐ เมตร กำแพงดินกว้างประมาณ ๒๐ เมตร ตอนกลางลาดเป็นแอ่งคล้ายท้อง กะทะ ถูกปรับเป็นที่นาไปเกือบหมด รวมเนื้อที่ประมาณ ๑๔๐ ไร่ เมืองนี้มีทางเข้า ๓ แห่ง อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันออกเฉียงใต้ และทิศเหนือ โบราณวัตถุที่เคยพบมีลูกปัดสีต่างๆ เป็นจำนวนมาก เครื่องปั้นดินเผาก้อนตะกั่ว ตราดินเผา รูปดอกไม้กับรูปสิงห์ ลักษณะเลือนลางมาก แท่งหินบดยา แว ถ้วยหรือตระกรันดินเผา ขวานหินขัดทำด้วยหินทราย ก้อนแร่เหล็กพระพิมพ์ดินเผา เป็นต้นนอกจากนี้พบระฆังหินแบบเจาะรู ๒ รู และรูเดียวขนาดใหญ่ ๒x๕ ศอก จากทางเข้าทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีร่องรอยเจดีย์เล็ก ๆ เรียงรายห่างกันประมาณ ๒๐ เมตร ยาวเกือบ ๒ กิโลเมตร จนถึงองค์เจดีย์ใหญ่ ที่ดงหนองสระ หรือดงเจดีย์ราย เข้าใจว่าจะเป็นโบราณสถานที่สำคัญ และชาวเมืองออกมาทำบุญกันที่นี่ทุกวันพระ บนเขาระแหงที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองโบราณแห่งนี้ ชาวบ้านเล่าว่ามีเจดีย์เก่าแก่อยู่ด้วย</p> <p>๓. เมืองโบราณเมืองการุ้ง อยู่ในท้องที่ตำบลวังหิน อำเภอบ้านไร่ ตัวเมืองตั้งอยู่ริมถนนสายหนองฉาง-บ้านไร่ ตรงกิโลเมตรที่ ๔๐ เดิมเป็นพื้นที่ป่าทึบ ปัจจุบันได้แปรสภาพเป็นไร่นา ลักษณะของตัวเมืองเป็นวงกลมรี เส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ ๘๐๐ เมตร ประกอบด้วยคูเมือง กว้างประมาณ ๒๐ เมตร ลึกประมาณ ๒ เมตร มีกำแพงดินล้อมรอบ คูเมืองบางตอนถูกเกลื่อนลง คูเมืองยาวตลอดเป็นระยะทางประมาณ ๘๐๐ เมตร บางแห่งตื้นกว่าระดับเดิม และมีการขุดลอกคูเมืองใหม่ ภายในบริเวณเมืองมีซากเจดีย์หักพังอยู่ค่อนไปตรงกลาง ตัวเมืองด้านในอยู่ติดกับทิวเขาอีกด้านหนึ่งอยู่ติดกับถนนที่ตัดผ่านในระยะหลัง ภายในเมืองมีสระน้ำอยู่ค่อนไปทางทิศเหนือ และที่นอกกำแพงดินด้านทิศใต้มีสระโบราณอีกแห่งหนึ่ง โบราณวัตถุที่พบนั้น มีพระพุทธรูปปางเสด็จดาวดึงส์และสิ่งอื่นๆ เช่นเดียวกับเมืองสมัยทวาราวดีทั่วๆ ไป</p> <p>๔. เมืองโบราณบึงคอกช้าง อยู่ในท้องที่ตำบลไผ่เขียว อำเภอสว่างอารมณ์ ตัวเมืองตั้งอยู่ในป่า ซึ่งได้ทำการสำรวจและขุดตรวจ เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๑๔ ถึงวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๑๔ ปรากฏว่า คูเมืองกว้างประมาณ ๒๐ เมตร กำแพงดินสูงโดยเฉลี่ยประมาณ ๖-๗ เมตร มีประตูเข้าเมืองทั้ง ๔ ทิศ และริมประตูเมืองทั้ง ๔ มีสระน้ำเฉพาะด้านทิศตะวันออก มีคันคูอีกชั้นหนึ่งซึ่งเข้าใจว่า ขุดเพื่อเชื่อมโยงกับลำห้วยทางด้านตะวันออก เพื่อให้น้ำเข้าไปหล่อเลี้ยงในคูเมือง เนื่องจากเมืองอยู่ในป่าทึบจึงมีซากวัชพืชทับถมผิวดินหนามาก ไม่อาจพบเศษเครื่องปั้นดินเผาได้ โบราณสถานที่สำรวจมีอยู่ ๕ แห่ง คือ ภายในตัวเมือง ๑ แห่ง ตั้งอยู่ใกล้คูเมืองด้านทิศใต้ ลักษณะเป็นเนินศิลาแลง ขนาดของเนินมีเส้นฝ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๐ เมตร ตอนกลางถูกขุดเป็นโพรง นอกคูเมืองมีโบราณสถานก่อด้วยอิฐอีก ๓ แห่ง มีขนาดกว้าง ๑๔ เซนติเมตร ยาว ๓๗ เซนติเมตร และหนา ๗-๘ เซนติเมตร มีแกลบผสมมาก ขนาดของเนินที่ใหญ่ที่สุด กว้างด้านประมาณ ๑๐ เมตร สูงประมาณ ๓ เมตร ส่วนอีก ๒ แห่ง เป็นเนินขนาดเล็กกว้างประมาณ ๖-๗ เมตร สูงประมาณ ๑/๒ เมตร</p> <p>นอกจากนี้ ยังพบซากโบราณสถานอยู่บนยอดเขาทางทิศตะวันออกของตัวเมืองอีก ๑ แห่ง ซึ่งก่อสร้างด้วยอิฐที่เผาแกร่งและมีสีแดงเข้ม มีส่วนผสมกับทรายมากกว่าแกลบและมีน้ำหนักอิฐขนาดกว้าง ๑๒ เซนติเมตร ยาว ๒๔ เซนติเมตร และหนา ๖ เซนติเมตร โบราณสถานแห่งนี้ อยู่ในสภาพถูกทำลาย ที่บริเวณเมืองนี้ พบหลักฐานที่สำคัญมาก คือ ศิลาจารึกอักษรโบราณ ๓ หลัก เป็นอักษรปัลลวะ ภาษามอญ แปลเป็นความว่า</p> <p>๑. สมัยที่ปรัชญาเป็นเลิศ</p> <p>๒. บุญย่อมส่งเสริมนักพรต</p> <p>๓. จงเลือกไปทางนี้</p> <p>นอกจากการสำรวจพบเมืองโบราณสมัยทวาราวดี ที่เด่นชัดในท้องที่จังหวัดอุทัยธานี</p> <p>ดังกล่าวนี้แล้วยังได้สำรวจพบเรื่องราวสมัยทวาราวดี ในพื้นดินแถบนี้หลายแห่ง คือ</p> <p>๑. พบโบราณสถานสมัยทวาราวดีที่บ้านเก่า หมู่ที่ ๒ ตำบลลานสัก อำเภอลานสัก เป็นเนินสูง ๑ เมตร ตรงกลางถูกขุดเป็นบ่อ พบอิฐขนาดใหญ่มีลักษณะแปลกมีลวดลายขีดเขียนด้วยน้ำมือเป็นเส้นคู่บ้าง เป็นลายเส้นรูปทรงเรขาคณิตในรูปหลายแบบบ้าง ซึ่งทำเป็นลวดลายขีดเขียนแบบแผ่นอิฐก่อนเผา โดยขีดเขียนเพียงด้านเดียว และยังมีผู้พบอิฐที่มีรูปมนุษย์และรูปเทวดาบริเวณโบราณสถานนั้น นอกจากพบอิฐที่มีขนาด ๓๔+๑๙+๘.๕ เซนติเมตร ขนาด ๓๓+๑๙.๕+๘ เซนติเมตร และ ๑๗+๓๓.๕+๑๐ เซนติเมตร แล้วยังพบในเสมา ดินเผาขนาด ๕๐+๒๗.๕+๘ เซนติเมตร อีกด้วย สันนิษฐานว่า คงจะเป็นโบสถ์เก่าสมัยทวาราวดี เสียดายที่ถูกทำลายมาก่อนแล้ว จึงไม่มีหลักฐานทางโบราณคดีมากนัก</p> <p>๒. พบพระพิมพ์ดินเผาสมัยทวาราวดีและแม่พิมพ์ดินเผา เป็นจำนวนมากในถ้ำศูนย์ตา ตำบลบ้านไร่ อำเภอบ้านไร่ ซึ่งเป็นถ้ำที่เข้าใจว่าคงเป็นแหล่งสร้างพระพิมพ์ในสมัยทวาราวดี ยังสำรวจไม่พบว่า บริเวณนั้นมีภูมิสถาน ที่เป็นเมืองโบราณสมัยทวาราวดี อยู่ใกล้เคียงเลย ภายในถ้ำปรากฏว่ามีเศษพระพิมพ์ดินเผา และแม่พิมพ์อยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนที่สมบูรณ์นั้น ได้มีผู้นำเอาไปจนหมดสิ้นแล้ว ลักษณะพระพิมพ์ดินเผานี้ เป็นรูปพระนั่งห้อยเท้าอยู่ในซุ้มใต้พุทธคยา แบบเดียวกับที่เคยพบที่บ้าน</p> <p>พงนึก จังหวัดกาญจนบุรี นอกจากนี้ยังพบพระพุทธรูปไม้จำหลักสมัยหลังๆ เป็นจำนวนมาก เข้าใจว่าถ้ำแห่งนี้ เดิมเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หรืออาจถือเป็นวัดแห่งหนึ่งในสมัยนั้นก็ได้</p> <p>๓.รูปปูนปั้นของนางดารา สมัยทวาราวดี แสดงแบบของการแต่งกายของคนในสมัยนั้น เป็นศิลปศรีวิชัย ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ได้ไปจากจังหวัดอุทัยธานี ไม่ทราบว่าจากที่แห่งใด เข้าใจว่าจะได้ไปจากเมืองการุ้ง</p> <p>๔. พบร่องรอยของเมืองโบราณในเขตตำบลห้วยคต อำเภอบ้านไร่ ตรงทางแยกบ้านทุ่งนางาม เรียกบ้านน้ำวิ่ง มีคูเมืองและเคยพบเศษภาชนะดินเผา และมีร่องรอยคูเมืองที่อยู่ระหว่างตำบลห้วยรอบกับบ้านหินโจน มีคันคูเป็นรูปวงรี และมีลำคลองผ่านกลางทะลุไปอีกด้านหนึ่ง ชาวบ้านเรียกบึงทะลุ ประกอบกับประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งนี้เป็นชาวมอญ ที่อยู่สืบทอดกันมานาน เคยมีผู้พบเศษอิฐหักกระจัดกระจายอยู่บ้าง</p> <p>จังหวัดอุทัยธานี มีเมืองโบราณ สมัยทวาราวดี เกิดขึ้นในท้องที่หลายแห่งบางแห่งมีโบราณสถานที่สำคัญ จนเชื่อว่า ในสมัยทวาราวดีได้มีผู้คนอาศัยอยู่มากขึ้น และมีเชื้อสายสืบทอดมาจากเผ่าพันธุ์ มอญทวาราวดี (คือเผ่าพันธุ์ ที่ผสมกับชาวละว้าและธิเบต) มีวัฒนธรรมทวาราวดี สร้างสรรศิลปวัตถุขึ้นโดยวิวัฒนาการไปอย่างช้าๆ เปลี่ยนรูปแบบของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ รับอิทธิพลทางศิลปของอินเดียจนสามารถสร้างรูปปูนปั้นนางดารา พระพิมพ์ดินเผา พระพุทธรูปสำริดและเครื่องปั้นดินเผา รวมถึงการก่อสร้างด้วยอิฐแดงและเผาอิฐได้ เป็นต้น จนนับว่าดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามีความเจริญสูงสุดในสมัยทวาราวดีซึ่งหมายถึงเมืองโบราณต่างๆ ที่พบในจังหวัดอุทัยธานีด้วย</p> <p><b></b></p> <p><b>สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา</b></p> <p>ในราว พ.ศ. ๑๔๓๖ ขอมได้ครอบครองดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งหมดนั้น อำนาจของพวกละว้าที่อาศัยอยู่ตามเมืองโบราณต่างๆ นั้น ไม่ได้กระทบกระเทือนอะไร เพราะขอมได้ส่งคนไปปกครองเฉพาะเมืองสุโขทัย เมืองละโว้ และเมืองศรีเทพ ถึงกระนั้นก็มีหลักฐานจากศิลาจารึกปราสาทพระขรรค์ว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ กษัตริย์ของขอมก็ยังได้ส่งพระพุทธรูปชื่อ "พระชัยพุทธมหานาค" ออกมาประดิษฐานตามเมืองต่างๆ ที่อยู่ในดินแดนภาคกลางของประเทศไทยถึง ๒๓ แห่ง ได้แก่ </p> <p>ลโวทยปุระ (เมืองละโว้) สุวรรณปุระ (เมืองสุพรรณเก่า) คัมพูปัฏฎนะ (เข้าใจว่าเมืองแถบสระโกสิ-นารายณ์ หรือเมืองนครปฐม) ชัยราชบุรี (เมืองราชบุรี) ศรีชัยสิงห์บุรี (เข้าใจว่าเมืองสิงห์ ที่จังหวัดกาญจนบุรี) ศรีชัยวัชรบุรี (เข้าใจว่าเป็นเมืองเพชรบุรี) เป็นต้นเป็นเรื่องที่น่าจะสันนิษฐานได้ว่า เมืองโบราณในเขตจังหวัดอุทัยธานีก็น่าจะมีส่วนได้รับพระพุทธรูปดังกล่าวด้วยไม่พบหลักฐานอื่นใดนอกจากซากอิฐศิลาแลงในแถบสระนารายณ์ หมู่ ๖ ตำบลหนองหลวง เขตอำเภอสว่างอารมณ์ ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปสระสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างยาวประมาณ ๓๐-๓๗ เมตร ลึกประมาณ ๑ เมตร ทางด้านใต้ของขอบสระ มีแท่งศิลาใหญ่ มีถนนเก่าปรากฏอยู่ด้วย ส่วนโบราณวัตถุที่พบมีพระพุทธรูปตรีกาย หรือพระพุทธรูปสามองค์นั่งเรียงอยู่บนฐานเดียวกัน ตามคติมหายานที่ถือว่า พระพุทธเจ้ามี ๓ กาย คือพระธรรมกายพระสัมโภคีกาย และพระนิรมานกาย (หรือพระธยานิพุทธ พระอาทิพุทธ) พระพุทธรูปทั้งสามองค์นี้ นั่งปางมารวิชัย ทรงรัดเกล้าที่เรียกว่า เทริดขนนกและกุณฑลแบบแปลกประทับนั่งสมาธิราบครองจีวรห่มเฉียง มีขอบจีวรต่อจากชายขอบสี่เหลี่ยมที่พาดอยู่บนพระอุระด้านซ้าย ลงมาคลุมพระหัตถ์ซ้ายและพระโสณี แผ่นหลังติดอยู่กับเรือนแก้ว ซึ่งส่วนบนทำเป็นรูปปลายใบไม้ หมายถึง พระศรีมหาโพธิ์ เนื้อเป็นสำริด สูง ๓๑.๕ เซนติเมตร ฐานกว้าง ๗.๘ เซนติเมตร พบที่ตำบลดอนขวาง อำเภอเมืองอุทัยธานี ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ กรุงเทพมหานคร และพระพุทธรูปยืนปางห้ามญาตสำริด ศิลปสมัยลพบุรี พบที่วัดหนองพังค่า อำเภอเมืองอุทัยธานี เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าจะยืนยันได้ว่า ในสมัยนี้ มีพระพุทธรูปฝีมือลพบุรี ที่ได้รับอิทธิพลของขอมเข้ามาในจังหวัดอุทัยธานีแล้ว ชนชาติที่อาศัยอยู่ก็คงจะเป็นชาวทวาราวดีที่สืบเชื้อสายจากมอญหรือละว้า</p> <p>ต่อมา "ท้าวมหาพรหม" ซึ่งปรากฏในตำนานว่าเป็นผู้ตั้งเมืองอุทัยเก่า ก็ใช้เวลาช่วงนี้รวบรวมชนชาติไทยเป็นชุมชนเล็กๆ จนในที่สุดก็สร้างบ้านเมืองเป็นหลักฐานที่บ้านอุทัยเก่า ในท้องที่อำเภอหนองฉาง ซึ่งพบแนวศิลาแลง วางเรียงเป็นทางยาวอยู่ลึกประมาณ ๒ เมตร และระฆังหินประมาณการสร้างเมืองคงตกราวสมัยสุโขทัย หมู่บ้านแห่งนี้จึงเรียกกันทั่วๆ ไปว่า "บ้านอู่ไทย" ซึ่งหมายถึง เป็นที่อยู่ของชาติไทย ดูจะเข้าเค้าที่ว่าในพื้นที่หลายแห่งของจังหวัดอุทัยธานีมักเป็นที่อยู่ของชนชาติต่างๆ เช่น หมู่บ้านมอญ หมู่บ้านละว้า หมู่บ้านไทย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ได้มีผู้นำเอาคำ </p> <p>"อุทัย" ไปหาความหมายเป็นบ้านเมืองที่เจริญรุ่งเรือง และเป็นเมืองที่พึ่งตั้งขึ้น เหมือนดวงอาทิตย์แรกขึ้นจากขอบฟ้า จึงทำให้เข้าใจว่าเมืองอุทัยเก่าเป็นเมืองใหญ่ ที่มีผู้คนอยู่ทำมาหากิน และมีพืชพันธ์ธัญญาหารสมบูรณ์กว่าแหล่งอื่นถ้าพิจารณาตามข้อเท็จจริงแล้ว ไม่น่าจะกลายเป็นเมืองใหญ่ได้รวดเร็วถึงขนาดนั้น ที่น่าจะเข้าใจก็คือหมู่บ้านอู่ไทยนั้น มีผู้คนที่เป็นชนชาติไทยไปตั้งถิ่นฐานทำมาหากินเป็นกลุ่มก้อน และคงจะได้ชักชวน พี่น้องคนไทยด้วยกันมาอยู่เสียที่แห่งนี้ เนื่องด้วยมีที่ดินทำมาหากินกว้างขวาง มีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ จึงเป็นหมู่บ้านที่เจริญกว่าหมู่บ้านอื่นๆ ที่เป็นหมู่บ้านชาวมอญ หมู่บ้านชาวกระเหรี่ยงดังนั้นหมู่บ้านอู่ไทยจึงเป็นแหล่งกลางสำหรับหมู่บ้านอื่น ไปมาติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าด้วยส่วนที่จะมีการเดินทางติดต่อกับหมู่บ้านไกลๆ นั้น ก็คงจะมีบ้างเพราะพื้นที่แถบนี้มีเมืองโบราณสมัยทวาราวดี เกิดขึ้นแล้วหลายแห่งและมีชื่อเรียกนำหน้าด้วยคำว่า "อู่" เช่นเมืองอู่บน หรือเมืองบน ที่บ้านโคกไม้เดน อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ เมืองอู่ตะเภา ที่บ้านอู่ตะเภา อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท เมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เมืองอู่ล่าง เข้าใจว่าเป็นเมืองลพบุรี ตามคำพังเพยที่ว่า "ฝูงกษัตริย์เมืองบน ฝูงคนเมืองล่าง (หรือลพบุรี)………….." เป็นต้น ส่วนที่เป็นชื่ออื่นก็มี เมืองจันเสน ที่อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ เมืองดงแม่นาง เมือง ที่ตำบลตาสัง อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ เมืองประคำ ที่ตำบลโคกเดื่อ อำเภอไพศาลี</p> <p>บ้านเมืองที่ร่วมสมัยเดียวกับเมืองอู่ไทยหรือเมืองอุทัยนั้น ได้เกิดขึ้นหลายแห่งในสมัยสุโขทัย โดยเฉพาะดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามีเมืองพระบาง ที่จังหวัดนครสวรรค์ เมืองชัยนาท, </p> <p>เมืองแพรก ศรีราชา ที่อำเภอสรรค์บุรี จังหวัดชัยนาท, เมืองไพสาลี ที่ตำบลสำโรงไชย อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์, เมืองศรีราชาที่จังหวัดสิงห์บุรี เป็นต้น นับเป็นความเจริญของดินแดนในแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาที่ได้วิวัฒนาการ และเปลี่ยนแปลงตัวเองสร้างสรรโบราณวัตถุสถานสำคัญขึ้น สำหรับเมืองอู่ไทยนั้น ในระยะหลังๆ เมื่อกระแสน้ำเปลี่ยนทางเดิน ทำให้เกิดกันดารน้ำอันเป็นเหตุให้มีการอพยพทิ้งหมู่บ้าน ไปหาแหล่งทำมาหากินในที่อื่น และอาจจะเลยเข้ามาอยู่ในแถบแม่น้ำสะแกกรัง เขตจังหวัดชัยนาท จนสามารถตั้งหมู่บ้าน หรือชุมชนเล็ก ๆ อยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ซึ่งเรียกกันภายหลังว่าบ้านสะแกกรัง ส่วนเมืองอู่ไทย หรือเมืองอุทัยเก่า ก็คงจะร้างลงระยะหนึ่ง ต่อมา "พะตะเบิด" ชาวกระเหรี่ยงได้อพยพผู้คนเข้ามาอยู่ที่เมืองอู่ไทย หรือ เมืองอุทัยเก่าอีกครั้งหนึ่ง ในสมัยอยุธยา พร้อมกับได้สร้างโบราณสถานหลายแห่งตามลำดับ และแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ โดยขุดดินทางด้านทิศใต้ ของตัวเมืองเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ เรียกว่า ทะเลสาบ และปรากฏในตำนานว่า <b>"พะตะเบิด" </b>ได้เป็นเจ้าเมืองคนแรกของเมืองอู่ไทยหรือเมืองอุทัยเก่าที่ไม่เข้าใจคือ เหตุใดชาวกระเหรี่ยงจึงมีอำนาจและเป็นเจ้าเมือง จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าการที่ผู้คนเข้ามาอยู่ในเมืองอู่ไทย หรือเมืองอุทัยเก่านี้เป็นชนชาติกระเหรี่ยง ละว้า ถึงอย่างไร ก็น่าจะมีคนไทยหลงเหลืออยู่บ้างแต่ถ้าได้ศึกษาถึงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์แล้วจะเห็นได้ว่า ชนชาติละว้า หรือชนชาติกระเหรี่ยง เป็นเผ่าพันธุ์ที่ถ่ายทอดมาจากมนุษย์เผ่าพันธุ์ไทย อย่างน้อยก็เกี่ยวพันกันอยู่ก็น่าที่จะเข้าใจว่า "พะตะเบิด" ก็เป็นเชื้อสายเผ่าพันธุ์ไทยได้ นอกนี้ไม่ปรากฏหลักฐานอะไรถึงการ</p> <p>ปกครองที่ต่อเนื่องมาจาก "พะตะเบิด" หรือผู้ปกครองคนต่อมา</p> <p>เมืองอู่ไทย หรือเมืองอุทัยเก่าในสมัยอยุธยานั้นได้มีการสร้างวัดตามทิศต่างๆ ดังนี้ ทิศเหนือ วัดหัวหมาก ทิศตะวันตก วัดยาง ทิศตะวันออก วัดแจ้ง และทิศใต้ วัดหัวเมือง โดยมีหลักเมืองทำด้วยไม้แต่อยู่ตรงกลางค่อนไปทางทิศใต้ ห่างจากวัดหัวเมืองประมาณ ๑๐๐ เมตร ตัวเมืองอุทัยเก่ามีอาณาเขตที่ถือเอาวัดเป็นเกณฑ์ประมาณกว้าง ๓๐๐ เมตร และยาวประมาณ ๕๐๐ เมตร นอกตัวเมืองทางด้านทิศใต้เป็นทะเลสาปและมีวัดกุฏิตั้งอยู่ริมทะเลสาปด้านใต้ ซึ่งมีแนวคลองผ่านเข้าตัวเมือง ถัดจากตัวเมืองไปทางทิศตะวันตกประมาณ ๒ กิโลเมตรเป็นหมู่บ้านคลองค่าย ซึ่งเป็นที่ตั้งของค่ายทหารในสมัยอยุธยา สำหรับเกณฑ์ไปช่วยเมืองหลวงในยามศึกสงครามและเป็นหน้าด่านป้องกันพม่าที่ยกทัพเข้ามาทางเขตเมืองอุทัยเก่า</p> <p><b>สมัยกรุงศรีอยุธยา</b></p> <p>ในสมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนเรศวร ทรงเห็นว่าเมืองอุทัยเก่านั้นเป็นเมืองอยู่ใกล้ชายแดน ควรจะเป็น "เมืองด่าน" ใช้ระมัดระวังพม่าที่เดินทัพเข้ามาทางด่านแม่ละเมา และด่านเจดีย์สามองค์ซึ่งเป็นเส้นทางที่พม่าใช้เดินทัพเข้ามาแต่โบราณ จึงให้จัดตั้งด่านป้องกันขึ้นหลายแห่งคือ ด่านเมืองอุทัย (ที่บ้านคลองค่าย) ด่านแม่กลอง ด่านเขาปูน ด่านหนองหลวง ด่านสลักพระ โดยถือเอาเมืองอุทัยเก่าเป็น "หัวเมืองด่านชั้นนอก" โดยมีเจ้าเมืองอุทัยเก่าเป็นผู้ดูแลด่านต่างๆ เมืองอุทัยเก่าในสมัยนั้นมีอาณาเขตการปกครองดังนี้ ทางทิศตะวันออกติดต่อกับเมืองแพรก (เมืองสรรค์บุรี) ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือจดกับเมืองพระบาง (เมืองพังค่าจังหวัดนครสวรรค์)ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดต่อกับเมืองแปป (เมืองกำแพงเพชร) และเมืองฉอด (อยู่ที่จังหวัดตาก) ถือแนวแม่น้ำและลำคลองเป็นแนวเขต เช่นแม่น้ำกลอง คลองห้วยแก้ว ลำห้วยเปิ้นเป็นต้น สำหรับด่านสำคัญที่อยู่ปลายแดนด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือได้ให้พระพล (พระพลสงคราม) เป็นผู้รักษาด่านแม่กลอง และพระอินทร์ (พระอินทรเดช) เป็นผู้รักษาด่านหนองหลวงซึ่งเป็นด่านที่สำคัญของเมืองอุทัยเก่า (ปัจจุบันอยู่ในท้องที่อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก) ในพงศาวดารพม่าปรากฏว่า "สมเด็จพระนเรศวรยกทัพติดตามตีกองทัพพระเจ้าหงสาวดีไปจนถึงหนองหลวง แล้วจึงกลับคืนพระนคร"</p> <p>ต่อมาสมเด็จพระเอกาทศรถ ได้โปรดให้บัญญัติอำนาจการใช้ตราประจำตำแหน่งมีบัญชาการตามหัวเมืองนั้นๆ ได้ระบุในกฎหมายเก่า ลักษณะพระธรรมนูญว่า "เมืองอุไทยธานีเป็นหัวเมืองขึ้นแก่มหาดไทย"</p> <p>ตัวเมืองอุทัยเก่านั้นเป็นเมืองดอนตั้งอยู่บนพื้นที่ต่อเนื่องกับเชิงเขาบรรทัดที่เป็นเขตแดนติดกับเมืองมอญ (เมาะตะมะและเมาะตำเลิม) มีที่ราบทำนาได้มาก ทั้งมีธารน้ำไหลลงมาจากภูเขากักตุนเก็บน้ำเข้ามาใช้ในการทำนา ไม่มีเวลาที่นาจะเสีย จึงมีผู้คนได้ตั้งบ้านเรือนทำนากันมาก จนเป็นบ้านเมืองใหญ่ ด้วยเหตุที่หัวเมืองตั้งอยู่บนที่ดอนห่างจากคลองสะแกกรังประมาณ ๕๐๐ เส้น ลำห้วยที่มีอยู่เดิมใกล้ๆ ตัวเมืองก็ตื้นเขินและใช้การไม่ได้ เรือจึงขึ้นไปไม่ถึงเมื่อจะขายข้าวต้องบรรทุกเกวียนมาทางบกลงมาที่แม่น้ำสะแกกรัง อันเป็นปลายเขตแดนเมืองชัยนาท และเมืองมโนรมย์ และการส่งพืชพันธุ์ธัญญาหาร ก็ต้องอาศัยแม่น้ำสะแกกรังเป็นหลัก ดังนั้นประชาชนที่รับซื้อผลิตผลสินค้าของชาวอุทัยธานี จึงพากันไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านสะแกกรัง ซึ่งเป็นตลาดค้าขายของชาวเมืองอุทัยธานี</p> <p>พ.ศ. ๒๒๐๖ แผ่นดิน ของสมเด็จพระนารายณ์ กษัตริย์กรุงศรีอยุธยา พม่าได้ปราบปรามพวกมอญเมืองเมาะตะมะ ซึ่งเป็นกบฏจับมังนันทมิตร อาของพระเจ้าอังวะ พาเข้ามาในดินแดนไทยดังนั้น "ครั้นถึงกติกมาสได้ศุภวารดฤถี พิชัยฤกษ์ เจ้าพระยาโกษาธิบดี และท้าวพระยานายทัพนายกองทั้งปวงกราบถวายบังคมลายกพลโยธาแยกกันไปทางด่านเจดีย์สามองค์บ้าง ทางด่านเขาปูนและด่านสลักพระแดนเมืองอุทัยธานีบ้าง ส่วนกองทัพพระยาสีหราชเดโชชัย ซึ่งลงมาจากเมืองเชียงใหม่ถึงเมืองตากนั้นก็รีบยกมาทางเมืองกำแพงเพชร เมืองนครสวรรค์ ผ่านเมืองอุทัยธานีถึงเมืองศรีสวัสดิ์รบกับพม่าที่ไทรโยค และท่าดินแดงร่วมกับทัพใหญ่ของเจ้าพระยาโกษาธิบดีคือ เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ขุนเหล็ก) เป็นแม่ทัพใหญ่พร้อมด้วยพระยาวิเศษชัยชาญ พระยาราชบุรีและพระยาเพชรบุรี จนพม่าแตกพ่ายหนีไปด้วยกำลังทหารหาญกับชาวด่านเมืองอุทัยธานีที่ได้ติดตามทัพ พระยาสีหราชเดโชชัยมาช่วยรบในคราวนี้ด้วย</p> <p><b>สมเด็จพระปฐมมหาชนก กำเนิดที่บ้านสะแกกรัง</b><b></b></p> <p>" บ้านสะแกกรัง" เดิมนั้นมีต้นสะแกใหญ่อยู่กลางหมู่บ้าน เป็นตลาดค้าขายสำคัญมาแต่โบราณ ครั้นมีเจ้านายเดินทางมาซื้อพืชผล และเป็นที่สนใจของเจ้านายคนอื่นๆ จนถึงกับ "จมื่นมหา-สนิท (ทองคำ) " ซึ่งเป็นบุตร "เจ้าพระยาวงศาธิราช (ขุนทอง)" ได้ย้ายมาอยู่ที่บ้านสะแกกรัง ในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ดังปรากฏในคำโคลงมหามกุฏราชคุณานุสรณ์ พระนิพนธ์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ว่า</p> <p>"ในระหัศราชะหัตถ์นั้น เสนอสาร</p> <p>เพียงเกี่ยวโกสาปาน ญาติยั้ง</p> <p>อนุสันตตินั่นตำนาญ อื่นออกยาเอย</p> <p>นาม ราชะนกูล ตั้ง คฤหาสน์แคว้นแขวงอุทัย"</p> <p>บ้านสะแกกรัง ที่มีพ่อค้าคอยรับซื้อข้าวพืชพันธุ์ของป่าอยู่นั้น เมื่อปรากฏว่ามีเจ้านายมาตั้งบ้านเรือนอยู่ดังกล่าว ก็ได้มีการสร้างวัดขึ้นตามแหล่งชุมนุมชน เช่นวัดกร่าง (วัดพิชัยปุรณาราม) วัดท่าซุง, วัดเดิมบนยอดเขาสะแกกรัง เป็นต้น ด้วยเหตุที่เมืองอุทัยเก่าเป็นเมืองด่านการขนย้ายช้างใช้ในการสงคราม และช้างป่าเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา จำเป็นต้องใช้ลำคลองสะแกกรังเป็นเส้นทางขนส่ง โดยต่อแพล่องส่งลงไปยังกรุง อันเป็นเหตุให้ "บ้านสะแกกรัง" เป็นแหล่งรวมช้างศึก และได้จัดสร้าง "พะเนียดช้าง" (บริเวณวัดใหม่จันทารามพบเสาตะโพนช้าง และพระพุทธรูปองค์ใหญ่) เป็นที่พักสำหรับขนถ่ายช้าง ไปลงที่ท่าช้าง ซึ่งเป็นที่ลาดกว้าง ตั้งแต่ห้าแยกลาดเทลงไปจนถึงแม่น้ำสะแกกรัง ส่วนตลาดนั้นอยู่ถัดเข้ามาข้างใน (แถวหน้าวัดหลวงราชาวาสเดี๋ยวนี้ตั้งแต่บ้านขุนกอบกัยกิจเข้าไป) ซึ่งไม่ห่างจาก </p> <p>"พะเนียดช้าง" เท่าไรนัก ต่อมาในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระจมื่นมหาสนิท (ทองคำ) ได้เป็นพระยาราชนิกูล อยู่ที่บ้านสะแกกรัง จนบุตรชายคนใหญ่ชื่อ "ทองดี" เกิดที่นั่น จากพระราชหัตถเลขาของ</p> <p>พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีถึง เซอร์ จอห์น เบาริ่ง เป็นภาษาอังกฤษแปลจากหนังสือ The Kingdom and People (The Royal Dynasty) หน้า ๖๕-๖๖ มีความว่า</p> <p>"สมเด็จพระนารายณ์ จึงได้ทรงแต่งตั้งนายปาน ให้เป็นเสนาบดีกระทรวงต่างประเทศแทนพระยาคลังซึ่งเป็นพี่ชาย และเป็นต้นตระกูลของบรรพบุรุษของเราต่อมา แต่เรื่องราวการรับราชการในสมัยต่อมานั้นไม่ปรากฏ จนกระทั่งถึงสมัยสมเด็จพระภูมินทร์ราชาธิราช ซึ่งปกครองประเทศสยามระหว่าง ค.ศ. ๑๗๐๖-๑๗๓๒ (พ.ศ. ๒๒๔๙-๒๒๗๕) ซึ่งเป็นพระมหาชนกปฐมกษัตริย์ราชวงศ์จักรีและเป็นพระอัยกาของพระบิดาของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน (คือตัวฉันเอง) และกษัตริย์อีกพระองค์หนึ่ง (คือพระอนุชาองค์รองของฉัน) ของประเทศสยาม อันเป็นราชโอรสอันสูงศักดิ์ของราชวงศ์ที่ได้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลขุนนางกระทรวงต่างประเทศซึ่งได้ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาและต่อมาได้ย้ายถิ่นฐานอยู่ที่บ้านสะแกกรังอันเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำสะแกกรัง ที่เป็นสาขาของแม่น้ำสายใหญ่เชื่อมอาณาเขตติดต่อภาคเหนือและภาคใต้ของประเทศสยาม ประมาณเส้นรุ้ง ๑๓<sup>๐</sup> ๑๕<sup>๐</sup> ๓๐" เหนือจะกว่าเล็กน้อย เส้นแวง ๙๙<sup>๐</sup> ๙๐" ตะวันออก ซึ่งเล่ากันว่าบุคคลผู้มีความสำคัญได้ถือกำเนิดที่นี่ และกลายเป็นผู้มีความรู้ความสามารถเป็นพิเศษของราชวงศ์สยาม ได้สมรสกับบุตรสาวคหบดีชาวจีนผู้มั่งคั่งซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณกำแพงเมือง ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของพระราชวัง ได้รับราชการเป็นที่โปรดปรานของพระมหากษัตริย์โดยมีหน้าที่ร่างราชสาส์นต่างๆ และทำการติดต่อกับหัวเมืองฝ่ายเหนือ (ทั้งที่เป็นหัวเมืองอิสระ และที่ยังไม่เป็นอิสระต่อประเทศสยามที่อยู่ทางภาคเหนือ) และมีหน้าที่รักษาพระราชลัญจกร ได้รับพระราชทานนามว่า "พระอักษรสุนทร เสมียนตรา" คุณพระมีบุตรธิดากับภรรยาคนแรกรวม ๕ คน และต่อมาภรรยาได้ถึงแก่กรรม คุณพระจึงได้แต่งงานกับน้องสาวของภรรยา มีบุตรหญิงคนหนึ่ง ต่อมาพระยาราชนิกูลได้ย้ายเข้าไปทำราชการที่กรุงศรีอยุธยาและนายทองดีบุตรชายคนใหญ่ของพระยาราชนิกูล (ทองคำ) ซึ่งถือกำเนิดที่บ้านสะแกกรังนั้นเจริญวัยแล้ว ก็ได้ย้ายตามบิดาเข้ามารับราชการที่กรุงศรีอยุธยา ในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ และได้บรรดาศักดิ์เป็น "พระอักษรสุนทรศาสตร์" เสมียนตรา มีหน้าที่ร่างราชสาส์นต่างๆ ของพระมหากษัตริย์ และรักษาพระราชลัญจกร ต่อมาได้แต่งงานกับสตรีงามชื่อ "หยก" (บางแห่งว่า "ดาวเรือง") มีบุตรและธิดา ๕ คน คือ ๑ "สา" เป็นหญิงภายหลังได้สถาปนาเป็น "สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกรมพระยาเทพสุดาวดี (ส) ๒ "ราม" เป็นชายภายหลังได้สถาปนาเป็น "พระเจ้ารามณรงค์" ๓ "แก้ว" เป็นหญิงภายหลังได้สถาปนาเป็น "สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกรมพระศรีสุดารักษ์ (แก้ว)" ๔ "ทองด้วง" เป็นชายภายหลังสถาปนาตนเป็น "พระเจ้าแผ่นดินต้น" (ต่อมาได้ถวายพระนามตามพระพุทธรูปว่า "พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก") และ ๕ "บุญมา" เป็นชายภายหลังได้สถาปนาเป็น "สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท" (ซึ่งนับว่าเป็นปฐมวงศ์ของกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ต่อมาอันมีสกุลวงศ์ต่อเนื่องกันมาดังนี้</p> <p><b>ลำดับสกุลวงศ์สมเด็จพระชนกาธิบดี</b></p> <p>สมเด็จพระเอกาทศรถ พระยาพระราม</p> <p>กษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ขุนนางเชื้อสายมอญ</p> <p><a href="http://lh4.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkFZiHg4pI/AAAAAAAAANM/d6moqJglgmA/s1600-h/clip_image0013.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image001" border="0" alt="clip_image001" src="http://lh5.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkFe8FcvSI/AAAAAAAAANQ/Jzk1FBOqkKk/clip_image001_thumb.gif?imgmax=800" width="2" height="59" /></a>ราชวงศ์สุโขทัย อพยพเข้ามาในแผ่นดิน</p> <p><a href="http://lh6.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkFi7FlAsI/AAAAAAAAANU/APAYe2AHFgQ/s1600-h/clip_image0023.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image002" border="0" alt="clip_image002" src="http://lh5.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkFp8GkrhI/AAAAAAAAANY/-j36M8mbR0Y/clip_image002_thumb.gif?imgmax=800" width="2" height="50" /></a> สมเด็จพระมหาธรรมราชา</p> <p><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEijPrLylbAellLDxcCNhjSbzvwMero75QCeWvHVWhAKc3q7mt2qkQj2ete17l4m3ad7i513JCl0UYgxvnwbPBL6YiPnbeUSCOHRjSuEP4u2D-oHeoKUtwryiT-4lpzXhZnP4c6oSWF4dKE/s1600-h/clip_image0033.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image003" border="0" alt="clip_image003" src="http://lh6.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkFvjMq8zI/AAAAAAAAANg/k1Hk7cD87yQ/clip_image003_thumb.gif?imgmax=800" width="108" height="12" /></a><a href="http://lh5.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkFxZ3iijI/AAAAAAAAANk/D2ydWK-lu0s/s1600-h/clip_image0043.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image004" border="0" alt="clip_image004" src="http://lh5.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkFz_TUOdI/AAAAAAAAANo/7eQthxcJjqY/clip_image004_thumb.gif?imgmax=800" width="2" height="50" /></a>พระราชธิดา สืบเชื้อสายมาจาก</p> <p><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgEdp9UkU-WVwAJ_s8BQOkWVA-3J4cVFLotjI4vYGmSZFBnlxr_vwX7JmvB8Kl1MXqYJj1MnNKl_OGwIvAuMyiiMpTlRrV3PSc-43bn9g9zvh4eclfU0nfj23qyL-3PmTqYcqjdvhf5Y74/s1600-h/clip_image0053.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image005" border="0" alt="clip_image005" src="http://lh5.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkF4Y2SeJI/AAAAAAAAANw/Lt5IIMJEADQ/clip_image005_thumb.gif?imgmax=800" width="2" height="21" /></a> พระยาพระราม <table cellspacing="0" cellpadding="0"><tbody> <tr> <td width="33"></td> </tr> <tr> <td></td> <td><a href="http://lh4.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkF6YNVUhI/AAAAAAAAAN0/mbK5HfLqfc4/s1600-h/clip_image0063.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image006" border="0" alt="clip_image006" src="http://lh5.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkF9P0XplI/AAAAAAAAAN4/Bel0uC-NERk/clip_image006_thumb.gif?imgmax=800" width="165" height="21" /></a></td> </tr> </tbody></table> </p> <p>ท้าวสมศักดิ์วงศามหาธาตี (ม.จ.บัว) สมญานาม หม่อมเจ้าชายเจิดอำไพ สืบเชื้อสาย</p> <p>ว่า "เจ้าแม่วัดดุสิต" เป็นพระสนมเอกของ มาจาก สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง</p> <p>สมเด็จพระนารายณ์มหาราช <table cellspacing="0" cellpadding="0"><tbody> <tr> <td width="100"></td> </tr> <tr> <td></td> <td><a href="http://lh5.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkF-504skI/AAAAAAAAAN8/ZP_-eiQDnoY/s1600-h/clip_image0073.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image007" border="0" alt="clip_image007" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjZoSt-B5R5LG91JHt_EMVbunuG0bsDYWmw6ck-uIY4fQzlqG7WG48tjQu0xcbdlu6KCH_Hs3HFNrCUQCZH3wxTaPPaYHg7B0RvmcT2aWoHN29BafJKkfH35TwbNK1haFf2JybRcpQVQR4/?imgmax=800" width="240" height="30" /></a></td> </tr> </tbody></table> </p> <p>เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) แม่ทัพ เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ราชทูต</p> <p><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEinymguoTDGVYiJ_THKzB_joVo-V3pYLoGkF8R-b_NNMb8b0o5wS-6LidWrtNERxY80dM4GJLQtl57tVoCTLhOGNdtAbzX07uF5R1XoAQvQGta8ukbUxKXVCx1cWddCmSycqWQNjtXG4OE/s1600-h/clip_image0085.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image008" border="0" alt="clip_image008" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh80BJCh8ra_KbD8iUt1Fie2leJOuHngqCA002sj0NVh3sOjFDXRmWllERMav94cF33EOAnm7Oz2A6k8JLbqFTEPQssXa8mPBBklefLfzX8AM3TSC6pfbxVQamypkKuz2QA1VmamxA64-o/?imgmax=800" width="2" height="21" /></a>ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช</p> <p>เจ้าพระยาวงศาธิราช (ขุนทอง) เสนาบดีคลังใน</p> <p><a href="http://lh6.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkGH7_RDVI/AAAAAAAAAOM/ZCy1XWEcYTA/s1600-h/clip_image00812.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image008[1]" border="0" alt="clip_image008[1]" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg6IVTD6mDEb-rV-u1uirnlIzdJKt212P8hmh5DJLRWsYUd_704hXY9-RJomnhwQAGE2yIAatrrmjq6j9DHLZDmee7COFxkv8bROj-KeXviZtGb_xsCm8dqpWNbBpr-XoICbvnvPQDrAeg/?imgmax=800" width="2" height="21" /></a> สมัยสมเด็จพระพุทธเจ้าเสือ</p> <p>พระยาราชนิกูล (ทองคำ) ปลัดทูลฉลองในกรม</p> <p><a href="http://lh5.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkGLXoK2sI/AAAAAAAAAOU/eEudlaHofGM/s1600-h/clip_image00822.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image008[2]" border="0" alt="clip_image008[2]" src="http://lh6.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkGNlXSuUI/AAAAAAAAAOY/f_hiYD3ASCc/clip_image0082_thumb.gif?imgmax=800" width="2" height="21" /></a>มหาดไทย ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ บ้านสะแกกรัง</p> <p>คุณหญิงหยก (บางแห่งว่าดาวเรือง) สมเด็จพระชนกาธิบดี (ทองดี) เป็น สมเด็จพระ</p> <p>บุตรีคหบดี ชาวอัมพวา ปฐมบรมมหาชนกนาถ กำเนิดที่บ้านสะแกกรัง <table cellspacing="0" cellpadding="0"><tbody> <tr> <td width="100"></td> </tr> <tr> <td></td> <td><a href="http://lh4.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkGPMtqS7I/AAAAAAAAAOc/TD-SKanJ2-g/s1600-h/clip_image0093.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image009" border="0" alt="clip_image009" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh8jAp8jKIjjcYD3mIwzRhPwSn3LTxxrWFtaaieuRGrUihKe8965HzjVroN_rlJzoUPhhaaCZsDjtrbGnECqXaWFxkpJaiNbPFQ0rwte1Wu9dGYR1Uwn2ZiRgmBOCn_ZRhmjqdmr0dqzBI/?imgmax=800" width="240" height="31" /></a></td> </tr> </tbody></table> </p> <p>พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จกรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาท (บุญมา)</p> <p>(ทองด้วง) สถาปนาเป็นสมเด็จพระปฐมกษัตริย์ เป็นที่ สมเด็จพระอนุชาธิราช แม่ทัพในสมัย</p> <p>ราชวงศ์จักรี สร้างกรุงรัตนโกสินทร์ (กรุงเทพ) สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี - รัชกาลที่ ๑</p> <p><b></b></p> <p>ในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐเกิดศึกกลางเมืองขึ้น ทำให้ไพร่ฟ้าข้าราชการล้มตายจนไม่มีกำลังป้องกันพระนครและบ้านเมือง "จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้กระทำตามคำซึ่งกราบทูลนั้น เจ้าพระยาราชภักดี ก็จัดแจงแต่งทัพหลวงให้ถือตราพระราชสีห์ออกไปเกลี้ยกล่อมเลขจัดพลัด ณ หัวเมืองวิเศษวิเศษไชยชาญเมืองสุพรรณบุรี เมืองนครชัยศรี เมืองพรหมบุรี เมืองสิงห์บุรี เมืองสรรคบุรี เมืองชัยนาทบุรี เมืองมโนรมย์ เมืองอุทัยธานี เมืองนครสวรรค์ ได้คนเป็นอันมาก</p> <p>พ.ศ. ๒๓๐๙ แผ่นดินพระเจ้าเอกทัศน์กองทัพเนเมียวสีหบดี ๔,๐๐๐ คน ได้ยกลงมาจากเมืองนครสวรรค์ ลงมาทางเมืองชัยนาท เมืองอุทัยธานี เมืองสรรคบุรี ถึงเขตกรุงศรีอยุธยา ส่วนกองทัพมังมหานรธา ๓,๐๐๐ คน ได้มาตั้งอยู่ที่วัดป่าฝ้าย ปากน้ำพระประสบ ข้างด้านเหนือ นอกจากนี้พระเจ้า</p> <p>อังวะ ยังให้สุรินทจอข่อง คุมพลอีก ๑,๐๐๐ คน ยกลงมาพักอยู่เมืองเมาะตะมะ แล้วยกหนุนเข้ามาทางด่านอุทัยธานี ตั้งทัพอยู่ที่เมืองวิเศษไชยชาญ และพระยาเจ่งรามัญคุมพล ๒,๐๐๐ คน ยกหนุนเข้ามาทางกาญจนบุรี ตั้งทัพที่ขนอนหลวง วัดโปรดสัตว์ขณะที่รอทัพอยู่นี้ พม่าได้ลาออกไปเที่ยวค้นทรัพย์จับคนทางเมืองวิเศษไชยชาญ เมืองสรรคบุรี เมืองสุพรรณ เมืองสิงห์ถึงอุทัยธานี จนทำให้คนไทย รวมกำลังกันที่ "บ้านบางระจัน" ต่อสู้พม่าได้ถึง ๘ ครั้ง ก็สู้พม่าไม่ได้ ต่อมาน้ำท่วมกรุงศรีอยุธยา พม่าได้รื้ออิฐวัดมาก่อกำแพงเป็นค่าย แล้วรุกมาตั้งที่วัดกระชาย วัดพลับพลาชัย วัดเต่า วัดสุเรนทร วัดแดง ยกเป็นหอรบสูง แล้วระดมกำลังปล้นกรุง ในเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๓๑๐ ได้ จึงเผาพระนคร จับคนปล้นทรัพย์สินจนสิ้น แม่ทัพพม่าฝ่ายเหนือก็เชิญสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๔ ซึ่งทรงผนวชเป็นพระภิกษุและพระขัตติยาวงศา เสนามาตย์ไปพร้อมกับทรัพย์สมบัติศัสตราวุธ ยกออกทางด่านอุทัยธานี เดินบกไปถึงเมืองเมาะตะมะ ขณะนั้นบ้านเมืองเกิดระส่ำระสายอย่างหนัก ผู้คนต่างหนีพม่าเข้าป่าลึก บ้างก็ถูกกวาดต้อนไปกับเขาด้วย รวมทั้งชาวเมืองอุทัยส่วนหนึ่งที่หลบหนีไม่ทันด้วย พระเถระที่ปรากฏชื่อมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา (จาก "ประชุมจารึกวัดพระเชตุพนฯ " เป็นตัวเขียนอักษรขอมลายรดน้ำปิดทอง อยู่ที่บานหน้าต่างพระอุโบสถบานที่ ๗ ด้านซ้ายทางทิศเหนือ) นั้นชื่อ "พระครูอนุโลมมุนีเป็นพระสมณศักดิ์เจ้าคณะเมืองอุทัยธานี ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ไม่ปรากฏว่าอยู่ที่วัดใด</p> <p><b>สมัยกรุงธนบุรี</b><b></b></p> <p>เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้สถาปนากรุงธนบุรีในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ พระองค์ต้องทำการปราบปรามบรรดาชุมนุมต่างๆ เป็นการขยายอาณาเขตให้กว้างขวางออกไป</p> <p>ในปีขาล พ.ศ. ๒๓๑๓ เจ้ากรุงธนบุรีทรงปรารภที่จะปราบปรามหัวเมืองเหนือและได้ข่าวว่า เมื่อเดือนหก "เจ้าพระฝาง" ซึ่งเป็นใหญ่ในหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งปวงนั้นเกณฑ์กองทัพให้ลงมาลาดตระเวนตีเอาข้าวปลาอาหาร และเผาบ้านเรือนราษฎรเสียหลายตำบล จนถึงเมืองอุทัยธานี และเมืองชัยนาท เป็นทำนองจะคิดลงมาตีกรุงธนบุรี พระองค์จึงยกทัพไป ๓ ทัพ เข้าตีเมืองพิษณุโลกและเมืองสวางคบุรีจนแตกพ่ายไป พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเห็นถึงความสำคัญ ของเมืองอุทัยธานี ซึ่งถูกพม่าย่ำยียับเยินจนเป็นเมืองร้าง จึงแต่งตั้งให้ "ขุนสรวิชิต (หน)" ไปตั้งกองด่านรักษาเมืองอุทัยเก่าประมาณ ๒ กิโลเมตร</p> <p>ครั้งอะสีหวุ่นคยี (อะแซหวุ่นกี้) แม่ทัพคนสำคัญของพม่า ยกกองทัพใหญ่เข้ามาทางหัวเมืองเหนือ เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๘ นั้น ได้ให้โปสุพลา โปมะยุง่วน ยกกองทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ ส่วนอะแซ</p> <p>หวุ่นคยีเองยกกองทัพหลวงพล ๑๕,๐๐๐ คน เดินทัพเข้าทางด่านแม่ละเมาะ เมืองตากด่านลานหอยและเมืองสุโขทัย แล้วคุมพล ๓๐,๐๐๐ คน เข้าล้อมเมืองพิษณุโลกไว้ ครั้งพม่ายกทัพมาถึงเมืองกำแพงเพชร เห็นไทยตั้งค่ายรักษาเมืองนครสวรรค์แข็งแรง จึงตั้งค่ายที่เมืองกำแพงเพชรแล้วแต่งกองโจรเดินลัดป่าทางฝั่งตะวันตกอ้อมหลังเมืองนครสวรรค์ลงไปเมืองอุทัยเก่ากอง ๑ พอวันเสาร์ เดือน ๓ แรม ๑๒ ค่ำ พระเจ้ากรุงธนบุรีก็ทรงทราบว่า พม่าที่เมืองกำแพงเพชร "ยกลงมาตั้งค่าย ณ บ้านโนนศาลาสองค่าย บ้านสลกบาตรค่ายหนึ่ง บ้านหลวงค่ายหนึ่ง ในแขวงเมืองกำแพงเพชร แล้วแยกไปทางเมืองอุทัยธานีกองหนึ่ง เข้าเผาบ้านอุทัยธานีเสีย" แล้วจะยกไปทางไหนสืบไม่ได้ความ พระองค์ทรงระแวงพม่าที่ยกไปจากเมืองอุทัยธานีจะไปซุ่มสั่งดักทางดอยตีกองลำเลียง ใต้เมืองนครสวรรค์ลงมาอีก จึงโปรดให้แบ่งไพร่พลในกองทัพหลวง ๑,๐๐๐ คน ให้เจ้าอนุรุธเทวา บัญชาการทัพเป็นจางวางบังคับทั้งสามกอง มีกองทัพของขุนอินทร์เดชเป็นแม่กอง กองทัพหลวงปลัดเมืองอุทัยธานีกับหลวงสรวิชิต นายด่านเมืองอุทัยธานี เป็นกองหน้า และกองทัพของเจ้าเชษฐกุมาร เป็นกองหลวง ซึ่งยกลงมาคอยป้องกันลำเลียงเสบียงอาหารและเครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์ที่ส่งไปจาก พระนครไม่ให้พม่าที่ยกมาเมืองอุทัยธานีซุ่มดักทางคอยโจมตี</p> <p>ครั้นเมื่อพม่าได้เมืองพิษณุโลกแล้วเสบียงอาหารภายในเมืองอัตคัตผู้คนในเมืองอดอยากอ่อนแอ อะแซหวุ่นคยี จึงให้มังแยยางูคุมพลไปทางเมืองเพชรบูรณ์และเมืองหล่มศักดิ์ให้กะละโบ่ คุมพลมาลาดตะเวนทางเมืองกำแพงเพชร รวบรวมหาเสบียงอาหาร ต่อมาอะแซหวุ่นคยีได้ข่าวว่าพระเจ้า</p> <p>มังระสิ้นพระชนม์ จึงกูจาราชบุตรได้ครองราชสมบัติ จึงรีบเก็บทรัพย์สมบัติกวาดต้อนผู้คนกลับออกทางเมืองสุโขทัย เมืองตาก และด่านแม่ละเมา จึงทิ้งให้กองทัพกะละโบ่ กับมังแยยางูในเมืองไทยด้วยสั่งกลับไม่ทันคงสั่งแต่เพียงให้กองทัพกะละโบ่ รอกลับพร้อมกับ มังแยยางูพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงทราบว่า พม่าเลิกทัพกลับแล้วยังคงมีกองทัพของกะละโบ่และมังแยยางูเหลืออยู่ จึงแบ่งกองทัพออกเป็น ๔ กอง ติดตามพม่าไปเมืองตาก เมืองกำแพงเพชร และเมืองเพชรบูรณ์ ส่วนทัพหลวงนั้น ตั้งค่ายรอรับครอบ-ครัวที่แตกฉานมาจากพิษณุโลกที่บางแขม เมืองนครสวรรค์ ครั้นวันจันทร์ เดือน ๖ แรม ๑๑ ค่ำ พ.ศ. ๒๓๑๙ พม่าข้างเมืองอุทัยธานียกแยกขึ้นไปเมืองเพชรบูรณ์ กองทัพไทยตามไปพบกองทัพมังแยยางูที่บ้านนายยม ใต้เมืองเพชรบูรณ์ เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๖ แรม ๑๔ ค่ำ ก็ระดมกำลังตีจนแตกพ่าย พากันหนีไปทางเหนือ เข้าไปในแดนลานช้าง พอถึงเดือน ๗ ปีวอก พ.ศ. ๒๓๑๙ พระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงทราบว่ามีกองทัพพม่ากะละโบ่ตั้งอยู่ที่เมืองกำแพงเพชรประมาณ ๒,๐๐๐ คนเศษ จึงให้พระยายมราช พระยาราชสุภาวดี พระยานครสวรรค์ ยกกองทัพไปสมทบกันตีพม่า ส่วนพระองค์นั้น เสด็จยกทัพหลวงไปตั้งอยู่ที่ปากคลองขลุง พม่ารู้ข่าวก็รีบยกทัพหนีไปทางเหนือ ส่วนพม่าอีกกองหนึ่งประมาณ ๑,๐๐๐ คนเศษ ได้ยกแยกมาทางทิศตะวันตก เดินทัพเข้ามาถึงเมืองอุทัยธานีเที่ยวเก็บทรัพย์จับผู้คนและเผาบ้านเรือนเสียฆ่าหลวงตาลำบากตายแล้วยกหนีไปทางนารีซึ่งปรากฏในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่า "ครั้น ณ วันพฤหัสบดีเดือน ๗ ขึ้น ๑๓ ค่ำ จึงเสด็จถอยกองทัพหลวงมาประทัพ ณ เมืองนครสวรรค์ จึงชาวด่านเมืองอุทัยธานี บอกลงมากราบทูลว่าทัพพม่ายกผ่านลงมาประมาณพันเศษ เผาค่ายที่ด่านนั้นเสีย แทงหลวงตาลำบากอยู่องค์หนึ่ง แล้วยกไปทางนารี จึงดำรัสให้หลวงเสนาภักดี กองแก้วจินดา ยกติดตามไปถ้าทันเขาจงตีให้แตกฉาน แล้วให้ยกตามไปจนถึงเมืองชัยโชค"</p> <p>ครั้นได้ข่าวว่าทัพพม่ากองหนึ่ง ยกลงไปทางเมืองอุทัยธานี จึงยกกองทัพลงมาทางด่านเขาปูน ด่านสลักพระ หมายจะไปตามตีพม่าทางเมืองอุทัยธานี แล้วสั่งให้พระยายมราช พระยาราชสุภาวดี ซึ่งตั้งทัพอยู่ที่บ้านโคนเมืองกำแพงเพชร ยกทัพลงมาตีกองทัพพม่าทางเมืองอุทัยธานีอีก ๒ กองสมทบกับกองทัพมอญ ของพระยารามัญวงศ์กอง ๑ กวาดร่นมาตั้งแต่ทางเหนือ มายังเมืองอุทัยธานี ส่วน</p> <p>พระองค์นั้น เสด็จกลับคืนพระนคร เมื่อวันเสาร์เดือน ๗ ขึ้น ๑๔ ค่ำ</p> <p>กองทัพเจ้าอนุรุธเทวา ได้พบพม่าตระเวนหาเสบียงอาหารกองหนึ่ง ที่เมืองสรรคบุรี จึงเข้าตีแตกร่นหนีขึ้นไปสมทบกับพม่า ๑,๐๐๐ คน ที่ตั้งค่ายอยู่ที่ด่านเมืองอุทัยธานี ส่วนกองทัพพระยายม-ราช พระยาราชสุภาวดี นั้น ได้ยกลงมาตั้งค่ายประชิดอยู่ที่ด่านเมืองอุทัยธานี ต่อมาขัดสนเสบียงอาหาร จึงต้องถอยทัพมาตั้งอยู่ ณ คอกไก่เถื่อน ต่อมากองทัพเจ้าอนุรุธเทวา หลวงเสนาภักดี กองแก้วจินดา ได้มาพบกองทัพกะละโบ่ตั้งค่ายที่เมืองนครสวรรค์ เห็นเหลือกำลังจึงบอกไปยังกรุงธนบุรี จึงให้กรมขุนอนุรักษ์สงคราม หลานเธอ กรมขุนรามภูเบศร์ กับเจ้าพระยามหาเสนา คุมพลไปตีกองทัพกะละโบ่ทางเมืองนครสวรรค์ แล้วให้กรมขุนอินทรพิทักษ์ ลูกเธอคุมทัพเรือหนุนไปช่วยอีก แล้วพระองค์ก็เสด็จยกกองทัพหลวงทางเรือ มาบัญชาการรบอยู่ที่เมืองชัยนาท เมื่อเดือน ๙ และพระองค์ได้โปรดให้เกณฑ์หากองทัพ เมืองพิจิตร เมืองนครสวรรค์ เมืองอุทัยธานี ลงมารวมกันที่ค่ายหลวง ณ เมืองชัยนาทให้หมดสิ้น ฝ่ายกองทัพพม่าซึ่งตั้งอยู่ ณ ด่านเมืองอุทัยธานีนั้น ขัดสนเสบียงอาหาร จึงถอยค่ายเลิกทัพกลับไปพอดีกับกองทัพไทย เข้าใจว่าตั้งอยู่ที่บ้านทัพหมื่น บ้านทัพค่าย บ้านทัพหลวง ยกทัพติดตามทันที่ บ้านทัพทัน (คืออำเภอทัพทัน) พม่าถูกไทยฆ่าตาย แตกหนีแยกย้ายไม่เป็นระเบียบออกไปทางเขาดาวเรือง ปลายเขตแดนบ้านโคกหม้อ ขึ้นไปทางบ้านพลวงสองนาง พม่าต่างหนี ต่างปล้นสดมภ์เสบียงอาหาร ฉุดคร่าหญิงสาวจนชาวบ้านกลัวรานต่างก็เอาลูกสาวไปซ่อนตามโพรงไม้ใหญ่ๆ ซึ่งมีอยู่มากในป่าแถบนั้น หลบซ่อนอยู่จนเวลารุ่งสาง พอดีเวลาวัดย่ำฆ้องระฆังพระลุกขึ้นครองผ้าออกบิณทบาตร หมู่บ้านแห่งนี้เรียกกันว่า "บ้านโพรงซ่อนนาง" (ต่อมาเรียกบ้านพลวงสองนาง) ถัดมาเรียก "บ้านสว่างน้อย" กองทัพไทยได้ขับไล่พม่าเตลิดหนีจนไม่สามารถตามทัน จนรุ่งแจ้งก็ไม่เห็นพม่าจึงหยุดตั้งค่าย ตรงที่ถัดจากบ้านว่างน้อยพักผ่อนหุงหาอาหารกินกันด้วยเสียเวลาหลับนอนรุกไล่พม่ามาหลายวันหลายคืน ผ่านท้องที่ทุรกันดารมากมาย ร่างกายต่างอ่อนเปลี้ยไปตามๆ กัน ชาวบ้านที่หลบซ่อนพม่า ก็สบายใจที่กองทัพไทยมาช่วย ต่างจัดหาอาหารมาเลี้ยงทหารไทย ท้องที่ตรงนั้นเรียกกันต่อๆ มาว่า "บ้านสว่างแจ้งสบายใจ" คือ บ้านสว่างอารมณ์ อำเภอสว่างอารมณ์ เดี๋ยวนี้</p> <p>ครั้นวันพุธ เดือนสิบ ขึ้นค่ำหนึ่งพระยาราชภักดี และพระยาพลเทพ ที่ขึ้นไปตามพม่าทางเมืองเพชรบูรณ์ ได้พบพม่าที่บ้านนายยม จึงขับไล่ตีพม่าแตก หนีไปทางเมืองอุทัยธานี จับได้เก้าคน ส่วนที่หนีมาได้ครั้น ทราบว่ากองทัพพม่าทิ้งค่ายที่เมืองอุทัยธานีเสียแล้ว ก็หนีเลยไปสมทบกันที่เมืองนครสวรรค์ รวมกับพม่าที่หนีมาจากเมืองอุทัยธานีด้วย ต่อมาก็ถูกกองทัพกรมขุนอนุรักษ์สงคราม กรมขุนรามภูเบศร์ และเจ้าพระยามหาเสนาระดมกำลังตีกองทัพพม่าที่ค่ายเมืองนครสวรรค์แตกหนีเข้ามาทางเมืองอุทัยธานี กองทัพไทยรุกไล่พม่าในเมืองอุทัยธานี ได้ติดตามสมทบ และทันกองทัพพม่าที่บ้านเดิมบางนางบวช เมืองสุพรรณบุรีจึงตีกองทัพพม่าหนีร่นออกไปทางด่านเจดีย์สามองค์</p> <p>เมืองอุทัยเก่า เป็นเมืองด่านที่สำคัญพระเจ้ากรุงธนบุรี จึงโปรดให้พระราชทานช้างหลวงสำหรับเมืองอุทัยธานี เพื่อใช้ในกองทัพทหารด่าน คือ เมื่อปีวอก อัฐศก พ.ศ. ๒๓๑๙ ได้พระราชทานช้างหลวง ๒ เชือก แก่เมืองอุทัยธานี เข้ากองทัพไปรบที่ดอนไก่เถื่อน และเมื่อปีระกา นพศก พ.ศ. ๒๓๒๐ ได้พระราชทานช้างหลวง "พระอุทัยธานี อยู่แก่พระรามรณคบ พลาย ๒ พลัง ๓ (ราม) ๕ "</p> <h6>สมัยกรุงรัตนโกสินทร์</h6> <p>บ้านสะแกกรัง เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ มีความอุดมสมบูรณ์กว่าบ้านอื่นๆ ประกอบกับเมืองอุทัยธานีเก่าถูกพม่าทำลายเสียหายมาก เช่น พระปรางค์ที่วัดแจ้ง (นัยว่าสร้าง พ.ศ. ๒๐๘๑) ถูกพม่าทำลายยอดปรางค์หักเสีย (ในระยะหลังๆ พระอาจารย์ทิม คงคสโร ได้เป็นหัวหน้าชักชวนพุทธศาสนิก-ชนช่วยกันหาช่างมาปฏิสังขรณ์ ต่อจากฐานเก่าจนสำเร็จเป็นองค์พระปรางค์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๘) วัด</p> <p>อื่นๆ ก็ถูกพม่าเผาทำลายจนร้าง ผู้คนต่างได้อพยพหนีมาอยู่ที่บ้านสะแกกรังซึ่งมีพื้นที่เหมาะสมกับการทำมาหากิน ทำนา ค้าขายขาว และยังมีความสำคัญต่อการลำเลียงขนส่งข้าวปลาอาหาร อาวุธยุทธภัณฑ์ ตลอดจนช้างศึกช้างป่า เข้าสู่พระนคร จึงเป็นเหตุให้บ้านสะแกกรังเริ่มครึกครื้นเป็นตลาดใหญ่ จนถึงกับทำให้เมืองอุทัยเก่าซบเซาลง บรรดาเจ้านาย นายทหารชาวด่าน ก็นิยมตั้งบ้านเรือนอยู่ที่นี้ ด้วยมีลำคลองสะแกกรังเป็นเส้นทางคมนาคมทางเรือได้สะดวกต้องกับพระราชประสงค์ของพระเจ้ากรุงธนบุรี</p> <p>ต้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ ได้จัดการบ้านเมืองให้เป็นระเบียบ แต่งตั้งเจ้าเมืองปกครองตามเมืองต่างๆ ส่วนที่เป็นด่านอยู่ก่อนก็คงมีนายด่านเป็นผู้ดูแลรักษาเหมือนเดิม และได้สำรวจบัญชีช้างหลวงที่สูญหายหลังจากสงครามด้วยสำหรับหลวงสรวิชิต (หน) นายด่านเมืองอุทัยธานี ผู้ซึ่งขึ้นม้านำทหารออกมารับเสด็จ ณ ทุ่งแสนแสบเมื่อครั้งกรุงธนบุรี เกิดจลาจล แล้วนำทัพเข้าสู่พระนครนั้น ก็ทรงโปรดให้รับราชการอยู่ด้วย ภายหลังได้แต่งตั้งให้เป็น พระยาพิพัฒนโกษา และเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ตามลำดับเนื่องจากมีความดีความชอบหลายประการ รวมทั้งมีความสามารถในการเรียบเรียงหนังสือด้วย ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ปรากฏว่าได้ตั้งให้หลวงณรงค์เป็นพระอุทัยธานี เจ้าเมืองอุไทยธานี นอกจากนี้ พระองค์ยังได้โปรดให้จัดตั้งด่านเพิ่มเติมขึ้นอีก ด้วยทรงระแวงพม่า ที่จะเข้ามาทางเมืองอุทัยธานี เช่น ด่านทัพสะเหล่าปูนอุมปุม, ด่านอัทมาต เป็นต้น และปรากฏในพงศาวดารว่า “พระอุทัยธรรมเป็นกองหลัง ตั้งค่ายอยู่ ณ เมืองชัยนาท ระวังพม่าจะยกมาทางด่าน เมืองอุทัยธานี พร้อมกับจัดให้มีการลาดตระเวนด่านเมืองเมาะตะมะและเมืองเมาะตำเลิม ตลอดจน แต่งคนออกไปสืบราชการเป็นประจำเจ้าเมืองที่ปรากฏชื่อในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ คือ “พระยาอุไทยธานี” อันเป็นบรรดาศักดิ์ของเจ้าเมืองอุทัยธานี</p> <p>รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ นั้น ได้ดำเนินรอยตามสมเด็จพระราชบิดา กล่าวคือ ทรงเห็นถึงความสำคัญของทหารด่าน และการสืบราชการในเมืองมอญ เช่น พ.ศ. ๒๓๒๕ หลวงอินทกำโนน ขุนยกกระบัตร ขุนสรวิชิต ขุนหมื่นกรมการ คุมไพร่ออกไปตั้งรักษาด่านทัพสะเหล่าปูนอุมปุม เป็นต้น แม้แต่เจ้าพระยาพระคลัง (หน) ชาวด่านเมืองอุทัยธานีเอง ก็ทรงโปรดปรานทำนุบำรุงอยู่จนเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อปีฉลู พ.ศ. ๒๓๔๘ เมื่อ จ.ศ. ๒๓๕๒ นั้น เมืองอุทัยธานีได้จัดส่ง ไม้ชื่อ ไม้เสา ไม้ไผ่ ไม้อุโลก หวาย น้ำมันยาง สีผึ้ง และอื่นๆ สำหรับทำเครื่องพระเมรุ พระบรมศพสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง (รัชกาลที่ ๑ ) ซึ่งกำหนดจะถวายพระเพลิง ณ เดือน ๔ ปีมะเส็ง ตามตราเจ้าพระยาจักรี ที่ให้ขุนไชยเสนารับมาและยังได้จัดผ้าขาว ๒๐๐ ชิ้น ขมิ้น ๑ เพื่อจัดทำผ้าสบง สดับปกรณ์ ตามหนังสือ เจ้าพระยาจักรีส่งไปเกณฑ์ ลงวันอาทิตย์แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๑ ปีมะเส็ง ในปีนั้นขุนสถารพลแสนมหาดไทย ได้คุมน้ำพระพัทสัจจา มาพระราชทานที่เมือง</p> <p>อุไทยธานี และโปรดให้มีตราถึง เมืองอุไทยธานี ให้เจ้าเมืองกรมการ เลาพลเมือง ราษฏร โกนผมไว้ทุกข์ แต่กองอาทมาตชาวด่าน ต้องลาดตะเวนให้งดไว้</p> <p>รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ นั้น เมืองอุไทยธานีได้มีหน้าที่แต่งคนออกไปสืบข้อราชการ ทางเมืองเมาะตะมะ และเมาะตำเลิม ซึ่งมีความปรากฏในสารตรา (เลขที่ ๒๑ จ.ศ. ๑๑๘๘) พ.ศ. ๒๓๖๙ ที่พระยาจักรีมีมาถึงพระยาอุไทยธานี เรื่องได้รับหนังสือ กางดุ</p> <p>กระเหรี่ยง มีมาถึงหลวงอินกำโนน เป็นอักษรรามัญแจ้งราชการว่า “กางดุจัดให้กางภุระกับไพร่ ๑๕ คน ออกไปลาดตระวนถึงคลองมิคลานพบจางกางเก้าะกง กระเหรี่ยงพม่า ๙ คนบอกว่า เมืองเมาะตะมะมีอังกฤษอยู่ ๕๐๐ คน อังกฤษตีเมืองอังวะได้แต่ ณ วัน ๗ ค่ำ ฯลฯ เห็นว่าอังกฤษแต่งให้พูดจาจะให้เลื่องลือ ความจะหาจริงไม่ ซึ่งพระยาอุไทยธานีกรมการไม่ไว้ใจแก่ราชการ ให้หลวงอินนายกองคุมไพร่ ออกไปลาดตระเวนพิทักษ์รักษาด่าน ทั้งกลางวันกลางคืน สืบข้อราชการอยู่อีกนั้น ชอบด้วยราชการอยู่แล้วให้พระยาอุไทยธานี กรมการ กำชับหลวงอินกำโนนกองอาฏมาต และหลวงขุนหมื่นชาวด่าน ให้ระวังระไวพิทักษ์รักษาด่านทางจงกวดขันแล้วให้สืบเอาข้อราชการให้ได้ความจงแน่ ถ้าได้ข้อราชการประการใดให้บอกลงไปให้แจ้งหนังสือมา ณ วันพุธ ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๕ จุลศักราช ๑๑๘๘ ปีจอ อัฏศก “ สำหรับข่าวจากกางดุ กระเหรี่ยงนั้นได้แจ้งให้ทราบเมื่อ วันอาทิตย์ ขึ้น ๑๓ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๘๗ พ.ศ. ๒๓๖๘ มีความละเอียดแจ้งว่า “อังกฤษเป็นเจ้าขึ้นนั่งเมืองอังวะ ในเมืองเมาะตะมะ ยิงปืนใหญ่ ๑๕ นัด ในเมืองย่างกุ้ง ยิงปืนใหญ่ ๑๕ นัด”</p> <p>นอกจากหน้าที่สำคัญทางชายแดน ดังกล่าวแล้ว เมืองอุไทยธานียังส่งกระวานจำนวน ๒ หาบเป็นประจำทุกปี ซึ่งเก็บที่ป่าคอกควาย ป่าระบำ ป่าอุมรุต ป่ากลมซึ่งมีใบบอก (เลขที่ ๒๑๒ จ.ศ. ๑๒๐๗) ว่า “ด้วยถึง ณ วัน เดือนเก้า เดือนสิบ เป็นเทศกาลผลกระวานลูกแก่ขุนหมื่นและ ไพร่กอง</p> <p>อัฏมาต เคยเก็บผลกระวาน ทูลเกล้าฯ ถวายปีละ ๒ หาบ ข้าพเจ้ากรมการ ได้จัดแจงเร่งรัดขุนหมื่น กองอัฏมาต ออกไปเก็บผลกระวานในตำบลป่าหน้าด่าน เมืองอุไทยธานี ได้ผลกระวานหนักสองหาบครบจำนวน……” และจะมีใบบอกส่งกระวานส่วย เป็นประจำทุกปี (ดังใบบอกเลขที่ ๑๐๐ จ.ศ. ๑๒๐๘, เลขที่ ๕๙ จ.ศ. ๑๒๐๙ และเลขที่ ๑๔๗ จ.ศ. ๑๒๑๐ เป็นต้น) บางครั้งก็ให้เป็นเงินแทนผลกระวานที่ยังค้างอยู่ (ร่างสารตราเลขที่ ๑๘๒/๒ จ.ศ. ๑๒๐๕) พ.ศ. ๒๓๘๓ ได้ส่งครกสำหรับตำดินปืนไปยังกรุงเทพฯ มีความปรากฏในใบบอก (เลขที่ ๘ จ.ศ. ๑๒๐๒) ว่า………</p> <p>“…..ด้วยมีตราพระราชสีหะ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมขึ้นไปถึงข้าราชการกรมการว่าให้เกณฑ์ครกไม้หว้า ประดู่ ไม้ยาง จ่ายครัวแขกและตำดินสำหรับราชการสี่สิบใบนั้น ข้าราชการกรมการได้ทราบในท้องตราพระราชสิหะ ซึ่งโปรดขึ้นไป ทุกประการแล้ว ข้าราชกรมการตัดได้ครกไม้ยางสิบสองใบ ไม้หว้าแปด ไม้ใหญ่แปดกำสูงศอกคืบ ได้ขนาดอย่างตามท้องตราเกณฑ์นั้นแล้ว โดยแต่งให้นายเมืองคุมครกมาส่งด้วยแล้ว…..” พ.ศ. ๒๓๘๖ มีร่างสารตรา (เลขที่ ๑๕๕/๒ จ.ศ. ๑๒๐๕) แจ้งว่าเมือง</p> <p>อุไทยธานี ได้ส่งมาดเรือยาว ๙ วา กำลัง ๕ ศอกเศษลงไปยังกรุงเทพฯ ต่อมา ณ ๕ ฯ ๔ ค่ำ ปีเถาะ ได้มีสารตรา (เลขที่ ๒๔/๑ จ.ศ. ๑๒๐๕) โปรดเกล้าฯ ให้หลวงสัดดี เป็นพระศรีสุนทรปลัดเมืองอุไทยธานี ครั้งเมื่อมีการซ่อมแซม และปักหลักสายโซ่ที่เมืองนครเขื่อนขันฑ์ และเมืองสมุทรปราการได้เกณฑ์ (ร่างตรา ๓๘/๓ จ.ศ. ๑๒๐๕) ให้เมืองอุไทยธานีส่งไม้ยาง ยังค้างอยู่ ยางใหญ่ ๕ กำ จำนวน ๓๐ ต้นไปกรุงเทพในเดือน ๙ ข้างแรม ปีเถาะ</p> <h5>ปัญหาเขตแดนเมืองอุไทยธานีกับเมืองเมาะตำเลิม</h5> <p>ในปี พ.ศ. ๒๓๘๖ ขุนจ่าสัจ ขุนทิพย์ไพรีมีชื่อกองอาฎมาต ขุนเพชรนารายณ์ไพรีมีชื่อด่านพล ขุนอิน ขุนวิชิต ไพรี มีชื่อด่านหลวงสรวิชิต ได้ออกไปสืบราชการ ณ เมืองเมาะตำเลิมเมื่อวัน ๔ ขึ้น ๑๑ ค่ำ ปีขาลจัตวาศกนั้น ปรากฏในคำให้การ (เลขที่ ๑๓๒/๒ จ.ศ. ๑๒๐๕) ว่า ในระหว่างทางขุนอิน ขุนวิชิตป่วยไปไม่ได้ ครั้นเมื่อถึงบ้านกางโกะเกะ ขุนเพชรนารายณ์ ได้ป่วยเป็นไข้ จึงให้อยู่รักษาตัวโดยมีมะผิม มะมีบ่าวดูแล ครั้นขุนจ่าสัจ ขุนทิพย์ กลับจากสืบราชการแล้ว ได้ถามกางโกะเกะ และทราบว่าขุนเพชรนารายณ์หายป่วยกลับไปแล้ว เมื่อถึงเมืองอุไทยธานี ไม่เห็นขุนเพชรนารายณ์ และทราบว่าคนทั้งหมดอยู่ที่บ้านระแหง กับมะเกาะ น้องมะมี พระยาอุไทยธานีจึงให้ขุนจ่าสัจ ขุนพิทักษ์ กับไพร่ ๕ คนไปตามตัว เดินทางไปถึงบ้านระแหงเมื่อวันที่ ๑ ขึ้น ๓ ค่ำ ปีเถาะ เบญจศก จึงทราบข่าวจากมะเกาะว่า ขุนเพชรนารายณ์ตายเสียแล้วที่บ้านกางชมภู ส่วนมะมี มะผิน มะกลิ่น บ่าวทำมาหากินที่นั่น และได้ขอติดตามบ่าวจนถึงบ้านมะฝาง บ้านกระเหรี่ยง</p> <p>ต่อมาได้มีปัญหาเกี่ยวกับเขตแดนที่เกี่ยวกับเมืองเมาะตำเลิม เมืองมะริด เนื่องจากอังกฤษมีอำนาจในประเทศพม่า มีจดหมายเหตุสำคัญหลายฉบับ เช่น จดหมายเหตุ (เลขที่ ๙/๙ จ.ศ. ๑๒๐๖ พ.ศ. ๒๓๘๗ ) ว่า “เขตแดนเมืองอุไทยธานี ตั้งแต่เขาใหญ่ปลายคลองแม่เมยมาตามลำคลองแม่ทรางออกลำน้ำตองโป๊ะตะวันออก มาจดลำน้ำตีโล ต่อกับด่านเมืองศรีสวัสดิ์ ในระหว่างมีคลองแม่ทราง แม่กรอม แม่นางดัด แม่สะเริง แม่กริว แม่อำจาม ปลายคลองออก แต่เข้าต้นคลองไปออกแม่น้ำตองโป๊ะฝั่งตะวันออก เป็นแดนเมืองอุไทยธานีแม่น้ำตองโป๊ะฝั่งตะวันตกเป็นแดนอังกฤษ” ต่อมา พ.ศ. ๒๓๘๘ มีสารตรา (เลขที่ ๒๔๘/๒ จ.ศ. ๑๒๐๗) ว่า</p> <p>“หนังสือเจ้าพระยาจักรี มาถึงพระยาอุไทยธานี ด้วยทรงพระกรุณาตรัสเหนือเกล้าฯ สั่งว่า พระยาขานุจักร์ ออกไปสืบราชการทางเมืองเมาะตำเลิมกลับเข้ามา ณ กรุงเทพ อังกฤษ เจ้าเมืองเมาะตำเลิม มีหนังสือให้พระยาขานุจักร์ ถือเข้ามาถึงเสนาบดีผู้ใหญ่ ณ กรุงเทพฯ ว่าเขตแดนเมืองเมาะตำ-เลิม กับเขตแดนเมืองอุไทยธานีเมืองตากบ้านระแหง จะต่อกันเพียงใด จะขอแบ่งปันให้เป็นแน่นอนอย่าให้วิวาทกันด้วยเขตแดนต่อไปนั้น เขตแดนเมืองอุไทยธานี จะต่อกันกับเขตแดนเมืองเมาะตำเลิมที่ตำบลใด สมเด็จพุทธเจ้าอยู่หัวจะใคร่ทรงทราบ บัดนี้ ให้หมื่นพลันเมืองบน ข้าหลวงมหาดไทย ถือตราขึ้นมาให้พระยาอุไทยธานี กรมการจัดหลวงขุนหมื่นกรมการ ชาวด่านที่สันทัดทาง และรู้จักที่ตำบลเขตแดนเมืองอุไทยธานี กับเมืองเมาะตำเลิมกันต่อที่แห่ง ที่ตำบลใด เป็นแน่ให้ได้สัก ๒-๓ คน ให้พระยา</p> <p>อุไทยธานีพาเอาตัวหลวงขุนหมื่น กรมการ ชาวด่านรีบลงไป ณ กรุงเทพฯ โดยเร็วถ้าขุนจ่าสัจกลับมาเมืองอุไทยธานีแล้ว ก็ให้เอาตัวขุนจ่าสัจลงไปด้วย จะได้ไล่เลียงไถ่ถาม ด้วยเขตแดนเมืองอุไทยธานีกับเมืองเมาะตำเลิมให้ได้ความเป็นแน่ หนังสือมา ณ วัน ๑๓ เดือน ๖ ปีมะเส็ง สัพศก…”</p> <p>ครั้นเมื่อวันอังคาร ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๙ (จากสารตราเลขที่ ๔๕/๔ จุลศักราช ๑๒๐๗) พ.ศ. ๒๓๘๘ เจ้าพระยาโกษาธิบดี สมุหกลาโหม กับพระยาราชสุภาวดี ได้จัดแจงที่เขตแดนหัวเมือง ของกรุงเทพฯ ที่ติดต่อกับเขตแดนหัวเมืองอังกฤษทางทิศตะวันตก พร้อมกับสอบถามพระยาอุไทยธานี พระสุนทร ปลัดผู้เป็นพระยาตาก และพระปลัดเมืองตากเกี่ยวกับเขตแดนเมืองอุไทยธานี เมืองตากเมื่อได้ความแล้วก็ได้ทำแผนที่เขตแดนที่แน่นอน และในสารตรา (เลขที่ ๔๕/๒ จ.ศ. ๑๒๐๗) เรียบเรียงเป็นความปัจจุบันดังนี้</p> <p>“สารตรา ท่านเจ้าพระยาจักรี ให้มาแก่ พระปลัด กรมการเมืองอุไทยธานีด้วยพระกรุณาตรัสเหนือเกล้าฯ สั่งว่า ณ วัน ๘ แรม ๑๒ ค่ำ ปีมะเส็ง สัพศก กะปิตันแหนริยมาเรียนดุรันอังกฤษเจ้าเมืองเมาะตำเลิม มีหนังสือให้มะโกน ไทยรามัญ ถือไปยังเสนาบดี ณ กรุงเทพฯ ฉบับหนึ่งว่า เมืองอังวะมีหนังสือมาถึง กะปิตันแหนริยมาเรียนดุรัน เจ้าเมืองเมาะตำเลิมว่า เมืองเชียงใหม่ไปรุกที่เขตแดนของพม่าๆ หาได้ทำสิ่งใดที่ไปรุกเขตแดนไม่ เพราะอังกฤษทำหนังสือสัญญาไว้แต่ก่อนว่า พม่าเป็นไมตรีกับอังกฤษๆ เป็นมหามิตรกับกรุงเทพฯ พม่าก็ต้องเป็นใจความดังนี้ ฉบับหนึ่งว่าขุนนางอังกฤษจะขึ้นมาดูเขตแดนฝ่ายเหนือกะปิตันแหนริยมาเรียนดุรัน จะใคร่พบขุนนางฝ่ายกรุงที่รู้เขตแดนแน่ พูดจาเด็ดขาดได้ ไปที่ปลายเขตแดนพร้อมกันในเดือนยันณุว่าเร-(มกราคม) หน้า คิดเป็นเดือนยี่ข้างไทยจะได้ว่ากล่าวด้วยที่เขตแดนชี้แจงกันให้เด็ดขาด หนังสือซึ่งมะโกนไทย ถือเข้ามาเมื่อเดือน ๙ สองฉบับ และเมื่อ ณ เดือน ๖ ปีมะเส็ง สัพศก พระยาขานุจักร์ ซึ่งออกไปสืบราชการกลับเข้ามา กะปิตันแหนริยมาเรียนดุรัน มีหนังสือมอบให้ พระยาขานุจักร์ถือเข้ามาเป็นภาษาอังกฤษ ๕ ฉบับ อักษรรามัญ ๗ ฉบับ ว่าด้วย กะปิตันริยมาเรียนดุรัน รับไปดูที่เขตแดนเมืองกระกับเมืองมะริดต่อกัน กับว่าด้วยพระสุนทร ปลัดเมืองตาก มีหนังสือให้พระสุทัตธานีถือไปตามลูกหนี้ ซึ่งหนีไป ณ เมืองเมาะตำเลิมพระสุทัตธานีไปทำล่วงเกิน (?) ในบ้านเมืองอังกฤษและหนังสือซึ่งอังกฤษให้พระยาขานุจักร์ มะโกนไทย ถือเข้ามานั้นโปรดเกล้าฯ ให้เสนาบดี มีหนังสือตอบให้มะโกนไทย ถือกลับออกไปแต่ วัน เดือนสิบ ขึ้น ๔ ค่ำแล้ว ซึ่งอังกฤษกำหนดมาว่าเดือนยี่จะขึ้นไปดูที่เขตแดนฝ่ายเหนือ ขอให้ขุนนางไทยที่เป็นผู้ใหญ่พูดจาเด็ดขาดได้ไปให้พร้อมกัน จะได้ว่ากล่าวด้วยที่เขตแดนชี้แจงกันให้เด็ดขาดนั้น เขตแดนเมืองตากกรมการ เป็นผู้น้อยแต่ลำพัง เจ้าเมืองกรมการ จะพูดจากับอังกฤษ ความจะไม่เด็ดขาด โปรดเกล้าฯ ให้พระยากำแพงเพ็ชรเป็นข้าหลวงผู้ใหญ่ ไปคอยพูดจากับอังกฤษได้มีตราขึ้นไปถึงพระยากำแพงเพ็ชร พระยาตาก กรมการ ความแจ้งอยู่แล้ว แต่เขตแดนเมืองอุไทยธานีที่ติดต่อกับแดนอังกฤษนั้น โปรดเกล้าฯ ว่า พระยาอุไทย-ธานีก็เป็นเจ้าเมืองผู้ใหญ่ ได้ทำแผนที่ก่อนที่จะแจ้งพอจะพูดจากับอังกฤษได้ โปรดเกล้าฯ ให้พระยา</p> <p>อุไทยธานี พระปลัด หลวงยกกระบัตร กรมการคอยรับรองพูดจากับอังกฤษ ให้ถูกต้องตามทำนองและแผนที่เขตแดนซึ่งชาวด่านบอกตำบลให้ทำนั้น เขตแดนข้างฝ่ายเหนือ ด่านเมืองอุไทยธานี ได้รักษาต่อกับเมืองตาก ตั้งแต่เขาใหญ่ปลายคลองแม่น้ำตองเมย มาตามคลองแม่ทรางออกลำคลองแม่น้ำตองโป๊ะ ฝั่งตะวันออกเป็นเขตมาจนลำน้ำตีโลต่อกับด่านเมืองศรีสวัสดิ์ ในระวางมีคลองแม่ทราง แม่กรวม แม่นางดัด แม่สะเลิง คลองแม่กริว แม่อำจาม ปลายคลองออกแต่เขา ต้นคลองไปออก แม่น้ำตองโป๊ะฝั่งตะวันออก ในป่าอันนี้ ผู้คนได้ไปเที่ยวเก็บผึ้งอยู่ทุกปี พระยาอุไทยธานีลงไปเฝ้าทูลละออง ได้พาหลวงขุนหมื่นชาวด่านลงไปชี้แจง ให้ทำแผนที่เขตแดนต่อกันกับแดนอังกฤษ ตั้งแต่ทิศเหนือ เป็นลำดับต่อๆ กันลงไปทุกเมือง จนสุดเขตแดนเมืองกระ พระยาอุไทยธานี ได้ทำแผนที่รู้ความถ้วนถี่แล้ว ถ้าอังกฤษจะมาพูดจากับพระยาอุไทยธานี พระปลัด กรมการ จะเอาที่เขตแดนให้ล้ำเกินเข้ามา ที่แห่งใด ตำบลใด ก็ให้ตอบว่าที่เขตแดนแต่เดิมมาอยู่แต่เพียงนั้น จะมาเอาถึงที่ตำบลนั้น เป็นแดนเมืองอุไทยธานี ล้ำเกินเข้ามานักยอมให้ไม่ได้ ถ้าเขาว่าจะเอาแต่เพียงแม่น้ำตองโป๊ะข้างตะวันตก ก็ให้ว่าชอบแล้ว เขตแดนแต่ก่อนมา ก็อยู่แต่เพียงนี้ อังกฤษมาดูแลว่ากล่าวเป็นสัตย์ เป็นธรรมสมควรหนักหนาความอันนี้จะบอกลงไปยังท่านอัครมหาเสนาบดีให้ทราบ ถ้าเขาดูเขตแดนเมืองอุไทยธานีแล้ว ก็ให้ถามเขาว่าจะไปดูเขตแดนเมืองไหน ที่แห่งใด ตำบลใดอีกบ้าง จะไปเมืองใด จะได้มีหนังสือไปให้เจ้าเมืองกรมการผู้ใหญ่ๆ ออกมาคอยพูดจาชี้แจงที่เขตแดนให้ ถ้าอังกฤษจะไปที่เขตแดนที่เมืองตากก็ให้พระยาอุไทยธานี พระ-ปลัดกรมการมีหนังสือแต่งตั้ง คนถือไปแจ้งความกับพระยากำแพงเพ็ชร ณ เมืองตาก ถ้าอังกฤษว่าจะไปดูเขตแดนข้างเมืองกาญจนบุรี เมืองศรีสวัสดิ์ ก็ให้มีหนังสือลงมาถึงเจ้าเมืองกรมการเมืองกาญจนบุรี เมืองศรีสวัสดิ์ ให้รู้ความ จะได้ออกไปพูดจากับอังกฤษด้วยที่เขตแดนทันกำหนด และการซึ่งจะพูดจากับอังกฤษนั้น ให้พระยาอุไทยธานี พระปลัดกรมการ พูดจาให้นิ่มนวล (?) เรียบร้อยอย่าให้พูดให้แข็งแรง การหาสำเร็จด้วยพูดจาแข็งแรงไม่ จึงโปรดเกล้าฯ ให้คัดสำเนาหนังสือเสนาบดี มีตอบไปถึงอังกฤษ ๓ ฉบับ กับแผนที่เขตแดนเมืองอุไทยธานี มอบให้พระยาอุไทยธานีเอาขึ้นมาด้วย จะได้พิเคราะห์ดูให้ถ้วนถี่ จะได้รู้ราชการพูดจากับอังกฤษถูกต้อง ไม่ผิดกับความในท้องตราและหนังสือเสนาบดี ซึ่งมีตอบไปถึงอังกฤษจึงทุกประการ ถ้าพระยาอุไทยธานี ได้พูดจากับอังกฤษคอยที่เขตแดนความตกลงแล้วกันแลประการใดให้บอกลงไปให้แจ้งหนังสือมา ณ วันจันทร์ แรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะเส็ง นักสัต สัพศก”</p> <p>หลังจากที่พระยาอุไทยธานี ได้รับทราบตามสารตราข้างต้นแล้ว ก็มีใบบอก (เลขที่ ๒๑๑</p> <p>จ.ศ. ๑๒๐๗) เมื่อวันอาทิตย์ แรม ๗ ค่ำ เดือน ๒ ปีมะเส็งมีความสำคัญตอนหนึ่งว่า</p> <p>“ข้าพเจ้า พระยาอุไทยธานี พระปลัดกรมการ เกณฑ์กรมการหกคน, ขุนหมื่นสิบหก, ไพร่สี่สิบเอ็ดคน, เข้ากันหกสิบสามคน, เกณฑ์ด่านพลหลวงพลหนึ่ง, ขุนหมื่นสามคน, ไพร่แปดคน, เข้ากันสิบสองคนเกณฑ์ด่านสรวิชิต หลวงสรวิชิตหนึ่ง ไพร่สิบห้าคนเข้ากันยี่สิบสองคน เกณฑ์การอาฏมาต หลวงอินนายกองหนึ่ง ขุนจ่าสัจปลัดกองหนึ่ง ขุนหมื่นแปดคน ไพร่สี่สิบคนเข้ากันห้าสิบคนเข้ากันข้าพเจ้ากรมการด่านพลด่านสรวิชิตด่านอาฏมาตนายไพร่ร้อยสามสิบเจ็ดคน ให้หลวงแพ่งหลวงจ่าเมืองกรมการอยู่รักษาเมืองแต่ข้าพเจ้า พระยาอุไทยธานีพระปลัดหลวงกำแหง ผู้ว่าที่หลวงยกกระบัตรหลวงสุนทรภักดี ขุนละคอน ขุนทิพรองนา ขุนรองสัสดีหมื่นรองแขวง กรมการกับนายด่านทั้งปวง กราบถวายบังคมลาขุนหมื่นและไพร่โดยออกไปจากเมืองอุไทยธานี แต่ ณ วันอาทิตย์ เดือนอ้าย แรมแปดค่ำ ปีมะเส็ง สัพศก ไปคอยอังกฤษอยู่ที่แม่กริว แม่อำจามแกร (?) เมืองอุไทยธานี ฝากแม่น้ำตองโป๊ะฝากตะวันออกด้วยแล้ว….”</p> <p>ในที่สุดพระยาอุไทยธานีและอังกฤษก็ได้พูดจากำหนดเขตแดนจนเป็นที่เรียบร้อย</p> <p>ครั้นเมื่อวันจันทร์ แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๒ ปีมะเส็ง หลวงชมภู ชาวกระเหรี่ยง อยู่เมืองตาก ได้พาครอบครัวกระเหรี่ยงมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลอุ้มผาง ในแม่จัน แม่กลอง แขวงเมืองอุไทยธานี มีชายฉกรรจ์ ๑๕ คน ครอบครัวชาย หญิง ๓๐ คน รวม ๔๕ คน ด้วยพระยาตากถึงแก่กรรมไม่มีที่พึ่ง พระยาราชสุภาวดีได้มีหนังสือ (เลขที่ ๒๕๐/๑-๒ จ.ศ. ๑๒๐๗) ถึงพระยาอุไทยธานีและพระยาตาก ถึงความสมัครใจของหลวงชมภู ที่จะขออยู่เมืองอุไทยธานี ต่อมาวันพฤหัสบดี ขึ้น ๒ ค่ำเดือน ๒ หลวงแพ่งเมืองอุไทยธานี ได้มีใบบอก (เลขที่ ๒๐๙ จ.ศ. ๑๒๐๗) ให้หมื่นชำนิ พาหลวงชมภู กระเหรี่ยงลงมาขอบารมีที่พึ่งจาก พระยาอักษรสุนทรเสมียนตรา</p> <p>วันพฤหัสบดี ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ พ.ศ. ๒๓๘๘ นายแจ้ง ผู้ว่าที่ขุนสุพมาตราได้คุมเอาถาดหมาก คนโทเงิน เครื่องยศ สำหรับที่หลวงยกกระบัตร ซึ่งถึงแก่กรรมส่งคืนเจ้าพนักงานพระคลังมหาสมบัติ ตามใบบอก (เลขที่ ๒๑๐ จ.ศ. ๑๒๐๗) ของพระยาพิไชยสุนทร</p> <p>เมื่อวันอังคาร แรม ๓ ค่ำ เดือน ๖ พ.ศ. ๒๓๘๙ แสนเชือกขุนหมื่นกรมช้าง ได้ถือตราสาร (เลขที่ ๓๑/๑ จ.ศ. ๑๒๐๘ ) ของเจ้าพระยาจักรีขึ้นมาติดตามช้างสำคัญที่หลบหนีเข้าป่า ณ เมืองอุไทยธานีและขอมะจูกับบุตรของมะจู ๒ คน จากพระยาอุไทยธานี ช่วยในการติดตามด้วย</p> <h5>สาเหตุที่ย้ายเมืองอุไทยธานีมาบ้านสะแกกรัง</h5> <p>เมื่อราว พ.ศ. ๒๓๗๖ นั้น ข้าราชการชาวกรุงเทพฯ ได้เป็นพระยาอุไทยธานี เจ้าเมือง</p> <p>อุไทยธานี ครั้นขึ้นไปถึงเมืองอุไทยธานีก็คิดว่า ถ้าบ้านเรือนอยู่ที่สะแกกรัง จะหาเลี้ยงชีพโดยชอบธรรมได้ดีขึ้นและจะว่าราชการเมืองอุไทยธานี (ที่เมืองอุทัยเก่า อำเภอหนองฉาง ) ก็ไปจากที่นั้นได้ไม่ลำบากอันใดพระยาอุไทยธานีคนนี้เป็นเพื่อนกันกับพระยาชัยนาท ในเวลานั้นจึงขอตั้งบ้านเรือนบนฝั่งแม่น้ำสะแกกรัง เพื่อจะค้าขายข้าวหาประโยชน์นับว่ากลัวความไข้ ไม่กล้าขึ้นไปว่าราชการที่เมืองอุไทยธานีเก่า สำหรับศาลาที่ว่าการเมืองอุไทยธานี ได้ใช้หลังบ้านพักของเจ้าเมืองอุไทยธานี ปลูกโรงไม้ยาวชั้นเดียว หลังคามุงกระเบื้องแบบไทย ส่วนพวกกรมการเมืองอุไทยธานี นั้น ก็ได้ย้ายตามมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านสะแกกรังตามเจ้าเมือง จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๓๑๙ ได้เกิดปัญหาเรื่องเงิน อากรสมพัตสรตลาดเงินค่าเสนากร ซึ่งไม่ชำระกันเนื่องจากเขตแดนเมืองอุไทยธานีกับเมืองชัยนาท ไม่ถูกต้อง อันมีจดหมายเหตุ (ร่างตราเลขที่ ๑๔๐/๒ จ.ศ. ๑๒๑๐) ดังนี้</p> <p>“หนังสือพระยามหาอำมาตย์ฯ มาถึงพระยาอุไทยธานี ด้วยหลวงปลัด หลวงอนุรักษ์ภักดี กรมการเมืองชัยนาทบอกลงไปว่า บ้านสะแกกรังที่พระยาอุไทยธานีตั้งอยู่กับราษฎรตั้งเรือนทำมาหากินตามริมฝั่งน้ำตะวันตก ตั้งแต่ปากกระบาดขึ้นไปจนบ้านท่าคล่อเหนือบ้านสะแกกรัง สมพัสษร อากรตลาดหาได้ชำระไม่ แต่บ้านเนินตูม บ้านเนินกำแพง บ้านทุ่งแฝก เสนาอากรเรียกเป็นแขวงเมืองไชย-นาทต่อๆ มา ครั้ง ณ ปีมะเส็ง สัพศก นายโพ พวกหมื่นเทพอากรมาบอกพระยาไชยนาท กรมการว่า บ้านทุ่งแฝก บ้านเนินตูม บ้านเนินกำแพง พระยาอุไทยธานีว่า เป็นแขวงเมืองอุไทยธานี หาได้ชำระเงินอากรไม่ พระยาไชยนาท กรมการว่าให้ทำเรื่องราวมาจะบอกลงไป ณ กรุงเทพฯ นายโพหมื่นเทพอากรก็หาทำเรื่องราวมายื่นไม่ อยู่ ณ ปีมะแม นพศก พวกหมื่นเทพอากรมาว่า หลวงปลัด กรมการ แต่งกรมการพาหมื่นเทพอากรไปว่ากล่าวกับพระยาอุไทยธานีๆ ว่า บ้านทุ่งแฝกเป็นแขวงเมืองไชยนาทแต่บ้านเนินตูม บ้านเนินกำแพง บ้านหนองเต่า เป็นที่เมืองอุไทยธานี พระยาอุไทยธานีได้ทำแผนที่ลงไปทูลเกล้าฯ ถวายแล้วครั้นสืบเถาแก่ผู้ใหญ่ก็ว่า บ้านเนินตูม บ้านเนินกำแพง บ้านหนองเต่าเป็นแขวงเมืองไชยนาทหลายคนนั้น ความทั้งนี้จะเท็จจริงประการใดไม่แจ้ง และแขวงไชยนาทเขตแดนกว้างขวางเกี่ยวคาบมาจนถึงเมืองอุไทยธานี พระอุไทยธานีว่าไม่ทำแผนที่บ้านเนินตูม บ้านเนินกำแพง บ้านหนองเต่า เป็นที่เมืองอุไทยธานีลงมาทูลเกล้าฯ ถวายกันเอาที่เขตแดนเมืองไชยนาทมา ทั้งนี้ชอบอยู่แล้วหรือ กรมการและราษฏรเมืองไชยนาทที่เป็นคนผู้ใหญ่ กับที่กรุงเทพฯ ก็รู้กันอยู่ว่าบ้านเนินตูม บ้านเนินกำแพง บ้านหนองเต่า เป็นเมืองไชยนาทแต่เดิม เมื่อพระยาอุไทยธานี เป็นที่เจ้าเมืองจะตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ แขวงเมืองอุไทยธานีว่าที่ไชยภูมิไม่ที่ จึงว่ากล่าวกับ กรมการเมืองไชยนาทจะขออยู่ ณ บ้านสะแกกรัง ก็อยู่ต่อๆ มา ครั้งนี้พระยาอุไทยธานี จะครอบงำเอาที่บ้านเนินตูม บ้านเนินกำแพง บ้านหนองเต่า เป็นเมืองอุไทยธานี ปรารถนาจะได้ปลูกสร้างต้นผลไม้และทำไร่กัน (?) ที่จะตั้งอากรสมพัสษรไม่ให้นายอากรเรียกเอาด้วย ฝ่ายเมืองไชยนาทไม่ยอม เป็นความวิวาทกันอยู่ไม่รู้แล้วเดี๋ยวนี้พระยาไชยนาทกลับมาแต่ราชการทัพพระยาอุไทยธานี พระยาไชยนาท ก็เป็นเจ้าเมืองผู้ใหญ่เขตแดนเกี่ยวข้องกันอยู่อย่างไรก็ให้นัดหมายดูแล พูดจาปรึกษาหารือกันจะเป็นที่เขตแดนเมืองใด ก็ให้ว่ากันเสียให้เด็ดขาด ตกลงเป็นที่เมืองไชยนาทฯ จะได้นำเรียนเงินอากรสมพัสษรต่อไป จะใช้แต่กรมการพูดจะไปมา การก็จะหาแล้วกันไม่ได้มีตรามาถึงพระยาไชยนาท ความแจ้งอยู่แล้ว ถ้าชำระว่ากล่าวไม่ตกลงจะบอกขอข้าหลวงขึ้นมาสอบสวนดู หรือจะแต่งกรมการผู้ใหญ่ทั้งสองทางทำแผนที่เมืองไชยนาท เมืองอุไทยธานี ลงไปว่ากล่าว ณ กรุงเทพฯ ได้ ก็ให้เร่งคุมแผนที่ลงไป จะได้ตัดสินให้เป็นอันแล้วแก่กัน หนังสือมา ณ วันเสาร์ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ ปีวอก สัมฤทธิ์ศก”</p> <p>นอกจากนี้ยังมีหนังสือไปถึงพระยาไชยนาท (ร่างตราเลขที่ ๑๙๐/๔ จ.ศ. ๑๒๑๐) ถึงเรื่องบ้านเรือนอยู่ในแขวงเมืองอุไทยธานีหรือเมืองไชยนาท และให้นัดหมายพูดจากันไม่เป็นที่ตกลง</p> <p>ในที่สุดพระยามหาอำมาตย์ จึงให้กรมการขึ้นมาสอบสวนเขตแดนเมืองอุไทยธานีและให้สอบเขตแดนเมืองไชยนาทกับเมืองอุไทยธานีที่ติดต่อกัน เพื่อสะดวกต่อการเก็บอากรสัมพัสษรตลาด และเงินค่าเสนาอากรด้วยเห็นว่า (จาก “ประชุมนิพนธ์ พระนิพนธ์ ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุ-ภาพ”) เจ้าเมืองอุไทยธานีไม่ควรจะมาอยู่ในแขวงเมืองไชยนาท อีกทั้งเวลานั้นพวกเจ้าเมืองกรมการ</p> <p>อุไทยธานีตั้งบ้านเรือนเป็นหลักแหล่งมั่นคงเสียแล้ว จะไล่ไปก็จะเกิดเดือดร้อนจึงให้ตัดเขตบ้านสะแกกรังทางฝั่งคลองฟากใต้กว้าง ๑๐๐ เส้น ตั้งแต่ท้ายบ้านสะแกกรัง ไปจดแดนเมืองอุไทยเก่า โอนที่นั่นจากเมืองไชยนาทเป็นของเมืองอุไทยธานีฯ จึงตั้งอยู่ที่ปลายสุดเขตแดน ทางฝั่งคลองสะแกกรังฟากเหนือ ตรงบ้านเจ้าเมืองอุไทยธานี ข้ามไปก็เป็นเขตแดนเมืองมโนรมย์ข้างใต้บ้านลงมาสักคุ้งน้ำหนึ่งก็เป็นแดนเมืองไชยนาท ครั้นเมื่อมีการแบ่งเขตการปกครองออกเป็นแขวง เมืองอุไทยธานีเก่า จึงมีเพียง ๔ แขวงหนองขุนชาติ แขวงหนองกระดี่ แขวงหนองหลวง และแขวงแม่กลอง ซึ่งเรียกกันติดปากว่า “แม่กลองหนองหลวง” เพราะมีเขตแดนติดต่อกันส่วนแขวงหนองขุนชาตินั้น ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นแขวงอุทัยเก่า</p> <h5>จังหวัดอุทัยธานีสมัยการปกครองระบอบประชาธิปไตย</h5> <p>จังหวัดอุทัยธานี ถึงแม้จะมีความเป็นอยู่ต่อเนื่องมาจนถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระ-ปกเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว ก็ยังมีภูมิประเทศที่ค่อนข้างจะทุรกันดารปราศจากการคมนาคมใดๆ นอกจากทางเกวียนที่ต้องบุกผ่านป่า หรืออาศัยเรือขึ้นล่องติดต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยาโดยอาศัยลำน้ำสะแกกรังที่ไหลผ่านตัวเมือง ปากแม่น้ำสะแกกรังตั้งอยู่ตรง ต.คุ้มสำเภา อ. มโนรมย์ จ.ชัยนาทนั้น ที่ปากน้ำเดิมนั้นหน้าฤดูแล้งราษฎร์จะช่วยกันทำคันดินใหญ่เป็นเขื่อนกั้นน้ำ เพื่อกั้นไม่ให้น้ำในแม่น้ำสะแกกรังแห้ง เรือแพที่จะผ่านเข้าออกต้องเข็นข้ามเขื่อนนี้ ซึ่งเป็นเขื่อนดินทำเป็นตัวทำนบกั้นน้ำไว้ให้ชาวเมืองได้อาศัยน้ำอาบ กิน และเพาะปลูก ตลอดจนการสัญจรไปมาในยามปกติด้วยภูมิประเทศของจังหวัดนี้เป็นที่ดอนแห้งแล้ง ในฤดูน้ำลดลง แม่น้ำสะแกกรังจะแห้งขอด ซึ่งเป็นเหตุให้ลำบากแก่การคมนาคมและการประกอบกสิกรรมทั่วไปส่วนใหญ่ชาวจังหวัดอุทัยธานีมีอาชีพทำนาเป็นล่ำเป็นสัน นับเป็นเมืองประเภทอู่น้ำอู่ข้าวที่สำคัญ ครั้นเมื่อมีการสร้างเขื่อนเจ้าพระยาขึ้น เขื่อนที่กั้นตรงปากน้ำก็เลิกทำเพราะน้ำในแม่น้ำสะแกกรังมีบริบูรณ์อยู่ตลอด</p> <p>ต่อมาได้มีการเลิกภาคที่ตั้งขึ้นเป็นมณฑลในรัชกาลที่ ๖ ใหม่ โดยรวมเป็นมณฑลเดียว และจังหวัดอุทัยธานี ซึ่งเดิมนั้นขึ้นกับมณฑลนครสวรรค์ ได้เปลี่ยนไปรวมขึ้นอยู่กับมณฑลอยุธยา จังหวัดอุทัยธานีในสมัยใหม่ได้เปลี่ยนแปลงตามโครงร่างของการบริหารราชการที่ขยายวงกว้างขึ้น ยกเลิกชั้นข้าราชการและนำเอาระบบการกำหนดเงินเดือนตามตำแหน่งมาใช้แล้วเปลี่ยนแปลงใช้การจัดชั้นข้าราชการควบคู่ไปกับการจัดชั้นตำแหน่งประกาศยกเลิกมณฑลเสียในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ และจัดให้จังหวัดเป็นหน่วยการปกครองส่วนภูมิภาคที่สำคัญที่สุด พร้อมกับให้มีเทศบาลเป็นหน่วยราชการบริหารส่วนท้องถิ่น ส่วนผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นให้เรียก “ข้าหลวงประจำจังหวัด”</p> <p>จังหวัดอุทัยธานีทุกวันนี้ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ที่ยังรักษาศิลปวัฒน-ธรรมของบ้านเมืองไว้เป็นอย่างดี จนมีคำพังเพยกล่าวไว้ว่า</p> <p><b>“ดำน้ำสามผุด</b><b> </b><b>ไม่หลุดอุทัย</b><b>”</b> และ <b>“อยู่อุทัยไม่ต้องอุทธรณ์</b><b> </b><b>ค่ำมืดก็นอนที่อุทัย</b><b>”</b> <table cellspacing="0" cellpadding="0"><tbody> <tr> <td width="4"></td> </tr> <tr> <td></td> <td><a href="http://lh4.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkGTgFkuII/AAAAAAAAAOk/MY0dRhTNk4o/s1600-h/clip_image0103.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image010" border="0" alt="clip_image010" src="http://lh4.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkGV1dTtSI/AAAAAAAAAOo/-w5xovhtTS4/clip_image010_thumb.gif?imgmax=800" width="240" height="2" /></a></td> </tr> </tbody></table> </p> <p>ที่มา : <b>ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดอุทัยธานี</b> . กรุงเทพฯ : บพิธการพิมพ์ , ๒๕๒๘ <table cellspacing="0" cellpadding="0"><tbody> <tr> <td width="52"> <table cellspacing="0" cellpadding="0"><tbody> <tr> <td> </td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> </tbody></table></p> ไม้ไผ่http://www.blogger.com/profile/13079736154779537493noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3975884513971132653.post-44362115579592759952010-08-16T02:30:00.001-07:002010-08-16T02:30:44.496-07:00นครสวรรค์<p><b>ประวัติศาสตร์จังหวัดนครสวรรค์</b></p> <p>นครสวรรค์เป็นเมืองโบราณ ซึ่งสันนิษฐานว่าตั้งขึ้นในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี โดยมีปรากฏชื่อในศิลาจารึกเรียกว่า “เมืองพระบาง” เป็นเมืองหน้าด่านสำคัญในการทำศึกสงครามมาทุกสมัย ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย กรุงธนบุรี จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ ตัวเมืองดั้งเดิมตั้งแต่อยู่ในที่ตอนบริเวณเชิงเขาขาด (เขาฤาษี) จรดวัดหัวเมือง (วัดนครสวรรค์) ยังมีเชิงเทินดินเป็นแนวปรากฏอยู่ เมืองพระบางต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น”เมืองชอนตะวัน” เพราะตัวเมืองตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา และหันหน้าเมืองไปทางแม่น้ำซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก ทำให้แสงอาทิตย์ส่องเข้าหน้าเมืองตลอดเวลา แต่ภายหลังได้เปลี่ยนเป็นชื่อ “เมืองนครสวรรค์” เพื่อเป็นศุภนิมิตอันดี</p> <p>นครสวรรค์ มีชื่อเรียกเป็นที่รู้จักแพร่หลายมาแต่เดิมว่า “ปากน้ำโพ” โดยปรากฏเรียกกันมาแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ตามประวัติศาสตร์ในคราวที่พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา ครั้งสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ กองทัพเรือจากกรุงศรีอยุธยาได้ยกไปรับทัพข้าศึกที่ปากน้ำโพ แต่ต้านทัพข้าศึกไม่ไหว จึงล่าถอยกลับไป</p> <p>ที่มาของคำว่า “ปากน้ำโพ” สันนิษฐานได้ ๒ ประการคือ อาจมาจากคำว่า “ปากน้ำโผล่” เพราะเป็นที่ปากน้ำแคว ยม และน่าน มาโผล่รวมกันเป็นต้นแม่น้ำเจ้าพระยา หรืออีกประการหนึ่งคือมีต้นโพธิ์ขนาดใหญ่อยู่ตรงปากน้ำ ในบริเวณวัดโพธิ์ซึ่งเป็นที่ตั้งศาลเจ้าพ่อกวนอูในปัจจุบันจึงเรียกกันว่า “ปากน้ำโพธิ์”ก็อาจเป็นได้</p> <p>ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงนำพระพุทธรูปชื่อ “พระบาง” ไปคืนให้เมืองเวียงจันทน์ แต่ติดศึกพม่าต้องเอาพระพุทธรูป "พระบาง" มาค้างไว้ที่เมืองนี้ ต่อมาไทยรบทัพจับศึกกับพม่า และปราบหัวเมืองฝ่ายเหนือที่แข็งเมือง ยกมาตีกรุงศรีอยุธยาและตอนต้นกรุงเทพฯ กองทัพไทยได้ยกเคลื่อนที่ขึ้นมาเลือกนครสวรรค์ (ที่เคยเป็นโรงทหารเก่าหลังโรงเหล้าเดี๋ยวนี้) เป็นที่ตั้งทัพหลวงแล้วดัดแปลงขุดคูประตูหอรบ จากตะวันตกตลาดสะพานดำไปบ้านสันคูไปถึงทุ่งสันคู เดี๋ยวนี้ยังปรากฏแนวคูอยู่ เมื่อข้าศึกยกลงมาจากทุ่งหนองเบน หนองสังข์ สลกบาตร และตะวันออกเฉียงใต้ของลาดยาวมาเหนือทุ่งสันคู เมื่อฤดูแล้งเป็นที่ดอนขาดน้ำ ถ้าฝนตกน้ำก็หลากเข้ามาอย่างแรงท่วมข้าศึก ไทยยกทัพตีตลบหลังพม่าวิ่งหนีผ่านช่องเขานี้จึงได้ชื่อว่า "เขาช่องขาด" มาจนบัตหนี้</p> <p>เนื่องจากเมืองนครสวรรค์เป็นหัวเมืองชั้นตรี ซึ่งปรากฏอยู่ตามกฎหมายเก่า ในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรถ ราว พ.ศ. ๒๑๐๐ ว่าด้วยเรื่องดวงตราประทับหนังสือที่ให้เสนาบดีเจ้ากระทรวงใช้ในราชการ ดังนั้นเมืองนครสวรรค์ จึงมิได้มีบทบาทที่ถูกกล่าวถึงไว้ในประวัติศาสตร์สำคัญของไทยเท่าใดนัก</p> <p><b>การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล</b><b></b></p> <p>ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ แห่งราชวงศ์จักรี ได้ทรงพระราชดำริที่จะจัดการปกครองพระราชอาณาเขตให้มั่นคง จึงทรงริเริ่มจัดรูปการปกครองท้องถิ่นขึ้นใหม่ โดยให้รวมหัวเมืองต่าง ๆ เข้าเป็นมณฑล มีผู้ปกครองมณฑลขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทยแต่กระทรวงเดียว</p> <p>ครั้งแรกได้ทรงเริ่มจัดตั้งมณฑลขึ้น ๔ มณฑล คือ มณฑลกรุงเก่า มณฑลปราจีน มณฑลนครสวรรค์ และมณฑลพิษณุโลก แต่ตั้งเป็นมณฑลสมบูรณ์มีข้าหลวงเทศาภิบาลปกครองถูกต้องเพียง ๒ มณฑล ในปี พ.ศ. ๒๔๓๕ คือมณฑลปราจีน และมณฑลพิษณุโลก ส่วนอีก ๒ มณฑล คือ มณฑลกรุงเก่า และมณฑลนครสวรรค์มาจัดตั้งสำเร็จในปลายปี พ.ศ. ๒๔๓๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนมรุพงษ์ศิริพัฒน์ (พระองค์เจ้าวัฒนานุวงค์ ต้นราชสกุล วัฒนวงค์) เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่าและให้พระยาดัสกรปลาศ (อยู่) ซึ่งเคยเป็นข้าหลวงใหญ่อยู่ ณ เมืองหลวงพระบาง เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครสวรรค์</p> <p>ในการจัดตั้งมณฑลนครสวรรค์ ได้รวมเอาหัวเมืองทางแม่น้ำเจ้าพระยาตอนเหนือขึ้นไปจนถึงแม่น้ำปิงเข้าด้วยกัน ๘ เมือง คือเมืองชัยนาท เมืองสรรคบุรี เมืองมโนรมย์ เมืองอุทัยธานี เมืองพยุหะคีรี เมืองนครสวรรค์ เมืองกำแพงเพชร และเมืองตาก ตั้งที่ว่าการมณฑลอยู่ที่เมืองนครสวรรค์ การจัดรูปปกครองในลักษณะมณฑลได้ดำเนินการมาจนถึง พ.ศ. ๒๔๗๕ จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ยุบมณฑลและระเบียบเทศาภิบาลของเก่าไปให้คงไว้แต่หัวเมืองและอำเภอ โดยให้ทุกเมืองมีฐานะเท่าเทียมกัน ปฏิบัติราชการขึ้นตรงต่อเจ้ากระทรวง และรับคำสั่งจากเจ้ากระทรวงโดยตรง</p> <p><b>การจัดรูปการปกครองสมัยปัจจุบัน</b><b></b></p> <p>ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๕ โดยการยุบเลิกมณฑลตามระเบียบเทศาภิบาลแบบเก่าไปแล้ว ได้มีการจัดระบบการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย และจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ ปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ ครั้นมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ได้มีพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน กำหนดฐานะจังหวัดเป็นนิติบุคคล และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจในการบริหารจังหวัดแต่เพียงบุคคลเดียว โดยมีคณะกรมการจังหวัดเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด</p> <p>การปกครองรูปจังหวัดในปีปัจจุบัน เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน โดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ ซึ่งจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็นจังหวัดและอำเภอ มีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้ง ยุบและเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดให้ตราเป็นพระราชบัญญัติในจังหวัดมีผู้ว่าราชการจังหวัดหนึ่งคน เป็นผู้รับนโยบายของทางราชการมาปฏิบัติการให้เหมาะสมกับท้องถิ่นและประชาชน เป็นหัวหน้าบังคับบัญชาบรรดาข้าราชการฝ่ายบริหาร และส่วนภูมิภาคในเขตจังหวัด โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้ช่วยผู้ว่าราชการจังหวัด หรือทั้ง ๒ ตำแหน่ง เป็นผู้ช่วยปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้งนี้ในการบริหารราชการแผ่นดินให้มีคณะกรมการจังหวัด เป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดด้วย</p> <p><a href="http://lh5.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGkFKG-rLJI/AAAAAAAAANE/StnYtcsM9fE/s1600-h/clip_image0013.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image001" border="0" alt="clip_image001" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj45PyCGU9mFLgu90Dr1jJzSFnBhn962A2L5lifSAz6BzsGu4Mm_KdbzB3oXfS8bEXJB4P7FTK4kDUIs8nEl5zAd08ZF76dBNSA-GLE_x2JoEuS9B6oIjcAitFrxbTKVE1tbycq-HAfMiA/?imgmax=800" width="240" height="2" /></a></p> <p>ที่มา : <b>ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดนครสวรรค์</b>. นครสวรรค์ : ไพศาลการพิมพ์, ๒๕๒๙.</p> ไม้ไผ่http://www.blogger.com/profile/13079736154779537493noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3975884513971132653.post-85762407654033887172010-08-16T02:29:00.001-07:002010-08-16T02:29:05.481-07:00เพชรบูรณ์<p>ประวัติศาสตร์จังหวัดเพชรบูรณ์</p> <p>ในทางด้านประวัติศาสตร์ จังหวัดเพชรบูรณ์เป็นเมืองโบราณ สร้างเมื่อใดและใครเป็นผู้สร้างนั้น ยังมีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะสรุปได้ ในเรื่องนี้ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงวิเคราะห์ว่า "เป็นเมืองที่สร้างมา ๒ ยุค แต่สร้างลงซ้ำในที่เดียวกัน สิ่งสำคัญคือ พระมหาธาตุและวัดโบราณซึ่งทำให้เราเข้าใจว่า ยุคแรกสร้างเมื่อเมืองเหนือ คือ กรุงสุโขทัยหรือพิษณุโลก เป็นเมืองหลวง ด้วยเอาลำน้ำไว้กลางเมือง เช่นเมืองพิษณุโลก กำแพงเมืองกว้างยาวด้านละ ๘๐๐ เมตร ยุคที่สองจะสร้างในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ด้วยมีป้อมและกำแพงก่อด้วยอิฐปนศิลา สันฐานคล้ายที่เมืองนครราชสีมาแต่เล็กและเตี้ยกว่า เอาแม่น้ำไว้กลางเมืองเหมือนกันแต่ร่นกำแพงเมืองให้เล็กลง กว่าเดิม ภูมิฐานที่สร้างส่อให้เห็นว่าสำหรับป้องกันศัตรูฝ่ายเหนือ เพราะสร้างประชิดทางโคกป่าข้างเหนือ เอาทำเลไร่นาไว้ทางใต้เมืองทั้งสิ้น และน่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะทางพงศาวดารก็ปรากฏว่าทัพกรุงศรีสัตนาคนหุตยกลงมาคราวไร ก็ยกลงมาทางริมแม่น้ำป่าสักทุกครั้ง" </p> <p>นอกจากนั้นในท้องที่อำเภอศรีเทพ มีโบราณสถานเก่าแก่ชื่อ "เมืองศรีเทพ" จากการค้นพบซากโบราณสถานและจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ค้นพบในเมืองศรีเทพ ทำให้น่าเชื่อว่าเมืองเพชรบูรณ์มีอายุไม่ต่ำกว่า ๑,๐๐๐ ปี และเป็นเมืองที่ขอมสร้างขึ้นในระยะเวลาใกล้เคียงกับเมืองพิมาย ลพบุรีและจันทบุรี เพื่อเป็นจุดเผยแพร่วัฒนธรรมของขอมไปสู่อาณาจักรทวาราวดี ปัจจุบันยังมีซากตัวเมืองกำแพงเมือง และพระปรางค์ปรากฏอยู่ บริเวณที่ตั้งเมืองเป็นที่ราบ มีกำแพงดินสูงรอบเมือง ด้านนอกกำแพงเมืองมีคูเมือง ภายในเมืองมีพระปรางค์ ซากเทวสถาน รูปเทพารักษ์ พระนารายณ์ รูปยักษ์สลักด้วยศิลาแลงเช่นเดียวกับที่เมืองพิมาย ลพบุรี และจันทบุรี จึงเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าเป็นฝีมือของขอมที่ได้รับอารยธรรมจากอินเดีย</p> <p>หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ที่กล่าวถึงเมืองเพชรบูรณ์เท่าที่ค้นพบมีปรากฏในสมัยสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ มีดังนี้</p> <p><b>สมัยกรุงสุโขทัย</b><b></b></p> <p>สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ทรงมีลายพระหัตถ์เกี่ยวกับเพชรบูรณ์ว่า เดิมทีเดียวคงจะตั้งชื่อเมืองเป็น <b>"เพชรบูร" </b>ให้ใกล้กับ <b>"เพชรบุรี" </b>ซึ่งแปลว่าเมืองแข็ง แต่เกรงว่าจะเหมือนกันมากเกินไปจึงตั้งชื่อเป็น <b>"เพชรบูรณ์" </b>ซึ่งคาดว่าชื่อเมืองคงจะตั้งรุ่นเดียวกับเมืองพิษณุโลก คำว่า <b>"เพชรบูรณ์"อ</b>าจจะมาจากคำว่า <b>"พืช" </b>ซึ่งหมายถึงที่เกิดของพืชผลก็ได้ แม้ในอินเดียเองก็มีเมืองโบราณชื่อ BIJURE ซึ่งพอเทียบได้กับ <b>"พืชปุระ"</b> ส่วนชื่อเมืองเพชรบูรณ์ เขียนกันเป็น ๒ แบบ คือ <b>"เพชรบูรณ์"</b> และ</p> <p><b>"เพชรบูร"</b> ส่วนชื่อใดจะผิดหรือถูกนั้นอาจจะพิจารณาจากศิลาจารึกสมัยสุโขทัย (หลักที่ ๙๓) จากวัด อโศการาม (พ.ศ. ๑๙๔๙) ซึ่งมีข้อความตอนหนึ่งพาดพิงถึงเมืองเพชรบูรณ์ ดังต่อไปนี้</p> <p>"รัฐมณฑลกว้างขวาง ทั้งปราศจากอันตรายและนำมาซึ่งความรุ่งเรื่อง รัฐสีมาของพระราชาผู้ทรงบุญญสมภาคพระองค์นั้น เป็นที่รู้กันอยู่ว่า ในด้านทิศตะวันออกทรงทำเมืองวัชชะปุระเป็นรัฐสีมาด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ทรงทำเมืองเชียงทองเป็นรัฐสีมา....."</p> <p>จากศิลาจารึกหลักนี้แสดงให้เห็น อาณาเขตของกรุงสุโขทัยในสมัยพระมหาธรรมราชาลิไท (พ.ศ. ๑๙๑๑) เป็นอย่างดี โดยเฉพาะด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองสุโขทัย ได้แก่ <b>"วัชชะปุระ"</b> ดังนั้นชื่อเมืองเพชรบูรณ์ จึงน่าจะมาจากคำว่า <b>"บุระ"</b> หรือ "<b>ปุระ"</b> ซึ่งแปลว่า เมือง ป้อม หอวัง (ป) ส่วนคำว่า <b>"บูรณ์"</b> มาจากคำว่า ปูรณ (ส) แปลว่าเต็ม</p> <p><b>นายตรี อมาตยกุล</b> เขียนไว้ในเรื่อง <b>"สำรวจเมืองโบราณในอาณาจักรสุโขทัย" </b>ตอนหนึ่งว่า "....เมืองเพชรบูรณ์นี้ ในสมัยสุโขทัยจะเรียกชื่อว่าเมืองอะไรยังไม่สามารถจะค้นหาหลักฐานได้ มีผู้สันนิษฐานว่าอาจจะเป็นเมืองราดก็ได้ แต่ผมเห็นว่ายังไม่มีหลักฐานเพียงพอจะต้องตรวจสอบค้น ต่อไป......"</p> <p>หลักฐานทางโบราณคดีซึ่งเป็นสิ่งชี้ชัดว่า <b>"เมืองเพชรบูรณ์"</b> เป็นรัฐสีมาของสุโขทัย ได้แก่ พระเจดีย์ทรงดอกตูมหรือทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ซึ่งเป็นพระประธานของวัดมหาธาตุเมืองเพชรบูรณ์ เช่นเดียวกับวัดมหาธาตุของสุโขทัย เมืองอื่นๆ ซึ่งจัดว่าเป็นพุทธสถาปัตยกรรมแบบสุโขทัยแท้ และในการขุดค้นทางโบราณคดีที่พระเจดีย์ทรงดอกบัวตูม วัดมหาธาตุ เมืองเพชรบูรณ์ ของกรมศิลปากร เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐ ได้พบศิลปวัตถุมากมาย เช่น เครื่องสังคโลกของไทย และเครื่องถ้วยกับตุ๊กตาจีน</p> <p><b>สมัยกรุงศรีอยุธยา</b><b></b></p> <p>เหตุผลที่เกี่ยวข้องถึงเรื่องราวของเมืองเพชรบูรณ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยาที่พอจะยกเอา</p> <p>ข้อความมากล่าวได้ ดังนี้</p> <p>กฎหมายที่ตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ว่าด้วยการเทียบศักดินาสำหรับ</p> <p>ข้าราชการที่มียศสูงสุด มีศักดินาหนึ่งหมื่น ได้แก่ ตำแหน่งต่อไปนี้</p> <p><b>ก</b><b>. ฝ่ายทหาร</b></p> <p>๑. เจ้าพระยาอุปราช (ตำแหน่งพิเศษ)</p> <p>๒. เจ้าพระยามหาเสนาบดี (สมุหกลาโหม)</p> <p>๓. พระยาสีหราชเดโชชัย (ประจำกรุง)</p> <p>๔. พระยาท้ายน้ำ (ประจำกรุง)</p> <p>๕. พระยาสุรสีห์ (ประจำพิษณุโลก)</p> <p>๖. พระยาศรีธรรมราช (ประจำนครศรีธรรมราช)</p> <p>๗. พระยาเกษตรสงคราม (ประจำสวรรคโลก)</p> <p>๘. พระยาศรีธรรมาโศกราช (ประจำสุโขทัย)</p> <p>๙. พระยารามรณรงค์ (ประจำกำแพงเพชร)</p> <p>๑๐. พระยาเพชรรัตน์สงคราม (ประจำเพชรบูรณ์)</p> <p>๑๑. พระยากำแหงสงคราม (ประจำราชสีมา)</p> <p>๑๒. พระยาไชยาธิบดี (ประจำตะนาวศรี)</p> <p>แต่เดิมในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยา ได้เคยทำสัมพันธไมตรีกับพระไชยเชษฐาธิราชแห่งนครเวียงจันทน์ เพราะเกรงว่าพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองแห่งพม่าจะยกทัพมาตี ซึ่งต่อมาในปีจุลศักราช ๙๓๐ ตรงกับสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา ก็เป็นจริงตามที่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงคาดการณ์ไว้ ดังข้อความตอนหนึ่งว่า "พระไชยเชษฐายังมีโอกาสปฏิบัติสัญญาตามพันธมิตรที่ได้ให้ไว้ต่อกัน ณ เจดีย์ศรีสองรักษ์ คืออีกห้าปีต่อมา ในจุลศักราช ๙๓๐ พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ได้รบพุ่งกันเป็นเวลา ๘ เดือน จนถึงเดือนเก้า จุลศักราช ๙๓๐ มะเส็งศก จึงเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พระเจ้าบุเรงนอง ทัพพระไชยเชษฐาจึงได้ส่งกองทัพมาช่วยทางด่านเมืองนครไทย เข้ามาทางเมืองเพชรบูรณ์ จะลงมาทางเมืองสระบุรีเป็นทัพกระหนาบ......."</p> <p>นอกจากนั้นยังมีเหตุการณ์สมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา ที่กล่าวถึงเมืองเพชรบูรณ์ดัง</p> <p>ต่อไปนี้</p> <p>"จุลศักราช ๙๑๙ เดือนยี่ ปีมะเส็ง นพศก (ราว พ.ศ. ๒๑๐๐) พระยาละแวกเจ้าแผ่นดิน เขมร ยกกำลังพลประมาณ ๓ หมื่น รุกรานเข้ามาทางเมืองนครนายก สมเด็จพระมหาธรรมราชาได้ตรัสปรึกษาในการศึกคราวนี้ เสนาบดีมุขมนตรีทั้งหลายถวายความเห็นว่า กำลังทหารและกำลังอาวุธมีน้อย เพราะถูกพระเจ้าหงสาวตีเอาไปเสียเมื่อคราวกรุงศรีอยุธยาแตก เกรงว่าจะรับทัพเขมรป้องกันพระนครไว้ไม่ได้ ขอเชิญเสด็จประทับที่เมืองพิษณุโลกให้พ้นราชศัตรูก่อน สมเด็จพระมหาธรรมราชาก็ทรงมีบัญชาตามจึงมีพระบรมราชโองการตรัสสั่งให้ขุนเทพอรชุน ได้จัดเตรียมเรือพระที่นั่งและเรือประทับเทียบเพื่ออพยพไปเมืองพิษณุโลก</p> <p>ขณะนั้นพระเพชรรัตน์เจ้าเมืองเพชรบูรณ์มีความผิด ทรงพระกรุณาให้ออกจากที่เจ้าเมืองมีข่าวลือไปถึงกรุงว่า พระเพชรรัตน์โกรธคิดซ่องสุมผู้คน คอยดักทางจะปล้นทัพหลวง เมื่อเสด็จผ่านไปเมืองพิษณุโลก สมเด็จพระมหาธรรมราชา ทรงได้รับคำแนะนำจากขุนเทพอรชุนให้ต่อสู้กับพระยาละแวกทรงเห็นชอบด้วย จึงกลับพระทัยไม่เสด็จไปเมืองพิษณุโลก และได้จัดทัพตีทัพพระยาละแวกแตกไป "</p> <p>ในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา ยังได้กล่าวถึงเมืองเพชรบูรณ์อีกตอนหนึ่งว่า </p> <p>"ครั้นรุ่งขึ้นก็ยกทัพหลวงเสด็จไปถึงเมืองกำแพงเพชร ตั้งประทับแรมอยู่ที่ตำบลหนองปิง ๓ วัน แล้วก็ยกทัพไปทางเชียงทองกุมตะเมาะ ขณะนั้นพระยากำแพงเพชรได้ส่งข่าวไปถวายว่า ไทยใหญ่เวียงสือต้นเกียกกาย ขุนปลัดมังทรางวิวายหลวง กับนายม้าทั้งปวงอันอยู่ ณ เมืองกำแพงเพชร พาครอบครัวอพยพหนีพม่า มอญ ตามไปทันได้รบกันที่ตำบลหนองปิงเป็นสามารถ พม่า มอญ แตกแก่ไทยใหญ่ทั้งปวง ยกไปทางเมืองพิษณุโลก สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้า ทรงดังนั้นก็ให้ม้าเร็วไปบอกกับหลวงโกษาและลูกขุนอันอยู่รักษาเมืองพิษณุโลกว่าซึ่งไทยใหญ่หนีมานั้น เกลือกจะเป็นเมืองอื่น ให้แต่อายัดด่านเพชรบูรณ์ เมืองนครไทย ชาติตระการ และซา ให้มั่นคง อย่าให้ไทยใหญ่ออกไปรอด หลวงโกษาและลูกขุนทั้งปวงทราบดังนั้นก็แต่งออกไปกำชับด่านทั้งปวงตามรับสั่ง"</p> <p><b></b></p> <p><b>สมัยกรุงธนบุรี</b><b></b></p> <p>จุลศักราช ๑๐๐๗ เดือนสี่ (ตรงกับ พ.ศ. ๒๒๑๘) เจ้าพระยาจักรี (สมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลก) เจ้าพระยาสุรสีห์ (กรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาถ) ได้นำกองทัพตีแตกทัพอะแซหวุ่นกี้ (พม่า) ที่ล้อมเมืองพิษณุโลกออกมาได้ และมาชุมนุมพักทัพที่เมืองเพชรบูรณ์</p> <p>หลังจากเหตุการณ์นี้แล้ว ไม่ปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่กล่าวถึงเมืองเพชรบูรณ์จนกระทั่งสมัยกรุงรัตนโกสินทร์</p> <p><b>สมัยกรุงรัตนโกสินทร์</b><b></b></p> <p>มีข้อความหนังสือนิทานโบราณคดี พระนิพนธ์ของ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงกล่าวถึงเหตุการณ์ตอนสิ้นรัชกาลที่ ๒ อันเกี่ยวกับเมืองศรีเทพและเพชรบูรณ์ ว่า</p> <p>"ฉันไปมณฑลเพชรบูรณ์นั้น มีกิจอย่างหนึ่งซึ่งจะไปสืบเมืองโบราณด้วย ด้วยเมื่อแรกฉันเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ก็ไม่มีใครรู้ว่าเมืองศรีเทพอยู่ที่ไหน ต่อมาฉันพบสมุดดำอีกเล่มหนึ่งเป็นต้นร่างกะทางให้คนเชิญตราไปบอกข่าวสิ้นรัชกาลที่ ๒ ตามหัวเมืองเป็นทางๆ ให้คนหนึ่งเชิญตราไปเมืองสระบุรี เมืองชัยบาดาล เมืองศรีเทพ และเมืองเพชรบูรณ์" </p> <p>สำหรับพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ เรื่องทรงตั้งและแปลงนามเจ้าเมืองกรมการ ซึ่งมีเจ้าเมืองเพชรบูรณ์ด้วย ดังนี้</p> <p><b>"เมืองวิเชียรบุรี</b> - พระยาประเสริฐสงครามประเทศราไชยอภัยพิรียทาห แปลงเป็นพระยาเลิศสงครามเขตประเทศราไชยอภัยพิรียทาห </p> <p><b>เมืองเพชรบูรณ์</b> - พระเพชรพิชัยปลัด แปลงเป็น พระเพชรพิชภูมิปลัด"</p> <p>หลักฐานอันเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เมืองเพชรบูรณ์ที่ชัดแจ้งมาก เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในสมัยรัชการที่ ๕ ดังจะเห็นได้จาก พระนิพนธ์นิทานโบราณคดีของ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชา- นุภาพ เรื่อง ความไข้เมืองเพชรบูรณ์ ดังนี้</p> <p>"หัวเมืองที่ขึ้นชื่อลือเลื่องว่ามีความไข้ MALARIA ร้ายกาจแต่ก่อนมามีหลายเมือง เช่น เมืองกำแพงเพชร และเมืองกำเนิดนพคุณ คือ บางตะพาน เป็นต้น แต่ที่ไหนๆคนไม่ครั่นคร้ามเท่าความไข้ที่เมืองเพชรบูรณ์ ดูเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า ถ้าใครไปเมืองเพชรบูรณ์ เหมือนกับไปแส่หาความตายจึงไม่มีชาวกรุงเทพฯ หรือชาวเมืองอื่นๆ พอใจจะไปเมืองเพชรบูรณ์มาช้านาน แม้ในการปกครองรัฐบาลก็ต้องเลือกหาคนในท้องถิ่นตั้งเป็นเจ้าเมือง กรมการ เพราะเหตุที่คนกลัวความไข้ เมื่อแรกฉันเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยก็ต้องปล่อยให้เมืองเพชรบูรณ์และเมืองอื่นๆ ในลุ่มแม่น้ำสักทางฝ่ายเหนือ คือ เมืองหล่มสักและเมืองวิเชียร เป็นอยู่อย่างเดิมมาหลายปี เพราะจะรวมเมืองเหล่านั้นเข้ากับมณฑลพิษณุโลกหรือมณฑลนครราชสีมา ที่เขตต่อกันก็มีเทือกเขากั้น สมุหเทศาภิบาลจะไปตรวจตราลำบาก ทั้ง ๒ ทาง อีกประการหนึ่งเมื่อแรกฉันจัดการปกครองหัวเมืองมณฑลต่างๆ ขอคนออกไปรับราชการ ฉันยังหาส่งไปให้ไม่ทัน เมืองทางลำน้ำสักมีเมืองเพชรบูรณ์ เป็นต้น ไม่มีใครสมัครไปด้วยกลัวความไข้ดังกล่าวมาแล้ว จึงต้องรอมา"</p> <p>สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงคิดอุบายที่จะระงับความกลัวไข้เมืองเพชรบูรณ์ได้ทรงกล่าวว่า</p> <p>"เห็นว่าตัวฉันจะต้องขึ้นไปเมืองเพชรบูรณ์เองให้ปรากฏเสียสักครั้งหนึ่งคนจะหายกลัวด้วยเห็นว่าความกลัวไข้คงไม่ร้ายแรงถึงอย่างเช่นกลัวกัน ฉันจึงกล้าไป ถึงจะยังมีคนกลัว ชักชวนก็ง่ายขึ้นด้วยอาจอ้างตัวอย่างว่า แม้ตัวฉันก็ได้ไปแล้ว พระยาเพชรรัตน์ฯ ชอบใจว่า ถ้าฉันไปคนก็เห็นจะหายกลัวได้จริง....... พอข่าวปรากฏว่าฉันเตรียมตัวจะไปเมืองเพชรบูรณ์ ก็มีพวกพ้องพากันมาให้พร คล้ายกับจะส่งไปทัพ บ้างมาห้ามปรามโดยเมตตาปรานีด้วยเห็นว่าไม่พอที่ฉันจะเสี่ยงภัย...... แต่ส่วนพระองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงนั้น ทรงพระราชดำริเห็นชอบด้วย ตั้งแต่ฉันกราบทูลความคิดที่จะไปมณฑลเพชรบูรณ์ ตรัสว่า....ไปเถิดอย่ากลัว สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ของเราท่านก็เสด็จไปแล้ว......"</p> <p>"ฉันไปถึงเมืองเพชรบูรณ์เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ท้องที่มณฑลเพชรบูรณ์บอกแผนที่ได้ไม่ยากถือลำแม่น้ำสักเป็นแนวแต่เหนือลงมาใต้ มีภูเขาสูงเป็นเทือกลงมาตามลำน้ำทั้งสองฟาก เทือกข้างตะวันออกเป็นเขาปันน้ำต่อแดนมณฑลนครราชสีมา เทือกข้างตะวันตกเป็นเขาต่อแดนมณฑลพิษณุโลกเทือกเขาทั้งสองข้างนั้น บางแห่งก็ห่าง บางแห่งก็ใกล้แม่น้ำสัก เมืองหล่มสักที่อยู่สุดลำน้ำทางข้างเหนือ แต่ลงมาถึงเมืองเพชรบูรณ์ ตรงที่ตั้งเมืองเพชรบูรณ์เทือกเขาเข้ามาใกล้ลำน้ำดูเหมือนจะไม่ถึง ๔๐๐เส้น แลเห็นต้นไม้บนเขาถนัดทั้ง ๒ ฝ่าย ทำเลที่เมืองเพชรบูรณ์ตอนริมน้ำเป็น ที่ลุ่ม ฤดูน้ำน้ำท่วมแทบทุกแห่ง พ้นที่ลุ่มขึ้นไปเห็นที่ราบทำนาได้ผลดี เพราะอาจจะขุดเหมืองชักน้ำจากห้วยเข้านาได้ เช่น เมืองลับแล พ้นที่ราบขึ้นไปเป็นโคกสลับกับแอ่งเป็นหย่อมๆ ไปจนถึงเชิงเขาบรรทัด บนโคกเป็นป่าไม้เต็งรังเพาะปลูกอะไรอย่างอื่นไม่ได้ แต่ตามแอ่งน้ำเป็นที่น้ำซับ เพาะปลูกพันธุ์ไม้งอกงามดี เมืองเพชรบูรณ์จึงสมบูรณ์ด้วยกสิกรรม จนถึงชาวเมืองทำนาปีหนึ่งก็ได้ข้าวพอกันกิน…สิ่งซึ่งเป็นสินค้าสำคัญของเมืองเพชรบูรณ์ก็คือ ยาสูบ เพราะรสดีกว่ายาสูบที่อื่นหมดทั้งเมืองไทย ชาวเมืองเพชรบูรณ์จึงหาผลประโยชน์ด้วยปลูกยาสูบขายเป็นพื้น.... พวกพ่อค้าไปรับซื้อตามบ้านราษฎรแล้วบรรทุกโคต่างไปขายทางมณฑลนครราชสีมาบ้าง มณฑลอุดรบ้าง แต่มณฑลพิษณุโลกปลูกยาสูบเหมือนกัน จึงไม่ซื้อยาเหมือนเพชรบูรณ์ แต่ตลาดใหญ่ของยาสูบเมืองเพชรบูรณ์นั้นอยู่ในกรุงเทพฯ" </p> <p>หลังจากที่ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงตรวจราชการมณฑลเพชรบูรณ์และเสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ ทรงอ้างหลักฐานยืนยันที่จะระงับความกลัวไข้ที่เมืองเพชรบูรณ์ไว้ในเรื่องความไข้ที่เมืองเพชรบูรณ์ว่า</p> <p>"พอรุ่งขึ้นฉันไปเข้าเฝ้าฯ วันนั้นมีการพระราชพิธีเสด็จออกพระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัยเจ้านายและข้าราชการเฝ้าฯ อยู่พร้อมกัน เมื่อเสร็จการพิธี สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จทรงพระราชดำเนินมายังที่ฉันยืนเฝ้าอยู่ ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานพระหัตถ์มาจับมือฉัน ดำรัสว่า ทรงยินดี ที่ฉันได้ไปถึงเมืองเพชรบูรณ์ แล้วตรัสถามว่ามีใครไปเจ็บไข้บ้างหรือไม่ ฉันกราบทูลว่า ด้วยเดชะพระบารมีปกเกล้าฯ หามีใครเจ็บไข้ไม่ แล้วจึงเสด็จขึ้น ฉันรู้สึกว่าได้พระราชทานบำเหน็จพิเศษ ชื่นใจคุ้มค่าเหนื่อย ว่าถึงประโยชน์ของการที่ไปครั้งนี้ก็ได้สมประสงค์ เพราะแต่นั้นมาก็หาคนไปรับราชการในมณฑลเพชรบูรณ์ได้ไม่ยากเหมือนแต่ก่อน"</p> <p>ในสมัยรัชกาลที่ ๕ นี้ ได้มีการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ได้จัดรวบรวมหัวเมืองต่างๆ เข้าเป็นมณฑล ในปี พ.ศ. ๒๔๓๖ และในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้ยกฐานะเมืองเพชรบูรณ์ขึ้นเป็นมณฑลเพชรบูรณ์ ให้ผู้ว่าราชการเมืองเพชรบูรณ์ดำรงตำแหน่งสมุหเทศาภิบาล ยกฐานะอำเภอหล่มสักขึ้นเป็นจังหวัดหล่มสัก ในปี ฑ.ศ. ๒๔๔๗ ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ไปขึ้นมณฑลพิษณุโลก เพราะเห็นว่ามีแต่จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย เพราะการติดต่อลำบาก ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง จนกระทั่งถึง พ.ศ. ๒๔๕๘ ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ให้ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ไปขึ้นมณฑลพิษณุโลก จึงมีฐานะเป็นเมืองเพชรบูรณ์ตามเดิม และต่อมาได้มีการยกเลิกมณฑลต่างๆ เมื่อได้มีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งพระราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ เป็นต้นมา</p> <p>ส่วนเหตุการณ์ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ที่เกี่ยวกับเมืองเพชรบูรณ์ก็คือ เมื่อปลายปี พ.ศ ๒๔๕๓ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ภายหลังเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว มีพระราชพิธีราชาภิเษก ทรงรับน้ำจากสระมน (ปัจจุบันถมเต็มหมดแล้ว) ในวัดมหาธาตุไปร่วมในพระราชพิธี เรื่องนี้ นายทอง ไกรโชค และนายเย็น ไรเมือง อายุ ๙๕ ปี เป็นผู้เล่า โดยเฉพาะนายเย็น ไรเมือง เป็นผู้หนึ่งที่ร่วมไปในขบวนส่งน้ำด้วย</p> <p><b>นครบาลเพชรบูรณ์</b><b></b></p> <p>ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ และสงครามมหาเอเซียบูรพา ประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะคับขัน กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ฝ่ายตรงข้ามมุ่งโจมตีจนผู้คนต้องอพยพออกต่างจังหวัดเป็นส่วนมาก รัฐบาลสมัยนั้นมี จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี จอมพลป. พิจารณาเห็นว่าสถานการณ์ทางการเมืองขณะนั้นทำให้กรุงเทพฯ ล่อแหลมต่ออันตรายที่จะเกิดขึ้นจากศัตรู ควรจะได้มีการโยกย้ายเมืองหลวงของไทยไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยเพื่อเป็นการฟื้นฟูสถาบันศาสนาให้พัฒนา ปลุกคนไทยให้เกิดชาตินิยม มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จอมพลป. มองเห็นการณ์ไกลที่ต้องการแยกศูนย์ราชการกับศูนย์การค้าออกจากกันเหมือนสหรัฐอเมริกา ที่แยกเมืองหลวงออกจากกรุงนิวยอร์ค โดยไปตั้งเมืองหลวงใหม่ คือ วอชิงตัน ดี.ซี ขึ้นแทน ใช้กรุงนิวยอร์คเป็นเมืองท่าเพราะอยู่ติดทะเล และเห็นว่าจังหวัดเพชรบูรณ์ชัยภูมิเหมาะสมเพราะมีภูเขาล้อมรอบ มีทางออกทางเดียว ศัตรูรุกรานได้ยาก ดังนั้นคณะรัฐมนตรีอันมี จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี จึงได้ยกร่างพระราชกำหนดสร้างนครบาลขึ้น แล้วย้ายสถานที่ราชการส่วนกลางมาตั้งที่จังหวัดเพชรบูรณ์ พระราชกำหนดนครบาลใหม่นี้ชื่อว่า <b>"พระราชกำหนดระเบียบบริหารนครบาลเพชรบูรณ์และสร้างพุทธบุรี พ.ศ. ๒๔๘๗"</b></p> <p>ในการบริหารราชการนครบาลเพชรบูรณ์ครั้งนั้นจัดให้มีคณะกรมการนครบาลเพชรบูรณ์ประกอบด้วยข้าหลวงนครบาลเพชรบูรณ์ สังกัดกระทรวงมหาดไทย รองข้าหลวงนครบาลกับหัวหน้าส่วนราชการบริหารฝ่ายพลเรือนส่วนอื่นๆ ตามที่กระทรวงเจ้าสังกัดจะแต่งตั้ง ข้าหลวงนครบาลมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายและมีอำนาจของอธิบดีตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบราชการพลเรือนด้วย</p> <p>เมื่อข่าวการตราพระราชกำหนดนครบาลเพชรบูรณ์แพร่ออกไป ยังความดีใจให้แก่ชาวเพชรบูรณ์เป็นอย่างมาก จนคนในสมัยนั้นพากันยกย่องชมเชยว่า จังหวัดเพชรบูรณ์คือสวิสเซอร์แลนด์ของประเทศไทย หน่วยราชการต่างๆ จากส่วนกลางก็ได้ขยับขยายมาจัดตั้งหน่วยทำการ เช่น กระทรวงการคลัง ตั้งอยู่ที่ถ้ำฤาษี ตำบลบุ้งคล้า อำเภอหล่มสัก (ชาวบ้านเรียกกันว่าถ้ำฤาษีสมบัติมาตราบเท่าทุกวันนี้) ได้นำพระคลังสมบัติจากกรุงเทพฯ มาเก็บไว้ที่ถ้ำนี้ กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งอยู่ที่บ้านหนองแส ตำบลบุ้งคล้า อำเภอหล่มสัก โรงเรียนนายร้อย จ.ป.ร. อยู่ที่บ้านป่าแดง ตำบลป่าเลา อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ ทำเนียบจอมพล ป. ตั้งอยู่ที่ตำบลในเมือง (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งโรงน้ำแข็งเพชรเจริญ) เนื่องจากการย้ายหน่วยราชการไปอยู่นครบาลเพชรบูรณ์ได้กระทำในเวลากระทันหัน จึงต้องปลูกสร้างอาคารชั่วคราว ซึ่งสร้างด้วยไม้ไผ่เป็นส่วนมาก สร้างด้วยไม้จริงเป็นส่วนน้อย จึงชำรุดหักพังไม่มีซากเหลือให้เห็นในปัจจุบัน ถนนหนทางต่างๆ ก็สร้างเป็นทางลำลองโดยเกณฑ์ประชาชนจากจังหวัดต่างๆ ทำให้คนเหล่านั้นพากันมาเจ็บป่วยล้มตายเป็นอันมากเนื่องจากไข้มาเลเรีย</p> <p>แต่พอพระราชกำหนดนี้นำเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรเพื่อขอความเห็นชอบ ปรากฏว่าฝ่าย </p> <p>รัฐบาลแพ้เสียงเพราะสภาผู้แทนราษฎรในสมัยนั้นเห็นว่าเป็นการหมดเปลืองโดยเปล่าประโยชน์กับ ทั้งทำให้ประชาชนที่รัฐบาลเกณฑ์มาสร้างถนนสายตะพานหิน-เพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นทางออกทางเดียว ต้องเสียชีวิตมากมายจึงลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ในที่สุด จอมพล ป. พิบูลสงครามได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๔๘๗ นครบาลเพชรบูรณ์เป็นอันสิ้นสุดลง และเมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ ยุติลง หน่วยราชการต่างๆ ก็ย้ายกลับสู่กรุงเทพฯ เช่นเดิม</p> <p><b>การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน</b><b></b></p> <p>การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมือง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น ปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัดเป็นผู้บริหาร เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง นอกจากจะแบ่งการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอแล้ว ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลอีกด้วย เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสีย เหตุที่ยกเลิกมณฑล น่าจะเนื่องจาก</p> <p>๑. การคมนาคมสื่อสารสะดวกรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน สามารถที่จะสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง</p> <p>๒. เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศให้น้อยลง</p> <p>๓. เห็นว่าหน่วยงานมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล มณฑลรายงานต่อกระทรวงเป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น</p> <p>๔. รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆ มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วนภูมิภาคยิ่งขึ้น และการที่ยุบมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจนั่นเอง </p> <p>ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกฉบับหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัดมีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนี้</p> <p>๑. จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่</p> <p>๒. อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคล ได้แก่ คณะกรมการจังหวัดนั้นได้เปลี่ยนมาอยู่กับบุคคลคนเดียว คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด</p> <p>๓. ในฐานะของคณะกรมการจังหวัด ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดได้กลายเป็นคณะที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด</p> <p>ต่อมาได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๑๕ ได้จัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค เป็น </p> <p>๑. จังหวัด</p> <p>๒. อำเภอ</p> <p>จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลายๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้งยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น คณะกรมการจังหวัดประกอบด้วยปลัดจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัดซึ่งกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ ส่งมาประจำ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานคณะกรมการจังหวัดโดยตำแหน่ง และในกรณีที่มีรองผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ช่วยผู้ว่าราชการจังหวัด ให้รองผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ช่วยผู้ว่าราชการจังหวัด ร่วมเป็นคณะกรรมการจังหวัดด้วย</p> <p>ในปัจจุบันนี้ จังหวัดเพชรบูรณ์ มีการบริหารราชการแผ่นดินส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่นดังนี้</p> <p><b>๑</b><b>. ราชการบริหารส่วนกลาง</b> มีหน่วยงานซึ่ง กระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ ตั้งหน่วยงานมาปฏิบัติงานในจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยมีสายการบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อส่วนกลาง คือ</p> <p>(๑) ศาลจังหวัดเพชรบูรณ์</p> <p>(๒) ศาลจังหวัดหล่มสัก</p> <p>(๓) กองพลทหารม้าที่ ๑</p> <p>(๔) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดเพชรบูรณ์</p> <p>(๕) กองอำนวยการกองกำลังเฉพาะกิจ พลเรือน ตำรวจ ทหารที่ ๓๓ </p> <p>(๖) หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ ๒๖ กรป.กลาง</p> <p>(๗) สถานีวิทยุกระจายเสียง ๙๒๑ กรป.กลาง</p> <p>(๘) จังหวัดทหารบกเพชรบูรณ์</p> <p>(๙) แขวงการทางเพชรบูรณ์</p> <p>(๑๐) ศูนย์เครื่องมือกลหล่มสัก</p> <p>(๑๑) สำนักงานสถิติจังหวัดเพชรบูรณ์</p> <p>(๑๒) สถานีตรวจอากาศเพชรบูรณ์</p> <p>(๑๓) สำนักงานชลประทานเพชรบูรณ์</p> <p>(๑๔) สถานีพัฒนาที่ดินเพชรบูรณ์</p> <p>(๑๕) สถานีทดลองเกษตรพืชไร่เพชรบูรณ์</p> <p>(๑๖) สถานีทดลองเกษตรที่สูงเขาค้อ</p> <p>(๑๗) ศูนย์เพาะชำกล้าไม้เขารัง </p> <p>(๑๘) สถานีวิจัยเพื่อรักษาต้นน้ำแม่น้ำป่าสัก</p> <p>(๑๙) อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว</p> <p>(๒๐) ด่านกักสัตว์เพชรบูรณ์</p> <p>(๒๑) สถานีพืชอาหารสัตว์เพชรบูรณ์</p> <p>(๒๒) สถานีผสมเทียมเพชรบูรณ์</p> <p>(๒๓) สถานีตรวจรักษาโรคสัตว์เพชรบูรณ์</p> <p>(๒๔) สำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์เพชรบูรณ์</p> <p>(๒๕) ที่ทำการเรือนจำหล่มสัก</p> <p>(๒๖) ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดเพชรบูรณ์</p> <p>(๒๗) สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดเพชรบูรณ์</p> <p>(๒๘) วิทยาลัยครูเพชรบูรณ์</p> <p>(๒๙) วิทยาลัยพลศึกษาจังหวัดเพชรบูรณ์</p> <p>(๓๐) วิทยาลัยเกษตรกรรมเพชรบูรณ์</p> <p>(๓๑) วิทยาลัยเทคนิคเพชรบูรณ์</p> <p>(๓๒) ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดเพชรบูรณ์</p> <p>(๓๓) โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์เพชรบูรณ์</p> <p>(๓๔) โรงเรียนมัธยมศึกษา จำนวน ๒๔ แห่ง</p> <p>(๓๕) รัฐวิสาหกิจ ได้แก่</p> <p>- สำนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จำนวน ๓ แห่ง</p> <p>- สำนักงานการประปาส่วนภูมิภาค จำนวน ๕ แห่ง</p> <p>- ที่ทำการไปรษณีย์โทรเลข จำนวน ๑๓ แห่ง</p> <p>- ชุมสายโทรศัพท์ จำนวน ๒ แห่ง</p> <p>- หน่วยสถานีวิทยุโทรคมนาคม จำนวน ๒ แห่ง</p> <p>- สถานีบริษัทขนส่ง จำกัด จำนวน ๒ แห่ง</p> <p>- ที่ทำการองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.)</p> <p>จำนวน ๑ แห่ง</p> <p>- สำนักงานองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ จำนวน ๑ แห่ง</p> <p>- สำนักงานบริษัทไม้อัดไทย จำกัด จำนวน ๑ แห่ง</p> <p>- สำนักงานไร่ยาสูบเพชรบูรณ์ </p> <p>- ธนาคารออมสิน จำนวน ๕ แห่ง</p> <p>- ธนาคารกรุงไทย จำกัด จำนวน ๔ แห่ง</p> <p>- ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำกัด</p> <p>จำนวน ๒ แห่ง</p> <p><b>๒</b><b>.ราชการบริหารส่วนภูมิภาค </b>แบ่งการปกครองออกเป็น จังหวัด และอำเภอ คือ</p> <p><b>๒.๑ จังหวัด</b> มีหน่วยงานซึ่งอยู่ในการบังคับบัญชาของผู้ว่าราชการจังหวัด ดังนี้</p> <p>(๑) สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเพชรบูรณ์</p> <p>(๒) ที่ทำการสัสดีจังหวัดเพชรบูรณ์</p> <p>(๓) สำนักงานราชพัสดุจังหวัดเพชรบูรณ์ </p> <p>(๔) สำนักงานคลังจังหวัดเพชรบูรณ์ </p> <p>(๕) สำนักงานสรรพากรจังหวัดเพชรบูรณ์ </p> <p>(๖) สำนักงานสรรพสามิตจังหวัดเพชรบูรณ์ </p> <p>(๗) สำนักงานประมงจังหวัดเพชรบูรณ์ </p> <p>(๘) สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดเพชรบูรณ์ </p> <p>(๙) สำนักงานเกษตรจังหวัดเพชรบูรณ์ </p> <p>(๑๐) สำนักงานสหกรณ์จังหวัดเพชรบูรณ์ </p> <p>(๑๑) สำนักงานป่าไม้จังหวัดเพชรบูรณ์ </p> <p>(๑๒) สำนักงานปฏิรูปที่ดินจังหวัดเพชรบูรณ์ </p> <p>(๑๓) สำนักงานขนส่งจังหวัดเพชรบูรณ์ </p> <p>(๑๔) สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเพชรบูรณ์ </p> <p>(๑๕) สำนักงานจังหวัดเพชรบูรณ์ </p> <p>(๑๖) ที่ทำการปกครองจังหวัดเพชรบูรณ์ </p> <p>(๑๗) ที่ทำการพัฒนาชุมชนจังหวัดเพชรบูรณ์</p> <p>(๑๘) กองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบูรณ์</p> <p>(๑๙) สำนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบูรณ์ </p> <p>(๒๐) เรือนจำหวัดเพชรบูรณ์ </p> <p>(๒๑) สำนักงานแรงงานจังหวัดเพชรบูรณ์ </p> <p>(๒๒) ที่ทำการอัยการจังหวัดเพชรบูรณ์ </p> <p>(๒๓) ที่ทำการอัยการประจำศาลจังหวัดหล่มสัก</p> <p>(๒๔) สำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบทจังหวัดเพชรบูรณ์ </p> <p>(๒๕) ที่ทำการประชาสงเคราะห์จังหวัดเพชรบูรณ์ </p> <p>(๒๖) สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบูรณ์ </p> <p>(๒๗) สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดเพชรบูรณ์ </p> <p>(๒๘) สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดเพชรบูรณ์ </p> <p><b>๒.๒ อำเภอ</b> จังหวัดเพชรบูรณ์ แบ่งเขตการปกครองออกเป็น ๘ อำเภอ ๓ กิ่งอำเภอ ๙๖ ตำบล ๙๙๕ หมู่บ้าน ดังนี้</p> <p>(๑) อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จำนวน ๑๖ ตำบล ๑๕๑ หมู่บ้าน</p> <p>(๒) อำเภอหล่มสัก จำนวน ๑๘ ตำบล ๑๙๔ หมู่บ้าน</p> <p>(๓) อำเภอหล่มเก่า จำนวน ๙ ตำบล ๘๖ หมู่บ้าน</p> <p>(๔) อำเภอชนแดน จำนวน ๖ ตำบล ๖๘ หมู่บ้าน</p> <p>(๕) อำเภอหนองไผ่ จำนวน ๙ ตำบล ๑๐๑ หมู่บ้าน</p> <p>(๖) อำเภอบึงสามพัน จำนวน ๖ ตำบล ๗๕ หมู่บ้าน</p> <p>(๗) อำเภอวิเชียรบุรี จำนวน ๑๒ ตำบล ๑๔๒ หมู่บ้าน</p> <p>(๘) อำเภอศรีเทพ จำนวน ๗ ตำบล ๘๐ หมู่บ้าน</p> <p>(๙) กิ่งอำเภอน้ำหนาว จำนวน ๓ ตำบล ๒๕ หมู่บ้าน</p> <p>(๑๐) กิ่งอำเภอวังโป่ง จำนวน ๔ ตำบล ๓๒ หมู่บ้าน</p> <p>(๑๑) กิ่งอำเภอเขาค้อ จำนวน ๖ ตำบล ๔๑ หมู่บ้าน</p> <p><b>๓</b><b>. ราชการบริหารส่วนท้องถิ่น</b> มีหน่วยการบริหารการส่วนท้องถิ่น ๓ รูป คือ</p> <p><b>๓.๑. องค์การบริหารส่วนจังหวัด </b>จำนวน ๑ แห่ง คือ </p> <p>(๑) องค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์</p> <p><b>๓.๒. เทศบาล</b> จำนวน ๒ แห่ง คือ</p> <p>(๑) เทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ ในท้องที่อำเภอเมืองเพชรบูรณ์</p> <p>(๒) เทศบาลตำบลหล่มสัก ในท้องที่อำเภอหล่มสัก</p> <p><b>๓.๓ สุขาภิบาล</b> จำนวน ๑๑ แห่ง คือ</p> <p>(๑) สุขาภิบาลวังชมภู ในท้องที่ตำบลวังชมภู อำเภอเมืองเพชรบูรณ์</p> <p>(๒) สุขาภิบาลหล่มเก่า ในท้องที่ตำบลหล่มเก่า <a href="#_edn1" name="_ednref1"></a>อำเภอหล่มเก่า </p> <p>(๓) สุขาภิบาลชนแดน ในท้องที่ตำบลชนแดน อำเภอชนแดน </p> <p>(๔) สุขาภิบาลท่าข้าม ในท้องที่ตำบลท่าข้าม อำเภอชนแดน</p> <p>(๕) สุขาภิบาลดงขุย ในท้องที่ตำบลดงขุย อำเภอชนแดน </p> <p>(๖) สุขาภิบาลหนองไผ่ ในท้องที่ตำบลกองทูล อำเภอหนองไผ่ </p> <p>(๗) สุขาภิบาลนาเฉลียง ในท้องที่ตำบลนาเฉลียง อำเภอหนองไผ่ </p> <p>(๘) สุขาภิบาลซับสมอทอด ในท้องที่ตำบลซับสมอทอด อำเภอบึงสามพัน </p> <p>(๙) สุขาภิบาลวิเชียรบุรี ในท้องที่ตำบลท่าโรง อำเภอวิเชียรบุรี </p> <p>(๑๐) สุขาภิบาลพุเตย ในท้องที่ตำบลพุเตย อำเภอวิเชียรบุรี </p> <p>(๑๑) สุขาภิบาลสว่างวัฒนา ในท้องที่ตำบลสระกรวด อำเภอศรีเทพ <a href="#_edn2" name="_ednref2"></a></p> <p><a href="#_edn3" name="_ednref3"></a></p> <hr align="left" size="1" width="33%" /> <p><a href="#_ednref1" name="_edn1">ที่มา</a> : <b>ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดเพชรบูรณ์</b>. เพชรบูรณ์ : องค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์,๒๕๒๘ </p> <p><a href="#_ednref2" name="_edn2"></a></p> <p><a href="#_ednref3" name="_edn3"></a></p> ไม้ไผ่http://www.blogger.com/profile/13079736154779537493noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3975884513971132653.post-71362054428921500292010-08-16T01:25:00.001-07:002010-08-16T01:25:18.087-07:00พิจิตร<h3><b>ประวัติศาสตร์จังหวัดพิจิตร</b><b></b></h3> <p><b>ประวัติเมืองพิจิตร</b><b></b></p> <p>“พิจิตร” แปลว่า “งาม” ฉะนั้น เมื่อกล่าวถึงเมืองพิจิตร จึงหมายถึงเมืองงาม เมืองที่มีเสน่ห์ประทับใจ นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่ให้กำเนิดนักปราชญ์ราชบัณฑิต ตามประวัติศาสตร์ได้จารึก ไว้ว่าพระโหราธิบดี ผู้เป็นบิดาของศรีปราชญ์ ยอดกวีเอกของเมืองไทย ถือกำเนิดเหนือแผ่นดินเมืองพิจิตร แม้แต่ในวรรณคดีไทย ยังกล่าวว่า จมื่นไวยวรนารถ ทายาทของขุนแผนยอดขุนพลแห่งเมืองอโยธยา ก็เคยมาหลงเสน่ห์สาวงามเมืองพิจิตร</p> <p>ดินแดนอันเป็นเขตจังหวัดพิจิตร อยู่ในที่ราบลุ่มตอนเหนือของภาคกลาง หรือตอนใต้ของภาคเหนือในดินแดนสุวรรณภูมิ บริเวณนี้เป็นบริเวณที่ลำน้ำยมและลำน้ำน่าน อันเป็นแควของลำน้ำเจ้าพระยาไหลผ่าน และเมื่อประมาณห้าหกร้อยปีมาแล้ว ลำน้ำทั้งสองนี้ไหลมารวมกันที่จังหวัดพิจิตรนี้เอง ลักษณะพิเศษของดินแดนแถบนี้เต็มไปด้วยหนอง คลองบึง และทางน้ำซึ่งเปลี่ยนทางเดินอยู่เสมอ ถึงฤดูน้ำ ๆ จะหลากท่วมไปทั่ว สามารถใช้เรือสัญจรไปมาได้ทั่วถึง แต่พอฤดูแล้ง น้ำในคลองบึงต่าง ๆ จะแห้งงวดลงไป แม้แต่ในลำน้ำใหญ่บางตอน เรือก็เดินไม่ได้ พื้นดินบริเวณจังหวัดพิจิตรเป็นดินอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การเกษตรเพราะเป็นดินตะกอนที่เกิดจากน้ำท่วมทับทุกปี มีปลาชุกชุม อาชีพหลักของพลเมืองคือการกสิกรรม และการประมง เข้าใจว่ามีคนเข้ามาตั้งถิ่นฐานทำมาหากินบนสองฝั่งของลำน้ำน่านและลำน้ำยม ในเขตจังหวัดพิจิตรไม่น้อยกว่าหนึ่งพันปี ซึ่งในสมัยแรก ๆ คงอยู่กันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ และรื้อย้ายหมู่บ้านมาบ่อย ๆ บ้านเรือนที่ปลูกอาศัยอยู่ก็เป็นวัสดุราคาถูก เวลาย้ายก็ทรุดโทรมหายสาบสูญไป จึงหาหลักฐานทางประวัติศาสตร์สำหรับนักศึกษาในปัจจุบันได้น้อยมาก</p> <p>อีกประการหนึ่ง ดินแดนแถบนี้ เป็นเสมือนหนึ่งฉนวนระหว่างบ้านเมืองทางเหนือกับทางใต้ของสุวรรณภูมิ เป็นทางหนีของเจ้าบ้านผ่านเมืองในสมัยก่อนจากเหนือไปใต้ หรือจากใต้ไปเหนือ และทำนองเดียวกันก็เป็นทางเดินทัพของบ้านเมืองฝ่ายใต้ เมื่อยกไปปราบบ้านเมืองฝ่ายเหนือ หรือของบ้านเมืองฝ่ายเหนือ ยกมารุกรานบ้านเมืองฝ่ายใต้ ประวัติศาสตร์ของเมืองพิจิตรเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์แบบนี้ตลอดมาจนถึง พ.ศ. ๒๔๐๐</p> <p>ในการกล่าวถึงประวัติเมืองพิจิตรต่อไปนี้จะได้กล่าวตามยุคของประวัติศาสตร์ไทย และดินแดนแหลมทองเป็นตอน ๆ คือสมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงธนบุรี สมัยกรุง-</p> <p>รัตนโกสินทร์</p> <p><b>สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา</b><b></b></p> <p>เดิมทีเมืองพิจิตร หาได้ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลดังที่ได้ปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้ไม่ ได้มีการเปลี่ยนแปลงโยกย้ายที่ตั้งเมืองหลายครั้งหลายครา พิจิตรเป็นจังหวัดที่มีเรื่องราวในอดีตซึ่งยังหาข้อยุติไม่ได้แน่นอนนัก เชื่อกันว่าพิจิตรเคยเป็นเมืองชัยบวรมาก่อน ซึ่งเมืองชัยบวรนี้ปัจจุบันอยู่ในท้องที่อำเภอโพทะเล ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของตัวเมืองปัจจุบันประมาณ ๑๐๐ กิโลเมตรเศษ ต่อมาได้อพยพโยกย้ายขึ้นมาตามลำน้ำน่านเก่าสู่ทางทิศเหนือ ตั้งรกรากสร้างบ้านเมืองขึ้นเป็นปึกแผ่นที่บ้าน “สระหลวง” อยู่ในเขตเมืองเก่า อำเภอเมืองพิจิตร ห่างจากตัวเมืองปัจจุบันไปทางทิศตะวันตกประมาณ ๙ กิโลเมตรเศษ ต่อมาลำน้ำน่านเก่าเปลี่ยนทางเดิน เป็นเหตุให้ลำน้ำตื้นเขิน จึงจำเป็นต้องย้ายเมืองมาตั้งใหม่ ณ ที่ตั้งปัจจุบัน</p> <p>เชื่อกันว่าเมืองพิจิตรนี้มีชื่อเรียกแต่เดิมหลายชื่อ คือชื่อเมืองสระหลวง เมืองโอฆบุรี เมืองชัยบวร และเมืองปากยม นอกจากนั้นในท้องที่จังหวัดพิจิตร ยังมีเมืองเก่าอยู่ในท้องที่อำเภอตะพานหินอีกสองเมืองด้วยกัน สันนิษฐานว่า ชื่อเมืองนครพังคา และเมืองแสงเชรา และเชื่อกันว่าเมืองหนึ่งคือเมืองบ่าง ซึ่งอยู่ในท้องที่ตำบลทับคล้อ</p> <p>สำหรับเรื่องราวของเมืองพิจิตรนั้น จะขอกล่าวถึงที่มาจากสองแหล่งด้วยกัน คือ</p> <p>๑. เรื่องราวของพิจิตรในพงศาวดารเหนือ</p> <p>๒. เรื่องราวของเมืองพิจิตรที่ปรากฏในศิลาจารึกและพระราชพงศาวดาร</p> <p><b>เรื่องราวของพิจิตรในพงศาวดารเหนือ</b><b></b></p> <p>ในพงศาวดารเหนือได้กล่าวถึงเมืองพิจิตรไว้สองเรื่องด้วยกัน คือ</p> <p><b>๑</b><b>.</b><b>เรื่องพระยาแกรก</b> ที่กล่าวถึงการสร้างเมืองที่บ้านโกณฑัญญคาม เข้าใจว่าคือเมืองชัย</p> <p>บวร (อำเภอโพทะเลในปัจจุบัน)</p> <p><b>๒</b><b>.</b><b>เรื่องสร้างเมืองพิษณุโลก</b> กล่าวถึงการสร้างเมืองโอฆบุรี เข้าใจว่าคือเมืองพิจิตรเก่า</p> <p>นั่นเอง</p> <p><b>เรื่องพระยาแกรก</b><b></b></p> <p>จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พอที่จะตรวจสอบได้ความว่า ราว พ.ศ. ๑๓๐๐ ชาวละว้าเป็นชาติที่มีความเจริญรุ่งเรืองและมีอำนาจมากที่สุดในดินแดนสุวรรณภูมิ ได้แบ่งการปกครองออกเป็น ๒ อาณาจักรใหญ่ ๆ คือ อาณาจักรทราวดี ได้แก่พื้นที่จังหวัดพิษณุโลก ไปจนจดราชบุรี ทิศตะวันออกไปถึงจังหวัดปราจีนบุรีอาณาจักรยางหรือโยนก และอาณาจักรโคตรบูรณ์</p> <p>สำหรับอาณาจักรทราวดีมีเมืองสำคัญ ๆ สามเมืองด้วยกัน คือ นครปฐม ละโว้หรือลพบุรี เมืองสยามหรือสุโขทัย โดยมีนครปฐมเป็นราชธานี ส่วนเมืองพิจิตร ในครั้งกระนั้นอยู่ในเขตเมืองละโว้ จะมีนามว่าอย่างไร ตั้งอยู่ที่ไหนยังไม่ปรากฏชัด</p> <p>ต่อมาราว พ.ศ. ๑๔๐๐ ขอมมีอำนาจมากพระยาแกรกได้ยกทัพเข้าตีเมืองละโว้ได้ พระยาโคตมเทวราชซึ่งเป็นเจ้าเมืองละโว้ ได้พาลี้พลอพยพขึ้นมาทางเหนือ จนถึงบ้านโกณฑัญญคามและได้สร้างเมืองขึ้นที่บ้านโกณฑัญญคามนี้ ต่อมาพระราชบุตรของพระยาโคตมเทวราชได้ไปสร้างเมืองพิจิตรขึ้นอีก ดังข้อความในพงศาวดารเหนือเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีดังนี้</p> <p>“และพระยาโคตมเทวราชเสด็จมาถึงบ้านโกณฑัญญคาม พราหมณ์ชื่อโกณฑัญญคามเป็นใหญ่กว่าพราหมณ์ทั้งหลายได้ ๕๐๐ ครั้น เห็นพระยาแต่ไกล โกณฑัญญพราหมณ์ทั้งหลายก็ไปต้อนรับพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์จึงมีพระบรมราชโองการตรัสถามว่า ดูราชีพ่อพราหมณ์ทั้งหลาย บ้านท่านนี้ชื่อใด ชีพ่อพราหมณ์ทูลว่า บ้านนี้ชื่อโกณฑัญญคาม แต่ตูข้าเป็นชีพ่อพราหมณ์ได้ ๕๐๐ คน จึงมีพระราชโองการว่า เราจะสร้างเมืองในสถานที่นี้ ท่านทั้งหลายจะยินดีหรือไม่ พราหมณ์ทั้งหลายก็ยินดีด้วยกันทั้งสิ้น… พระยาได้ฟังดังนั้นยินดีให้เสนาอำมาตย์ตั้งพลับพลาทอง แล้วให้ชีพ่อพราหมณ์ ผู้เฒ่าผู้แก่กับเศรษฐีประชุมพร้อมกันจึงให้ชีพ่อพราหมณ์ตั้งพิธีกินบวชสิ้น และรำแขนงเจ็ดวันแล้วสระเกล้าขึ้นโล้อัมพวาย ถวายแก่พระอิศวร พระนารายณ์ แล้วเลียบไปที่จะตั้งพระราชวัง…”</p> <p>จากข้อความในพงศาวดารเหนือตอนนี้ก็จะพบว่าพระยาโคตมเทวราชได้สร้างเมืองที่บ้านโกณฑัญญคาม ซึ่งอ้างจากหนังสือพิจิตรของเราว่า ในหนังสือทะเบียนโบราณวัตถุสถานทั่วราชอาณา-จักรของกรมศิลปากรได้กล่าวว่าบ้านโกณฑัญญคาม ก็คือเมืองที่เรียกกันว่า “นครชัยบวร” และคุณพระ-วัฒโนได้เขียนไว้ในหนังสือเมืองพิจิตรว่า คือ เมืองชัยบวรปัจจุบันอยู่ในท้องที่ตำบลบ้านน้อย กับตำบลบางคลาน อำเภอโพทะเล ยังสังเกตคูเมืองและกำแพงเมืองด้วย สำหรับคูเมืองซึ่งมีขนาดใหญ่และลึกด้วยนั้นมักจะเรียกกันว่า บึงชัยบวร และยังเรียกในชื่ออื่นว่า บึงไชยบวรก็มี ส่วนนครชัยบวรหรือเมืองชัยบวรนั้นยังเรียกกันว่า เมืองชีบวรอีกด้วย ชาวบ้านแถบนั้นก็ยังเชื่อกันว่าชื่อเดิมของเมืองชัยบวรเรียกกันว่า บ้านโกณฑัญญคามมาก่อน จึงเป็นเรื่องที่น่าเชื่อได้พอสมควรว่า เมืองชัยบวรคือเมืองที่พระยาโคตมเทวราชสร้างขึ้นที่บ้านโกณฑัญญคาม ตามพงศาวดารเหนือ</p> <p>ส่วนการสร้างเมืองพิจิตร ที่เมืองพิจิตรเก่า ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมืองพิจิตรนั้น ในพงศาวดารเหนือ ได้กล่าวไว้ในเรื่องพระยาแกรกตอนต่อไปว่า</p> <p>“ … และพระยาโคตมเทวราช ที่พระราชบุตรองค์หนึ่ง ชื่อเจ้ากาญจนกุมาร เป็นพระยาแทนพระบิดา นานมาจึงชื่อเจ้าไวยยักษา ครั้นใหญ่มาชื่อเจ้าโคตรตะบอง ไปสร้างเมืองพิจิตรจึงมีชื่อพระยาโคตรตะบอง เจ้าไวยยักษาไปสร้างเมืองพิชัย จึงได้ชื่อพระยามือเหล็ก…”</p> <p>พระยาโคตรตะบองได้ย้ายเมืองจากนครไชยบวร ไปตั้งที่หมู่บ้านสระหลวงและได้เริ่มฝังหลักเมือง เมื่อวันพุธขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีขาล พ.ศ. ๑๖๐๑ ทรงสั่งก่อสร้างกำแพงขึ้นด้านเหนือยาว ๑๐ เส้น ด้านใต้ยาว ๑๐ เส้น ด้านตะวันออกและด้านตะวันตกยาวด้านละ ๓๕ เส้น นอกกำแพงโปรดให้ขุดคูลึก ๖ ศอก เพื่อป้องกันนครด้านตะวันตกหน้าเมืองห่างจากลำน้ำน่านเก่าประมาณ ๑๕ วา ตามกำแพงได้เปลี่ยนชื่อเมืองใหม่ว่าเมือง “สระหลวง” และได้มีกษัตริย์ปกครองสืบราชสันติวงศ์ต่อมาด้วยความเกษมสำราญอีกประมาณ ๒๐๐ ปี</p> <p><b>เรื่องสร้างเมืองพิษณุโลก</b><b></b></p> <p>ได้กล่าวถึงการสร้างเมืองโอฆบุรี ซึ่งเชื่อกันว่าคือ เมืองพิจิตรเก่า อันเป็นเมืองที่พระเจ้า</p> <p>ศรีธรรมไตรปิฎกสร้างขึ้นพร้อมกับเมืองพิษณุโลก ดังข้อความในพงศาวดารเหนือ ดังนี้</p> <p>" พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกยินดีนักหนาจึงมีพระราชโองการตรัสสั่งแก่เสนาอำมาตย์ให้ชุมนุมท้าวพระยาทั้งหลาย พระองค์จึงให้จ่าทั้งสองไปก่อนเป็นทัพหน้า ท้าวพระยาทั้งหลายเป็นปีกซ้ายขวา เจ้าไกรสรราช เจ้าชาติสาคร พระราชโอรสทั้งสอง เป็นกองรั้งหลังตามเสด็จพระราชบิดา พระราชมารดาออกจากพระนคร ณ วันอาทิตย์ เดือนอ้าย แรมหกค่ำ เพลาเช้า ไปได้สองเดือนจึงถึง พระองค์ได้ตั้งพลับเพลาทองริมน้ำ ไกลเมืองประมาณ ๑๐๐ เส้น</p> <p>สมเด็จพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก จึงให้ท้าวพระยาทั้งหลายและเจ้าไกรสรราช เจ้าชาติสาคร ตามเสด็จเข้าไปในเมือง แล้วจึงให้ชื่อเมือง จึงมีพระราชโองการตรัสถามชีพ่อพราหมณ์ว่า เราจะให้ชื่อเมืองอันใดดี พราหมณาจารย์จึงกราบทูลตอบพระราชโองการว่า เจ้ามาถึงวันนี้ยามพิศนุ พระองค์ได้ชื่อตามคำพราหมณ์ว่า เมืองพิษณุโลก ถ้าจะว่าตามพระพุทธเจ้ามาบิณฑบาตก็ชื่อว่า โอฆบุรีตะวันออก ตะวันตกชื่อจันทบูร พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกจึงมีพระราชโองการตรัสสั่งท้าวพระยาทั้งหลายว่าเราชวนกันสร้างพระธาตุ และวิหารใหญ่ ตั้งวิหารทั้งสี่ทิศ ครั้นสร้างของพระยาแล้ว ต่างคนต่างก็สร้างคนละองค์"</p> <p>เรื่องราวของเมืองโอฆบุรีเป็นเมืองพิจิตรเก่าใช่หรือไม่นั้น จะขอคัดลอกข้อความจากหนังสือสาส์นสมเด็จ ตอนที่สมเด็จฯ กรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ได้กราบทูลถามสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพดังข้อความต่อไปนี้</p> <p>"…โอฆบุรีคือเมืองพิจิตรหรือไม่ใช่ คำว่า "โอฆ" เข้าใจว่าหมายเอาบึงสีไฟ "เมืองพิจิตร" เข้าใจว่าเป็นชื่อเมืองใหม่ ซึ่งย้ายมาตั้งอยู่ที่คลองเรียงถูกหรือไม่ ถ้าถูกอย่างนั้นเมืองพิจิตรเก่าก็ควรยืนเรียกอยู่ว่า "โอฆบุรี" ไม่ควรเรียกว่า เมืองพิจิตรเก่า"</p> <p>เมื่อสมเด็จฯ กรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ทูลถามเช่นนั้น สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชา-</p> <p>นุภาพได้ทูลตอบ ดังข้อความต่อไปนี้</p> <p>"…เมืองโอฆบุรีคือเมืองพิจิตร เป็นเมืองโบราณมีป้อมปราการอยู่ริมแม่น้ำน่านเก่า ซึ่งตื้นเขินเสียแล้ว ชื่อเดิมเรียกว่า "เมืองสระหลวง" คงเป็นเพราะเป็นเมืองมีบึงบางมาก ทั้งในศิลาจารึกสุโขทัยและกฎหมายชั้นเก่าของกรุงศรีอยุธยาก็เรียกว่า "เมืองสระหลวง" ปรับเป็นคู่กับ "เมืองสองแคว" คือเมืองพิษณุโลก ซึ่งเดิมมีแม่น้ำน้อยอยู่ทางตะวันออก และมีแม่น้ำน่านอยู่ทางตะวันตก แต่แม่น้ำน้อยตื้นเขินเสียนานแล้ว</p> <p>ชื่อที่เรียกว่า "โอฆบุรี" ความตรงกับชื่อเมืองสระหลวง เป็นแต่เปลี่ยนเป็นภาษามคธเหมือนกับ "ทวิสาขะนคร" ตรงกับเมืองสองแคว หม่อมฉันสงสัยว่า จะเกิดแต่พระแต่งเรื่องพงศาวดารไทยเป็นภาษามคธ ตามอย่างหนังสือมหาวงศ์ พงศาวดารลังกา เช่น เรื่องชินกาลมาลินี เป็นต้น แปลงชื่อเมืองสระหลวงเป็น โอฆบุรี ในภาษามคธ และแปลงเมืองสองแควไว้อีกว่า เมืองทวิสาขะนคร ในหนังสือแต่ง</p> <p>"การที่เปลี่ยนเมืองสองแคว เป็นเมืองพิษณุโลก เปลี่ยนชื่อเมืองสระหลวง เป็นเมืองพิจิตร เมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก แต่ว่าพอเปลี่ยนแล้ว ชื่อเมืองสองแควกับสระหลวงก็เลยสูญ ผู้รู้ชั้นหลังจึงเอาชื่อเมืองโอฆบุรีกับเมืองทวิสาขะนคร ซึ่งยังมีอยู่ในหนังสือที่พระแต่งไปชี้เป็นเมืองอื่น ดูเหมือนจะเอาเมืองแพรก (คือเมืองสรรค์) เป็นทวิสาขะนคร ส่วนเมืองโอฆบุรีนั้น คือเหตุที่เมืองพิษณุโลกสร้างปราการ ๒ ฟาก เอาแม่น้ำไว้กลางเมืองผิดกับเมืองอื่น อ้างว่าเมืองทางฟากตะวัน-ออกชื่อเมืองพิษณุโลก เมืองฟากตะวันตกชื่อเมืองโอฆบุรี อ้างกันมาอย่างนั้น จนถึงสมัยมีสโมสรโบราณคดี ค้นพบชื่อเมืองสระหลวงสองแควในศิลาจารึกและกฎหมายเก่า จึงรู้ความจริงว่าเป็นอย่างไร"</p> <p>ข้อความทั้งหมดนี้ คงเป็นเครื่องยืนยันได้พอสมควรว่า เมืองโอฆบุรีนั้น คือเมืองพิจิตรเก่า นอกจากนี้ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพยังได้นิพนธ์เกี่ยวกับเมืองพิจิตรไว้ในหนังสือ "เที่ยวตามทางรถไฟ" มีข้อความที่เกี่ยวกับเมืองโอฆบุรี และเมืองสระหลวงอยู่ด้วย ซึ่งปรากฏข้อความเป็นบางตอน ดังนี้</p> <p>"ในหนังสือพงศาวดารเหนือว่า พระยาโคตรตะบองราชบุตรของพระยาโคตมเทวราชเป็นผู้สร้างเมืองพิจิตร แต่หาปรากฏสมัยและเรื่องราวของการสร้างไม่ คงเป็นเค้าแต่ว่าพวกขอมชั้นหลังสร้างเมืองพิจิตร มาถึงสมัยเมื่อไทยตั้งราชธานีอยู่ ณ เมืองสุโขทัย เรียกนามเมืองนี้ในภาษาไทยว่า "เมืองสระหลวง" ปรากฏอยู่ในศิลาจารึกของพระเจ้ารามคำแหงคงเป็นเพราะตั้งอยู่ชายทะเลสาบ หนังสือเก่าบางเรื่องเรียกนามในภาษาบาลีว่า "โอฆบุรี" ความก็ตรงกัน ที่อธิบายกันว่าเมืองโอฆบุรีอยู่ ๒ ฟากฝั่งแม่น้ำตรงกันนั้นไม่มีหลักฐาน…"</p> <p><b>เรื่องราวของเมืองพิจิตรที่ปรากฏในศิลาจารึกและพระราชพงศาวดาร</b><b></b></p> <p>ในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง หลักที่ ๑ ได้กล่าวถึงเมืองสระหลวง โดยกล่าวไว้ในเรื่องอาณาเขตของอาณาจักรสุโขทัย สมัยพ่อขุนรามคำแหง ซึ่งข้อความในศิลาจารึกได้กล่าวถึงเมืองสระหลวง ดังนี้</p> <p>"…อาจปราบฝูงข้าศึก มีเหมืองกว้างช้างหลาย ปราบเบื้องตะวันออก รอดสระหลวงสองแคว ลุมบา จายสคาเท้า ฝั่งของถึงเวียงจันทร์เวียงคำเป็นที่แล้ว เบื้องหัวนอนรอดคนที พระบางแพรก สุพรรณภูมิ ราชบุรี เพชรบุรี ศรีธรรมราช ฝั่งทะเลสมุทร เป็นที่แล้ว เบื้องตะวันตก รอดเมืองฉอด เมือง… หงสาวดี สมุทรห้าเป็นแดนเบื้องตีนนอน รอดเมืองแพร่เมืองน่าน เมือง… เมืองพลั่วพ้นฝั่งของเมืองชวาเป็นที่แล้ว ปลูกเลี้ยงฝูกลูกบ้านลูกเมืองนั้นชอบด้วยธรรมทุกคน"</p> <p>จากข้อความในศิลาจารึกนี้แสดงว่าอาณาจักรสุโขทัยสมัยพ่อขุนรามคำแหงนั้นกว้างขวางมาก ทิศตะวันออก ตลอดเมืองสระหลวง (รอดเมืองสระหลวงหมายถึงตลอดเมืองสระหลวง) เมืองสองแคว และเมืองอื่นอีกหลายเมืองด้วยกัน สำหรับเมืองสระหลวงนี้เชื่อกันว่าคือเมืองพิจิตรเก่านั่นเอง</p> <p>ดังบทนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพข้างต้น นอกจากนั้น สมเด็จฯ กรมพระยานริศรา-นุวัตติวงศ์ ได้นิพนธ์เกี่ยวกับเมืองสระหลวงไว้ในหนังสือสาส์นสมเด็จอีกด้วย ซึ่งปรากฏข้อความดังต่อไปนี้</p> <p>"…ที่จริงแม่น้ำและเมืองพิจิตรเก่า ก็ยังมีแต่นับวันจะสูญหายไป เมืองพิจิตรเดี๋ยวนี้เป็นเมืองตั้งใหม่ ยังจำได้ที่ตรัสอาจเลิกได้ในชั่วโมงเดียว คำว่า สระหลวง เข้าใจว่าที่เรียกกันว่า บึงสีไฟ อยู่ในทุกวันนี้…."</p> <p>ชื่อเมืองสระหลวงที่น่าเชื่อว่า เป็นเมืองพิจิตรเก่า หรืออาณาเขตของเมืองพิจิตรเก่า มีสระหรือบึงอยู่มาก ถ้าดูตามพจนานุกรมฉบับทันสมัย ของอาจารย์เปลื้อง ณ นคร ก็จะพบว่า "สระ" หมายถึงอ่างน้ำที่อยู่ตามระหว่างผา ซึ่งก็คงเป็นบึงนั่นเอง สำหรับบึงที่อยู่ใกล้เมืองพิจิตรเก่า หรือในท้องที่จังหวัดพิจิตรปัจจุบัน บึงสีไฟ บึงตะโกน บึงฆะฆัง ที่ไกลออกไปก็มีบึงชัยบวร บึงสัพงายและบึงบัวเป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้น ชื่อเมืองโอฆบุรี ก็เกี่ยวกับบึงอีก เพราะคำว่า "โอฆ" ในพจนานุกรมฉบับทันสมัยของอาจารย์เปลื้อง ณ นคร ก็หมายถึง ห้วงน้ำซึ่งก็คงเป็นบึงนั่นเอง</p> <p>ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับเมืองสระหลวงเป็นเมืองพิจิตรเก่ายังมีอีก เช่น หม่อมเจ้าจันทรจิรายุรัชนี ทรงกล่าวว่า เมืองสระหลวงเป็นเมืองพิจิตรเก่าบนฝั่งแม่น้ำน่าน เรียกคู่กับเมืองพิษณุโลกเก่า เมืองสระหลวงสองแคว ทำนองเดียวกับเรียกเมืองศรีสัชชนาลัยสุโขทัยซึ่งเป็นเมืองอยู่บนฝั่งแม่น้ำยมทั้งคู่ นอกจากนี้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงกล่าวถึงเมืองสระหลวงในหนังสือนิทานโบราณคดีเรื่องค้นเมืองโบราณอีกว่า เมืองสระหลวงเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองพิจิตร ในสมัยกรุงศรีอยุธยาและพระองค์ยังกล่าวถึงเมืองสระหลวงคือเมืองพิจิตรไว้ในบทนิพนธ์เรื่องพระร่วงอีกด้วย</p> <p>สำหรับความเชื่อที่ว่า เมืองสระหลวงไม่ใช่เมืองพิจิตร แต่เป็นเมืองพิษณุโลก ก็มีเหมือนกัน เช่น ในราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขากล่าวถึงอาณาจักรสุโขทัยสมัยพ่อขุนรามคำแหงว่า เมืองสระหลวง คือ เมืองพิษณุโลกฝั่งตะวันตก และเมืองคณฑีคือ เมืองพิจิตร ดังข้อความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม ๑ กล่าวถึงเมืองสระหลวงและเมืองคณฑี ดังต่อไปนี้</p> <p>"พระเจ้าขุนรามคำแหง เป็นพระเจ้าแผ่นดินไทยที่มีอานุภาพมาก ควรนับว่าเป็นมหาราชเจ้าพระองค์หนึ่ง ได้รบพุ่งปราบปรามเมืองที่ใกล้เคียงเอาไว้ในอำนาจ ขยายราชอาณาจักรสุโขทัยกว้างขวางออกไปถึงที่สุดในครั้งนั้น บอกอาณาเขตไว้ในศิลาจารึกชัดเจนว่า ทิศเหนือได้เมืองแพร่เมืองน่าน ตลอดจนเมืองชวา (คือเมืองหลวงพระบางทุกวันนี้) ไว้ในพระราชอาณาจักร ทิศตะวันออกได้เมืองสระหลวง (คือเมืองพิษณุโลกฝั่งตะวันตก ที่หนังสือแต่งในภาษามคธว่าโอฆบุรี) เมืองสองแคว (คือเมืองพิษณุโลกฝั่งตะวันออก)…" และอีกตอนหนึ่งว่า "ทิศใต้ได้เมืองคณฑี (เข้าใจว่า เมืองพิจิตรทุกวันนี้)…"</p> <p>ข้อความจากพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาจะเห็นว่า เมืองสระหลวงคือเมืองพิษณุโลกฝั่งตะวันตก และเมืองสองแควคือเมืองพิษณุโลกฝั่งตะวันออก ส่วนเมืองคณฑีต่างหากที่เป็นเมืองพิจิตร ซึ่งเป็นหลักฐานอีกแนวหนึ่งที่แตกต่างออกไป ยิ่งไปกว่านั้นศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ</p> <p>ณ นคร ยังได้เขียนบทความเรื่อง "หลักการค้นเมืองสมัยสุโขทัย" ลงในแถลงงานประวัติศาสตร์ เอกสารโบราณคดีปีที่ ๑ เล่ม ๑ กล่าวถึงเมืองสระหลวงว่าเป็นเมืองพิษณุโลก ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ยังหาข้อยุติไม่ได้แน่นอน คงต้องศึกษาค้นคว้าหาหลักฐานกันต่อไปอีก</p> <p>ความจริงชื่อเมืองสระหลวง ยังปรากฏในศิลาจารึกกรุงสุโขทัยอีกหลักหนึ่ง คือหลักที่ ๘ (จารึกเขาสุมนกูฏ) ซึ่งกล่าวถึงเรื่องราวในสมัยสุโขทัย รัชกาลพระยาลิไท ซึ่งเป็นตอนที่กล่าวถึงอาณา-เขตของอาณาจักรสุโขทัยปรากฏข้อความดังต่อไปนี้.- "…อยู่ในสองแควได้เจ็ดข้าว จึงนำพลมา มีทั้งชาวสระหลวง สองแควปากยม พระบาง ชากังราวสุพรรณภาว นครพระชุม เบื้อง…เมืองพาน เมือง…เมืองราด เมืองสะค้า เมืองลุมบาจาย เป็นบริพาร…"</p> <p>จะเห็นได้ว่าข้อความในศิลาจารึกตอนนี้นอกจากจะกล่าวถึงเมืองสระหลวง เมืองสองแควและเมืองอื่น ๆ อีกหลายเมืองแล้ว ยังมีเมืองหนึ่งที่น่าสนใจคือ เมืองปากยม ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ปากน้ำยม หรือเมืองที่อยู่ใกล้กับแม่น้ำยมกับแม่น้ำน่านไหลมาบรรจบกัน ซึ่งอาจจะเป็น เมืองชัย-บวรก็ได้ เพราะเมืองชัยบวรตั้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำยมกับแม่น้ำน่านเก่าไหลมาบรรจบกัน สำหรับเมืองนี้ขอคัดลอกบันทึกของ นายตรี อมาตยกุล ซึ่งเคยเดินทางไปสำรวจเมืองโบราณในจังหวัดพิจิตร เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๘ พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร และอาจารย์ ขจร สุขพานิช ซึ่งได้บันทึกเกี่ยวกับเมืองชัยบวรไว้ตอนหนึ่ง ดังนี้.-</p> <p>"ชั้นแรกได้เดินทางไปที่อำเภอบางมูลนากเพื่อไปตรวจเยี่ยมเมืองโบราณ ซึ่งในจารึกกรุงสุโขทัยเรียกว่าเมืองปากยมก่อนเพราะเมืองนี้สงสัยว่าจะอยู่ตรงแม่น้ำน่านมาสมกัน คือที่ตำบลบาง-คลาน อำเภอโพทะเล"</p> <p>"…ผู้นำทางได้พาไปดูเมืองโบราณเมืองหนึ่งเรียกว่า เมืองชัยบวรหรือชีบวร เมืองนี้มีคูกว้างมาก คือกว้างประมาณ ๑๐๐ เมตร มีน้ำขังอยู่เต็ม ในฤดูแล้งก็ไม่แห้ง… ได้สอบถามชาวบ้านและผู้นำทางแล้ว ไม่ปรากฏว่าเคยได้พบเมืองโบราณนอกเมืองชัยบวรหรือชีบวรดังได้เรียนมาแต่ตอนต้น จึงยังไม่ทราบแน่ว่าเมืองปากยมที่ปรากฏชื่อในศิลาจารึกกรุงสุโขทัยนั้น ในปัจจุบันจะตั้งอยู่ ณ ที่ใด บางทีอาจจะเป็นเมืองที่เรียกกันในปัจจุบันว่า เมืองชัยบวรก็ได้ แต่ยังไม่มีหลักฐานแน่นอนและยังไม่ได้สำรวจตรวจค้นโดยละเอียด จึงไม่สามารถจะยืนยันได้"</p> <p>ความจริงเมืองปากยมตามศิลาจารึก ก็น่าจะเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ปากแม่น้ำยม หรือใกล้แม่น้ำยม จึงเป็นเรื่องที่น่าเชื่อได้พอสมควรว่าคงจะเป็นเมืองชัยบวร เพราะเมืองโบราณที่สำรวจพบแล้วในปัจจุบันที่ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำยม และปากแม่น้ำยมที่มาบรรจบกับแม่น้ำน่านเก่า ก็มีอยู่เมืองชัยบวรนี้เมืองเดียวเท่านั้น และถ้าหากเป็นจริงตามความเชื่อนี้ก็แสดงว่าในสมัยกรุงสุโขทัย รัชกาลพระยาลิไท มีเมืองสระหลวงและเมืองปากยม ทั้งสองเมืองเป็นเมืองที่อยู่ในอาณาจักรสุโขทัย</p> <p>จาก พ.ศ. ๑๖๐๑ ซึ่งเป็นปีที่พระยาโคตรตะบอง สร้างเมืองสระหลวง (จากพงศาวดารเหนือ เรื่องพระยาแกรก) เป็นต้นมา จนถึง พ.ศ. ๒๘๐๐ ขอมเริ่มเสื่อมอำนาจลง ไทยเราได้เริ่มทยอยลงมาในดินแดนสุวรรณภูมิ และได้เริ่มมีบทบาทขึ้นในดินแดนส่วนนี้ โดยพ่อขุนบางกลางท่าว กับพ่อขุนผาเมือง ได้ยกกองทัพเข้าตีเมืองสยาม เมืองหน้าด่านของขอมได้พิจิตรจึงตกเป็นของไทยตั้งแต่นั้นมา</p> <p>ราว พ.ศ. ๑๘๒๐ กรุงสุโขทัยไม่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล และมีเมืองสำคัญ ๆ ไม่กี่เมือง ซึ่งในบรรดาเมืองเหล่านั้นมีพิจิตรรวมอยู่ด้วย เวลานั้นสุโขทัยมีศัตรูมาก เช่น ขอม พวกไทยตอนใต้และภาระในการที่จะขยายอาณาเขต พิจิตรจึงกลายเป็นเมืองสำคัญทางยุทธศาสตร์ จึงได้ยกฐานะขึ้นเป็นเมืองหน้าด่านเพื่อป้องกันข้าศึกที่จะยกไปตีเมืองหลวง พิจิตรจึงอุปมาเสมือนทหารเอกของกรุงสุโขทัย พ.ศ. ๑๙๔๙ การศึกษาวิทยาการ โดยเฉพาะทางพระพุทธศาสนาในเมืองพิจิตรเจริญมาก ตามสุพรรณบัฏที่ขุดได้จากองค์พระปรางค์วัดมหาธาตุในบริเวณเมืองพิจิตรเก่าได้มีการตั้งพระเถรพุทธสาคร เป็นพระครูธรรมโมสีศีราชบุตร โดยที่เมืองพิจิตรเป็นเมืองรายรอบปริมณฑล กรุงสุโขทัยเป็น</p> <p>หัวเมืองชั้นใน พระเจ้าแผ่นดินกรุงสุโขทัยจึงปกครองเมืองนี้โดยตรงตลอดสมัยที่กรุงสุโขทัยรุ่งเรืองอยู่</p> <p><b>สมัยกรุงศรีอยุธยา</b><b> (</b><b>พ</b><b>.</b><b>ศ</b><b>. </b><b>๑๘๙๓</b><b>-</b><b>๒๓๑๐</b><b>)</b></p> <p>เมื่อสุโขทัยเสื่อมอำนาจลง และได้ตกเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยา พิจิตรก็ตกไปอยู่กับกรุงศรีอยุธยา แต่ความสำคัญของเมืองพิจิตรมิได้ลดน้อยลง เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๐๐๖ รัชสมัย</p> <p>พระบาทสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถทรงยกเลิกการปกครองแบบเก่า เปลี่ยนมาเป็นแบบจตุสดมภ์ เพื่อสร้างความสามัคคีกลมเกลียวในชาติ เป็นการรวมอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคมีขุนนางเป็นผู้</p> <p>ปกครอง และแบ่งหัวเมืองออกเป็นหัวเมือง เอก โท ตรี และจัตวา เมืองพิจิตรมีฐานะเป็นเมืองตรี นับว่าพิจิตรเป็นเมืองใหญ่และมีความสำคัญทางทหารและการปกครองไม่น้อย</p> <p>เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ ได้เสด็จครองราชย์ที่เมืองพิษณุโลก ทรงเห็นว่าพิจิตรเป็นเมืองลุ่มเต็มไปด้วยบึง คลอง ลำห้วย โดยเฉพาะบึงสีไฟที่มีน้ำขังตลอดปีไม่เคยแห้งมีเนื้อที่ประมาณ ๑๒,๐๐๐ ไร่ จึงขนานนามเมืองพิจิตรอีกนามหนึ่งว่า “โอฆบุรี” ซึ่งแปลว่า “ห้วงน้ำ”</p> <p>รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีเหตุการณ์ประวัติเกี่ยวข้องกับเมืองพิจิตร คือ เมืองพิจิตรเป็นที่ประสูติของพระเจ้าเสือ และเป็นถิ่นกำเนิดของพระโหราธิบดี กวีเอกของไทยดังที่ประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่า เมื่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เสด็จไปเมืองพิษณุโลกพระเพทราชาได้พานางสนมที่ได้รับพระราชทานซึ่งขณะนั้นตั้งภรรภ์แก่จวนคลอดติดตามไปด้วย เมื่อถึงบ้านโพธิ์ประทับช้าง แขวงเมืองพิจิตร นางได้คลอดบุตร ในเดือนอ้าย อัฐศกและฝังรกไว้ที่ต้นมะเดื่อ บุตรนั้นจึงได้ชื่อว่า “นายเดื่อ” หรือ “ดอกเดื่อ” ต่อมาได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา ทรงพระนามว่า “พระศรีสรรเพชญ์ที่ ๘” หรือพระพุทธเจ้าเสือหรือขุนหลวงสรศักดิ์ เมื่อครองราชย์แล้วได้เสด็จไปคล้องช้างเมืองพิจิตร เลยไปเยี่ยมมาตุภูมิเดิมที่หมู่บ้านโพธิ์ประทับช้าง โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระอารามประกอบด้วยพระอุโบสถวิหาร เจดีย์ ศาลาการเปรียญ และกุฏิสงฆ์ แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๒๔๔ พระองค์เสด็จทางชลมารค ไปฉลองพระอาราม ตั้งพระครูธรรมรูจีราชมุนีเป็นเจ้าอาวาส และพระราชทานนามว่า วัดโพธิ์ประทับช้าง ปัจจุบันวัดโพธิ์ประทับช้างยังมีพระอุโบสถที่ชำรุดหักพัง พระเจดีย์เก่าคร่ำคร่า ซึ่งราษฎรมักนิยมไปเคารพสักการะอยู่เสมอ</p> <p>ส่วนจอมปราชญ์ในเชิงกวีในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชนั้น พระมหาราชครูนับว่าเป็นเอก ท่านถือกำเนิดที่เมืองพิจิตร พระมหาราชครูมีความสามารถในการแต่ง โคลงฉันท์ กาพย์</p> <p>กลอน จนเป็นที่โปรดปรานของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และทรงยกย่องเป็นพระอาจารย์ นับเป็นลูกพิจิตรคนหนึ่งที่ได้สร้างผลงานทางด้านวรรณกรรมไว้เป็นมรดกของชาติ อันมีคุณค่าที่หาที่เปรียบมิได้</p> <p>ศรีปราชญ์รัตนกวีของชาวไทยที่หายใจเป็นกาพย์ กลอน มีความสามารถเปรื่องปราดในทางอักษรศาสตร์ และวรรณคดีเป็นที่หนึ่งจนกิตติศัพท์เป็นที่กล่าวขานกันทุกมุมเมืองก็เป็นบุตรท่านราชครู จึงนับได้ว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อสานของชาวพิจิตรโดยสมบูรณ์</p> <p><b>สมัยกรุงธนบุรี</b><b> (</b><b>พ</b><b>.</b><b>ศ</b><b>. </b><b>๒๓๑๐</b><b>-</b><b>๒๓๒๕</b><b>)</b></p> <p>รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชสภาพบ้านเมืองยังไม่สงบราบคาบ มีเจ้าเมืองต่าง ๆ ตั้งตัวเป็นก๊กเป็นเหล่าถึง ๕ ก๊ก เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยกทัพไปปราบก๊กพระยาพิษณุโลกในปี พ.ศ. ๒๓๑๑ นั้น ถึงตำบลเกยชัยทรงถูกปืนที่พระชงฆ์ซ้าย จึงต้องยกทัพกลับพระนคร จากนั้นเจ้าพระฝางตีได้เมืองพิษณุโลก ชาวเมืองพิษณุโลกและเมืองพิจิตรต่างแตกหนีไปพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ณ กรุงธนบุรี จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๓๑๓ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงยกทัพไปปราบเจ้าพระฝาง ตีได้เมืองพิษณุโลกและเมืองสวางคบุรีในการนี้เมืองพิจิตรเป็นทางผ่านของกองทัพและชาวพิจิตรคงจะถูกเกณฑ์ไปในการรบด้วยและต่อมาทุกครั้งที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดให้ยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ มักจะโปรดให้เกณฑ์กำลังหัวเมืองเพื่อทำศึกสงครามด้วยทุกครั้งไป</p> <p><b>สมัยกรุงรัตนโกสินทร์</b><b> (</b><b>พ</b><b>.</b><b>ศ</b><b>. </b><b>๒๓๒๕</b><b>- )</b></p> <p>สมัยรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อครั้งศึก ๙ ทัพ</p> <p>ปี พ.ศ. ๒๓๒๘ พม่ายกกองทัพเข้าตีเมืองไทยถึง ๙ ทัพ ทั้งภาคเหนือ ภาคใต้และทางภาคตะวันตก ทัพเหนือพม่ายกมาทางเมืองเชียงแสนตีได้เมืองสวรรคโลก เมืองสุโขทัย เมืองพิชัย และเมืองพิษณุโลก นอกจากเมืองพิจิตร เพราะว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดให้จัดกองทัพสำหรับที่จะต่อสู้ถึง ๙ ทัพ ทางเหนือให้กรมพระราชวังบวรสถานพิมุขเป็นแม่ทัพไปตั้งขัดตาทัพอยู่ที่เมืองนครสวรรค์ กรมพระราชวังบวรสถานพิมุขได้ให้เจ้าพระยามหาเสนายกขึ้นไปตั้งรักษาเมืองพิจิตรไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้พม่าจึงตั้งค่ายอยู่ที่ปากพิงใต้เมืองพิษณุโลก เพื่อคอยกองทัพหนุนจึงจะยกมาตีกองทัพไทยที่เมืองพิจิตรและเมืองนครสวรรค์ ดังนั้น กองทัพหลวงของไทยจากกรุงเทพฯ จึงยกทัพตามขึ้นไปตั้งที่เมืองนครสวรรค์ก่อน แล้วยกหนุนกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขขึ้นไปที่บางข้าวตอก แขวงเมืองพิจิตร และยกเข้าตีค่ายพม่าที่ปากพิง จนกองทัพพม่าแตกพ่ายไป พม่าจึงไม่มีโอกาสตีเมืองพิจิตร (ในการสงครามครั้งนี้ เป็นสงครามครั้งที่ ๑ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช)</p> <p>สมัยรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงพระราชนิพนธ์คำกลอนเรื่อง "ไกรทอง" เนื่องจากเมืองพิจิตรเป็นเมืองที่มีแหล่งน้ำมากมายและมีจระเข้ชุกชุมพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงอาศัยเค้าโครงเรื่องจากเรื่องราวชาวพิจิตรที่ได้เล่าสืบต่อกันมา พระราชนิพนธ์วรรณคดีเรื่องไกรทอง ความว่า มีจระเข้ใหญ่ตัวหนึ่งมีนามว่า "ชาละวัน" เมื่อเข้าไปอยู่ในถ้ำจะกลับกลายร่างเป็นมนุษย์แต่พอออกมาจากถ้ำจะกลายร่างเป็นจระเข้ดังเดิม วันหนึ่งชาละวันได้คาบเอาลูกสาวของท่านเศรษฐีเมืองพิจิตรมีนามว่าตะเภาทอง เอาไปเป็นคู่ครองภายในถ้ำ จนท่านเศรษฐีได้ติดต่อกับไกรทองผู้เรืองเวทมนตร์จากจังหวัดนนทบุรี มาทำการปราบถึงตายปัจจุบันชื่อในเรื่องไกรทองได้กลายเป็นชื่อตำบลชื่อหมู่บ้านตามท้องเรื่องหลายแห่ง เช่น บ้านเศรษฐี เกาะศรีมาลา ดงชาละวัน และสระไข่ ฯลฯ เป็นต้น</p> <p>สมัยรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปสมโภชพระพุทธชินราชที่เมืองพิษณุโลก ก็เสด็จผ่านเมืองพิจิตรไปตามแม่น้ำน่านเก่า ซึ่งปัจจุบัน (พ.ศ. ๒๕๒๕) ตื้นเขินเพราะแม่น้ำเปลี่ยนทางเดินเสียแล้ว</p> <p>กระแสน้ำได้เริ่มเปลี่ยนทางเดินเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๐ ชาวจีนที่ทำไร่ฝ้ายบ้านดงเศรษฐี ตำบลไผ่ขวาง อำเภอเมืองพิจิตร ได้ทำการขุดคลองดงเศรษฐีเพื่อเอามูลดินมาทำปุ๋ยในไร่ฝ้ายตรงนั้นเป็นท้องคุ้ง ดินต่ำ พอถึงฤดูน้ำไหลแรงทำให้ดินข้างคลองพังลงมามาก กระแสน้ำจึงไหลทางคลองเรียงที่บ้านท่าฬ่อแล้วเลยไปบรรจบกับคลองท่าหลวงและคลองคันในเขตอำเภอเมืองพิจิตร เลยไปถึงคลองห้วยคต คลองบุษบงเหนือ, ใต้ ของอำเภอบางมูลนาก เกิดเป็นลำน้ำใหญ่ไหลไปบรรจบกับลำน้ำยมที่ตำบลเกยไชย อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ แล้วไหลไปรวมกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่ปากน้ำโพ ส่วนลำน้ำน่านเก่า ตั้งแต่บ้านดงเศรษฐี ตำบลคลองคะเชนทร์โรงช้าง เมืองเก่า โพธิ์ประทับช้างของอำเภอเมืองพิจิตร ตำบลวังสำโรงของอำเภอตะพานหิน ตำบลวัดขวาง ทุ่งน้อย ท่าบัว บ้านน้อย จนถึงลำน้ำยมที่ตำบลบางคลาน ตำบลโพทะเลเล็กตื้นเขิน การสัญจรไปมาทางเรือไม่สะดวกหลวงธรเณนทร์ เจ้าเมืองพิจิตรในขณะนั้น จึงได้ย้ายเมืองพิจิตรเสียใหม่</p> <p>สมัยรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลวงธรเณนทร์ (แจ่ม) ได้ทำการย้ายเมืองพิจิตร ในปี พ.ศ. ๒๔๒๔ โดยไปสร้างเมืองพิจิตรใหม่ที่บ้านปากทาง ตำบลปากทาง โดยตั้งศาลากลางจังหวัดเป็นการชั่วคราวขึ้นที่เหนือต้นโพธิ์ใหญ่ ใกล้ปากทางที่จะไปตำบลคลองคะเชนทร์ ซึ่งอยู่ตรงบริเวณเชิงสะพานพระพิจิตร (สะพานข้ามแม่น้ำน่านปัจจุบัน) ด้านใต้ ปัจจุบันนี้ต้นโพธิ์ และพื้นดินที่ตั้งศาลากลางจังหวัดชั่วคราวได้ถูกน้ำพัดพังลงแม่น้ำน่านไปหมดแล้ว อยู่เกือบจะตรงกลางสะพานพระพิจิตรในขณะนี้ทีเดียว ต่อมา พ.ศ. ๒๔๒๗ จึงได้ย้ายเมืองใหม่อีกเป็นครั้งที่สองโดยย้ายไปตั้งที่บ้านท่าหลวง ตำบลในเมือง ซึ่งเป็นที่ตั้งเมืองพิจิตรใหม่ในปัจจุบันนี้ (พ.ศ. ๒๕๒๕)</p> <p>ปี พ.ศ. ๒๔๔๑ พระศรีเทพบาล (พระยาราชฤทธานนท์) เจ้าเมืองพิจิตรได้สร้างโรงเรียนหลังแรกของพิจิตรขึ้นที่วัดท่าหลวง เปิดเรียนเมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๑ มีขุนไพจิตร (เปลี่ยน) เป็นครูใหญ่คนแรก ต่อมาวันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้สร้างโรงเรียนประจำเมืองพิจิตรชื่อโรงเรียนพิจิตรพิทยาคม เปิดเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๓</p> <p>ปี พ.ศ. ๒๔๔๖ ได้มีการปันแขวงปกครองหัวเมือง เมืองพิจิตรแบ่งการปกครองออกเป็น ๓ อำเภอ คือ อำเภอเมือง อำเภอบางคลาน และอำเภอภูมิ</p> <p>ปี พ.ศ. ๒๔๔๘ สมัยพระศรีสุริยราชวรภัย (จร) เป็นเจ้าเมืองพิจิตร ได้สร้างกรมทหารเมืองพิจิตรที่ริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน (ตรงบริเวณวิทยาลัยเทคนิคพิจิตรปัจจุบัน) ซึ่งกรมทหารราบที่ ๑๗ มีพันตรีหลวงราชานุรักษ์เป็นผู้บังคับการกรมทหารประจำการมี ๔ กองร้อย</p> <p>ปี พ.ศ. ๒๔๕๑ ได้มีการเปิดทางรถไฟจากปากน้ำโพถึงเมืองพิษณุโลก ซึ่งทางรถไฟสายนี้ผ่านเมืองพิจิตรเดินทางรถไฟสายเหนือเปิดเดินถึงปากน้ำโพเท่านั้น ต่อมาพระบาทสมเด็จพระ-จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างทางรถไฟต่อจากปากน้ำโพถึงเมืองพิษณุโลก เมืองพิจิตรจึงมีทางรถไฟผ่านด้วย</p> <p>สมัยรัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนคำว่า "เมือง" เป็น "จังหวัด" ในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ ดังนั้น เมืองพิจิตรจึงเปลี่ยนเป็นจังหวัดพิจิตร และตำแหน่ง "ผู้ว่าราชการเมือง" เปลี่ยนเป็น " ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร" และในปีเดียวกันนี้ ได้มีการประกาศใช้ชื่ออำเภอที่เปลี่ยนใหม่ให้ตรงกับชื่อตำบลที่ตั้งที่ว่าการอำเภอ สำหรับจังหวัดพิจิตรได้เปลี่ยนอำเภอเมืองเป็นอำเภอท่าหลวง อำเภอภูมิ เป็นอำเภอบางมูลนาก ส่วนอำเภอบางคลาน คงเรียกชื่อเดิม ส่วนกรมทหารราบที่ ๑๗ ถูกยุบเลิกไปขึ้นกับกรมทหารราบมณฑลพิษณุโลก</p> <p>สมัยรัชกาลที่ ๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ปี พ.ศ. ๒๔๗๓ พระชาติตระการดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ได้สร้างศาลากลางจังหวัดขึ้นใหม่แทนหลังเก่าที่ชำรุดทรุด-</p> <p>โทรมมาก โดยสร้างเป็นอาคารสูงชั้นเดียวทรงปั้นหยาออกมุขกลาง ฝากระดาน พื้นกระดาน มุงกระเบื้องซีเมนต์ สร้างบ้านพักหัวหน้าศาลหลังหนึ่งเป็นอาคารสองชั้นทรงสมัยใหม่ สร้างบ้านพักนายตำรวจและสร้างบ้านพักหัวหน้าส่วนราชการอีกหลายหลังและในสมัยรัชกาลที่ ๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ได้มีการตั้งเทศบาลเมืองพิจิตรขึ้นเป็นครั้งแรก โดยมีอาณาเขตของเทศบาลเมืองพิจิตรเพียง ๑.๘๘ ตารางกิโลเมตรเท่านั้น นายกเทศมนตรีคนแรกคือ หลวงประเทืองคดี (ปัจจุบัน พ.ศ. ๒๕๒๙ อาณาเขตของเทศบาลเมืองพิจิตรมี ๑๒.๑๗</p> <p>ตารางกิโลเมตร)</p> <p>ปี พ.ศ. ๒๔๘๑ ได้เปลี่ยนชื่ออำเภอท่าหลวงเป็นอำเภอเมืองพิจิตร และก่อนหน้านั้นมีการย้ายที่ว่าการอำเภอจากตำบลบางคลานไปตั้งใหม่ที่บ้านโพทะเล จึงเปลี่ยนชื่ออำเภอบางคลานเป็นอำเภอโพทะเล ในปี พ.ศ. ๒๔๘๐</p> <p>นอกจากนี้ยังมีการตั้งกิ่งอำเภอตะพานหินขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๗๙ และยกฐานะเป็นอำเภอในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ตั้งอำเภอสามง่ามในปี พ.ศ. ๒๔๘๑</p> <p>รัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มีการตั้งกิ่งอำเภอโพธิ์-ประทับช้าง ในปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ซึ่งยกฐานะเป็นอำเภอในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ตั้งกิ่งอำเภอวังทรายพูน ยกฐานะเป็นอำเภอเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ และในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ ตั้งกิ่งอำเภอทับคล้อ</p> <p><b>การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบบมณฑลเทศาภิบาล</b><b></b></p> <p>การจัดระเบียบการปกครองของไทย ซึ่งจัดหน่วยการปกครองออกเป็น หน่วยราชการบริหารส่วนกลาง และหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาค ซึ่งการปกครองส่วนภูมิภาคสมัยก่อนนั้น</p> <p>ส่วนภูมิภาคจะจัดการปกครองกันเอง การปกครองโดยที่ส่วนภูมิภาคจัดการปกครองกันเองนี้ เรียกว่า</p> <p>"ระบบกินเมือง"</p> <p>ต่อมาสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้นำรูปการปกครองแบบระบบเทศาภิบาลมาใช้ปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ในการปกครองส่วนภูมิภาค แบ่งส่วนกลางปกครองออกเป็นมณฑล จังหวัด อำเภอ ตำบล หมูบ้าน ลดหลั่นกันลงมาตามลำดับ จัดแบ่งหน้าที่ราชการเป็นสัดส่วน และส่วนกลางจะจัดส่งข้าราชการจากส่วนกลางไปบริหารราชการตามท้องที่ต่าง ๆ เหล่านั้นแทนที่ส่วนภูมิภาคจะจัดการปกครองกันเอง ซึ่งนับว่าเป็นการริดรอนอำนาจของเจ้าเมืองตามระบบกินเมืองลงอย่างสิ้นเชิง</p> <p>ในปี พ.ศ. ๒๔๓๕ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงจัดตั้งมณฑลพิษณุโลกเป็นมณฑลแรก ประกอบด้วยเมือง ๕ เมือง คือเมืองพิษณุโลก เมืองพิชัย เมืองสวรรคโลก เมืองสุโขทัย เมืองพิจิตร เมื่อเริ่มต้นมณฑลเทศาภิบาลเมืองพิจิตรขึ้นอยู่กับมณฑลพิษณุโลก และเมืองพิจิตรมีเมืองหนึ่งเมืองคือ "เมืองภูมิ" (ปัจจุบันอยู่ในท้องที่อำเภอบางมูลนาก) เมืองภูมินี้ปรากฏในราชกิจจานุเบกษา ฉบับวันที่ ๑๘ มิถุนายน ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖) ดังนี้ :-</p> <p><b>เมืองพิจิตร</b><b></b></p> <p>ผู้ว่าราชการเมือง พระยาเทพาธิบดี</p> <p>ปลัด หลวงศรีสงคราม</p> <p>ยกกระบัตร หลวงเสนาราช</p> <p>ผู้ช่วย หลวงวิเศษภักดี</p> <p><b>เมืองขึ้นเมืองพิจิตร</b><b></b></p> <p>เมืองภูมิ</p> <p>ผู้ว่าราชการเมือง พระณรงค์เรืองเดช</p> <p>ในปี พ.ศ. ๒๔๔๖ ได้มีการปกครองหัวเมืองสำหรับเมืองพิจิตรแบ่งออกเป็น ๓ อำเภอด้วยกันคือ อำเภอเมือง อำเภอบางคลาน และอำเภอเมืองภูมิ</p> <p><b>การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน</b><b></b></p> <p>ในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราช-อาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ ยกเลิกมณฑลเทศาภิบาล ต่อมาได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็นจังหวัด อำเภอ จังหวัดนั้นมีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้ง ยุบ หรือเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติและให้มีคณะกรรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น ส่วนการตั้ง ยุบ หรือเปลี่ยนแปลงเขตอำเภอให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา</p> <p>ปัจจุบันจังหวัดพิจิตร ได้แบ่งเขตการปกครองออกเป็น ๗ อำเภอ ๑ กิ่งอำเภอ ๗๘ ตำบล ๖๕๑ หมู่บ้าน เทศบาล ๓ แห่ง และสุขาภิบาล ๑๔ แห่ง</p> <p><a href="http://lh5.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGj10O94OLI/AAAAAAAAAM8/vtUAmYsu9S8/s1600-h/clip_image0013.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image001" border="0" alt="clip_image001" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEip8SPcdSZFnghgSm6MLlUn9lKzFVzFlo1f1WvNnLFldxt3eNagSFsYzGqwxAgbh2V4Rz-RsA7keZoxUXT67dmVi9g7dZ26p0TZg3aip-P5ghW1TJmQnh-WUOqH6k3C9O_GGe5apxz-h2g/?imgmax=800" width="194" height="2" /></a></p> <p>ที่มา : <b>ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดพิจิตร</b><b> </b>. พิจิตร : จุลดิษฐ์การพิมพ์ , ๒๕๓๐.</p> ไม้ไผ่http://www.blogger.com/profile/13079736154779537493noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3975884513971132653.post-87607190376404665722010-08-16T01:07:00.001-07:002010-08-16T01:07:43.586-07:00กำแพงเพชร<p><b>ประวัติศาสตร์จังหวัดกำแพงแพชร</b><b></b></p> <p><b>สมัยก่อนสุโขทัย</b><b></b></p> <p>หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดที่พอจะตรวจสอบได้ของชุมชนโบราณแถบนี้ ได้แก่ ตำนานสิงหนวติกุมารซึ่งกล่าวถึง <i>อาณาเขตของโยนกนคร</i> <i>ในสมัยพระยาอชุตราชาว่าทิศใต้จดชายแดนลวะรัฐ</i> (ละโว้) ที่สบแม่ระมิง <i>(</i><i>ปากแม่น้ำปิง</i><i>)</i> ความนี้ส่อให้เห็นว่าดินแดนเมืองกำแพงเพชรแต่โบราณนั้น เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโยนกนครด้วยและจากตำนานฉบับเดียวกันนี้บันทึกว่า พระองค์ชัยศิริ ได้ละทิ้งเวียงไชยปราการหนีข้าศึกลงมาตั้งเมืองใหม่ชื่อว่า เมืองกำแพงเพชร แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานทางโบราณคดีอื่นใดที่จะระบุได้แน่ชัดว่า เมืองกำแพงเพชรของพระองค์ชัยศิริ จะเป็นเมืองเดียวกับเมืองกำแพงเพชรในปัจจุบัน แต่ก็มีผู้สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นเมืองเดียวกับเมืองไตรตรึงส์หรือเมืองแปป ซึ่งเป็นเมืองเก่าอยู่ทางฝั่งตะวันตกของลำน้ำปิง หรือเทพนครซึ่งอยู่บนฝั่งตะวันออกของลำน้ำปิง ซึ่งพบร่องรอยการเป็นเมืองโบราณทั้งสองแห่ง</p> <p>จากหลักฐานดังกล่าวอาจสรุปได้ว่า ชุมชนดั้งเดิมแถบนี้เป็นคนไทยที่มีสายสัมพันธ์กับคนไทยในอาณาจักรลานนาไทย (โยนกนคร)</p> <p>หลักฐานสำคัญก่อนสุโขทัยอีกฉบับหนึ่ง ได้แก่ตำนานชินกาลมาลีปกรณ์ตอนที่ว่าด้วยพระ</p> <p>สีหลปฏิมาหรือพระพุทธสิหิงค์ ได้กล่าวถึงบ้านโค ซึ่งตามทางสันนิษฐานว่าน่าจะหมายถึงบ้านโคน หรือเมืองคนที ว่าเป็นบ้านเดิมของโรจราช หรือพระร่วงแห่งกรุงสุโขทัย</p> <p><b>สมัยสุโขทัย</b><b></b></p> <p>เมืองและชุมชนโบราณในกลุ่มเมืองกำแพงเพชรสมัยสุโขทัยที่ปรากฏชื่อในศิลาจารึก ได้แก่เมืองนครชุม เมืองชากังราว เมืองคนที เมืองบางพาน เมืองเหล่านี้บางเมืองอาจเคยเป็นบ้านเมืองมาแล้วก่อนสมัยสุโขทัย แต่ในสมัยสุโขทัยตอนต้นเมืองนครชุมเป็นเมืองหลักในบริเวณนี้ โดยมีเมืองชากังราวเป็นเมืองเล็กๆ ร่วมสมัยอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปิง ตรงข้ามเมืองนครชุม เมื่อแรกเริ่มเป็นเมืองลูกหลวงของกรุงสุโขทัย ไม่ปรากฏหลักฐานว่าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ส่งผู้ใดมาปกครอง</p> <p>ที่เมืองชากังราวฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปิง ตรงข้ามกับเมืองนครชุมนั้นสมเด็จพระเจ้าบรม-วงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวไว้ในประชุมปาฐกถาตอนที่ว่าด้วย "พงศาวดารกรุงสุโขทัยคราวเสื่อม" ว่าน่าจะสร้างขึ้นเป็นเมืองลูกหลวงคู่กับเมืองศรีสัชนาลัยในรัชกาลพระเจ้าเลอไทย ซึ่งหากจะเทียบกับเรื่องราวประวัติศาสตร์ตอนนี้ที่เมืองศรีสัชนาลัยนั้น พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย) เป็นอุปราชครองเมืองอยู่ ส่วนที่เมืองชากังราวนั้นพระยางั่วนำทัพเรือจากเมืองชากังราวเสด็จไปยึดเมืองสุโขทัยเป็นเหตุให้พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย) อุปราชเมืองศรีสัชนาลัยต้องยกทัพไปปราบปราม แล้วจึงขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติครองกรุงสุโขทัย</p> <p>ในรัชกาลพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย) เมืองนครชุมและเมืองชากังราวมีความสำคัญมากขึ้น ดังมีหลักฐานในศิลาจารึกหลักที่ ๓ ว่า "ศักราช ๑๒๗๙ ปีระกา เดือน ๔ ออก ๕ ค่ำ วันศุกร์ หนไทย กัดเล้า บูรพผลคุณี นักษัตรเมื่อยามอันสถาปนานั้น เป็น ๖ ค่ำ แลพระยาลือไทยราช ผู้เป็นลูกพระยาเลอไทย เป็นหลานแก่พระยารามราช เมื่อได้เสวยราชย์ในเมืองศรีสัชนาลัยสุโขทัย ได้ราชาภิเษก อันฝูงท้าวพระยาทั้งหลายอันเป็นมิตรสหายอันมีในสี่ทิศนี้ แต่งกระยาดงวาย ของฝากหมากปลามาไหว้อันยัดยัญอภิเษกเป็นท้าวเป็นพระยา จึงขึ้นชื่อศรีสุริยพงศ์มหาธรรมราชาธิราช หากเอาพระศรีรัตนมหาธาตุอันนี้มาสถาปนาในเมืองนครชุมนี้ ปีนั้น "<a href="#_ftn1_9124" name="_ftnref1_9124">(</a>๑)</p> <p>ศิลาจารึกหลักที่ ๓ หรือที่เรียกว่า จารึกนครชุมนี้ ได้กล่าวถึงเมืองบางพาน เมืองคนทีว่าเป็นเมืองที่ขึ้นแก่กรุงสุโขทัย มีเจ้าปกครอง</p> <p>ที่เมืองบางพานนี้ ยังโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานพระพุทธบาท ที่เขานางทองแห่งหนึ่ง</p> <p>ในปลายรัชกาลพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย) ปรากฏหลักฐานในชินกาลมาลีปกรณ์ว่า เมื่อพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย) เสด็จมาประทับที่เมืองชัยนาท (ศาสตราจารย์ ดร. ประเสริฐ ณ นคร ตีความว่าคือสองแควหรือพิษณุโลก<a href="#_ftn2_9124" name="_ftnref2_9124">(</a>๒)) หลังจากที่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ (๑) (พระเจ้าอู่ทอง) ยกกองทัพมายึดไปได้และทรงคืนให้ พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย) ได้โปรดให้พระมหาเทวีผู้เป็นพระ-กนิษฐา ทรงครองเมืองสุโขทัยแทนให้อำมาตย์ชื่อติปัญญา (พระยาญาณดิส) มาครองเมืองกำแพงเพชร (ผูกเป็นศัพท์ภาษาบาลี วชิรปราการ)</p> <p>ในสมัยนี้เอง ติปัญญาอำมาตย์ได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐานในเมืองกำแพง-</p> <p>เพชร และแม้ว่าชินกาลมาลีปกรณ์จะออกชื่อเสียงเมืองกำแพงเพชรสมัยนั้นแต่หลักฐานเอกสารพงศาว-ดารกรุงศรีอยุธยา โดยเฉพาะพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ ยังคงเรียกชากังราว อยู่ต่อมา</p> <p><b></b></p> <p><b>สมัยกรุงศรีอยุธยา</b><b></b></p> <p>ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) เมืองกำแพงเพชร ยังคงเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญของกรุงสุโขทัย มีติปัญญาอำมาตย์ หรือพระยาญาณดิสปกครองเมือง</p> <p>ในสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๒ แห่งกรุงสุโขทัย ปรากฏหลักฐานในประชุมพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ว่า ในปี พ.ศ. ๑๙๑๖ และปี พ.ศ. ๑๙๑๙ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ (ขุนหลวงพะงั่ว) เสด็จไปตีชากังราว พระยาคำแหงเจ้าเมืองชากังราว สามารถยกพลเข้าต่อสู้จนกองทัพอยุธยาต้องยกทัพกลับทั้งสองคราวจนกระทั่งในปี พ.ศ. ๑๙๒๑ กองทัพอยุธยาขึ้นไปตีเมืองชากังราวอีก พระมหาธรรมราชาที่ ๒ ทรงยอมแพ้ออกมาถวายบังคม กรุงสุโขทัยตกเป็นประเทศราชขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ได้จัดแบ่งกรุงสุโขทัยออกเป็น ๒ ภาค โดยให้พระมหาธรรมราชา-</p> <p>ที่ ๒ ปกครองอาณาเขตทางลำน้ำยมและน่าน โดยมีเมืองพิษณุโลกเป็นเมืองเอกภาคหนึ่ง ส่วนด้านลำน้ำปิงให้พระยายุทิษฐิระราชบุตรบุญธรรมเป็นผู้ปกครอง คือบริเวณตากและกำแพงเพชร โดยมีเมืองกำแพงเพชรเป็นเมืองเอก จึงเข้าใจว่าเมืองชากังราวเมืองนครชุม ตลอดจนเมืองอื่นๆ จะรวมกันเป็นเมืองกำแพงเพชรตั้งแต่นั้นมา</p> <p>หลังจากสุโขทัยพ่ายแพ้กรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. ๑๙๒๑ แล้ว ต่อมาอีก ๑๐ ปี พระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐฯ บันทึกไว้อีกว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ต้องเสด็จยกทัพไปชากังราวอีก แต่ทรงประชวรกลางทาง ต้องเสด็จกลับ และเสด็จสวรรคตกลางทาง ต่อมาในปี พ.ศ. ๑๙๖๒ สมเด็จพระอินทราชาธิราชที่ ๑ เสด็จขึ้นปราบจลาจลเมืองเหนือ แล้วโปรดเกล้าฯ ให้พระยารามคำแหงครองเมืองสุโขทัย ให้พระยาบาลเมืองครองเมืองชากังราว</p> <p>เมืองชากังราวขึ้นโดยตรงต่อกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. ๑๙๙๔ ในสมัยสมเด็จพระบรมไตร-โลกนาถ ซึ่งในขณะนั้นกรุงสุโขทัยยังแข็งเมืองอยู่ จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๐๐๕ กรุงสุโขทัยจึงขึ้นกับกรุงศรี-อยุธยา</p> <p>ประวัติศาสตร์ชาติไทยตอนนี้ เป็นช่วงที่น่าฉงนในเรื่องการรบทัพจับศึกและชื่อบุคคลใน</p> <p>ราชวงศ์สุโขทัย แต่ถ้าจะทำความเข้าใจกับประวัติศาสตร์สุโขทัยสักเล็กน้อย ก็จะสามารถทำความเข้าใจกับประวัติศาสตร์ตอนนี้ไม่ยากนัก โดยจะขอยกประวัติย่อของอาณาจักรสุโขทัย ที่ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้า สุภัทรดิศ ดิศกุล ทรงนิพนธ์ไว้มาประกอบดังนี้</p> <p>"อาณาจักรสุโขทัย เป็นอาณาจักรแรกของไทยที่อาจทราบเรื่องราว และศักราช ได้ค่อนข้างแน่นอนจากศิลาจารึกและจดหมายเหตุ</p> <p>จากการสอบสวนในชั้นหลังสุด อาจกล่าวได้ว่าพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรสุโขทัยมี ๙ พระองค์คือ</p> <p>๑. พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ราว พ.ศ. ๑๘๐๐ - พ.ศ. ๑๘๑๑</p> <p>๒. พ่อขุนบาลเมือง ราว พ.ศ. ๑๘๑๑ - พ.ศ. ๑๘๒๑</p> <p>๓. พ่อขุนรามคำแหง ราว พ.ศ. ๑๘๒๑ - พ.ศ ๑๘๖๐</p> <p>๔. พระเจ้าเลอไทย ราว พ.ศ. ๑๘๖๖ - พ.ศ. ๑๘๘๔</p> <p>๕. พระเจ้างั่วนำถม ราว พ.ศ. ๑๘๙๐</p> <p>๖. พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย) ราว พ.ศ. ๑๘๙๐ - ราว พ.ศ. ๑๙๑๑</p> <p>๗. พระมหาธรรมราชาที่ ๒ ราว พ.ศ.๑๙๑๑ - ราว พ.ศ. ๑๙๔๒</p> <p>๘. พระมหาธรรมราชาที่ ๓ (ไสยลือไทย) ราว พ.ศ. ๑๙๔๒ -พ.ศ. ๑๙๖๒</p> <p>๙. พระมหาธรรมราชาที่ ๔ (บรมปาล) ราว พ.ศ. ๑๙๖๒ - ราว พ.ศ. ๑๙๘๑</p> <p>ในรัชกาลพ่อขุนรามคำแหง ถ้าเราเชื่อตามศิลาจารึกสมัยสุโขทัยหลักที่ ๑ จะเห็นได้ว่าอาณาจักรสุโขทัยเจริญรุ่งเรืองมาก มีอาณาเขตกว้างใหญ่ คือ ทางทิศตะวันออกไปถึงเมืองสระหลวง (ติดกับพิษณุโลก) สองแคว (พิษณุโลก) ตลอดจนถึงฝั่งแม่น้ำโขง ถึงเมืองเวียงจันทร์ เวียงคำ ในประเทศลาวปัจจุบันทางทิศใต้ถึงเมืองพระบาง (นครสวรรค์) แพรก (ชัยนาท) สุพรรณภูมิ (อู่ทอง) ราชบุรี เพชรบุรี นครศรีธรรมราชจนจดฝั่งทะเล ทางทิศตะวันตกถึงเมืองฉอด (สอด) และหงสาวดีในประเทศพม่า แต่ทางทิศเหนือถึงเพียงเมืองแพร่ เมืองชะวา (หลวงพระบาง) ในประเทศลาว…</p> <p>จากพระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐฯ ปรากฏว่าในปี พ.ศ. ๑๙๑๔ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ (ขุนหลวงพะงั่ว) แห่งพระนครศรีอยุธยา ได้เสด็จไปตีเมืองเหนือได้ทั้งหมด ซึ่งคงหมายถึงอาณาจักรสุโขทัย และตั้งแต่นั้นมาก็มีการรบพุ่งระหว่างอาณาจักรสุโขทัยและอยุธยาอีกหลายครั้ง เช่น ในปี พ.ศ. ๑๙๑๖-๑๙๑๘ และ ๑๙๑๙ ปรากฏว่า ในปี พ.ศ. ๑๙๒๑ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ได้เสด็จไปตีเมืองชากังราว (กำแพงเพชร) อีกและพระมหาธรรมราชาได้เสด็จออกมาถวายบังคม</p> <p>พระมหาธรรมราชาองค์นี้ คงเป็นพระมหาธรรมราชาที่ ๒ ราชโอรสของพระเจ้าลิไทยหรือพระมหาธรรมราชาที่ ๑ นั่นเอง…</p> <p>ในปี พ.ศ. ๑๙๖๒ พระมหาธรรมราชาที่ ๓ สวรรคต และอาณาจักรสุโขทัยเป็นจลาจลอีก สมเด็จพระนครินทราธิราช แห่งพระนครศรีอยุธยาจึงได้เสด็จขึ้นมาระงับการจลาจลถึงเมืองพระบาง (นครสวรรค์) ปรากฏว่าพระยาบาลเมืองและพระยาราม ซึ่งคงอยู่ในราชวงศ์สุโขทัยกำลังแย่งราชสมบัติกันอยู่ในขณะนั้น ได้ออกมาถวายบังคม</p> <p>พระยาบาลเมืองได้ขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหาธรรมราชาที่ ๔ (บรมปาล) </p> <p>พระมหาธรรมราชาที่ ๔ คงสวรรคตในปี พ.ศ. ๑๙๘๑ เพราะปรากฏว่าในปีนั้นสมเด็จพระ-บรมไตรโลกนาถ แห่งกรุงศรีอยุธยา ซึ่งขณะนั้นกำลังดำรงพระยศเป็นพระราเมศวร ตำแหน่งรัชทายาท ได้เสด็จขึ้นมาครองเมืองพิษณุโลก และนับแต่นั้นมาอาณาจักรสุโขทัยและอยุธยา ก็ได้รวมกันเป็นอาณา-จักรเดียว"<a href="#_ftn3_9124" name="_ftnref3_9124">(</a>๓)</p> <p>เมืองชากังราว ซึ่งต่อมากรุงศรีอยุธยาออกชื่อเรียกเป็นกำแพงเพชร ต้องรับศึกหนักจากกรุงศรีอยุธยาหลายครั้ง เพราะทุกครั้งที่กองทัพกรุงศรีอยุธยายกไปตีกรุงสุโขทัย จะต้องเข้าตีชากังราวก่อนเสมอ ซึ่งก็ได้รับการต่อสู้อย่างเหนียวแน่น กองทัพกรุงศรีอยุธยาไม่สามารถเข้าตีเมืองได้เลย แม้เมื่อกรุงสุโขทัยจะต้องยอมแพ้แก่กรุงศรีอยุธยาแล้ว เมืองกำแพงเพชรก็ยังพยายามที่จะแข็งเมืองเป็นอิสระอยู่เสมอ แต่ในที่สุดก็ตกเป็นเมืองขึ้นแก่กรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๑๙๙๔ เป็นต้นมา</p> <p>ตลอดระยะเวลาที่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เมืองกำแพงเพชรไม่เคยร้างหรือลดความสำคัญลงเลย ยังคงเป็นเมืองหน้าด่านให้กรุงศรีอยุธยาในการทำศึกสงครามกับพม่า และบรรดาหัวเมืองทางเหนือมาโดยตลอด และเมื่อกองทัพพม่าจะยกเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยาก็มักจะเข้ามายึดเมืองกำแพงเพชร ให้ได้ เพื่อใช้เป็นแหล่งสะสมเสบียงอาหารเช่นกัน</p> <p>เมื่อกำแพงเพชรขึ้นตรงต่อกรุงศรีอยุธยา ก็ไม่ปรากฏหลักฐานราชวงศ์ผู้ครองเมืองแน่ชัด แต่เข้าใจว่าคงจะส่งข้าราชการไปปกครอง และมีตำแหน่งพระยาวชิรปราการ ดังที่พระเจ้าตากสินได้รับพระ-ราชทางตำแหน่งในตอนปลายกรุงศรีอยุธยา</p> <p><b>สมัยกรุงธนบุรี</b><b></b></p> <p>หลังจากกรุงศรีอยุธยาแตกยับเยิน และสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกอบกู้เอกราชเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๐ แล้ว พระเจ้ากรุงธนบุรีมุ่งแต่การทำนุบำรุงเมืองให้เป็นปกติเรียบร้อย เมืองกำแพงเพชรซึ่งอยู่ห่างไกลจึงไม่มีบทบาทในสมัยกรุงธนบุรีมากนัก นอกจากการเป็นเมืองหน้าด่าน ในคราวรบทัพจับศึกเท่านั้นและเพราะเหตุที่กำแพงเพชรเป็นเมืองหน้าด่าน ต้องรับศึกหนักตลอดมา ประชาชนพลเมืองไม่เป็นอันทำมาหากิน ต้องอพยพหลบภัยอยู่เสมอ บ้านเมืองวัดวาอาราม ตลอดจนโบราณสถาน โบราณวัตถุ ทั้งหลาย ก็ย่อยยับไปเพราะผลแห่งสงคราม เมืองกำแพงเพชรปัจจุบันจึงเหลือแต่เพียงซากเมืองเก่าให้เราได้ชมเท่านั้น</p> <p><b>สมัยกรุงรัตนโกสินทร์</b><b></b></p> <p>ในรัฐสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรม-วงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ทรงจัดการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลให้เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงดำเนินการจัดตั้งมณฑลขึ้นในหัวเมืองชั้นใน ๔ มณฑลเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๕ คือ มณฑลกรุงเก่า มณฑลปราจีน มณฑลพิษณุโลก และมณฑลนครสวรรค์ เมืองกำแพงเพชรถูกจัดให้อยู่ในมณฑลนครสวรรค์ รวมอยู่กับเมืองอื่นๆ ได้แก่ ชัยนาท สรรค์บุรี มโนรมณ์ อุทัยธานี พยุหคีรี ตาก และนครสวรรค์ มณฑลนครสวรรค์นี้กว่าจะตั้งเป็นมณฑลอย่างสมบูรณ์ก็ในปี พ.ศ. ๒๔๓๘</p> <p>ในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ มีการเปลี่ยนคำว่า เมืองเป็นจังหวัด เมืองกำแพงเพชรจึงเปลี่ยนเป็นจังหวัดกำแพงเพชร ตั้งแต่ครั้งนั้น และยังคงขึ้นอยู่กับมณฑลนครสวรรค์เรื่อยมา จนกระทั่งมีการยกเลิกมณฑลเทศาภิบาลไปในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ มีการจัดระเบียบการปกครองแผ่นดินใหม่ จนถึงปัจจุบัน</p> <p><b>การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบบเทศาภิบาล</b><b></b></p> <p>ในสมัยรัชกาลที่ ๕ พระองค์ได้ทรงปรับปรุงระบบการปกครองประเทศให้ทันสมัย โดยมีพระราชโองการยกเลิกระเบียบการปกครองแต่เดิม และประกาศตั้งกระทรวงแบบใหม่ขึ้น ๑๒ กระทรวงเมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๕ โดยจัดสรรอำนาจและหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละกระทรวงให้เป็นสัดส่วนอาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงเกษตราธิการ กระทรวงการคลัง กระทรวงยุติธรรม เป็นต้น บรรดาหัวเมืองที่แบ่งเป็นฝ่ายเหนือ ฝ่ายใต้ ก็ให้อยู่ในบังคับบัญชาตราราชสีห์ของกระทรวงมหาดไทยทั้งหมด ตามประกาศพระบรมราชโองการลงวันที่ ๒๒ ธันวาคม ร.ศ. ๑๑๓ (พ.ศ. ๒๔๓๗)</p> <p>เมื่องานปกครองหัวเมืองที่เคยแยกไปอยู่ในอำนาจของกระทรวงกลาโหมก็ดี กระทรวงการต่างประเทศ หรือกรมเจ้าท่าก็ดี ได้ขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทยเพียงกระทรวงเดียว กระทรวงมหาดไทยจึงมีฐานะเป็นศูนย์กลางบัญชาการงานปฏิรูปการปกครองให้ทันสมัยโดยปริยาย เมื่อสมเด็จพระบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยเสด็จไปตรวจราชการหัวเมืองครั้งแรกได้ทรงพบข้อขัดข้องหลายประการในการปกครองหัวเมือง ประการแรก คือ มีหัวเมืองมากเกินไปแม้แต่หัวเมืองชั้นในก็มีหลายสิบเมืองการคมนาคมกับกรุงเทพฯ จะไปถึงก็ล่าช้า เช่นจะไปเมืองพิษณุโลกต้องเดินทางไปกว่า ๑๒ วันจึงจะถึง หัวเมืองก็อยู่หลายทิศทาง จะจัดการอันใดก็พ้นวิสัยที่เสนาบดีจะออกไปจัดหรือตรวจการได้เอง มีแต่ตราสั่งข้อบังคับและแบบแผนส่งออกไปในแผ่นกระดาษให้เจ้าเมืองจัดการ เจ้าเมืองก็มีหลายสิบคนจะเข้าใจคำสั่งต่างกันอย่างไร และใครจะทำการซึ่งสั่งไปนั้นอย่างไรก็ยากที่จะรู้</p> <p>ในที่สุดพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชดำริพร้อมด้วยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ จัดตั้งระเบียบการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลขึ้น</p> <p>การจัดระเบียบการปกครองเมืองแบบมณฑลเทศาภิบาล เป็นการจัดตั้งหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาค ซึ่งมีสภาพและฐานะตัวแทน หรือหน่วยงานประจำท้องที่ของกระทรวงมหาดไทย เพื่อความเข้าใจในเรื่องนี้ จึงขอนำคำจำกัดความของ "การเทศาภิบาล" ซึ่งพระยาราชเสนา (สิริ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) อดีตปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทยมากล่าวไว้ ณ ที่นี้</p> <p>"<b>การเทศาภิบาล</b><b>"</b></p> <p>คือการปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการอันประกอบด้วยตำแหน่งข้าราช-การต่างพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาลของพระองค์ รับแบ่งภาระของรัฐบาลกลาง ซึ่งประจำแต่เฉพาะในราชธานีนั้นออกไปดำเนินการในส่วนภูมิภาค เป็น สื่อกลางระหว่างประชากรของประเทศซึ่งอยู่ห่างไกลจากรัฐบาลซึ่งอยู่ในราชธานีให้ได้ใกล้ชิดกับอาณา</p> <p>ประชากรเพื่อให้เขาได้รับความร่มเย็นเป็นสุขและเกิดความเจริญทั่วถึงกัน โดยมีระเบียบแบบแผนอันเป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติฯ ด้วย จึงแบ่งเขตการปกครองโดยขนาดลดหลั่นกันเป็นชั้นอันดับดังนี้ คือ ส่วนใหญ่เป็นมณฑล รองถัดลงไปเป็นเมืองคือ จังหวัด รองลงไปอีกเป็นอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน จัดแบ่งหน้าที่ราชการเป็นส่วนสัดแผนกงานให้สอดคล้องกับทำนองการของกระทรวงทบวงกรมในราชธานี และจัดสรรข้าราชการที่มีความรู้สติปัญญา ความประพฤติดีให้ไปประจำทำงานตามตำแหน่งหน้าที่มิให้มีการก้าวก่ายสับสนกันดังที่เป็นมาแต่ก่อน เพื่อนำมาซึ่งความเจริญเรียบร้อยและรวดเร็วแก่ราชการและธุรกิจของประชาชน ซึ่งต้องอาศัยทางราชการเป็นที่พึ่งด้วย"<a href="#_ftn4_9124" name="_ftnref4_9124">(</a>๔)</p> <p>การปกครองหัวเมืองในสมัยก่อนใช้ระบบเทศาภิบาลนั้น อำนาจปกครองบังคับบัญชามีความหมายแตกต่างกันออกไปตามความใกล้ไกลของท้องถิ่น หัวเมืองหรือประเทศราชยิ่งไกลจากกรุงเทพฯ เท่าใดก็ยิ่งมีอิสระมากขึ้นเท่านั้น หัวเมืองที่รัฐบาลปกครองบังคับบัญชาได้โดยตรงก็มีแต่ หัวเมืองใกล้ฯ ส่วนหัวเมืองอื่นที่ไกลออกไปมักจะมีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครองแบบกินเมือง และมีอำนาจอย่างกว้างขวาง สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ จึงทรงพยายามที่จะจัดให้มีอำนาจการปกครองเข้ามารวมอยู่จุดเดียวกัน โดยจัดตั้งระบบเทศาภิบาล ซึ่งเป็นระบบที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการไปบริหารราชการในท้องที่ต่างๆ แทนที่ส่วนภูมิภาคจะจัดการปกครองกันเองเช่นแต่ก่อนอันเป็นระบบกินเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาล จึงเป็นระบบการปกครองที่รวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลาง หรือริดรอนอำนาจเจ้าเมืองตามระบบเดิมลงอย่างสิ้นเชิง และเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมหัวเมืองเข้าเป็นแบบมณฑลๆ ละ ๕ เมือง หรือ ๖ เมือง ในขนาดท้องที่ที่ผู้บัญชาการมณฑลอาจจะจัดการและตรวจตราได้เองตลอดอาณาเขตเรียกว่า "มณฑลเทศาภิบาล" ข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงในเขตมณฑลของตน</p> <p>การจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาล รัฐบาลมิได้ดำเนินการในทีเดียวทั้งประเทศ แต่ได้จัดตั้งเป็นระยะๆ ไปตั้งแต่ก่อนการปฏิรูปราชการบริหารส่วนกลาง ในปี พ.ศ. ๒๔๓๕ ทั้งนี้ถือลำน้ำซึ่งเป็นทางคมนาคมในสมัยนั้นเป็นเครื่องกำหนดเขตมณฑล (มณฑลเทศาภิบาลที่จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๓๗ คือ มณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีนและมณฑลนครราชสีมา ต่อมาเมื่อมีการโอนหัวเมืองทั้งหมดซึ่งเคยขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหมมาอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียวแล้วจึงได้รวมหัวเมืองฝ่ายใต้จัดเป็นมณฑลราชบุรีขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง) จากนั้นมา ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๓๘ ถึงปี พ.ศ. ๒๔๕๘ ก็ได้มีการจัดตั้งยุบเลิก แต่เปลี่ยนเขตของการปกครองมณฑลเทศาภิบาลอยู่ตลอดเวลา ตามความเหมาะสม</p> <p>ในมณฑลเทศาภิบาลแต่ละมณฑลมีข้าราชการคณะหนึ่งประกอบด้วยข้าหลวงเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑล ข้าหลวงมหาดไทย ข้าหลวงยุติธรรม ข้าหลวงคลัง เลขานุการข้าหลวงเทศาภิบาล และแพทย์ประจำมณฑลข้าราชการบริหารมณฑลจำนวนนี้เรียกว่า "กองมณฑล" เจ้าหน้าที่ ๖ ตำแหน่ง ดังกล่าวนี้เป็นเจ้าหน้าที่ที่กระทรวงมหาดไทยได้จัดให้มีขึ้นสำหรับบริหารงานมณฑล ละ ๑ กอง เป็นข้า-ราชการที่สังกัดกระทรวงมหาดไทยทั้งสิ้น</p> <p>ข้าหลวงเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลเป็นผู้รับผิดชอบปกครองมณฑล มีอำนาจสูงสุดในมณฑลเหนือข้าราชการพนักงานทั้งปวง มีฐานะเป็นข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณของพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้ทรงมอบความไว้วางพระราชหฤทัย โดยคัดเลือกจากขุนนางผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ออกไปปฏิบัติราชการมณฑลละ ๑ คน หน่วยการปกครองมณฑลเทศาภิบาลนี้ทำหน้าที่เหมือนสื่อกลางเชื่อมโยงรัฐบาลกลาง กับหน่วยราชการส่วนภูมิภาคหน่วยอื่นๆ เข้าด้วยกัน ข้าหลวงเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลมีอำนาจที่ใช้ดุลพินิจวินิจฉัยสั่งการได้เอง ยกเว้นเรื่องสำคัญซึ่งจะต้องขอความเห็นมายังกระทรวงมหาดไทยเท่านั้น เป็นการแบ่งเบาภาระของเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยเป็นอันมาก มณฑลเทศาภิบาลนับว่าเป็นวิธีการปกครองที่ทำให้รัฐบาลสามารถดึงเอาหัวเมืองๆ เข้ามาอยู่ภายใต้อำนาจพระเจ้าอยู่หัวได้อย่างแท้จริงผู้ว่าราชการเมืองของแต่ละเมืองในมณฑลต้องอยู่ภายในบังคับบัญชาข้าหลวงเทศาภิบาลอีกชั้นหนึ่ง โดยมิได้ขึ้นตรงต่อเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยโดยตรง ต่อมากระทรวงมหาดไทยยังได้เพิ่มตำแหน่งข้าราชการมณฑลขึ้นอีก เพื่อแบ่งเบาภาระข้าหลวงเทศาภิบาล เช่น ตำแหน่งปลัดเทศาภิบาลอำนาจหน้าที่รองจากข้าหลวงเทศาภิบาล เสมียนตรามณฑลเป็นเจ้าพนักงานการเงินรักษาพัสดุ ดูแลรักษาการปฏิบัติราชการมณฑลและมหาดเล็กรายงานมีหน้าที่ออกตรวจราชการตามเมืองและอำเภอต่างๆ ตลอดมณฑลเป็นต้น</p> <p>จังหวัดกำแพงเพชรนั้นถูกจัดอยู่ในมณฑลนครสวรรค์ ซึ่งจัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๓๘ โดยรวมอยู่กับเมืองอื่น ได้แก่ ชัยนาท สรรค์บุรี นโนรมย์ อุทัยธานี พยุหคีรี ตาก และนครสวรรค์</p> <p><b>การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน</b><b></b></p> <p>การปรับปรุงระเบียบการปกครอง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๕ นั้น ได้มีการเปลี่ยนแปลงการจัดระเบียบการปกครองหรือการบริหารราชการส่วนภูมิภาค โดยมีการตราพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ ซึ่งแบ่งหน่วยการปกครองส่วนภูมิภาคเป็นจังหวัดและอำเภอ โดยมิได้บัญญัติให้มีมณฑลตามนัยดังกล่าวจึงเท่ากับเป็นการยกเลิกมณฑลไปโดยปริยาย แต่ได้จัดแบ่ง "ภาค" ขึ้นใหม่ และให้มีข้าหลวงตรวจการสำหรับทำหน้าที่ตรวจควบคุม แนะนำ ชี้แจงข้อราชการต่อหน่วยราชการส่วนภูมิภาคเท่านั้น โดยมิได้มีหน้าที่บริหารราชการทั่วไปเหมือนอย่างมณฑลเทศาภิบาล ดังนั้น จังหวัดกับส่วนกลางจึงสามารถติดต่อกันได้โดยตรงมิต้องผ่านภาคแต่อย่างใด</p> <p>ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ประกาศพระราชบัญญัติบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๔๙๕ ยกเลิกพระราชบัญญัติเดิม พ.ศ. ๒๔๗๖ เสีย และจัดระเบียบการปกครองส่วนภูมิภาคเป็นภาค จังหวัดและอำเภอโดยมีผู้ว่าราชการภาคคนหนึ่งเป็นหัวหน้าปกครองบังคับบัญชาข้าราชการส่วนภูมิภาคภายในเขต ต่อมาก็ได้มีการยกเลิกภาคอีกโดยสิ้นเชิง ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๔๙๙ เหลือแต่เพียงหน่วยการปกครองจังหวัดและอำเภอตามเดิม</p> <p>พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๔๙๕ และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๔๙๙ ได้ใช้มาอีกเป็นเวลานาน จนกระทั่งถูกยกเลิกโดยประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ ซึ่งเริ่มใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ เป็นต้นไป โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น</p> <p>๑. จังหวัด</p> <p>๒. อำเภอ</p> <p>จังหวัดตั้งโดยพระราชบัญญัติซึ่งเป็นกฎหมายที่ต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐบาล ในการบริหารราชการของจังหวัดหนึ่งๆ นั้น มีผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นข้าราชการสังกัดกระทรวงมหาดไทยคนหนึ่ง เป็นผู้รับนโยบายและคำสั่งจากนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม มาปฏิบัติให้เหมาะสมกับท้องที่และประชาชน และเป็นหัวหน้าบังคับบัญชาบรรดาข้าราชการส่วน ภูมิภาคในเขตจังหวัดผู้ว่าราชการจังหวัด มีรองผู้ว่าราชการจังหวัดและปลัดจังหวัดเป็นผู้ช่วยปฏิบัติราช-การ และมีคณะกรมการจังหวัด ซึ่งประกอบด้วยหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัดจากกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น</p> <p>อำเภอจัดตั้งโดยพระราชกฤษฎีกา ในอำเภอหนึ่งมี นายอำเภอเป็นหัวหน้าปกครองบังคับบัญชา มีปลัดอำเภอและหัวหน้าส่วนราชการ ซึ่งกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ ส่งมาประจำ ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเหลือนายอำเภอในการปฏิบัติราชการแผ่นดิน</p> <p>จังหวัดกำแพงเพชรปัจจุบันนี้แบ่งการปกครองเป็น ๗ อำเภอ คือ</p> <p>๑. อำเภอเมืองกำแพงเพชร</p> <p>๒. อำเภอขานุวรลักษบุรี</p> <p>๓. อำเภอคลองขลุง</p> <p>๔. อำเภอพรานกระต่าย</p> <p>๕. อำเภอไทรงาม</p> <p>๖. อำเภอลานกระบือ</p> <p>๗. อำเภอคลองลาน <table cellspacing="0" cellpadding="0"><tbody> <tr> <td width="5"></td> </tr> <tr> <td></td> <td><a href="http://lh5.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGjxtnsGhgI/AAAAAAAAAM0/GYHHCi70R0A/s1600-h/clip_image0013.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image001" border="0" alt="clip_image001" src="http://lh5.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGjxwJr4jpI/AAAAAAAAAM4/3dEAj5FI6nk/clip_image001_thumb.gif?imgmax=800" width="240" height="2" /></a></td> </tr> </tbody></table> </p> <p>ที่มา : <b>ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดกำแพงเพชร</b><b>.</b> กรุงเทพฯ : บริษัทบพิธการพิมพ์ จำกัด, ๒๕๒๙. </p> <hr align="left" size="1" width="33%" /> <p><a href="#_ftnref1_9124" name="_ftn1_9124">(</a>๑) กรมศิลปากร, <b>จารึกสมัยสุโขทัย</b> (พิมพ์เนื่องในโอกาสฉลอง ๗๐๐ ปีลายเสือไทย พุทธศักราช ๒๕๒๑) หน้า ๒๙</p> <p><a href="#_ftnref2_9124" name="_ftn2_9124">(</a>๒) ดูเรื่อง "พระมหาธรรมราชาที่สอง ออกถวายบังคม" ในผลงานค้นคว้าประวัติศาสตร์ไทยของ ดร. ประเสริฐ ณ นคร</p> <p>ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๑๔</p> <p><a href="#_ftnref3_9124" name="_ftn3_9124">(</a>๓) ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิส ดิศกุล, ศิลปสุโขทัย, (คณะกรรมการฝ่ายวัฒนธรรม ของคณะกรรมการแห่งชาติ</p> <p>ว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งชาติ จัดพิมพ์),หน้า ๗-๙</p> <p><a href="#_ftnref4_9124" name="_ftn4_9124">(</a>๔) สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพและพระยาราชเสนา,เทศาภิบาล (พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทางเพลิงศพ</p> <p>พระยาอรรถกระวีสุวดาร ลงวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๓). หน้า ๖๕-๖๖</p> ไม้ไผ่http://www.blogger.com/profile/13079736154779537493noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3975884513971132653.post-87229045937440516192010-08-16T01:06:00.001-07:002010-08-16T01:06:02.837-07:00พิษณุโลก<h3><b>ประวัติศาสตร์จังหวัดพิษณุโลก</b><b></b></h3> <p>พิษณุโลกเป็นเมืองที่มีประวัติอันยาวนานควบคู่มากับประวัติศาสตร์ของไทย โดยมีชื่อเรียกต่าง ๆ กันในศิลาจารึก ตำนาน นิทาน และพงศาวดาร เช่น สองแคว สระหลวง สองแควทวิสาขะ ไทยวนที อกแตก การเปลี่ยนชื่อเป็น “พิษณุโลก” มาเปลี่ยนในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ</p> <h4>สมัยก่อนกรุงสุโขทัย</h4> <p>ก่อนที่ราชวงศ์พระร่วงซึ่งมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นต้นราชวงศ์ ขึ้นครองกรุงสุโขทัย เมื่อปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ นั้น ราชวงศ์ที่มีอำนาจครอบคลุมดินแดนแถบนี้ คือ ราชวงศ์ศรีนาวนำถม พ่อขุนศรีนาวนำถมเสวยราชเมืองเชลียงตั้งแต่ราว พ.ศ. ๑๗๖๒ พระองค์มีพระโอรส ๒ พระองค์ คือ พ่อขุนผาเมืองครองเมืองราด และพระยาคำแหงพระราม ครองเมืองพิษณุโลก ภายหลังจากที่พ่อขุน-ศรีนาวนำถมสิ้นพระชนม์ ขอมสมาดโขลณลำพง เข้ายึดเมืองศรีสัชนาลัยสุโขทัยไว้ได้ พ่อขุนผาเมืองและพระสหาย คือพ่อขุนบางกลางหาว ร่วมกันปราบปรามจนได้ชัยชนะ พ่อขุนผาเมืองจึงยกเมืองสุโขทัยให้ขุนบางกลางหาว ตั้งราชวงศ์พระร่วงครองเมืองสุโขทัย และได้เฉลิมพระนามเป็นพ่อขุนศรี- อินทราทิตย์</p> <h4>สมัยกรุงสุโขทัย</h4> <p>เมืองสองแคว (พิษณุโลก) อยู่ในอำนาจของราชวงศ์ผาเมืองจนกระทั่งในรัชกาลพ่อขุนราม-คำแหงมหาราช จึงได้ยึดเป็นสองแคว เดิมเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรสุโขทัย ครั้นสมัยพระมหา-ธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท) ได้เสด็จมาประทับที่เมืองสองแคว พระองค์ท่านได้เอาพระทัยใส่ทำนุบำรุงความเจริญ เป็นอย่างยิ่ง เช่น การสร้างเหมืองฝายสนับสนุนให้มีการขยายพื้นที่เพาะปลูก สร้างทางคมนาคมจากเมืองพิษณุโลก ไปสุโขทัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้มีการสร้างพระพุทธชินราช พระพุทธชินศรี พระศาสดา เพื่อประดิษฐานไว้ในพระวิหารพระศรีรัตนมหาธาตุ</p> <p>ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองพิษณุโลก ในช่วงที่พระเจ้าลิไทเสด็จมาประทับเท่าที่หลักฐานเหลืออยู่ น่าจะชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของพิษณุโลกในช่วงนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นศูนย์กลางการติดต่อที่สำคัญของลุ่มแม่น้ำน่าน</p> <p>พิษณุโลกในช่วงรัชกาลพระเจ้าศรีสุริยวงศ์บรมปาลไม่พบหลักฐานว่าได้มีบทบาทนอกเหนือไปจากเมืองหลวงของรัฐกันชนเล็ก ๆ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พระองค์ทรงสร้างไว้สำหรับเป็นอนุสาวรีย์ ซึ่งยังคงอยู่ทุกวันนี้ คือ การสร้างรอยพระพุทธบาทคู่พร้อมกับศิลาจารึก ไว้ที่เมืองพิษณุโลก เมื่อปี พ.ศ. ๑๙๗๐ พระองค์สิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. ๑๙๘๑ ที่เมืองพิษณุโลก พระยาอุธิษเฐียรโอรสของพระยารามได้ครองราชย์ที่เมืองพิษณุโลก ต่อมาระหว่าง พ.ศ. ๑๙๘๑ - ๑๙๙๔ จึงเอาใจออกห่างเป็นกบฏ พาพลเมืองไปร่วมกับพระเจ้าเชียงใหม่ ทางอยุธยาจึงส่งเจ้านายขึ้นมาปกครองเมืองพิษณุโลก แล้วผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยา</p> <h4>สมัยกรุงศรีอยุธยา</h4> <p>พิษณุโลกสมัยอยุธยามีความสำคัญยิ่งทางด้านการเมือง การปกครองยุทธศาสตร์ เศรษฐกิจ ศาสนาและศิลปวัฒนธรรม พิษณุโลกเป็นราชธานีในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๐๐๖–๒๐๓๑ รวมเวลา ๒๕ ปี นับว่าระยะนี้เป็นยุคทองของพิษณุโลก ในรัชสมัยของสมเด็จ-พระนเรศวรมหาราช ครั้งดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราช ณ เมืองพิษณุโลก ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๑๒–๒๑๓๓ ได้ทรงปลุกสำนึกให้ชาวพิษณุโลกเป็นนักรบกอบกู้เอกราชเพื่อชาติไทย ทรงสถาปนาพิษณุโลกเป็นเมืองเอก เป็นการสานต่อความเจริญรุ่งเรืองจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน</p> <p>ในด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากพิษณุโลกตั้งอยู่บนเส้นทางระหว่างรัฐทางเหนือคือ ล้านนาและกรุงศรีอยุธยาทางใต้ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐทั้งสองบางครั้งเป็นไมตรีกันบางครั้งขัดแย้งกันทำสงครามต่อกัน มีผลให้พิษณุโลกได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมประเพณีจากทั้ง ๒ รัฐ โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ พิษณุโลกเป็นเส้นทางผ่านสินค้าของป่า และผลิตผลทางเกษตร รวมทั้งเครื่องถ้วย โดยอาศัยการคมนาคมผ่านลำน้ำน่านสู่กรุงศรีอยุธยา ซึ่งขณะนั้นเป็นศูนย์กลางของการค้านานาชาติแห่งหนึ่ง ในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ในปัจจุบันที่พิษณุโลกมีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นแหล่งผลิตเครื่องถ้วยคุณภาพดี ซึ่งมีอยู่ทั่วไปตามบริเวณฝั่งแม่น้ำน่านและแม่น้ำแควน้อย โดยเฉพาะที่วัดตาปะขาวหาย พบเตาเผาเครื่องถ้วยเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งเครื่องถ้วยจำพวกโอ่ง อ่าง ไห ฯลฯ เครื่องถ้วยเหล่านี้ นอกจากจะใช้ในท้องถิ่นแล้วยังเป็นสินค้าส่งออกไปขายต่างประเทศด้วย วินิจฉัยว่าน่าจะเป็นแหล่ง อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ นับว่าพิษณุโลกมีความสำคัญยิ่งทางเศรษฐกิจ คือ เป็นแหล่งทรัพยากรของกรุงศรีอยุธยา</p> <p>ด้านการปกครอง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถปฏิรูปการปกครองครั้งใหญ่จัดระเบียบการปกครองที่เรียกว่า จตุสดมภ์ ได้แก่ เวียง วัง คลัง นา มีอัครเสนาบดีเป็นผู้ช่วยในการบริหารงาน คือ สมุหกลาโหม และสมุหนายก แบ่งเขตการปกครองออกเป็น ๓ ฝ่าย คือ หัวเมืองฝ่ายเหนือ อยู่ในความดูแลของสมุหนายก หัวเมืองฝ่ายใต้อยู่ในความดูแลของสมุหกลาโหม และหัวเมืองชายทะเลอยู่ในความดูแลของกรมท่า</p> <p>ด้านศาสนานั้น แม้ว่าเมืองพิษณุโลก จะเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในสงครามระหว่างอาณาจักรล้านนา-อยุธยา และพม่า-กรุงศรีอยุธยา มาโดยตลอดแต่การพระศาสนาก็มิได้ถูกละเลย ดังปรากฏหลักฐานทางโบราณวัตถุสถาน ชี้ให้เห็นชัดเจนว่าพระพุทธรูป และวัดที่ปรากฏในปัจจุบัน เช่น พระพุทธชินราช พระพุทธชินศรี พระศรีศาสดา วัดพระรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่) วัดจุฬามณี วัดอรัญญิก วัดนางพญา และวัดเจดีย์ยอดทอง เป็นต้น ล้วนแต่เป็นศิลปกรรมสมัยอยุธยา หรือมิฉะนั้นก็ได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์ของเดิมที่มีมาครั้งกรุงสุโขทัย แสดงว่าด้านพระศาสนาได้มีการทำนุบำรุงมาโดยตลอด</p> <p>ในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างอาคารวัดจุฬามณีขึ้นใน พ.ศ. ๒๐๐๗ และพระองค์ได้ทรงสละราชสมบัติออกผนวช ณ วัดจุฬามณี อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก เมื่อปี พ.ศ. ๒๐๐๘ เป็นเวลา ๘ เดือน ๑๕ วัน มีข้าราชบริพารตามเสด็จออกบวชถึง ๒,๓๔๘ รูป และในปี พ.ศ. ๒๐๒๕ ทรงมีพระบรมราชโองการให้บูรณะพระศรีรัตนมหาธาตุ ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหา-วิหาร และให้มีการสมโภชน์ถึง ๑๕ วัน พร้อมกันนั้นก็โปรดฯ ให้นักปราชญ์ราชบัณฑิตแต่งมหาชาติคำหลวง จบ ๑๓ กัณฑ์บริบูรณ์ด้วย ต่อมาในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ทรงสร้าง รอยพระพุทธบาทจำลอง เมื่อ พ.ศ. ๒๒๒๒ และโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานไว้ ณ วัดจุฬามณี พร้อมทั้งจารึกเหตุกาณ์สำคัญทางศาสนาในสมัยพระบรมไตรโลกนาถไว้บนแผ่นศิลาด้วย</p> <p>ด้านวรรณกรรม หนังสือมหาชาติคำหลวง ได้รับการยกย่องจากวงวรรณกรรมว่าเป็น วรรณคดีโบราณชั้นเยี่ยม นอกจากนี้ยังมีวรรณคดีสำคัญที่นักปราชญ์เชื่อว่านิพนธ์ขึ้นใน รัชสมัยสมเด็จ-พระบรมไตรโลกนาถ เช่น ลิลิตยวนพ่าย ลิลิตพระลอ โคลงทวาทศมาศและกำศรวลศรีปราชญ์ เป็นต้น</p> <p>เมืองพิษณุโลกในสมัยอยุธยาเคยเป็นทั้งเมืองราชธานี เมืองลูกหลวงและเมืองเอก ฉะนั้นจึงได้รับความอุปถัมภ์ทนุบำรุงในทุก ๆ ด้านสืบต่อกันมา นอกจากบางระยะเวลาที่พิษณุโลกอยู่ในภาวะสงคราม โดยเฉพาะสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาทั้ง ๒ ครั้ง ความรุ่งเรืองที่เคยปรากฏก็ถดถอยลงบ้าง แต่ในที่สุดก็หล่อหลอมเป็นวัฒนธรรมของชาวไทยมาจนถึงปัจจุบันนี้</p> <h4>สมัยกรุงธนบุรี</h4> <p>สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงเห็นว่าพิษณุโลกเป็นเมืองยุทธศาสตร์ที่สำคัญควรมีผู้ที่เข้ม-แข็งที่มีความสามารถเป็นเจ้าเมืองจึงทรงแต่งตั้งพระยายมราช (กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท) เป็น “เจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราช” สำเร็จราชการเมืองพิษณุโลก โดยขึ้นต่อกรุงธนบุรี เมื่อได้ทรงแต่งตั้งผู้ปกครองหัวเมืองฝ่ายเหนือจนครบถ้วนแล้ว จึงเสด็จกลับไปยังกรุงธนบุรี</p> <p>พ.ศ. ๒๓๑๘ อะแซหวุ่นกี้แม่ทัพพม่าผู้ชำนาญการรบ ได้วางแผนยกทัพมาตีหัวเมืองฝ่ายเหนือของไทยตีได้เมืองตาก เมืองสวรรคโลก บ้านกงธานี และมาพักกองทัพอยู่ที่กรุงสุโขทัย ขณะนั้นเจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ฯ กำลังยกกองทัพขึ้นไปตีเชียงแสน เมื่อทราบข่าวศึกจึงรีบยกทัพกลับมารับทัพพม่าที่เมืองพิษณุโลก ก่อนที่อะแซหวุ่นกี้ยกทัพมาตั้งค่ายรายล้อมเมืองพิษณุโลก กองทัพพม่าพยายามเข้าตีค่ายไทยหลายครั้ง แต่เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ ได้ช่วยป้องกันเมืองเป็นสามารถ ทั้ง ๆ ที่มีทหารน้อยกว่า แต่ไม่สามารถจะชนะกันได้ อะแซหวุ่นกี้ถึงกับยกย่องแม่ทัพฝ่ายไทยและขอให้ทั้งสองฝ่ายหยุดรบกัน ๑ วัน ทหารทั้งสองฝ่ายรับประทานอาหารร่วมกันด้วย เมื่อแม่ทัพไทยและแม่ทัพพม่ายืนม้าเจรจากันในสนามรบ อะแซหวุ่นกี้เห็นรูปร่างลักษณะของเจ้าพระยาจักรี แล้วจึงได้กล่าวสรรเสริญว่า “…ท่านนี้รูปงาม ฝีมือก็เข้มแข็ง อาจสู้รบกับเราผู้เป็นผู้เฒ่าได้ จงอุตส่าห์รักษาตัวไว้ภายหน้าจะได้เป็นกษัตริย์…” และบอกเจ้าพระยาจักรีว่า “…จงรักษาเมืองไว้ให้มั่นคงเถิดเราจะตีเอาเมืองพิษณุโลกให้จงได้ในครั้งนี้”</p> <p>สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เมื่อทราบข่าวอะแซหวุ่นกี้ยกกองทัพใหญ่มาตีหัวเมืองฝ่ายเหนือของไทย พระองค์จึงยกทัพใหญ่ขึ้นไปช่วยหัวเมืองฝ่ายเหนือทันที</p> <p>ฝ่ายอะแซหวุ่นกี้ ทราบว่ากองทัพไทยมาตั้งค่ายเพื่อช่วยเหลือเมืองพิษณุโลก จึงแบ่งกำลังพลไปตั้งมั่นที่วัดจุฬามณีทางฝั่งตะวันตก อะแซหวุ่นกี้เห็นว่าถ้าชักช้าไม่ทันการณ์ จึงสั่งให้ทัพพม่าที่กรุงสุโขทัยไปตีเมืองกำแพงเพชร กองทัพเมืองกำแพงเพชรยกไปตีเมืองนครสวรรค์ และสั่งให้กองทัพพม่าอีกกองหนึ่งยกไปตีกรุงธนบุรี การวางแผนของอะแซหวุ่นกี้เช่นนี้เป็นการตัดกำลังฝ่ายไทย ไม่ให้ช่วยเมืองพิษณุโลก และต้องการให้กองทัพไทยระส่ำระสาย</p> <p>ในที่สุดสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงมีพระราชดำริ เห็นว่าไทยเสียเปรียบเพราะมีกำลังทหารน้อยกว่า จึงควรถอยทัพกลับไปตั้งมั่นรับทัพพม่าที่กรุงธนบุรี เจ้าพระยาจักรีเห็นว่าไทยขาดเสบียงอาหารและใกล้จะหมดทางสู้ จึงตัดสินใจพาไพร่พลและประชาชนชายหญิงทั้งหมด ตีหักค่ายพม่าออกจากเมืองพิษณุโลกไปทางทิศตะวันออกได้สำเร็จพาทัพผ่านบ้านมุง บ้านดงชมพู ข้ามเขาบรรทัด ไปตั้งรวมรี้พลอยู่ที่เมืองเพชรบูรณ์</p> <p>พม่าล้อมเมืองพิษณุโลกอยู่นานถึง ๔ เดือน เมื่อเข้าเมืองได้ก็พบแต่เมืองร้าง อะแซหวุ่นกี้จึงสั่งเผาผลาญทำลายบ้านเมืองพิษณุโลกพินาศจนหมดสิ้น คงเหลือเฉพาะวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเท่านั้น</p> <h4>สมัยกรุงรัตนโกสินทร์</h4> <p>สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นนั้น ตั้งแต่ช่วงของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจนถึงก่อนการปฏิรูปการปกครองในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังคงจัดระเบียบการปกครองออกเป็นจตุสดมภ์ แต่ในส่วนภูมิภาค มีการแบ่งเขตการปกครองเป็นหัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอก และเมืองประเทศราช</p> <p>เมืองพิษณุโลกมีฐานะเป็นเมืองเอก ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในหัวเมืองฝ่ายเหนือของประเทศไทย มีประชากรทั้งสิ้นประมาณ ๑๕,๐๐๐ คน ซึ่งเป็นชาวจีนประมาณ ๑,๑๑๒ คน และมีเมืองต่าง ๆ อยู่ในอำนาจการปกครองดูแลหลายหัวเมืองด้วยกันคือ เมืองนครไทย ไทยบุรี ศรีภิรมย์ พรหมพิราม ชุมสอนสำแดง ชุมแสงสงครามพิบูล พิพัฒน์ นครชุม ทศการ นครพามาก เมืองการ เมืองคำ ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพสำคัญ คือ ทำนา ทำไร่ หาของป่า ทำไม้ และการเกณฑ์แรงงานไพร่ พ.ศ. ๒๔๐๙ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระอุตสาหะเสด็จประพาสเมืองเหนืออีกครั้งหนึ่ง โดยเสด็จทางเรือพระทั่นั่งอรรคราชวรเดชและพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะนั้นกำลังทรงผนวชเป็นสามเณรก็ได้ตามเสด็จมาด้วย เมื่อเสด็จถึงเมืองพิษณุโลกได้ทรงประทับและทรงสมโภชพระพุทธชินราชอยู่ ๒ วัน จึงเสด็จกลับ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ รัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๖ (เมื่อครั้งยังดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช) ได้เสด็จประพาสเมืองพิษณุโลก ทุกพระองค์ได้ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องราวต่าง ๆ ที่พระองค์ได้เสด็จไปทอดพระเนตรในระหว่างเสด็จ-ประพาส เช่น เรื่องเที่ยวเมืองพระร่วง พระราชปรารภเรื่องพระพุทธชินราช และเรื่องลิลิตพายัพ เป็นต้น เอกสารดังกล่าวนี้ ปัจจุบันมีคุณค่าอย่างยิ่งทางด้านประวัติศาสตร์ ส่วนรัชกาลที่ ๕ นั้นพระองค์ทรงประทับใจในความศักดิ์สิทธิ์และความสวยงามขององค์พระพุทธชินราช ถึงกับโปรดให้จำลองพระพุทธรูปพระพุทธชินราชไปเป็นประธานในพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตร ซึ่งพระองค์ทรงสร้างขึ้นในสมัยนั้น <table cellspacing="0" cellpadding="0"><tbody> <tr> <td width="2"></td> </tr> <tr> <td></td> <td><a href="http://lh4.ggpht.com/_pmd3HFzoSPM/TGjxVylQL-I/AAAAAAAAAMs/bcK0dxzwSf8/s1600-h/clip_image0013.gif"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="clip_image001" border="0" alt="clip_image001" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjdmSHV9wFetpnyrz0jl_tRzI3rMEOZpPb_TAIBt10HD0Sazw4CXkbrW26n_VtDA7J2y0mN5xHTnZ5wtUnCUprAjxePlKaI8VFHDKHxo6PNcO7EZY8uOO7ShlWR0tshK5Y2B4pUVfAzhMs/?imgmax=800" width="194" height="2" /></a></td> </tr> </tbody></table> </p> <p>ที่มา : <b>ประวัติการบริหารการปกครองจังหวัดพิษณุโลก</b> . พิษณุโลก : สำนักงานจังหวัดพิษณุโลก, ๒๕๓๗ .</p> ไม้ไผ่http://www.blogger.com/profile/13079736154779537493noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3975884513971132653.post-38205052168700309652010-08-15T13:42:00.001-07:002010-08-15T13:42:06.274-07:00สุโขทัย<p>ประวัติศาสตร์จังหวัดสุโขทัย</p> <p><b></b></p> <p>จากการศึกษาร่องรอยทางโบราณคดีและโบราณวัตถุ ศิลาจารึก และตำนานพงศาวดารท้องถิ่นหลายฉบับ ทำให้เข้าใจว่า ระยะก่อนปี พ.ศ. ๑๖๗๑ นั้น ปรากฏว่าอำนาจของอาณาจักรเขมร รุ่งเรืองมากในดินแดนสุวรรณภูมิ โดยเฉพาะตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. ๑๖๐๐ เป็นต้นมา จนถึงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ อาณาจักรเขมรมีศูนย์กลางอำนาจทางลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ที่เมืองละโว้ (ลพบุรี) อาณาจักรเขมรมีการปกครองแบบราชาธิปไตย กษัตริย์จะส่งขุนนางมาปกครองเมืองบริวาร โดยเมืองบริวารจะต้องส่งส่วยเป็นเครื่องราชบรรณาการให้แก่นครหลวง ขณะเดียวกับบางท้องถิ่นอาจเป็นอิสระมีอำนาจปกครองตนเอง กลุ่มชนมีขนาดไม่ใหญ่โต ผู้ปกครองเป็นผู้ที่ได้รับรับการยกย่องจากกลุ่มชนให้เป็นผู้ ปกครอง ไม่มีความซับซ้อนในการปกครองเพราะประชาชนยังมีน้อย บริเวณที่มีความสำคัญในบริเวณภาคเหนือตอนล่าง คือ </p> <p>๑. บริเวณเมืองศรีเทพ ลุ่มแม่น้ำป่าสัก ซึ่งมีซากโบราณสถานเป็นปรางค์ที่สร้างด้วยศิลาแลงและอิฐ รวมทั้งเทวรูปศิลาหลายองค์ ที่เห็นได้ชัดว่าเป็นศิลปกรรมแบบเขมร</p> <p>๒. บริเวณเมืองสองแคว (พิษณุโลก) ซึ่งปรากฏมีโบราณสถานเป็นศิลปกรรมแบบเขมร ได้แก่ พระปรางค์วัดจุฬามณี ซึ่งก่อสร้างด้วยศิลาแลง</p> <p>๓. บริเวณเมืองสุโขทัย และเมืองศรีสัชนาลัย ซึ่งเป็นโบราณสถานที่เป็นศิลปกรรมแบบเขมร คือ พระปรางค์วัดเจ้าจันทร์ พระปรางค์ ๓ องค์วัดพระพายหลวง ศาลตาผาแดงและฐาน พระปรางค์วัดศรีสวาย เมืองเก่าสุโขทัย เป็นต้น</p> <p>สุโขทัยในฐานะที่เป็นแคว้นทางการปกครองอย่างเป็นเอกเทศ ได้ปรากฏรูปร่างขึ้นมาเมื่อพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เมื่อวีรบุรุษไทย ๒ คน คือ พ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด และพ่อขุนบางกลางหาว เจ้าเมืองบางยาง สหายทั้ง ๒ ท่าน ได้ร่วมมือกันยึดเมืองสุโขทัยและศรีสัชนาลัยคืนมาจากข้าศึกที่ชื่อว่า “ขอมสบาดโขลญลำพง”</p> <p>เมืองสุโขทัยเดิม พญาศรีนาวนำถม<a href="#_ftn1_5135" name="_ftnref1_5135">[๑]</a> เป็นเจ้าเมืองครองอยู่ แต่ครั้นเมื่อพญาศรีนาวนำถมถึงแก่กรรมลง ได้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้น โดยต้องตกอยู่ในอำนาจปกครองของขอมสบาดโขลญลำพง ดังนั้นพ่อขุนผาเมืองผู้เป็นโอรส จึงได้ร่วมกับพ่อขุนบางกลางหาวยึดอำนาจคืน สำหรับพ่อขุนผาเมืองนั้นนอกจากเป็นโอรสของเจ้าเมืองสุโขทัยเก่า และเป็นเจ้าเมืองราดแล้ว ยังดำรงฐานะเป็นราชบุตรเขยของกษัตริย์เขมรและได้รับมอบนามเกียรติยศ คือ “ศรีอินทราบดินทราทิตย์” กับพระขรรค์ชัยศรีจากกษัตริย์เขมรด้วย</p> <p>เมื่อทั้งสองยึดเมืองศรีสัชนาลัยกับสุโขทัยได้แล้ว พ่อขุนผาเมืองจึงได้มอบเมืองสุโขทัยให้สหายตนครอบครอง พร้อมทั้งนามเกียรติยศตนให้แก่สหาย ส่วนตัวเองกลับไปครองเมืองราดเช่นเดิม ด้วยเหตุนี้ พ่อขุนบางกลางหาวจึงได้เป็นที่รู้จักกันภายหลังในนามว่า “ศรีอินทราบดินทราทิตย์” หรือ “ศรีอินทราทิตย์”</p> <p>พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ครอบครองสุโขทัยเป็นศูนย์กลางมีอำนาจอยู่แถบบริเวณลุ่มแม่น้ำยมและแม่น้ำปิงตอนล่าง ทรงมีโอรสที่ปรากฏนามอยู่สองพระองค์ คือ พ่อขุนบานเมืองผู้พี่และพ่อขุน รามราชผู้น้อง</p> <p>ในขณะนั้นบ้านเมืองยังอยู่ในความไม่สงบ ยังมีผู้นำของกลุ่มชนอิสระอยู่อีกหลายกลุ่มที่คิดจะตั้งตัวเป็นใหญ่ ดังนั้น ในการรวบรวมกลุ่มชนต่างๆ เหล่านั้นเข้าด้วยกันจึงต้องมีการทำสงครามต่อสู้กัน ดังเช่นครั้งหนึ่งเมื่อพ่อขุนรามราช อายุได้ ๑๙ ปี ประมาณปี พ.ศ. ๑๘๐๐ ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดมาตีเมืองตาก ซึ่งเป็นเมืองอยู่ในอาณาเขตปกครองของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ครั้งนั้นพ่อขุนรามราชได้ช่วยพระราชบิดาออกสู้รบด้วย และสามารถชนช้างชนะขุนสามชนได้ พ่อขุนศรอินทราทิตย์จึงให้นาม พ่อขุนรามราชว่า “พระรามคำแหง”</p> <p>เมื่อขุนศรีอินทราทิตย์สิ้นพระชนม์ พ่อขุนบานเมือง ได้ขึ้นครองราชย์ต่อมา แต่อยู่ในช่วงระยะสั้นๆ ไม่ปรากฏเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ เมื่อพ่อขุนบานเมืองสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. ๑๘๒๒ พ่อขุนรามคำแหง จึงได้ครองราชย์ต่อมาและได้ทรงเป็นมหาราชย์พระองค์แรกของชาติไทย ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชถือได้ว่าเป็นยุคทองของสุโขทัย อาณาจักรสุโขทัยมีความเจริญรุ่งเรืองกว่าในรัชกาลใดๆ ในราชวงศ์พระร่วง ราชอาณาจักรแผ่ขยายไปอย่างกว้างขวาง</p> <p>ทิศเหนือ อาณาเขตถึงเมืองหลวงพระบาง โดยมีเมืองต่างๆ คือ เมืองแพร่ เมืองน่าน เมืองปัว</p> <p>ทิศใต้ อาณาเขตถึงฝั่งทะเลสุดเขตมาลายู โดยมีเมืองต่างๆ คือ เมืองคนที เมืองพระบาง เมืองแพรก เมืองสุพรรณภูมิ เมืองเพชรบุรี และเมืองนครศรีธรรมราช</p> <p>ทิศตะวันออก อาณาเขตถึงเมืองเวียงจันทน์ และเมืองเวียงคำ โดยมีเมืองสระหลวง เมืองสองแคว เมืองลุมบาจาย และเมืองสคา</p> <p>ทิศตะวันตก อาณาเขตถึงเมืองฉอดและเมืองหงสาวดี</p> <p>ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช บ้านเมืองอยู่อย่างสงบ มีความร่มเย็นเป็นสุขดังที่ปรากฏในศิลาจารึกว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” การพาณิชย์เจริญก้าวหน้า พระองค์ได้ทรงวางระเบียบปกครองบ้านเมือง ทั้งยังประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๑๘๒๖ กับทั้งทรงดูแลการเพิ่มผลผลิตของประชากรเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของอาณาจักร</p> <p>พระราชโอรสพระองค์หนึ่งของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช คือ พญาเลอไท ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นพระมหาอุปราชครองเมืองศรีสัชนาลัย ในขณะที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราชครองราชสมบัติอยู่ เมื่อพ่อขุนรามคำแหงมหาราชสวรรคตในราว พ.ศ. ๑๘๔๒ เมืองต่างๆ ที่เคยอยู่ในอำนาจของอาณาจักรสุโขทัย ได้แตกแยกกันออกเป็นอิสระ ทำให้เสถียรภาพของอาณาจักรสุโขทัยอยู่ในฐานะที่คับขัน กษัตริย์ที่ครองราชสมบัติสืบต่อจากพ่อขุนรามคำแหง คือ พญาไสสงคราม การที่เมืองต่างๆ พยายามแยกตัวออกเป็นอิสระ รวมทั้งเมืองที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงพยายามแยกตัวออกไป แสดงให้เห็นว่าถ้าไม่เกิดความยุ่งยากในราชวงศ์ก็ขึ้นอยู่กับการปกครองเป็นสำคัญ เพราะการปกครองในสมัยนั้นเป็นแบบนครรัฐ คือแต่ละเมืองก็มีผู้ปกครองนครเป็นอิสระ เข้ามารวมกันได้ก็เพราะศรัทธากษัตริย์องค์เดียวกันเท่านั้น</p> <p>หลังจากรัชกาลของพญาไสสงครามแล้ว พญาเลอไทได้ครองราชสมบัติต่อมาราว พ.ศ. ๑๘๖๖ ซึ่งน่าจะต้องดำเนินนโยบายในการพยายามรวบรวมอาณาจักรเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง ตลอดระยะเวลา ๑๘ ปี ที่พระองค์ครองราชสมบัติอยู่นั้นไม่มีรายละเอียดปรากฏอยู่มากนัก พระองค์สวรรคตราวปี พ.ศ. ๑๘๘๔</p> <p>ต่อมารัชกาลพญาเลอไท มีกษัทตริย์ที่ออกพระนามในศิลาจารึกพระองค์หนึ่งคือ พญางัว-นำถม<a href="#_ftn2_5135" name="_ftnref2_5135">[๒]</a> ในฐานะพระอนุชาแต่เป็นโอรสของพ่อขุนบานเมือง ได้ขึ้นครองเมืองสุโขทัยและได้โปรดให้พญา ลิไท ผู้เป็นโอรสของพญาเลอไทไปครองเมืองศรีสัชนาลัย ในฐานะอุปราชครองเมืองลูกหลวง เมื่อ พญางัวนำถมสวรรคตในราว พ.ศ. ๑๘๙๐ เกิดความเปลี่ยนแปลงภายในราชสำนักกรุงสุโขทัยที่ไม่ชอบตามขนบธรรมเนียม บรรดาหัวเมืองต่างๆ แสดงตัวอย่างเปิดเผยถึงการดำรงอยู่อย่างอิสระ ไม่ยอมขึ้นกับส่วนกลาง พญาลิไทจึงลอบเสด็จยกทัพจากเมืองศรีสัชนาลัยใช้กำลังเข้ายึดเมืองไว้ได้ แล้วปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์กรุงสุโขทัย ทรงพระนามว่า “ศรีสุริพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราช” เมื่อครอง กรุงสุโขทัยแล้วทรงปราบปรามเจ้าเมืองต่างๆ ภายในแคว้น แล้วแต่งตั้งพระบรมวงศานุวงศ์ที่ไว้วาง พระราชหฤทัย ไปปกครองรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง คือ กรุงสุโขทัย บ้านเมืองจึงอยู่ด้วยความสงบเรียบร้อยอีกครั้งหนึ่ง</p> <p>ความพยายามของพระมหาธรรมราชชาลิไท ภายหลังขึ้นครองราชสมบัติแล้ว คือ ความ มุ่งหวังที่จะรวบรวมเมืองต่างๆ ที่แตกแยกกันออกไปให้กลับเข้ามารวมในอาณาจักรเดียวกันอีกและมีความหวังว่าจะให้มีอาณาเขตใหญ่โตเท่ากับสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชจนถึงกับเสด็จไปยังเมืองต่างๆ เพื่อเผยแพร่และกระทำกิจทางศาสนา ซึ่งขณะเดียวกันก็แสดงให้เมืองต่างๆ ที่พระองค์เสด็จไปเห็นว่า พระองค์มีแสนยานุภาพและมีพระราชอำนาจเต็มในกิจการต่างๆ ทั่วราชอาณาจักรของพระองค์ เช่นในปี พ.ศ. ๑๙๐๒ พระองค์เสด็จยกทัพไปตีเมืองแพร่ กวาดต้อนครัวเรือนมาเป็นข้าพระที่วัดป่าแดง ศรีสัชนาลัย และในปีนั้นก็ได้ประดิษฐ์รอยพระพุทธบาทจำลองที่เขาสุมนกูฎ เมืองสุโขทัย</p> <p>ในฐานะผู้ครอบครองแคว้นสุโขทัย พระมหาธรรมราชาลิไท ทรงพยายามดำเนินรอยตามเบื้องพระยุคลบาท พ่อขุนรามคำแหงมหาราช คือ เป็นทั้งนักปราชญ์ผู้สนพระทัยในทางศาสนาโดยให้ความอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ส่งสมณทูตไปเผยแพร่พระพุทธศาสนายังที่ต่างๆ ที่พระองค์ต้องการเป็นพันธมิตรด้วย เช่น เมืองน่าน หลวงพระบาง และกรุงศรีอยุธยา แต่ขณะเดียวกันก็ได้แสดงบทบาทของการเป็นนักรบที่พยายามขยายอำนาจของแคว้นสุโขทัยให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ในสมัยของพระองค์ นอกจากจะได้ยกทัพไปตีเมืองแพร่ทางทิศเหนือแล้ว ทางทิศตะวันออก ได้พยายามขยายขอบเขตออกไปถึงเมืองลุ่มแม่น้ำป่าสัก จากบทบาทการเป็นนักรบของพระองค์ที่ขยายพระราชอำนาจไปยังเมือง ลุ่มน้ำป่าสักนี้เอง ทำให้กระทบกระทั่งกับกรุงศรีอยุธยา ที่มีความเกี่ยวข้องกับบ้านเมืองแถบนั้น สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) จึงเสด็จลอบยกทัพมายึดเมืองสองแควไว้ได้ และได้โปรดให้ขุนหลวงพ่องั่ว พระเชษฐาของพระมเหสี ซึ่งขณะนั้นครองเมืองสุพรรณบุรี มาปกครองเมืองสองแคว ทำให้พระมหาธรรมราชาลิไท ต้องถวายบรรณาการเป็นอันมาก ในที่สุดสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ จึงทรงมอบเมืองสองแควคืน และโปรดให้ขุนหลวงพ่องั่วไปครองเมืองสุพรรณบุรีดังเดิม</p> <p>ในการคืนเมืองสองแควนั้น สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ทรงตั้งเงื่อนไขว่าพระมหาธรรมราชา ลิไท ต้องเสด็จไปประทับที่เมืองสองแคว จึงเป็นเหตุให้แคว้นสุโขทัยที่เริ่มจะรวมตัวกันได้ต้องสั่นคลอน เมื่อพระมหาธรรมราชาลิไทเสด็จไปประทับอยู่เมืองสองแควได้โปรดให้พระอนุชาปกครองเมืองสุโขทัยแทน</p> <p>ในปี พ.ศ. ๑๙๑๒ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ สวรรตค สมเด็จพระราเมศวรขึ้นครองราชสมบัติ เมื่อพระมหาธรรมราชาลิไททรงทราบ จึงคาดสถานการณ์ว่า ทางกรุงศรีอยุธยาคงต้องมีเหตุไม่เรียบร้อยขึ้นแน่ พระองค์จึงรวบรวมพลจากเมืองต่างๆ ในแคว้นสุโขทัยที่เจ้าเมืองยังคงจงรักภักดีต่อพระองค์ เสด็จยกพลมายังกรุงสุโขทัย การเสด็จกลับคืนสุโขทัยในครั้งนี้ หลังจากที่ต้องทรงประทับอยู่ที่สองแควถึง ๗ ปี จึงเป็นการเตรียมการที่จะใช้ตำแหน่งของเจ้าเมืองสุโขทัยอันเป็นบัลลังก์ที่บรรพบุรุษของพระองค์ได้สั่งสมอำนาจไว้นั้น เพื่อเป็นศูนย์กลางในการระดมกำลังก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัยให้มีฐานะมั่นคงสืบไป พระองค์ทรงเริ่มบทบาทโดยการเป็นพันธมิตรกับแคว้นล้านนาซึ่งขณะนั้นมีเจ้ากือนา เป็นกษัตริย์ปกครอง โดยพระองค์ได้ส่งตระสุมนะเถระเป็นสมณะทูตขึ้นไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่เมืองเชียงใหม่</p> <p>ในปี พ.ศ. ๑๙๑๓ ขุนหลวงพ่องั่วซึ่งขึ้นครองเมืองสุพรรณบุรี ได้เห็นความเคลื่อนไหวของพระมหาธรรมราชาลิไทที่กรุงสุโขทัย พระองค์จึงเข้ายึดอำนาจกรุงศรีอยุธยาด้วยความยินยอมของสมเด็จพระราเมศวร ซึ่งได้ทรงกลับไปครองเมืองลพบุรีตามเดิม ขุนหลวงพ่องั่วเสด็จขึ้นครองราชย์ทรงพระนามว่า "สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑"</p> <p>พระมหาธรรมราชาลิไท เสด็จสวรรคตเมื่อปีใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าอยู่ในระหว่าง พ.ศ. ๑๙๑๓-๑๙๑๖ หลังจากนั้นอาณาจักรสุโขทัยเกิดความแตกแยก เนื่องจากขาดผู้นำอาณาจักรที่เป็นที่ยอมรับของญาติพี่น้องครองเมืองต่างๆ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ จึงเสด็จขึ้นมายึดอาณาจักรสุโขทัยได้ทั้งหมด หากแต่ยังโปรดให้เชื้อพระวงศ์ทางสุโขทัยปกครองตนเอง โดยขึ้นตรงกับอาณาจักรอยุธยา คือ พระมหาธรรมราชาที่ ๒ ซึ่งในสมัยของพระองค์ อาณาจักรสุโขทัยอยู่ในฐานะเป็นรัฐกันชนระหว่างอาณาจักรเชียงใหม่กับอาณาจักรอยุธยา ซึ่งต่างก็แสดงความเคลื่อนไหวในการที่จะผนวกเอาดินแดนของอาณาจักรสุโขทัยตลอดเวลา ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาพระบรมราชาธิราชที่ ๑ (ขุนหลวงพ่องั่ว) พระองค์ทรงเกรงว่าอาณาจักรสุโขทัยจะมีไมตรีกับอาณาจักรเชียงใหม่ เพราะหากทั้งสองอาณาจักรร่วมมือกันแล้วจะทำให้อาณาจักรอยุธยาอยู่ในฐานะลำบาก จึงทรงยกทัพมาปราบปรามหัวเมืองชายแดนที่ติดต่อกับอาณาเขตของสุโขทัย และหาเหตุเข้าโจมตีเมือง ในอาณาจักรสุโขทัยด้วย ตามพงศาวดารอยุธยากล่าวว่า</p> <p>พ.ศ. ๑๙๑๔ สมเด็จพระบรมราชาธิราช (ขุนหลวงพ่องั่ว) มีชัยชนะต่อหัวเมืองเหนือทั้งปวง</p> <p>พ.ศ. ๑๙๑๕ อยุธยายกทัพไปตีเมืองนครพังคา และเมืองแสงเชรา</p> <p>พ.ศ. ๑๙๑๖ อยุธยายกทัพไปตีเมืองชากังราว พญาไสแก้ว กับ พญาคำแหง สู้รบป้องกันเมืองจนพญาไสแก้วเสียชีวิตในที่รบ พญาคำแหงถอยทัพกลับเข้าเมืองได้</p> <p>พ.ศ. ๑๙๑๘ อยุธยายกทัพไปตีเมืองพิษณุโลก ขุนสามแก้ว เจ้าเมืองพิษณุโลกถูกจับได้ ทัพอยุธยาได้เมืองและกวาดต้อนผู้คนจากเมืองพิษณุโลกกลับมามาก</p> <p>พ.ศ. ๑๙๑๙ อยุธยายกกองทัพไปตีเมืองชากังราว ครั้งที่สอง คราวนี้กองทัพพญาผากองเจ้าเมืองน่านมาช่วยรบร่วมกับพญาคำแหงด้วย แต่ก็ไม่สามารถสู้กองทัพอยุธยาได้ พญาผากองยกกองทัพหนีไป กองทัพอยุธยาตามจับตัวแม่ทัพนายกองได้มาก</p> <p>พ.ศ. ๑๙๒๑ อยุธยายกกองทัพไปตีเมืองชากังราว เป็นครั้งที่ ๓ พระมหาธรรมราชา ยกกองทัพออกมาป้องกันเมืองด้วยพระองค์เอง แต่ก็ต้องยอมพ่ายแพ้แก่กองทัพอยุธยาจนถึงกับต้องยอมถวายบังคมอ่อนน้อมต่ออาณาจักรอยุธยา</p> <p>เมื่อพระมหาธรรมราชาที่ ๒ ยอมถวายบังคมต่อสมเด็จพระบรมราชาธิราชแห่งอยุธยาแล้ว เสถียรภาพทางการเมืองของสุโขทัยยิ่งลดน้อยลงตามลำดับ ทั้งนี้เพราะถูกอาณาจักรอยุธยาจำกัดอำนาจลง กับรวมทั้งการที่กษัตริย์สุโขทัยย้ายที่ประทับอยู่ที่เมืองสองแควด้วย</p> <p>พระมหาธรรมราชาที่ ๒ สวรรคตราว พ.ศ. ๑๙๔๒ และพญาไสลือไทขึ้นครองราชสมบัติ ต่อมาทรงพระนามว่า "พระมหาธรรมราชาที่ ๓" อาจกล่าวได้ว่าภายหลังที่ทางอาณาจักรอยุธยาตัดกำลังหัวเมืองต่างๆ ของสุโขทัยลงแล้ว เสถียรภาพทางการเมืองของอาณาจักรสุโขทัยก็ทรุดลงและยากที่จะแก้ไขให้มั่นคงขึ้นได้ เนื่องจากอาณาจักรอยุธยาสามารถขยายตัวออกไปได้อย่างกว้างขวาง แต่ถึงกระนั้น พระมหาธรรมราชาที่ ๓ ก็ได้ทรงกู้เสถียรภาพทางการเมืองของสุโขทัย โดยได้ยกกองทัพออกไปปราบปรามหัวเมืองต่างๆ ให้อยู่ในอำนาจแม้จะไม่ได้มากเท่ากับครั้งพญาลิไทก็ตาม แต่พระองค์ก็ได้ทำสงครามหลายครั้งรวมทั้งเคยยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. ๑๙๔๕ ด้วย ซึ่งแม้จะไม่ได้ผลทางชัยชนะเลยก็ตาม แต่เป็นการแสดงถึงความพยายามในการสร้างอาณาจักรให้มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้นกว่าการเป็นรัฐกันชนขนาดเล็กที่อาจถูกผนวกเข้าไปอยู่กับดินแดนของอาณาจักรหนึ่งได้</p> <p>พญาไสลือไท ทรงมีพระราชโอรสสองพระองค์ คือ พญาบาล และพญาราม หลังจากที่พญาไสลือไทเสด็จสวรรคต ในปี พ.ศ. ๑๙๖๒ ก็เกิดจลาจลแย่งชิงราชสมบัติ สมเด็จพระนครินทราชาธิราช (พระอินทราชาธิราช) กษัตริย์อยุธยาต้องยกทัพมาปราบจลาจลโดยยกทัพไปถึงพระบาง (นครสวรรค์) พญาบาล และพญาราม ต้องออกมากราบบังคมต่อสมเด็จพระนครินทราชาธิราช สมเด็จพระนครินทราชาธิราชจึงโปรดให้สถาปนาพญาบาลครองเมืองพิษณุโลก ทรงพระนามว่าพระเจ้าศรีสุริยวงศ์บรม-ปาลมหาธรรมราชาธิราช และพญาราม โปรดเกล้าให้ครองเมืองสุโขทัย</p> <p>พระเจ้าศรีสุริยวงศ์บรมปาลครองราชสมบัติอยู่ ๑๙ ปี จึงเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. ๑๙๘๑ การสวรรคตของพระเจ้าศรีสุริยวงศ์บรมปาล (พระมหาธรรมราชาที่ ๔) นักประวัติศาสตร์ถือว่าเป็นการสิ้นสุดยุคอาณาจักรสุโขทัยด้วย</p> <p>เมื่อพระเจ้าศรีสุริยวงศ์บรมปาล สวรรคต สมเด็จพระบรมราชาที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) จึงโปรดให้สถาปนาพระราเมศวรราชโอรส ซึ่งประสูตรจากเจ้าหญิงสุโขทัยพระองค์หนึ่ง ซึ่งขณะนั้นมี พระชนมายุเพียง ๗ พรรษา เป็นพระมหาอุปราชครองเมืองสองแคว ทั้งนี้เพราะทรงเห็นว่าเป็นพระราชโอรสที่มีเชื้อสายทางเจ้านายฝ่ายสุโขทัย คงจะเข้ากับทางราชวงศ์สุโขทัยได้ดีและเท่ากับเป็นการผนวกดินแดนของอาณาจักรสุโขทัยในตัวไปด้วย</p> <p>สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) เสด็จสวรรคตเมื่อปี ๑๙๙๑ พระราเมศวร-อุปราช จึงเสด็จจากเมืองสองแควไปครองกรุงศรีอยุธยา ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ส่วนที่เมืองสองแควโปรดให้พระยุษธิฐิระ โอรสของพญารามเป็นเจ้าเมือง แต่ก็ทรงรวมอำนาจจากการบริหารราชการแผ่นดินเข้าสู่ส่วนกลางที่กรุงศรีอยุธยา ฝ่ายพระยุษธิฐิระ ไม่พอใจอย่างมากที่เป็นเพียงเจ้าเมืองสองแคว จึงหันไปผูกมิตรกับพระเจ้าติโลกราช เมืองเชียงใหม่ ทำให้เกิดการสู้รบยืดเยื้อระหว่างอาณาจักรอยุธยาและอาณาจักรเชียงใหม่ ตลอดรัชกาลของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับกลุ่มหัวเมืองเหนือ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ จึงเสด็จขึ้นครองเมืองสองแคว และโปรดให้พระอินทราชาครองกรุงศรีอยุธยาแทนพระองค์ ในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้ทรงเปลี่ยนแปลงฐานะของเมืองต่างๆ ที่อยู่ในอาณาจักรสุโขทัยเดิมเสียใหม่ คือ</p> <p>๑. เมืองที่อยู่ในฐานะหัวเมืองชั้นเอก คือ เมืองสองแคว</p> <p>๒. เมืองที่อยู่ในฐานะหัวเมืองชั้นโท คือ เมืองศรีสัชนาลัย เมืองสุโขทัย เมืองชากังราว และเมืองเพชรบูรณ์</p> <p>๓. เมืองที่อยู่ในฐานะหัวเมืองชั้นตรี ได้แก่ เมืองพิชัย เมืองสระหลวง และเมืองพระบาง</p> <p>จะเห็นได้ว่าในบรรดาหัวเมืองในอาณาจักรสุโขทัยเดิม เมืองสองแควนับว่าเป็นเมืองสำคัญที่สุด ขณะเดียวกันเมืองสุโขทัย เมืองศรีสัชนาลัย อยู่ในฐานะหัวเมืองชั้นโทได้ลดความสำคัญลง</p> <p>เมืองสุโขทัยคงมีประชาชนอาศัยอยู่สืบมา จนกระทั่งในสมัยรัชกาลสมเด็จพระมหาธรรม-ราชา แต่อยู่ในฐานะที่ต้องส่งส่วยอากรและผลผลิตให้แก่อยุธยาบ้าง เก็บผลประโยชน์ให้พม่าบ้าง ตามเหตุการณ์ของสงคราม จวบจนกระทั่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประกาศอิสรภาพไม่ยอมอยู่ภายใต้การปกครองของพม่าที่เมืองแครง ในปี พ.ศ. ๒๑๒๗ พระองค์ได้โปรดให้กวาดต้อนคนจากหัวเมืองเหนือลงไปไว้เมืองอยุธยาทั้งหมด เนื่องจากกรุงศรีอยุธยามีกำลังน้อย และเพื่อเป็นการป้องกันมิให้พม่าใช้กำลังจากหัวเมืองเหนือเป็นฐานในการสนับสนุนส่งกำลังบำรุง ทำให้สุโขทัยต้องกลายเป็นเมืองอ่อนกำลังลง</p> <p>การที่สุโขทัยอ่อนกำลังลงเช่นนี้ เป็นผลให้บรรดาสิ่งก่อสร้าง ปราสาทราชวัง วัดวาอาราม คูเมือง กำแพงเมือง และระบบชลประทานต่างๆ ถูกภัยธรรมชาติทำลายให้เสียหาย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเห็นว่าศิลปโบราณวัตถุทางศาสนา เช่น เทวรูป และพุทธรูปที่งดงามถูกทอดทิ้ง จึงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายประติมากรรมล้ำค่าเหล่านั้น ไปประดิษฐานตามวัดวาอารามต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร ศิลปกรรมของเมืองสุโขทัยส่วนหนึ่ง จึงเก็บรักษาอยู่ในกรุงเทพมหานครสืบมาจนกระทั่งบัดนี้ สิ่งที่เหลือเป็นอนุสรณ์ของความยิ่งใหญ่ของเมืองในอดีตมีเพียงแต่ซากของสถาปัตยกรรมที่ปรักหักพังเพียงอย่างเดียวเท่านั้น</p> <p><b>การปกครองตั้งแต่อดีต</b><b>-ปัจจุบัน</b></p> <p>สภาพการปกครองของสุโขทัยแบ่งออกเป็นระยะที่สำคัญ ดังนี้.-</p> <p><b>ระยะที่ ๑ </b>ยุคก่อนอาณาจักรสุโขทัย (ก่อนปี พ.ศ. ๑๗๖๑)</p> <p>ในระยะก่อนปี พ.ศ. ๑๗๖๑ อำนาจของอาณาจักรเขมรรุ่งเรืองมากในดินแดนสุวรรณภูมิ โดยมีศูนย์กลางอำนาจทางลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ที่เมืองละโว้ (ลพบุรี) เขมรมีการปกครองแบบราชา -ธิปไตย กษัตริย์จะส่งขุนนางมาปกครองเมืองบริวาร โดยเมืองบริวารจะส่งส่วยเป็นบรรณาการให้แก่พระนครหลวง ขณะเดียวกันบางท้องถิ่นอาจเป็นอิสระมีอำนาจปกครองตัวเองแบบนครรัฐ กลุ่มชนคงไม่ใหญ่โต ผู้ปกครองเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องจากกลุ่มชนให้เป็นผู้ปกครอง บริเวณที่มีความสำคัญได้แก่ เมืองศรีเทพ บริเวณวัดจุฬามณี และบริเวณเมืองสุโขทัย และเมืองศรีสัชนาลัย</p> <p><b>ระยะที่ ๒ </b>ยุคอาณาจักรสุโขทัยตอนต้น (พ.ศ. ๑๗๖๑–๑๙๒๑)</p> <p>การปกครองในยุคนี้วางรากฐานลงแบบการปกครองครัวเรือน จุดเริ่มต้นเริ่มที่ “พ่อครัว” ทำหน้าที่ปกครอง ครอบครัวหลายๆ ครอบครัวรวมกันเป็น “เรือน” หัวหน้าก็คือ “พ่อเรือน” หลายๆ เรือนรวมกันเป็นหมู่บ้าน มีหัวหน้าเรียกว่า “พ่อบ้าน” หลายๆ หมู่บ้านรวมกันเรียกว่า “เมือง” หัวหน้าคือ “พ่อเมือง” และพ่อขุน คือ ผู้ปกครองประเทศ หรือผู้ปกครองทุกเมืองนั่นเอง</p> <p>แม้ว่าอำนาจสูงสุดและเด็ดขาดจะรวมอยู่ที่พ่อขุนเพียงคนเดียว แต่ด้วยการจำลองลักษณะครอบครัวมาใช้ในการปกครอง พ่อขุนจึงปกครองประชาชนในลักษณะบิดาปกครองบุตร คือ ถือตนเป็นพ่อของราษฎร พ่อขุนเกือบทุกพระองค์ใช้อำนาจในลักษณะให้ความเมตตาและเสรีภาพแก่ราษฎรตามสมควร</p> <p>อาณาเขตของสุโขทัย ในแผ่นดินสุโขทัยกว้างขวางใหญ่โตมาก</p> <p>ศิลาจารึกหลักที่ ๑ กล่าวไว้ว่า "… มีเมืองกว้างช้างหลาย ปราบเบื้องตะวันออกรอด สระหลวง สองแคว ลุมบาจาย สคาเท้าฝั่งของเถิงเวียงจันทน์ เวียงคำ เป็นที่แล้ว เบื้องหัวนอนรอดคนที พระบาง แพรก สุพรรณภูมิ ราชบุรี เพชรบุรี ศรีธรรมราช ฝั่งทะเลเป็นที่แล้ว เบื้องตะวันตกรอด เมืองฉอด เมืองหงสาวดี สมุทรหาเป็นแดน เบื้องตีนนอนรอดเมืองแพร่ เมืองมาน เมืองพลัว พ้นฝั่งของ เมืองชวา…" นักประวัติศาสตร์ทั่วไปเชื่อว่า สุโขทัย เป็นราชธานีแห่งแรกของชาวไทยในแหลมอินโดจีนตอนกลาง และลักษณะการปกครองหัวเมืองในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแบ่งออกเป็น ๓ ประเภท คือ</p> <p>๑. หัวเมืองชั้นใน ได้แก่ เมืองหน้าด่านหรือเมืองลูกหลวง ล้อมรอบธานี ทั้ง ๔ ด้าน คือ ศรีสัชนาลัย (ด้านหน้า) สองแคว (ด้านตะวันออก) สระหลวง (ด้านใต้) และชากังลาว (ด้านตะวันตก) การปกครองหัวเมืองชั้นในนั้นขึ้นอยู่กับสุโขทัยโดยตรง </p> <p>๒. หัวเมืองชั้นนอก ได้แก่ เมืองท้าวพระยามหานคร ที่มีผู้ดูแลโดยตรงแต่ขึ้นอยู่กับสุโขทัยในรูปลักษณะของการสวามิภักดิ์ในฐานะเป็นเมืองขึ้นหรือเมืองออก หัวเมืองชั้นนอกมี แพรก อู่ทอง ราชบุรี ตะนาวศรี แพร่ หล่มสัก เพชรบูรณ์ และศรีเทพ</p> <p>๓. เมืองประเทศราช ได้แก่เมืองที่เป็นชาวต่างภาษา มีกษัตริย์ปกครองขึ้นกับสุโขทัย ในฐานะประเทศราช มี นครศรีธรรมราช มะละกา ยะโฮร์ ทะวาย เมาะตะมะ หงสาวดี น่าน เซ่า เวียงจันทน์และเวียงคำ</p> <p><b>ระยะที่ ๓ </b>ยุคอาณาจักรสุโขทัยตอนปลาย (พ.ศ. ๑๙๒๑–๑๙๘๑)</p> <p>ในปี พ.ศ. ๑๙๒๑ ซึ่งตรงกับสมัยของพระมหาธรรมราชาที่ ๒ ของอาณาจักรสุโขทัย ได้ยอมอยู่ใต้อำนาจการปกครองของอยุธยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรบที่เมืองชากังราวที่พระมหาธรรมราชาออกถวายบังคมต่อพระบรมราชาธิราชที่ ๑ แห่งอาณาจักรอยุธยา การเปลี่ยนแปลงในท้องถิ่นครั้งนี้ที่สำคัญคือ การที่อยุธยาพยายามทำลายศูนย์กลางของอาณาจักรสุโขทัย คือ แบ่งแยกอาณาจักรสุโขทัยเป็น ๒ ส่วนคือ.-</p> <p>๑. บริเวณลุ่มแม่น้ำยม แม่น้ำน่าน ให้มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองสองแคว ให้กษัตริย์ของสุโขทัยปกครองต่อไป และอยู่ในอำนาจของอยุธยาในฐานะประเทศราช</p> <p>๒. บริเวณลุ่มแม่น้ำปิง ให้มีศูนย์กลางที่เมืองชากังราว และขึ้นตรงต่ออยุธยา</p> <p>ขณะเดียวกันอยุธยาก็พยายามผนวกอาณาจักรสุโขทัยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอยุธยาและประสบความสำเร็จในสมัยพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) สำหรับลักษณะการปกครองที่ปรากฏในระยะนี้ เป็นแบบผสมระหว่างสุโขทัย และรับอิทธิพลการปกครองแบบราชาธิปไตยของอยุธยาเข้าไปใช้ด้วย ในระยะนี้นับว่าเมืองสองแควมีความสำคัญที่สุดขณะเดียวกันเมืองสุโขทัยเก่าก็ค่อยๆ ลดความสำคัญลง</p> <p><b>ระยะที่ ๔ </b>ยุคกรุงศรีอยุธยาจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. ๑๙๘๑–๒๔๓๗)</p> <p>ในยุคนี้ แนวความคิดเกี่ยวกับกษัตริย์เปลี่ยนแปลงไปตามคติพราหมณ์ ซึ่งพวกเขมรเป็น ผู้นำมาโดยถือว่ากษัตริย์เป็นผู้ได้รับอำนาจจากสวรรค์ หรือเป็นพระเจ้าบนมนุษย์โลก ลักษณะการ ปกครองจึงเป็นแบบนายปกครองบ่าว หรือเจ้าปกครองข้า</p> <p>ในสมัยพระบรมรามาธิบดีที่ ๑ ทรงวางระบบการปกครองส่วนกลางแบบ “จตุสดมภ์” ตามแบบของขอม มีกษัตริย์เป็นผู้ปกครองสูงสุด และมีเสนาบดี ๔ คน คือ ขุนเมือง ขุนวัง ขุนคลังและขุนนา เป็นผู้ช่วยดำเนินการมีหน้าที่ดังนี้.-</p> <p>๑. เมือง รับผิดชอบด้านการรักษาความสงบเรียบร้อย และปราบปรามโจรผู้ร้าย</p> <p>๒. วัง มีหน้าที่เกี่ยวกับราชสำนัก และตัดสินคดีความต่างๆ </p> <p>๓. คลัง มีหน้าที่เกี่ยวกับด้านคลัง การค้าและภาษีอากรประเภทต่างๆ</p> <p>๔. นา มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับด้านการเกษตร</p> <p>สำหรับการปกครองส่วนภูมิภาคหรือหัวเมืองต่างๆ ในระยะแรกพระรามาธิบดีที่ ๑ ทรงเลียนแบบการปกครองของสุโขทัย คือ มีหัวเมืองชั้นใน ชั้นนอก และหัวเมืองประเทศราช แต่ต่อมาในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้ทำการปฏิรูปการปกครองหัวเมือง ให้มีลักษณะการรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง คือ เมืองหลวงมากขึ้น โดยขยายอาณาเขตให้หัวเมืองชั้นในกว้างขวางขึ้นกว่าเดิม หัวเมืองชั้นนอกกำหนดเป็นหัวเมืองชั้นเอก โท ตรี ตามลำดับ ตามขนาดและความสำคัญของเมือง โดยทางส่วนกลางจะส่งขุนนาง หรือพระราชวงศ์ไปทำการปกครองแต่สำหรับเมืองประเทศราชยังปล่อยให้มีอิสระในการปกครองเช่นเดิม นอกจากนี้สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้ทรงปรับปรุงระบบบริหารขึ้นใหม่ โดยแยกการบริหารออกเป็นฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหาร มีสมุหนายกเป็นผู้รับผิดชอบด้านพลเรือน บริหาร กิจการเกี่ยวกับ เมือง วัง คลัง และนา และมีสมุหกลาโหมรับผิดชอบด้านการทหารและการป้องกันประเทศ แต่ภายหลังในสมัยสมเด็จพระเพทราชา ราว พ.ศ. ๒๒๓๔ ทั้งสมุหนายกและสมุหกลาโหม ต้องทำงานทั้งด้านทหารและพลเรือนพร้อมกัน โดยสมุหกลาโหมปกครองทั้งฝ่ายพลเรือนและทหารในหัวเมืองด้านใต้ และสมุหนายก ปกครองทั้งฝ่ายพลเรือนและทหารในหัวเมืองด้านเหนือ</p> <p>ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเป็นต้นมา ถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. ๑๙๘๑–๒๔๓๗) ฐานะของเมืองต่างๆ ในอาณาจักรสุโขทัย เดิมต้องเปลี่ยนแปลงไปตามขนาดและความสำคัญของเมือง คือ.-</p> <p>๑. หัวเมืองชั้นเอก ได้แก่ เมืองสองแคว</p> <p>๒. หัวเมืองชั้นโท ได้แก่ เมืองสวรรคโลก (ในสมัยสุโขทัยเรียกว่า “เมืองศรีสัชนาลัย”) เมืองสุโขทัย เมืองชากังราว และเมืองเพชรบูรณ์</p> <p>๓. หัวเมืองชั้นตรี ได้แก่ เมืองพิชัย เมืองสระหลวง (พิจิตร) เมืองพระบาง (นครสวรรค์)</p> <p><b>ระยะที่ ๕ </b>ยุคการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล (พ.ศ. ๒๔๓๗–๒๔๗๖)</p> <p>พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน โดยได้ทรงยกเลิกตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี ๒ ตำแหน่ง คือ สมุหนายก และสมุหกลาโหม รวมทั้งจตุสดมภ์ด้วย ได้จัดระเบียบบริหารราชการออกเป็นกระทรวง ตามแบบอารยประเทศ และให้มีเสนาบดี เป็นผู้ว่าการแต่ละกระทรวง กระทรวงที่ตั้งขึ้นมีทั้งหมด ๑๒ กระทรวง</p> <p>หลังจากจัดหน่วยบริหารส่วนกลางโดยมีกระทรวงมหาดไทยในฐานะเป็นส่วนราชการที่เป็นศูนย์กลางอำนวยการปกครองประเทศ และคุมหัวเมืองทั่วประเทศแล้ว การจัดระเบียบการปกครองต่อมาก็จัดตั้งหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาค ซึ่งมีสภาพและฐานะเป็นตัวแทนหรือหน่วยงานประจำ ท้องที่ของกระทรวงมหาดไทยขึ้น อันได้แก่การจัดการปกครองแบบเทศาภิบาล ซึ่งถือได้ว่าเป็นการ ปกครองอันสำคัญยิ่ง ที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนำมาใช้ปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคในสมัยนั้นการปกครองแบบเทศาภิบาลเป็นการปกครองส่วนภูมิภาคชนิดหนึ่ง ที่ส่วนกลางจัดส่งข้าราชการส่วนกลางออกไป บริหารราชการในท้องที่ต่างๆ โดยได้แบ่งการปกครองประเทศ เป็นขนาดลดหลั่นกันเป็นขั้นอันดับไป คือ เป็นมณฑล มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครอง ถัดจากมณฑล คือ เมือง (สมัยรัชกาลที่ ๖ เรียกว่าจังหวัด) มีเจ้าเมือง (ผู้ว่าราชการจังหวัด) เป็นผู้ปกครอง เมืองแบ่งออกเป็นอำเภอ มีนายอำเภอ เป็นผู้ปกครอง ทั้งสามส่วนนี้ปกครองโดยข้าราชการที่ได้รับแต่งตั้งจากกระทรวงมหาดไทย อำเภอนั้นแบ่งออกเป็นตำบล มีกำนัน ซึ่งเป็นผู้ที่ผู้ใหญ่บ้านเลือกเป็นผู้ปกครอง ตำบลแบ่งออกเป็นหมู่บ้าน มีผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนในหมู่บ้านเป็นผู้ปกครอง</p> <p>ใน ปี พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นปีแรกที่ได้วางแผนงานจัดระเบียบการบริหารมณฑลแบบใหม่เสร็จ กระทรวงมหาดไทยได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ๓ มณฑล คือ มณฑลปราจีนบุรี มณฑลนครราชสีมา มณฑลพิษณุโลก (เมืองที่อยู่ในมณฑลนี้ได้แก่ เมืองพิจิตร เมืองพิชัย เมืองสวรรคโลก) และทรง โปรดเกล้าฯ ให้โอนหัวเมืองทั้งปวง ซึ่งเคยขึ้นกับกระทรวงกลาโหมและกระทรวงต่างประเทศมาขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียว จึงได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลราชบุรีขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง</p> <p>พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลขึ้นอีก ๓ มณฑล คือ มณฑลนครชัยศรี มณฑลนครสวรรค์ และมณฑลกรุงเก่า และได้แก้ไขระเบียบการจัดมณฑลฝ่ายทะเลตะวันตก คือ ตั้งเป็นมณฑลภูเก็ต ให้เข้ารูปลักษณะของมณฑลเทศาภิบาลอีกมณฑลหนึ่ง</p> <p>พ.ศ. ๒๔๙๓ ได้รวมหัวเมือง มณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๒ มณฑล คือ มณฑลนครศรีธรรมราชและมณฑลชุมพร</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้รวมหัวเมืองมาลายูตะวันออก เป็นมณฑลไทรบุรี และในปีเดียวกันนั้นเอง ได้ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้เปลี่ยนแปลงสภาพของมณฑลเก่าๆ ที่เหลืออยู่ ๓ มณฑล คือ มณฑลพายัพ มณฑลอุดร และมณฑลอีสาน ให้เป็นมณฑลเทศาภิบาล</p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๗ ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ เพราะเห็นว่าสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย </p> <p>พ.ศ. ๒๔๔๙ จัดตั้งมณฑลปัตตานี และมณฑลจันทบุรี (มีเมืองจันทบุรี ระยอง และตราด)</p> <p>พ.ศ. ๒๔๕๐ ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง</p> <p>พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒ มณฑล มีชื่อใหม่ว่า มณฑลอุบลและมณฑลร้อยเอ็ด</p> <p>พ.ศ. ๒๔๕๘ จัดตั้งมณฑลราษฎร์ขึ้น โดยแยกออกจากมณฑลพายัพ</p> <p><b>ระยะที่ ๖ </b>ยุคปัจจุบัน (หลัง พ.ศ. ๒๔๗๕)</p> <p>การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมืองเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบบประชาธิปไตยนั้น ปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง นอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอแล้ว ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลด้วย เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสีย เหตุที่ยกเลิกเนื่องจาก</p> <p>๑. การคมนาคม สื่อสาร สะดวกรวดเร็วกว่าแต่ก่อน สามารถที่จะสั่งการตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง</p> <p>๒. เพื่อประหยัดค่าใช่จ่ายในการปกครองประเทศ</p> <p>๓. เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล มณฑล รายงานต่อกระทรวงเป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น</p> <p>๔. รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆ มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วนภูมิภาคยิ่งขึ้น และการที่ยุบมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจนั่นเอง</p> <p>ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน อีกฉบับหนึ่ง ในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัด มีหลักการเปลี่ยนไปจากเดิมดังนี้.-</p> <p>๑. จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่</p> <p>๒. อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคล ได้แก่ คณะกรมการจังหวัดนั้น ได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่กับบุคคลคนเดียว คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด</p> <p>๓. ในฐานะของกรมการจังหวัด ซึ่งเดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัด ได้กลายมาเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด</p> <p>ต่อมา ได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น จังหวัด และอำเภอ</p> <p>กล่าวโดยสรุป การปกครองส่วนภูมิภาคในปัจจุบันอาศัยกฎหมาย ๒ ฉบับเป็นแม่บทคือ พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๔๕๗ และประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ ซึ่งกำหนดรูปแบบของหน่วยบริหารขอบเขตอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบของ ผู้บริหารในระดับต่างๆ </p> <p><a href="#_edn1" name="_ednref1"></a></p> <hr align="left" size="1" width="33%" /> <p><a href="#_ftnref1_5135" name="_ftn1_5135">[๑]</a> บางแห่งเรียกพ่อขุนศรีนาวนำถม</p> <p><a href="#_ftnref2_5135" name="_ftn2_5135">[๒]</a> ตามศิลาจารึกหลักสามที่พบที่วัดมหาธาตุ ตำบลเมืองเก่าอำเภอเมืองสุโขทัย ได้กล่าวถึงชื่อนี้ว่า น่าจะเป็นกษัตริย์ที่คั่นระหว่างพ่อขุนรามคำแหงมหาราช กับ พญาเลอไท</p> <hr align="left" size="1" width="33%" /> <p><a href="#_ednref1" name="_edn1"></a>ที่มา : <b>ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดสุโขทัย</b>. สุโขทัย : สุโทัยการพิมพ์, 2527.</p> ไม้ไผ่http://www.blogger.com/profile/13079736154779537493noreply@blogger.com0